ยิ้มสู้

ยิ้มสู้
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ


โลกจะสุขสบายนั้นเป็นได้หลายทาง
ต้องหลบสิ่งกีดขวางหนทางให้พ้นไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
สุขและทุกข์อย่างไรเพราะใจตนเอง

ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ
โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง
ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง
ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้

คนเป็นคนจะจนหรือมี
ร้ายหรือดีคงมีหวังอยู่
ยามปวงมารมาพาลลบหลู่
ยิ้มละไมใจสู้หมู่มวลเภทภัย

ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา
สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน

คืนวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงมีวิธีรับมือ หรือไม่รับมือ กับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศเราจ่างๆ กันออกไป ส่วนผมเลือกฟังเพลงนี้วนเวียนหลายครั้ง หลายครั้งมากๆ

‘ยิ้มสู้’ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่ผมเองก็จำเนื้อร้องไม่ได้ (ที่แปะไว้ข้างบนก็มาจากกูเกิล) แต่จำทำนองได้ดี ที่คุ้นๆ คือเนื้อเพลงจะให้ความหมายคล้ายๆ ‘แสงสุดท้าย’ ที่พี่ตูนร้อง หรือ ‘ฤดูที่แตกต่าง’ ของพี่บอย … อ้อ ถ้าจะให้ตรงเป๊ะๆ กับอารมณ์ตัวเองขณะนั้น ก็น่าจะเป็นเพลง ‘โลกยังสวย’ ของเฉลียง (แต่ผมชอบเวอร์ชันทีโบน)

แต่จะขอเปลี่ยนเรื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตามสไตล์บล็อกนี้ — คือ ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมานี้ ผมผ่านการยิ้มสู้มาเหมือนกันครับ

20161010_184616

12 ตุลาคม 2559

เราตื่นกันทั้งบ้านตั้งแต่เช้ามืด ตัวเล็กฝากยายไว้ ส่วนตัวใหญ่ตื่นมาดูการ์ตูน และกินอะไรรองท้องก่อนที่จะถึงกำหนดการที่หมอสั่งว่า “ห้ามกินอาหารก่อนผ่านตัด 6 ชั่วโมง”

ขับรถไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมง เพื่อจัดแจงธุระต่างๆ เกี่ยวกับการผ่าตัดและพักฟื้นให้ลูก

ถึงมันจะเป็นการผ่าตัดเล็กๆ อย่างผ่าต่อมทอนซิล (ที่มันเสียไปแล้ว และกลายเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายแย่ ไม่มีดีกว่ามี) ออก แต่สำหรับเด็กสี่ขวบ การผ่าจะอะไร เล็กหรือใหญ่ มันก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้นแหละ

หลังจากการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา นิทานกลายเป็นเด็กอนุบาลที่ขาดเรียนถึงหนึ่งในสามของทุกเทอมตั้งแต่ อ.หนึ่งยัน อ.สอง แน่นแนว่าส่งผลโดยตรงกับพัฒนาการของลูก ทั้งด้านการเรียนรู้ (ไม่ใช่แค่เรียนหนังสือนะ – เราใช้คำว่าการเรียนรู้) พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ฯลฯ ของเด็กช่วงปฐมวัย ที่ใครๆ ก็รู้กันว่ามันสำคัญมากเนอะ

เคยอ่านมาว่าการที่เด็กป่วยนั้น ตัวเด็กน่ะโอเค เพราะไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องใดๆ ที่เป็นอนาคตของตัวเอง ถึงขนาดที่มีเด็กเป็นมะเร็งร้ายในเคสหายากที่รักษาไม่หาย และนับถอยหลังชีวิตไปอีกแค่ไม่กี่วัน แต่พอถามว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร หนูก็ตอบว่าอยากเป็นเชฟทำอาหาร พ่อแม่เลยจับส่งไปเรียน(ฟรี) กับอาจารย์สอนทำอาหารที่โด่งดัง (อาจารย์สอนให้ฟรีด้วย) ก่อนที่แสงเทียนของน้องจะดับวูบลง น้องก็แฮปปี้ที่สุดแล้ว

แต่เฮ้ย ลูกเราไม่ได้เป็นอะไรหนักขนาดนั้น นี่แค่ทอนซิลพังเองงงง

ถึงกระนั้น ความวิตกกังวลก็ได้ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ กับเมียผม พออาการป่วยมันเริ่มบ่งชี้ชัดว่าแบบนี้ไม่ค่อยไหวแฮะ และนับวันก็ยิ่งหนักหนาขึ้นๆ จนแทบจะกลายเป็นมนุษย์แม่คนหนึ่งที่เราเห็นกันทั่วไปบนโลกออนไลน์ นั่นคือวิตกจริตกับทุกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูก ไอทีนึงก็สะดุ้ง ร้องทีนึงก็นอนไม่หลับ ได้แต่นับถอยหลังถึงเกณฑ์อันตราย

