070 | เยี่ยวข้ามโลก

Einstein
(ภาพประกอบ : ทาบจากวิกิพีเดีย)

.

ผมลุกจากโต๊ะคอมที่ร้านไปเข้าห้องน้ำ
ขณะยืนเยี่ยวอยู่นั่นเอง อยู่ดีๆ ก็แวบประโยคนี้ขึ้นมาในหัว

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

มันเป็นคำพูดของตาลุงแก่ๆ คนนึงที่ชื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
แม้ว่าปัจจุบันนี้ประโยคดังกล่าวจะโดนยืมมาพูดเพื่อเสริมความเท่ให้กับผู้กล่าวก็เหอะ
แต่ขณะที่บังคับวิถีกระสุนอยู่นั้น ผมก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา…

มันคือเรื่องความแตกต่างระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออกครับ

เมื่อตอนที่ผมนึกภาพช็อตที่ตาลุงหัวฟูแกพูดยังงั้นขึ้นมา
ก็นึกถึงนิตยสารสารคดีฉบับสดุดี ๑๐๐ ปีไอน์สไตน์ที่ซื้อมาเตรียมอ่านตรงที่นอน
(เป็นโรคชอบซื้อหนังสือมาดองไว้ครับ กว่าจะได้อ่านก็ตอนมันเริ่มเปรี้ยวแล้วล่ะ)
อืม..

หน้าตาแกก็ฝรั๊งฝรั่ง (ฝรั่งแบบยิวๆ) ..แต่ไหงพูดอะไรไท้ยไทยวะ
ผมลองแทนความหมายของคำว่าจินตนาการ เข้ากับ “โลกตะวันออก”
และคำว่าความรู้เข้ากับ “โลกตะวันตก”
..มันมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาดนะ

ในขณะที่โลกฝั่งนึงมองทุกอย่างด้วย “ฟิสิกส์” (แปลตามพจนานุกรรมว่า กายภาพ)
นั่นคือ มองอะไรต่ออะไรด้วยสายตาแบบจริงจัง จริงๆ จังๆ และจริงๆ จังๆ -_-‘
นั่นเพราะทางเขาเป็นผู้เริ่มคิดระบบการศึกษา “แบบมาตรฐานสากล”
อย่างที่เราไปลอกโมเดลเขามาทั้งดุ้น (และไม่รู้จะปฏิรูปกันยังไงดีมากี่สิบปีแล้ว)
แต่ในวินาทีเดียวกัน เราได้เห็นโลกอีกฟากนึงมองอะไรเป็นความฝันไปซะหมด
ไอ้ที่ว่าใันนี่ไม่ใช่เพ้อฝันนะครับ แต่หมายถึงการแตกยอดของคำว่า “จินตนาการ”
ดังนั้น วัฒนธรรมที่สืบต่อกันมากี่พันปีก็ไม่รู้.. มันเลยสร้างสันดานของคนให้ต่างไป

ในขณะที่ชาวตะวันตกเป็นผู้ครองโลกตั้งแต่ก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมนู่นแหละ
ดังนั้นลูกเล็กเด็กแดงที่นั่นจึงโตมาด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
พอเป็นผู้ใหญ่ที่จะสอนลูกสอนหลานให้สืบพงศ์พันธุ์ของตัวเอง เขาก็ฉลาดเหลือเกิ๊น
แต่ดันกลับเหี่ยวแห้งเหลือเกินในเรื่องจิตวิญญาณ เรื่องหัวใจ ..ที่ไม่ใช่เรื่องสมอง
ดังนั้นพอวันนึง โลกประกาศตัวเองว่า ต่อไปนี้กูไร้พรมแดนแล้วนะ
เราจึงได้เห็นปรากฏการณ์ความตื่นเต้นในสิ่งเหล่านี้

