ปีดี

ไม่เกี่ยวกับสภาพสังคมการเมืองความเหลื่อมล้ำอะไร มีแต่เรื่องตัวเองล้วนๆ โอเคนะ

ร่างกาย

ถ้าตัวเองแก่ตายตามอายุขัยที่ 70 ปี ปีที่ผ่านมานี้ การได้ครอบครองความ 35 นั้นถือว่าเป็นจุดสูงสุดของพาราโบลาแล้ว ต่อไปนี้จะได้เตรียมตัวเข้าสู่ความร่วงโรยเสียที

อันนั้นเป็นแค่ตัวเลข แต่กับร่างกายของตัวเองจริงๆ ต้องถือว่าสุขภาพมาถึงจุดที่เริ่มเห็นบั๊กโผล่ตรงนั้นที ตรงนี้ที นับตั้งแต่ความอ้วนที่ปรากฏตัวและยิ้มหยันตัวเองอยู่หน้ากระจกเงา ส่วนน้ำหนัก (ถึงเขาจะบอกกันว่าอย่าไปสนใจน้ำหนัก ให้ดูตัวเองดีกว่า แต่มันก็เป็นค่าที่เห็นแบบประจักษ์ตาน่ะนะ) กระโดดขึ้นมาแตะ 80 เคยสูงสุดที่ 82 แล้วก็รู้สึกว่าเหี้ยมาก ไม่ได้แล้ว ปล่อยไว้แบบนี้กูไขมันอุดหลอดเลือดหัวใจระเบิด สมองชัตดาวน์เข้าในเร็ววันแน่

ไหนๆ ก็รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มย่างเท้าเข้าสู่วัยที่ควรใส่ใจเรื่องสังขาร จึงเริ่มตระหนักว่า ไอ้ที่เคยบอกตัวเองว่าจะออกกำลังกายในไตรมาสสุดท้ายนั้น ปีศาจแห่งพันธสัญญาเริ่มมาแสยะยิ้มทวงหนี้กูแล้ว

เมื่อกี้เลยไปวิ่งๆ เดินๆ มาอีกหอบนึง แคลที่ลดไปมีค่าเท่ากับหมูกระทะที่กินไปเมื่อวานนี้เพียง 3 ชิ้น ไอ้สัส

หัวใจ

พอมาทบทวนดูแล้ว ปีที่ผ่านมานี้เป็นระยะเวลาที่เกิดภาวะเข้าใจตน ด้วยความเชื่อว่าคบกับตัวเองมาขนาดนี้ ผ่านความพยายามออกแบบชีวิตมาขนาดนี้ ย่อมเห็นผลลัพธ์ปรากฏขึ้นมาบ้าง และก็เห็นจริงๆ

ว่ากันอย่างไม่อ้อมค้อม – ด้วยปีที่ผ่านมานี้มันมีความสมดุลของสุขภาพ สติปัญญา อารมณ์ สังคม โอกาส วาสนา บารมี เงินทอง และอื่นๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรา

ทำให้ได้รู้จักการเลือกที่จะไม่ทำ แม้เป็นสิ่งที่อยากทำ (งงไหม เอาใหม่นะ) เราได้รู้จักเลือกทำในสิ่งที่เห็นว่าดีพอที่จะได้ไปต่อ และปฏิเสธสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการไปต่อนั้น อะไรรุงรังเราตัดออกไปได้อย่างง่ายดายขึ้น ถึงจะยังไม่หมดก็เถอะ

นี่กล่าวถึงทั้งการเข้าสังคม (ที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยได้เข้าอยู่แล้ว) การคบเพื่อน การทำงาน ทั้งแบบได้ตังค์และงานอดิเรก และอีกหลายๆ การ ที่เริ่มใช้ความพอใจเป็นตัวตัดสินว่าจะอยู่หรือจอด

นั่นคงเพราะเราไม่ได้มีเวลาว่างมากมายเหมือนสมัยก่อน จึงเชื่อว่า “เวลา” จะมีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ตัวเลขบนปฏิทินขยับ จนสุดท้ายมันจะคอนโทรลให้เราต้องเลือก (และไม่เลือก) ทำหรือไม่ทำอะไร ใส่ใจและไม่ใส่ใจอะไร ปล่อยวางหรือไม่ปล่อยวางอะไรอย่างเข้มข้นขึ้น

นั่นอาจทำให้เราเป็นคนเย็นชาขึ้นกว่าเดิม(อีก) จะคอยดู

ครอบครัว

1.
ภาพรวมคือแฮปปี้มาก เป็นชนชั้นกลางที่มีความสุขด้วยคติบางอย่างที่ยึดถืออยู่ พิสูจน์แล้วว่ามันโอเคพอที่จะเอาไว้เป็นไกด์ไว้นั่งคุยกับลูกตอนที่โตขึ้นและต้องพบทางเลือก