ไม่คิดว่าพอมาเป็นพ่อคนแม่คน เราจะได้มองโลกและมองลูกด้วยสายตาคนเป็นพ่อและแม่ ตัวพ่อน่ะโอเค เป็นมนุษย์เหตุผลอยู่แล้ว แต่กับแม่นั้นหนักหนาสาหัส คือนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้งจะให้กินยา ฉีดยา ดมยา รักษาตัวยังไงก็ได้ ปรึกษาหมอสารพัดทั้งหมอเด็ก หมอภูมิแพ้ เพื่อนหมอ พี่สาวเพื่อนที่เป็นหมอ คนโน้นคนนี้ที่เป็นหมอ ทำทุกทางเพื่อหวังว่าจะได้รับคำตอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ “ต้องผ่าตัด”

แต่การไปหาหมอเพื่อรักษาอาการแต่ละครั้งก็ยิ่งบีบรีดให้ได้คำตอบออกมาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น “ต้องผ่าตัด”

ผมเองเคยผ่าฟันคุด และรักษารากฟันมาแล้วหลายซี่ จนเรียกได้ว่าในปากนี่อมเงินหลักแสนอยู่นะ โคตรเข้าใจสถานการณ์นี้เลย คืออวัยวะบางอย่างของเราเนี่ย ถ้าอะไรที่ผุพัง ที่เก็บเอาไว้มีแต่เสีย ก็ไปเอาออกซะก็สิ้นเรื่อง

แต่กับแม่ของเด็ก ไอ้คำว่าเอาออกซะก็สิ้นเรื่องเนี่ยแม่งยากสัสๆ แล้ว

คนเป็นพ่อจึงต้องเป็นแผนกถ่วงน้ำหนัก ดึงสติกลับมานะทุกคน ลูกเป็นคนป่วย แม่เป็นคนให้กำลังใจคนป่วย ส่วนพ่อคือผู้ให้กำลังใจผู้ให้กำลังใจคนป่วยอีกที

พอ 11 โมง ลูกก็หลับไปในมือหมอ ตื่นมาอีกที ก็กลายเป็นเด็กที่ไม่มีอีต่อมเน่าที่ว่านี้แล้ว แน่นอนว่าร้องไห้แหกปากแบบเจ็บๆ จนต้องปลอบเบอร์แรงสุด และหลอกไว้ว่าถ้าไม่โก่งคอร้องไห้แบบนี้ คอหนูจะหายเร็วนะ

คืนวันแรกผ่านไปอย่างยากลำบาก แม้จะโล่งใจ (นี่พูดถึงแม่) แต่ก็ยังไม่เคลียร์ ยังรอดูอาการของลูกอย่างใกล้ชิดแบบนาทีต่อนาที

เย็นวันนั้น เราได้รับข่าวลือแปลกๆ ไม่สิ ไม่ใช่ข่าวลือสิ จดหมายอย่างเป็นทางการแบบไม่ต้องตีความอะไรเลยจากทีมแพทย์ที่ถวายการรักษาในหลวงอยู่ในอีกโรงพยาบาล

เรารู้ เชื่อแหละว่าทุกคนรู้ แต่เราอยู่ในประเทศที่ห้ามพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความกังวล หรือพูดให้เรารับมือกับแรงกระแทกที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ห้ามพูด

13 ตุลาคม 2559

ลูกสาวดูการ์ตูนทั้งวัน ในชีวิตนี้จะมีก็ไม่กี่ครั้งหรอกที่ยอมเปิดการ์ตูนให้ดูเยอะๆ แบบนี้ ด้วยหวังจะเปลี่ยนสภาพจิตใจและอารมณ์ของลูกให้เป็นบวก ซึ่งคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่นอนโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นพ่อและแม่มีงานที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า อีกเดี๋ยวทุกอย่างจะประเดประดังเข้ามาอย่างใหญ่หลวง

ลูกนอนดูการ์ตูนอยู่บนเตียง แม่นั่งทำงานสลับกับนั่งอ่านนิยายเช่าในห้อง ส่วนพ่อที่เพิ่งกลับจากจตุจักร (โรงพยาบาลมันอยู่ใกล้ เลยได้ไปเดินตลาดต้นไม้มาจนขาลากและผิวไหม้) พอมาถึงก็เปิดไทม์ไลน์ดู เฟซบุ๊กปกติดีอย่างที่พอจะนึกออก ส่วนทวิตเตอร์(ที่ได้ชื่อว่าไวต่อบรรยากาศแปลกๆ)นั้นเป็นคนละเรื่อง

ตามข่าวที่ไม่อยากให้เกิด จนทุกอย่างบ่งชี้ว่าใช่

จนใช่…

แล้วทุกอย่างในโลกก็ทลายลง

ผมถ่ายคลิป “แสงสุดท้าย” ของเย็นถึงค่ำวันนั้นเอาไว้ (เป็น time-lapse) ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมถ่ายอกมาแล้วมันดูไม่ค่อยชัดเหมือนเป็นหมอกๆ อ้อ ที่ไหนได้ เป็นหมอกในตำนานที่ใครหลายคนก็ได้เห็นและร่ำลือกัน