๑.
ฝรั่งงงแดกกับหนัง The Matrix .. (คนบินได้ ไม่จริง!!!!!!!!!!!!!)
แต่พวกเรา (ที่ดูรู้เรื่อง) กลับหน่ายๆ …เพราะมุกมันซ้ำกับดราก้อนบอล
ที่มีการปล่อยพลังเป็นก้อนๆ กันมาตั้งแต่ปีโชวะที่ ๔ แล้ว (ผมมั่ว ..อย่ามางึด)
เอ้อ..อีกเรื่องคือ Harry Potter ที่ขายดิบขายดีเป็นปรากฏการณ์
แล้วก็ The Lord Of The Rings ที่ว่ากันว่าเป็นสุดยอดโคตรเหง้าวรรณกรรมโลก
(โอ้ว.. คิดได้ไง โลกเสมือน .. ภูติ .. ชนเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกเวทมนตร์!!)
แต่คนแถวบ้านเรานี่เฉยมากครับ .. ใครวะยกให้อีหลอดนั่นเป็นที่หนึ่งในร้อยปี
เพราะจินตนาการแนวเกมภาษา (RPG) นี่ .. มันก็มีให้เกลื่อนคลองถมเลยนะ

๒.
เกม “ฝั่งตะวันตก” มีแต่เกมส์แนวกีฬาที่ขายได้ (เอ้อ..เกมเลือดสาดอีกอย่าง)
นอกนั้นแป้กสนิท ตีตลาดโลกไม่ไหวเลย (จะทำให้ XBOX ยังไงก็เจ๊งทะรูดคราด)
แต่เกมจาก “ฝั่งตะวันออก” มีอัดแน่นด้วยไอเดียนานัปการ
ดันตีวงการเกมของโลกอีกฟากซะเสียเอกราชเลยในทุกครั้งที่มีการเปิดตัวเกมใหม่ๆ
เอาง่ายๆ .. แค่มาริโอ้ ๑ ที่ฝรั่งมาเห็นก็ขี้ราดแล้วครับ
ฟัคกิ้งคนเหี้ยอะไรวะ แม่งฟัคกิ้งโดดโหม่งอากาศแล้วเห็ดแม่งฟักกิ้งผุดขึ้นมาได้
แล้วแดกเห็ดเนี่ยนะที่กินแล้วตัวโตขึ้นสองเท่า ..พลังงานฟัคกิ้งมาจากไหนวะ

๓.
ฝรั่งมักตื่นเต้นกับ “ปรัชญาตะวันออก”, “ภูมิปัญญาตะวันออก”, ฯลฯ
แล้วเอาไปประยุกต์ใช้กันเต็มบ้านเต็มเมือง (นั่นไง ..เพราะเขามีอารยะ!!)
แต่คนแถวๆ นี้อยู่กินกะมันมาตั้งแต่เกิดเลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นวี้ดว้ายอะไรเลย
(เราเลยโดนขโมยข้าว สมุนไพร รถตุ๊กๆ ไปจดสิทธิบัตรไง .. เพรามันฉลาดกว่า)

๔.
ผีฝรั่งน่ากลัวตรง “มันจะฆ่ากู” (ดูในหนังสิ มันมาหักคอกันเป็นตัวๆ เลย)
(ทำไมพอตายแล้วกลายเป็นผี เราต้องไปเที่ยวฆ่าชาวบ้านเขาด้วยวะ สงสัยเก็บกด)
แต่ผีเอเชียจะเป็นแนวๆ น่ากลัวที่บรรยากาศมากกว่า (แค่ผีก็บอกถึงจินตนาการแล้ว)

๕.
ศิลปะการต่อสู้ / ศิลปะการป้องกันตัว เหล่านี้เป็นคำของฝั่งเอเชียนะ
แต่พอโยกไปฝ่งนู้น มันคือกีฬา คือการแสดง (ถามจริงๆ .. มีใครศรัทธามวยปล้ำมั่ง)

๖.
อาหาร “ตะวันตก” เน้นกันที่กายภาพ ความงามในการจัดแต่ง คุณค่าทางโภชนาการ
อาหาร “ตะวันออก” ดันเป็นการกินเพื่อจิตใจ กินเพื่อขับไอ้นู่นไล่ไอ้นี่ออกจากกาย

๗.
หนังโป๊ฝรั่งเห็นกันจะจะ โยกเป็นโยก ดุ้นเป็นดุ้น นมเป็นนม
แต่หนัง AV ของญี่ปุ่นมีการเสริมต่อจินตนาการให้คนดูเอาไปคิดเพิ่มเอาเอง .. เหอๆ