2.
ดีใจที่การย้ายถิ่นฐานออกจากกรุงเทพฯ นั้นเป็นการตัดสินใจไม่ผิดหวัง ถ้านี่เป็นการพนัน ถือว่าแทงถูกข้าง และมีแจ๊กพอตไหลออกมาเรื่อยๆ กรุ๊งกริ๊งๆๆ

การได้อยู่กับบ้านแทบจะ 24 ชั่วโมงในทุกๆ วัน (ยกเว้นช่วงที่ออกไปจัดพอดแคสต์ในเมือง) นั้นมันเพิ่มพลังชีวิตได้จริงๆ เหนื่อยจากไหนมา พอมาถึงบ้านปั๊บ มันคือแท่นชาร์จ คือจุดเซฟ ที่แค่ก้าวเท้าเข้ามาก็มีแสงเรืองๆ แล้ว ใช่แล้ว เพราะเราติดไฟทางเดินออโต้ไว้ (ซื้อจากลาซาด้า) (ซื้อเสร็จแล้วพบว่าโฮมโปรถูกกว่า)

3.
การมีเมียที่เข้าใจเราทุกอย่างนั้นดีจริง แถมเมียหันมาออกกำลังกายจนตอนนี้ดูเด็กกว่าเราไปแล้ว หมดข้ออ้างแล้ว ต้องผลักดันตัวเองบ้าง

4.
ส่วนลูก คนโตคุยรู้เรื่องทุกอย่าง เหมือนได้เห็นตัวเองตอนเด็กๆ เลย (ต่างกันแค่เราโดนเลี้ยงดูมาอีกแบบ) ส่วนไอ้ตัวเล็กซนฉิบหาย ไม่คิดว่าจะได้เลี้ยงลิงในร่างเด็กที่มันซนวายป่วงขนาดนี้ จะรอดูว่ามันจะงอกงามไปเป็นอะไรต่อ

5.
บ้านเราเป็นบ้านที่ไม่กวดขันเรื่องการเรียน จนโดนโรงเรียนบีบมาเหมือนกันว่าหย่อนไปไหม อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ซึ่งนี่อาจเป็นไบแอสของพ่อแม่เองที่ต่างก็เคยผ่านประสบการณ์ส่วนตัวมา มองแบบตื้นๆ คือเราดันเอาสิ่งนี้มาครอบหัวลูก ซึ่งของจริงมันมีกระบวนการและการปฏิบัติที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นอีกเยอะ พิมพ์แค่นี้ไม่เห็นดีเทลเท่าไหร่ เอาเป็นว่าค่อยๆ รอดูว่าจะเวิร์กไหม หรือโตไปอีกนิดเราจะเปลี่ยนนโยบายยังไง

สังคม

ปีนี้พอมาดูแล้วพบว่าถวิลหาสังคมน้อยลงมากๆ เหมือนว่าจะอยากอยู่กับตัวเองให้เยอะขึ้น

คงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ที่มีความตั้งใจจะโซเชียลให้น้อยลง และจมปลักกับตัวเองให้มากขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็เห็นผลอยู่ว่าเริ่มเป็นคนแบบที่ว่าจริงๆ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี(กับคนอื่น) แต่เราคิดว่าดี(กับตัวเอง)

เพื่อนฝูงที่เห็นหน้าเห็นตากันมาแต่นมนาน ก็ยังอยู่เหมือนเดิม อาจมีบ้างที่เว้าแหว่งไปตามกาลเวลา แต่กาลเวลานั่นแหละคือผู้จัดการส่วนตัวที่คอยคัดกรองเพื่อนให้เราเอง

สังคมออนไลน์ ไม่อยู่ในตัวแปรอะไรของเราเลย แม้จะยังเสพติดเหมือนเดิม จึงแทบไม่เก็ตและไม่อินดราม่าหรือประเด็นทางสังคมหลายๆ อย่าง (100 เรื่องจะสนใจสัก 2-3 เรื่องที่มันผ่านเข้ามา) (อย่างเรื่องเด็ดแห่งปีอย่างพี่ตูนวิ่งเนี่ย ก็รู้แค่แกวิ่งจากใต้ไปเหนือโดยเอาเงินไปช่วยโรงพยาบาล แล้วคนก็เถียงๆ กัน จบ) (ขอโทษครับพี่เบล ผมไม่ได้ตามข่าว แง้)

พบว่าปีนี้เรารักความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเยอะ เหมือนต่อต้านหลักการของยุคสมัยที่มีอะไรก็ต้องแชร์ ต้องบอก ต้องอวด อันนี้สืบเนื่องมาจากปีก่อนๆ ที่ตั้งใจแบบนี้ไว้

เรายินดีคุยกันกับเพื่อนแบบเจอหน้ากันจริงๆ ออฟไลน์ ไถ่ถามความเป็นไปแบบที่ไม่ปัจจุบันนัก และพบว่ามันโอเค

ทวิตเตอร์นั้นเฝ้าวันละหลายๆ ชั่วโมงเหมือนเดิม แน่นอนว่าเป็นพวก #ชาวเน็ตเกรดZ ที่ไม่อะไรเลยสักนิดกับประเด็นฮอตในนั้นที่เราไม่อินด้วย สรุปว่ามีไว้เล่นมุก แชร์บทความ และคุยกับเพื่อน เหมือนเดิม จบ