คืนนั้นนอนดึกมาก เอาจริงๆ คือนอนเกือบไม่หลับเลยแหละ ภาพที่เห็นผ่านจอมือถือ เริ่มเปลี่ยนจากภาพสีเป็นภาพขาวดำ มีบทสนทนา มีคำถาม มีการแสดงความคิดเห็นมากมายชนิดที่ @icez บอกว่า log ของทวิตเตอร์เมืองไทยถูกถล่มด้วยก้อนข้อมูลก้อนยักษณ์ระดับปรากฏการณ์

บรรทัดนี้ผมไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ ทีแรกมีอะไรจะเขียนเยอะแยะไปหมด แต่พอเอาเข้าจริงกลับรู้สึกว่าเราเรียบเรียงความคิดตัวเองไม่จบจริงๆ

อ่านสิ่งที่เกิดขึ้น ณ​ วันนี้จากทุกๆ คนเถอะ ทุกคนได้เขียนบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ของประเทศเราไว้ให้หมดแล้ว

ตื่นมาพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

14 ตุลาคม 2559

เช้านี้แหละ เป็นเช้าที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด หนังสือพิมพ์ ทีวี สารพัดเว็บไซต์ต่างนำเสนอทุกรายละเอียด โดยเฉพาะบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกอันทรงพลังนั้นได้แผ่ขยายปกคลุมไปทั้งประเทศ

นิทานออกจากโรงพยาบาล เห็นว่าอาการเจ็บแผลไม่น่าห่วงนัก ที่เหลือก็แค่การประคับประคองจิตใจกัน ไม่ต่างจากใครๆ ในประเทศเราตอนนี้ ที่ต้องผลัดกันประคับประคองกันและกันทั้งนั้น

เมียผมปรับตัวอย่างรวดเร็ว เข้าสู่โหมดทำงานทำการและโหมดแม่ของลูกอย่างจริงจังอีกครั้ง ส่วนผมพอทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ก็ผละออกมางานสัปดาห์หนังสือ ซึ่งวันนี้มีนัดพบปะผู้อ่าน และเซ็นชื่อลงในหนังสือ #เน็ตเมื่อวานซืน

ระหว่างเดินทางก็ได้พบกับบรรยากาศแห่งความอาลัยจากทุกคนรอบกาย เนื่องจากบ่ายวันนี้มีพระราชพิธีเคลื่อนพระบรมศพฯ ไง ดังนั้นหลายๆ คนบนรถไฟฟ้าที่เห็น ก็ต่างเดินทางไปสถานีปลายทางเพื่อต่อรถต่อเรือกันตามสะดวก เพื่อไปร่วมพิธีฯ

พอเสร็จจากงานหนังสือ ก็มานึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่เราไม่ตลกเลย (ปกติก็ไม่ตลกนะครับ ผมเดินทางสายเท่มาตลอด)

กลับถึงบ้านก็ดึกดื่น ลูกเมียหลับแล้ว เหนื่อยและเพลียกันมากๆ ทั้งคู่

15 ตุลาคม 2559

สังเกตว่าพอถึงวันนี้ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ หลายๆ คนเริ่มทำใจได้ และกลับมาทะเลาะกันเหมือนที่เคยเป็นมา (เวรแท้ๆ)

บรรยากาศความหน่วงรอบๆ ตัว ยังทำ ‘หน้าที่’ ของมันได้อย่างแข็งขัน แล้วทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้

ยิ้มสู้และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปให้ดี ก็เท่านี้เอง

ทดลองเป็นคนแก่

image

บล็อกตอนนี้ นอนเขียน ไม่เขียนสิ พิมพ์ เฮ้ยไม่พิมพ์สิ พูดเอาเลย ให้มันแปลงเป็นตัวอักษรให้ เพราะว่าขี้เกียจขยับมือมาไถจอ

นี่ก็เข้าสู่วันที่ 3 ของอาการเจ็บหลังแล้ว เมื่อวานตอนเย็น พ่อกลับมาถึงกรุงเทพ พ่อ พ่อไม่ใช่พ่อ พอ พ่อกลับมาถึงกรุงเทพ โอ๊ยช่างแม่ง พ่อก็พ่อ พ่อกลับมาถึงกรุงเทพ ก็พุ่งไก่หมอที่โรงพยาบาลทันที

