ผีหางตา

(ต่อไปนี้จะหัดเขียนแบบตัดประโยคทีละย่อหน้าแบบชาวบ้านเขาดูบ้าง เพราะที่ผ่านมาเขียนแบบกด Enter ท้ายบรรทัดให้มันกว้างเท่าๆ กันมาตลอด รู้สึกว่าเป็นธรรมเนียมที่น่ายกเลิก)

ทุกวันเวลาผมเลิกงาน และกลับบ้านด้วยรถประจำทางเนี่ย กว่าจะถึงแถวหน้าบ้านก็ล่อไปสองสามทุ่มละ มันจะมีจังหวะที่ต้องสะดุ้งทุกที (ย้ำว่าทุกที) ครับ เพราะนอกจากตรงนั้นจะมืดมาก เปลี่ยวมากแล้ว มันยังเป็นกำแพงวัดด้านหลังเมรุซะด้วย

อ่านดูแล้วยังกะหนังผีพล็อตโบราณๆ ที่เอะอะไอ้คนเล่าแม่งต้องเดินผ่านป่าช้าหรืออะไรแบบนี้ทุกที แต่ขอโทษครับ ไม่คิดเหมือนกันว่าวันนึงจะได้มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเองจริงๆ

จุดที่ผมลงจากรถกระป๊อคือหน้าซุ้มวัด แล้วต้องเลาะเลียบกำแพงวัด เดินหลบขี้หมาแล้วไต่ทางเท้าไปเรื่อยๆ ประมาณ 100 เมตร กว่าจะถึงป้ายหน้าหมู่บ้านซึ่งมีแสงไฟ มียามหมู่บ้าน และถ้าวันไหนกลับไม่ดึกมากก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์นั่งรอผู้โดยสารอยู่ ถ้าเดินมาถึงตรงนั้นคืออุ่นใจละ กูถึงบ้านละ เดินไปจุดจอดจักรยานได้ก็ถือว่าฟิน อีกไม่กี่วินาทีจะถึงบ้านเจอหน้าลูกเมียและแมวๆ ละ

แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะมันต้องผ่านจุดเปลี่ยว ที่มีผี ที่ผม “เจอทุกวัน” เสียก่อน

คือผมชอบใส่หูฟังเวลาเดินทาง เพราะพบว่ามันสงบดี ตัดขาดจากโลกอันวุ่นวายและกลิ่นเหม็นของกรุงเทพฯ ข้างนอก บางทีก็เปิดเพลง บางทีก็โหลดรายการทีวีย้อนหลังอย่างพวกตอบโจทย์ สยามวาระ หรือเทยเที่ยวไทยมาตุนไว้ในมือถือ แล้วก็เปิดคลอมาตลอดทาง นานๆ ทีจะมีคนอวดผีย้อนหลังมาแจมด้วย (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการฟังอย่างเดียวเท่าไหร่ เพราะมันต้องก้มลงดูด้วย)

ทีนี้พอลงจากรถปั๊บ ก็ถอดหูฟัง เพื่อเรียกตัวเองกลับมาสู่โลกแห่งความจริง และก้าวเดิน ผ่านหลังเมรุเผาศพและกำแพงวัดที่มีเฟรนด์ชิปบรรพบุรุษจำนวนมากอาศัยอยู่นั่นแหละครับ

มันจะมีจังหวะนึงที่พอเดินปั๊บ ก้มหลบป้าย แล้วเตรียมลงจากทางเท้า หางตาด้านขวา (ฝั่งเดียวกับเมรุ) ของผมจะเห็นไอ้นี่

ghost-on-the-way

เหี้ย! ไม่ใช่เหี้ยสิ ผี!

คือสะดุ้งทุกครั้ง จำได้ว่าตอนเจอครั้งแรกนี่ตกใจมากจนเดินตัวงอเลยครับ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเคยเจอผีมาแล้วก็เลยรู้ว่ามันมีจริงอยู่ แต่หลังๆ ไม่ได้กลัวเพราะว่ามันไม่ได้เจอมานานแล้ว พอเดินผ่านไปสักสองสามก้าวก็หันมามองเพื่อดูว่าที่จริงมันคืออะไร (เป็นวิธีสยบเรื่องผีทุกเรื่องในโลก) ปรากฏว่าที่แท้มันคือต้นไม้ที่อ้วนขนาดเท่าแขนขาเราพอดี แล้วมีไม้กระดานพาดไว้

แต่จังหวะและบรรยากาศตรงนั้นนั่นแหละ พร้อมด้วยการจินตนาการต่อยอดจากภาพจากหางตาเวลาแวบเห็น ที่หลอกเราว่ามันคือสิ่งที่รูปร่างเหมือนคน ทั้งที่จริง ..แม่งก็เหมือนคนจริงๆ นะ

พอหลังๆ ลงรถและเดินผ่านตรงนั้นอีกทีทีไร ผมจะคอยจับสังเกตครับว่าผีตนนี้จะโผล่มาตอนไหน คือวันไหนสังเกตก็จะไม่สะดุ้งเพราะสปอยล์ตัวเองไว้แล้ว (ถือว่าเสียอรรถรสนะ) แต่วันไหนเสียบหูฟังคนอวดผีอยู่ ก็จะสะดุ้งเฮือกเหมือนเดิมทุกที

ก็นับเป็นการเล่นสนุกนิดๆ หน่อยๆ ก่อนเข้าบ้านครับ

อ้อ เมื่อเช้าเลยแวะถ่ายผีตนนี้มา เผื่อวันนึงมันโตขึ้นจนเกินความสูงที่สายตาจะจินตนาการให้เป็นรูปร่างคล้ายคนแล้ว จะเสียความสนุกตรงนี้ไปฉิบ

รั้ววัดลาดปลาเค้า

คอมเมนต์