๘.
เรื่องสุขภาพก็ดี
ที่อเมริกา บริษัทยานี่เป็นธุรกิจที่สุดยอดโคตรพ่อพระเจ้ารวยเลยนะ
เพราะทุกเม็ดทุกหน่วยเขาเอาไปจดเป็น “ค่าความรู้” หมด
ส่วนทางซีกโลกนี้ มีทั้งจับเส้น กดจุด นวด ฝังเข็ม สมุนไพร ฯลฯ …
ที่บำบัดโรคของใจไปด้วย

๙.
ฮีโร่ของฝรั่งทุกตัวดูจริงจังและน่าเบื่อ (ทุกคนสามารถมีอยู่ได้จริง และมีที่มาที่ไปน่ารำคาญ)
ทีนี้ลองมาดูฮีโร่ของญี่ปุ่น ของเกาหลี ของอินเดีย หรือของไทยแต่ละตัวสิครับ
ขอบอกเลยว่า ไอ้สัตว์เอ๊ย.. แม่งมั่วได้โคตรพิสดารเลยว่ะ.. ฝรั่งไม่มีทางคิดได้ยังงี้เด็ดขาด
(พระอภัยมีเมียเป็นเงือก …แล้วจะไป XXXXX อีท่าไหนวะ .. นางเงือกก่อหวอดหรือเปล่า)

๑๐.
ผมไม่ชอบ Power Puff Girls หรือการ์ตูน (ที่เป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก) ของฝรั่งเลยว่ะ
เพราะเหตุผลเดิมคือ มันแก่แดด และขาดสีสันการเว้นช่องว่างให้จินตนาการเหมือนของญี่ปุ่น
(ถามจริงๆ ผู้อ่านท่านไหนมั่งไม่เคยคิดแระมาณว่า .. ถ้ากูมีกระเป๋าโดเรม่อนนะ กูจะ—-)

ฯลฯ

.

ดังนั้นจึงน่านับถือไอน์สไตน์ที่ลุงแกก้าวข้ามพ้นกำแพงของความรู้มาแล้ว
และเดินเยื้อย่างไปในดินแดนแห่งจินตนาการ
เราจึงได้เห็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ (เขียนคำนี้กันให้ถูกนะ ไม่ใช่สัมพันธภาพ)
ที่เป็นเรื่องขี้โม้มั่วนิ่มแห่งจักรวาลทั้งเทือกเลย .. แต่คนก็ยอมรับกันทั้งโลก
และปู่แกก็ตายในฐานะนักปรัชญา.. ที่มองโลกข้ามพ้นกรอบของฟิสิกส์ไปแล้วไง

เด็กแนวจริงๆ เลยลุง

ป.ล.
ด้วยอายุและประสบการณ์ชีวิตของผมตอนนี้มันยังมองโลกสองฝั่งได้เท่านี้แหละครับ
ถ้าโตขึ้น (ไม่สิ.. ถ้าแก่ตัวลง) กว่นี้ ผมคงได้เห็นอะไรมาเป็นเหตุเป็นผลกว่านี้ก็ได้

ป.อ.
แต่ไหนแต่ไรมาเรานั้นคงชินกับการอยู่ด้วยความเคยชินกับคำสองคำนี้
นั่นคือ “โลกตะวันตก” หมายถึงดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันตกของยุโรป
ส่วน “โลกตะวันออก” ก็อยู่ฝั่งตรงกันข้าม (อ้าว แล้วไงของมึงวะเนี่ย)

คนที่คิดไอ้สองคำนี่ขึ้นมา แน่นอนว่ามันก็ต้องถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางใช่ไหม
เหมือนกับที่มันทำกับจักรวาลด้วยแนวคิดที่ว่า โลกนี่แหละเป็นศูนย์กลางจักรวาล
ดังนั้น เมื่อหักลบทิศตะวันตกตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล ห่าเหวอะไรนั่นออกไป
จุดศูนย์กลางของจักรวาลก็คือประเทศที่มีไอ้ตาคนที่บัญญัติคำคำนี้ขึ้นมาครับ!!!!

ป.ฮ.
บล็อกวันนี้ผมดองไว้หลายวันแล้วเหมือนกัน ..
เยี่ยวเสร็จนานแล้วเพิ่งได้โพสต์ :30:

คอมเมนต์