ไม่รู้จะเรียกว่าสวยดีไหม สวยไม่ใช่สวย ซวย ซวย ไม่รู้จะเรียกว่าสวยดีไหม หมอก็ดันเป็นประเภทที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ถามไป 10 บาทตอบมา 2 บาท เล่าอาการให้ฟัง หมอก็ถามว่าอยากเอ็กซเรย์ดูไหม เลยไปเอ็กซ์ดู ผลคือกระดูกไม่เป็นอะไร โดยสรุปก็เป็น หลังยอก หลังยอกต้องเอาหลังบ่งนั่นแหละ เหมือนกับที่ปรึกษาหมอ google มาเป๊ะเลย แต่อันนี้มีบุคลากรทางการแพทย์มายืนยัน ก็เลยมั่นใจขึ้นมาหน่อย

ถามหมอไปว่า ไอ้อาการหลังยอกเนี่ย เขามีชื่อเรียกเป็นภาษาหมอไหมครับ เช่น กล้ามเนื้อหลังอักเสบเฉียบพลันหรืออะไรแบบนี้ หมอยิ้ม แล้วบอกว่า ก็หลังยอกไง แล้วจัดยาให้อย่างรวดเร็ว เมียหันไปมองบนโต๊ะ ก็พบว่ามีนิยายวางอยู่เล่มนึง เมียจึงเข้าใจ ในฐานะคนติดนิยายเหมือนกัน ไม่กลับบ้านมาแค่แบบบ่นๆ นิดๆๆ วงเล็บ เฉพาะค่าตรวจ 750 บาทแน่ะ

คืนวันที่ 2 ของอาการ หลังจากกินยาคลายกล้ามเนื้อ และยาอะไรอีกสักอย่าง จำไม่ได้ เป็นคนไข้ที่ไม่ดี ก็พบว่าหลับสบายขึ้น สบายจนเผลอพริกตัวแบบปกติ คลิก roaring โว้ย พริก คลิปตัว click ตัว click ตัว พริก มวย ช่างแม่ง

ต่อนะ หลับสบายจนพลิกตัวแบบปกติ อ้าวทำไมที่นี้สะกดถูกหรือ ปรากฏว่าโคตรเจ็บหลังเลย ถึงกับตะโกนออกมาเสียงดังลั่น แล้วก็นอนตัวงออยู่แบบนั้น

ตื่นมาตอนสาย วงเล็บ เมียผู้ประเสริฐ อาสาไปส่งลูกสาวคนโตไปโรงเรียนแทนให้วันนี้ ปิดวงเล็บ พบว่าท่านอนหงายสบายที่สุด ลองคลำหลังช่วงเอวดู ก็พบว่าไม่ปวดแฮะ หรือว่าเราหายแล้ว ก็เลยพยายามลุกขึ้นนั่งและค่อยๆ ยืน

ประโยคเมื่อกี้ประโยคเดียว ใช้เวลาประมาณ 15 นาที 15 นาทีจริงๆ เพราะว่ามันปวดโหดๆ ไม่ต่างจากเมื่อวาน แต่คราวนี้ ลูกเองได้ ลุก ลุกเองได้แบบทุลักทุเลที่สุด พยายามเคลื่อนไหวร่างกายไปห้องน้ำ ก็พบว่าท่าที่ทรมานที่สุดก็คือท่ายืนตรง ยืนแก้ผ้าแปรงฟันดูกระจก ก็พบว่าตัวเองยืนเอียง ลองปรับศูนย์ดู ก็ยังเอียง เพราะไข่สองข้างไม่เท่ากันก็ไม่ใช่ อันนี้คือเอียงเลย

พยายามขี้อีกครึ่งชั่วโมง ไม่สามารถออกแรงเบ่งได้ เพราะปวด เอาจริงๆ แม้แต่ไอเบาๆ ก็ยังไม่ได้ มันสะเทือน สรุปว่าขี้ไม่ออก ลุกขึ้นมา อาบน้ำ วงเล็บ ตอนลุกจากส้วม ก็รอไป 5 นาที

อาบน้ำเสร็จก็พบอุปสรรคใหม่ คือ เมื่อกี้ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ที่พื้น การก้มลงหยิบเป็นไปไม่ได้เลย ต้องใช้เท้าเขี่ยขึ้นมา แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบที่ปลายเท้า โอ้โห แค่นี้ก็ยากหนักหนา

คิดดูละกันว่าการแต่งตัวจะยากขนาดไหน ที่จริง มนุษยชาติควรจะแก้ผ้าเดินกันให้หมดเพื่อแก้ปัญหาการปวดหลัง ทำไมเรื่องแค่นี้คิดกันไม่ได้นะ

อุปสรรคผัดมา ก็คือการกินยากินข้าวกินน้ำ ตอนนี้ร่างกายอยู่ชั้น 3 ตู้เย็นอยู่ชั้น 1 ยาอยู่ชั้น 2 ก่อนอื่นต้องลงไปกินข้าวที่ชั้น 1 แล้วแบกน้ำขึ้นมาชั้นสองกินยา ก็นั่นแหละครับท่านผู้ชม ใช้เวลา 1 ชั่วโมง รวมกินข้าวแล้ว วงเล็บ ที่จริงก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ เพราะว่าปกติกินข้าวช้าอยู่แล้ว