แต่เฟซบุ๊กนั้นเรายังคงไม่สนิทกับมัน นอกจากเข้าไปในกรุ๊ปซื้อขายบางอย่างที่สนใจแล้ว การจะได้ใช้มันเล่นเรื่อยเปื่อยก็มีแค่ตอนเช็กโนติข้อความลูกค้า แล้วเจอคอมเมนต์เพื่อนแซวเรื่องคอนโดบ้าง เลี้ยงอีหนูบ้าง จากแก๊งเพื่อนเหี้ย

ที่น่าสนใจคือเรามีสังคมใหม่ที่เห็นเป็นรูปธรรม จากงานอดิเรกที่เราใช้เวลาสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 6-12 ชั่วโมงในการขับรถออกจากบ้าน เข้ากรุงเทพฯ ไปทำอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ตังค์ แต่สนุก แถมกลับมาก็ต้องออกแบบนั่นนี่ให้กับมันอีก

สังคมเล็กๆ ที่ว่านี้คือพอดแคสต์ ซึ่งมันเล็กและเฉพาะกลุ่มมากๆ จนต้องอธิบายให้คนใหม่ๆ ฟังทุกครั้งว่าที่ทำอยู่นี่มันคืออะไรวะ ทำรายการผี? (มึงเนี่ยนะ) รายการเนิร์ดถาปัด? (มันสนุกยังไง?)

ความเจ๋งคือการได้พบกับกลุ่มคนใหม่ๆ ที่ให้พลังประเภทใหม่ๆ ในแบบที่ไม่คิดว่าแก่ขนาดนี้แล้วจะมีเพื่อนใหม่ๆ มาเติมชีวิตได้อีก แต่ก็มี

และคนเหล่านั้นก็ต่างมีวงโคจรของตัวเอง ใช้ชีวิตของตัวเองไป แต่เวลาเราโคจรมาเจอกัน มันบันเทิง มันได้บรรยากาศของวงเหล้าแบบที่ไม่ต้องกินเหล้า (บางทีก็มีกินบ้างเนอะ)

เราชอบระยะแบบนี้

งาน

ไม่ค่อยชอบพูดเรื่องงาน แต่การบันทึกก็ต้องมีใช่มะ งั้นหมวดนี้เอาแบบเป็นงานที่ได้ตังค์นะ แบบไม่ได้ตังค์ถึงจะใช้เวลาอยู่กับมันเยอะกว่า แต่ไม่นับละกัน

ปีนี้รู้เลยว่าตัวเองทำงานมาก (ทั้งๆ ที่ใครมาบ้านก็ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่ได้ทำอะไร นั่งๆ นอนๆ เหมือนคนเกษียณ)

งานหนึ่ง เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ช่วงท้ายปี ต่อไปนี้จะลองโฟกัสกับงานที่ตัวเองปล่อยออโต้ไพลอตมานาน จะยังคับเองด้วยมือแล้ว ช่วงแรกที่ทำนี้พบว่าเหนื่อยกับการออกแบบและปรับแปลงระบบพอสมควร แต่หลังจากนี้คิดว่าน่าจะมีอะไรสนุกๆ ให้เล่นอีกเยอะ

งานสอง ออกแบบระบบทุกอย่างลงตัวแล้ว ก็ปล่อยให้ไหลไป ไม่หวือหวาหรอกแต่ก็ลงตัวดี

งานสาม เป็นงานรูทีนประจำ ที่ใช้เวลาอยู่กับมันมากพอๆ กับงานแรก รักงานนี้น้อยกว่า แต่สร้างรายได้มากกว่า (โลกก็เป็นแบบนี้) สำหรับงานนี้ก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงใหญ่จากการออกแบบระบบในช่วงปีที่ผ่านมานี้ทั้งปีเหมือนกัน

ส่วนการสร้างบ้าน อันนี้ถือเป็นงานที่ภูมิใจถึงจะไม่ได้ตังค์ แต่ได้ความสุขมาก เป็น achievement ที่สำคัญที่สุดในช่วงหลายปีมานี้เลย เหมือนได้ปลดล็อกตัวเองว่าเราก็ทำได้ ถึงแม้จะต้องจ้างเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันแท้ๆ มาเป็นสถาปนิกให้ก็เถอะ 55555

ปีหน้า

เราเป็นสายวางแผน (ไม่ใช่สายด้น) เชื่อว่าหลายๆ แผนที่มีการวางไว้ในปีนี้ จะยิ่งเห็นผลในปีหน้า จะออกหัวบ้างก้อยบ้างก็ไม่เห็นเป็นไรมั้ง ก็จะคอยดู

พิมพ์มาจนจบก็นึกได้ว่า บล็อกนี้มีแต่คำว่า จะรอดู จะคอยดู
เนี่ยคือรูปประโยคของคนที่ยังไม่แก่นะ

คอมเมนต์