ตัดภาพมาปัจจุบัน ตอนนี้ทิ้งตัวลงนอนอยู่ที่ชั้น 2 ที่จริงจะบอกว่าทิ้งตัวก็ไม่ถูกนะ ต้องบอกว่าค่อยๆๆ ย่องลง ย่อตัวลง แบบสโลสุดๆ ถ้านึกไม่ออก ให้ไปดูตัวอย่างหนังซูโทเปีย อันที่มีสล็อตนั่นแหละ slot สะกดด้วยถอดธงโว้ย เออกูยอมแล้ว

เอาเป็นว่าที่นอนชั้น 2 มันฟูกแบบ 3 ฟุตครึ่ง ปกติจะเอาไว้ให้เด็กนอน แต่วันนี้พ่อขอยืมนอนก่อน แล้วก็ดันนอนชิดผนังเกินไป ดูเป็นเรื่องปัญญาอ่อนใช่ไหมครับ ก็แค่เขยิบไปทางขวา คืบเดียว จะไปยากอะไร จะบอกว่าแม่งยากมากครับ เพราะว่าการกระเถิบตัวไปทางขวาในท่านอนนั้น มันต้องอาศัยกล้ามเนื้อหลัง อยากเลี่ยงไม่ได้ อย่าง ดังนั้นตั้งแต่เริ่มหยิบโทรศัพท์ จะเขียน blog วาดรูปจนพิมพ์มาถึงบรรทัดนี้ ผมยังนอนแนบผนังแบบเบี้ยวๆ อยู่เลย เดี๋ยวกด publish แล้วค่อย ลองกระเถิบอีกที

ลืมบอกไปว่า ตอนกินข้าวไม่ได้หยิบโทรศัพท์ลงไป นี่เลยยกมาดู เห็นเมียโทรเข้าก่อนหน้า และล่าสุดเพิ่งส่งข้อความมาใช้ให้ทำธุระด่วนในคอมให้หน่อย ชิบหายแล้ว คอมอยู่ห่างจากตัวประมาณ 5 เมตร

5 เมตร เครื่องหมายตกใจ 38 ตัว ฟอนต์ขนาด 50 สีแดง ตัวหนา

ฮายาชิดะจะทำได้หรือไม่ เขาจะพิชิต 5000000 เยนสำเร็จไหม โปรดติดตาม

ใจกลางความเจ็บปวดหลัง

image

วันที่ 2:

ตื่นมาพร้อมอาการปวด ปวดหลังแบบสุดๆ ตรงช่วงเอว ระหว่างรอเมียอาบน้ำแปรงฟัน ผมก็พยายามลุกขึ้นนั่ง โอเคนั่งได้ แต่พอจะยืน มันไม่ไหวจริงๆ ทรุดลงมากองกับพื้น พยายามแล้วพยายามอีก ตะเกียกตะกายยังไงก็ลุกขึ้นไม่ได้ อย่าว่าแต่ยืนเลย คราวนี้นั่งก็ยังลำบาก

จนยักแย่ยักยันพาตัวเองลุกขึ้นมาได้ ก็รู้สึกเหมือนกำลังแสดงเป็นซอมบี้ คือไล่ดูดเลือดลูกเมีย ทุ้ยไม่ใช่ คือเดินตัวแข็งทื่อด้วยความเร็วประมาณหนึ่งจุดแปดสลอธ

วันนี้ผมจึงมอบหมายหน้าที่หยิบนั่นนี่ อุ้มเด็ก และหอบข้าวของทั้งหมดให้กับเมีย (มาคิดดูก็สบายดีนะ)

.

ย้อนกลับไปเมื่อวาน วันที่ 1:

เด็กๆ กำลังตื่นเต้นสนุกสนานกับห้องพักผนังสีน้ำเงิน เพดานโค้ง ดีไซน์แปลกตา โดยเฉพาะหนูเวลาตัวเล็ก ที่เดินสำรวจไปทั่วๆ จนกระทั่งเจอรูปลั๊กไฟ

คราวนี้ไวเกินกว่าที่เราจะเอาที่ปิดรูปลั๊กมาอุดรูได้ทัน เสี้ยววินาทีถัดมา เวลาก็เดินเอานิ้วชี้พุ่งเข้าไปหารูอย่างรวดเร็ว / ไวเท่าความคิด อีพ่อที่นั่งอยู่ห่างๆ เห็นภาพนั้นพร้อมกับที่แหกปากและเอี้ยวตัวพุ่งไปคว้าเด็กน้อยไว้ทันก่อนนิ้วจะถึงรูนั้นไม่เกิน 2 เซนติเมตร

เด็กเซฟ แต่พ่อไม่เซฟ

รู้เลยว่าปวดบั้นเอวอย่างรุนแรง แรงกว่าที่เคยก้มลงแบกลังจากท้ายรถอย่างผิดท่าเมื่อปีก่อน ที่คราวนั้นปวดจนขยับตัวลำบากไปเป็นปี แต่คราวนี้รู้เลยว่าหนักกว่าเดิม

อาการเริ่มแรกคือปวดหลังส่วนล่างแบบสะกดเป็นตัวอักษรได้ ถัดมาคือตึงหลัง (อาการปวดไม่ลดลงตั้งแต่ตอนนั้น แต่มันจะพอมีท่าที่ไม่ปวด) แต่ก็ยังใช้ชีวิต ทำธุระจนผ่านพ้นวันได้อย่างสโลว์ไลฟ์ คือขยับตัวช้า เดินช้า หายใจช้า และอย่าใช้ตูหยิบอะไรที่ตกพื้นเด็ดขาด 囧

กินข้าวเย็นเสร็จ แม่ยายยื่นยาสักอย่างมาให้กิน ด้วยความไม่ไว้ใจเลยกูเกิลดู ก็พอได้ เลยกิน กะว่าเดี๋ยวกลับกรุงเทพฯ จะไปหาหมอให้ได้ เสร็จแล้วก็อาบน้ำแปรงฟันจะล้มตัวลงนอน

แล้วก็พบว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการล้มตัว ยากจริงๆ พยายามอยู่นานมาก ปวดมาก เหมือนเอวผมหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นจุดหมุนของร่างกาย เราไม่สามารถงอตัวได้อีกเลย เลยหาวิธีก้ม ก้มได้แต่ก้มต่ำไม่ได้ เอนไม่ได้ เอียงไม่ได้ ภาระใดๆ ที่ส่งให้กับบั้นเอวนั้นทำไม่ได้ทั้งหมด ทุกอย่างเจ็บปวดครวญคราง

แล้วก็กลั้นใจทิ้งตัวลงบนที่นอน โอเคนอนได้ แต่พลิกตัวไม่ได้ ห่ามาก

และแล้วก็ถึงวันที่สอง… อ่านข้างบนนู่นละกัน

ตอนนี้ขับรถ (เมื่อวานขับไม่ปวด วันนี้มีปวดบ้างละ อาการคงเริ่มจริงจังวันนี้) มาทำธุระที่สถานที่ราชการ สิ่งที่ไม่เคยสังเกตก็คือที่นั่งคนพิการ, รถเข็นบริการฟรีอะไรแบบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเลย แต่คราวนี้พบว่ามันถูกจัดวางไว้เด่นมาก

เดี๋ยวจะคิดว่าบล็อกตอนนี้ผมเขียนด้วยความทรมาน จริงๆ แล้วอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่ผมสนุกกับการสังเกตนะครับ รู้สึกเลยว่านี่คือการซ้อมรับมือกับความชรา และความไม่เที่ยงของสังขารที่เรามีแววมากๆ ที่จะเป็นอาการนี้อย่างถาวรเข้าสักวัน แต่ตรงนี้ขอทดลองเป็นดูก่อน ทุกครั้งที่ร่างกายเคลื่อนไหวเราจะได้สังเกต สังเกตกระทั่งทุกการหายใจ

สนุกดี แต่อย่านานเหอะ

Pebble Time : มันคือนาฬิกาก๊องแก๊งที่โอเค

Pebble Time

หลายวันก่อนไปบ้านคุณมะเดี่ยว (ใครเหรอ? – เอ๊า คุณมะเดี่ยวไง) คุณมะเดี่ยวหันไปหยิบนาฬิกาเรือนนึงที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเอาคินเดิลมาสวมข้อมือชัดๆ เท่านั้นยังไม่พอ มันบิ๊วว่า พี่แอน ซื้อเลย โคตรเหมาะกับพี่เลย

“ยังไงวะ?”

นั่นเป็นคำถามที่… ถ้านี่เป็นการขายตรง การถามชงแบบนี้คือเหยื่องับเบ็ด 100% ครับ

ย้อนไปสมัยตอนอยู่ ม.ต้น ผมเคยใส่นาฬิกาข้อมือเพราะแม่ได้มาฟรีจากบริษัทขายตรง (อ้าว ขายตรงอีกแล้ว) แต่ใส่ได้ไม่นานก็พังไง ตั้งแต่นั้นมาผมก็กลายเป็นมนุษย์ที่ไม่คิดจะใส่อะไรให้หนักร่างกายอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นสร้อยแหวนเงินทอง (เพราะเกะกะ? – เปล่า กูไม่มีตังค์ซื้อ) หลังๆ เป็นหนักขนาดที่เวลาออกนอกบ้านก็ไม่ค่อยใส่กางเกงใน นี่เพิ่งมาเลิกในระยะหลังๆ ที่ลูกสาวชอบวิ่งมาเกาะขาแล้วดึงกางเกงโดยไม่ได้ตั้งใจ…

กลับมาๆ

ถึงจะบอกว่าไม่ชอบเกะกะ แต่เอาเข้าจริง เวลาออกจากบ้านทีไรก็ต้องหยิบภาระติดมือไปด้วยเสมอ ได้แก่ พวงกุญแจ, แว่นตา, โทรศัพท์มือถือ, กระเป๋าตังค์ นั่นจึงทำให้พูดได้ไม่เต็มปากแล้วแหละว่าเป็นคนไม่เยอะ

และความที่เป็นพวกชอบเสพข่าวเทคโนโลยี และตามข่าวพวกของเล่นไฟฟ้าที่ออกมาใหม่ๆ ไม่เว้นวัน (นี่อย่างวันที่เขียนก็มีงานเปิดตัวสินค้าไฮเทคโฉ่งฉ่างที่สเปน รูดไทม์ไลน์ก็เจอแต่นั่นนี่มากมาย กรี๊ดๆๆ) เลยกะว่ายังไงเดี๋ยววันหนึ่งคงได้กลับมาซื้อนาฬิกาใส่สนองกิเลสกับเขาอีกครั้งแน่ๆ คือรู้ตัวเองดีพอๆ กับที่ปิดไว้ไม่ยอมบอกเมียนั่นแล

ด้วยความที่เป็นติ่งกูเกิล ตอนนั้นเลยเล็งพวก Android Wear สักเจ้า คือเกือบมาลงที่ Moto 360 แล้วครับ เพราะดูอะไรๆ มันลงตัวเกือบทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่อีแถบดำปื้ดๆ ด้านล่างสุดของมัน ในสายตาของคนชอบงานออกแบบแล้วรับไม่ได้จริงๆ แม่งทำมาแบบปล่อยปัญหาไว้ต่อหน้าต่อตา เกลียด เหมือนจอเสียอะ เสียใจ

แล้วที่รับไม่ได้จริงๆ ของนาฬิกาไฮเทคยุคนี้ (ที่น่าจะเป็นยุคแรกๆ ของอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตแบบสวมใส่ ที่ต่อไปมันจะกระโดดไปได้ไกลกว่านี้มากๆ) นั่นคือแบตเตอรี่ การที่ต้องใส่ๆ ถอดๆ ชาร์จๆ แม่งทุกวันนี่ถือว่าอุบาทว์มากอะ โลกเราพัฒนาอะไรๆ ไปได้ไกลมากแล้ว แต่เรื่องการกักเก็บพลังงานนี่ยังแบเบาะจริงๆ สมมติสามสิบปีผ่านไป มีลูกหลานผ่านมาอ่านบล็อกนี้ก็ช่วยเห็นใจคนรุ่นปู่ด้วยนะ

ทั้งหมดที่ว่ามา ก็เลยไม่ได้ปักใจฟันธงไปซื้อนาฬิกาฉลาดของเจ้าไหนสักที

นี่เราไม่พูดถึงนาฬิกาแอปเปิลที่เขาว่าเดิมพันกันสุดขั้วจะให้เป็นอนาคตของบริษัทนั่นนั่นละกันนะ ไม่มีความเจ๋งเลยสักนิดอะ ถึงขนาดได้มาฟรีก็เอา (เอามาขายต่อ ได้ตังค์ เย้)

อ้อ อันที่ไม่ใช่ Android Wear แต่พอเข้าเค้าก็คือ Samsung Gear Fit ชอบที่มันราคาไม่แพงและเล็กดี แถมเรายังใช้มือถือยี่ห้อนี้ด้วย มันน่าจะทำอะไรๆ ร่วมกันได้พอสมควร แต่ก็ไม่เห็นคนรอบกายใช้ เลยไม่กล้าแทงข้างนี้

กลับมาที่คุณมะเดี่ยว

อีเดี่ยวใช้ Pebble รุ่นคลาสสิกเลยมั้ง ผมสนใจตั้งแต่สมัยเขาเปิดระดมทุนแล้ว เลยถามเรื่องสรรพคุณดู ก็ได้คำตอบเรื่องสเป็กนั่นนี่อย่างที่เคยอ่านมาตามเว็บข่าว-รีวิวสินค้าไอทีนั่นแหละ แต่เคยเห็นของจริงแค่ผ่านๆ ไม่ได้ลองจับลองกดบี้ขยี้ขยำเหมือนอันนี้ ซึ่ง เฮ้ย ของจริงมันดูโอเคกว่าที่อ่านๆ มาแฮะ

เอาเป็นฟีเจอร์คร่าวๆ ละกันนะครับ ใครที่ทนอ่านมาถึงตรงนี้ก็น่าจะไปหาอ่านสรรพคุณที่อื่นที่เขาตั้งใจเขียนดีๆ ได้เนอะ

  • บอกเวลาได้ (…)
  • ทำงานร่วมกับแอปในมือถือได้ ตั้งค่า และซิงก์นั่นนี่ข้ามกัน
  • ลงแอปได้ เป็นแอปสำหรับ Pebble โดยเฉพาะ ไม่ค่อยเยอะแต่ก็สนองเจตนารมณ์พื้นฐานได้ คือไม่ได้พยายามจะเป็นมือถือในรูปของนาฬิกา แต่มันคือนาฬิกาสำหรับคนมีมือถืออยู่แล้วไง ดังนั้นอยากเวอร์ไปเวอร์ในมือถือนู่น อันนี้ลงมากเดี๋ยวแบตหมดไว
  • เปลี่ยนดีไซน์หน้าปัดได้ มีแบบเยอะแยะให้เลือกโหลด หรือถ้าพลังเยอะก็ออกแบบเองได้
  • เออ ตัวหน้าปัดนี่ไม่ได้อะไรมากหรอก ก็เป็นจุดๆ ขาวดำ รุ่นใหม่ขึ้นมานิดนึงก็มีสีด้วย แต่เป็นจอแบบ E-ink ซึ่งแสดงหน้าปัดค้างไว้ได้ตลอดโดยไม่ได้ใช้ไฟฟ้า จะใช้ก็แค่ตอนเปลี่ยนจอหรือขยับดุ๊กดิ๊ก ให้ความรู้สึกเหมือนพก Kindle ไว้บนข้อมือ
  • หน้าจอมันเห็นชัดแม้ไม่มีแสงไฟ แต่ถ้าอยากเห็นชัดกว่านั้นก็สะบัดข้อมือ แสงจะแวบออกมา (ค่าดีฟอลต์คือ 3 วินาที แล้วจะดับไปเองเพื่อเซฟแบต) อันนี้ยิ่งเห็นชัด ชัดขนาดเป็นไฟฉายตอนอุ้มลูกไปฉี่กลางดึกได้เลย
  • กันน้ำ แต่เวลาอาบน้ำผมก็ถอดอยู่ดี ไม่ชอบเวลามันเปียกเหนอะหนะง่ะ
  • มีฟีเจอร์นับก้าวได้ ตั้งใจไว้แม่นมั่นว่าถ้าได้ใส่แล้วจะเดินให้ไดวันละหมื่นก้าว แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ถึง เป็นกรรมของคนทำงานเลี้ยงลูกเล็กอยู่บ้าน #ข้ออ้าง
  • ทดลองมาหลายวันพบว่าแบตมันอึดใช้ได้ นี่ใช้มาจะครึ่งเดือนแล้วมั้ง ชาร์จไป 2 ครั้ง (รวมครั้งแรกที่ลองชาร์จเล่นๆ)

คุณมะเดี่ยวบอกว่าข้อดีที่สุดของมันคือการสั่นปลุก ถึงจะฟังดูธรรมดา แต่เฮ้ย มันโอเคว่ะ คือเราตั้งค่าให้มันทำงานร่วมกับแอป Sleep as Android ให้มันปลุกตอนเราใกล้ตื่น อยู่ในระยะหลับตื้น ก็ตื่นมาสดใสปิ๊งปั๊ง อันนี้ลองแล้วบุ๋มว่าดีค่ะ

นอกนั้นก็คือการสั่นเตือนธรรมดาอย่างที่นาฬิกาไฮเทคทั่วไปพึงมี เช่นมีคนโทรเข้ามา แสดงบนหน้าจอว่าใครโทรมา จะกดตัดสายเลยก็เชิญ หรือกดปุ่มลัดให้มันส่งข้อความกลับไปว่างั้นงี้ได้ (โปรมือถือที่ใช้ดัน SMS ไม่ฟรี เลยไม่ใช้อันนี้)

แล้วก็ อะไรอีกวะ อ้อ มันแสดงโนติจากแอปต่างๆ เวลามือถือเด้งแอปไหนมันก็จะสั่นหงึกๆ เรียกให้ไปมองจอ เหมาะกับคนติดโซเชียล แต่ไม่เหมาะกับเรา เลยปิดให้หมด (เลือกปิดได้)

ทั้งนี้ ผมซื้อรุ่น Pebble Time สีดำธรรมดาๆ มาตอนมันจัดโปรลดราคา ส่งเข้าไทยแบบลงทะเบียนธณรมดา กะว่าเดี๋ยวศุลกากรคงเรียกภาษีเพิ่ม (เห็นใครไม่รู้บอกว่า 9 ใน 10 คนจะโดน ก็โอเคตามกติกานี้) ปรากฏว่าไม่โดนเพิ่มแฮะ เลยสรุปได้มาในราคาสุทธิประมาณ 5,000 บาทหน่อยๆ

ก็บอกเมียไปว่าจะเริ่มออกกำลังกายง่ายๆ แล้วนะ (เอาเรื่องนี้บังหน้าก่อนพูดเรื่องนาฬิกา) เมียเลยบอกว่าโอเค เดี๋ยวเมียจะซื้อกระเป๋ากับ SK-II (อะไรสักอย่างนี่แหละ) บ้างเพื่อความสมดุล

อั้ก