#กรุ๊ปไลน์ครอบครัว

เมื่อเช้าทวีตไปว่างี้ครับ

คือพ่อผมชอบส่งอะไรแบบนี้มา แต่ละวันจะมีคำทักทายพร้อมแนบภพในสไตล์ที่ทำให้สงสัยอยู่เสมอว่าเฮ้ย ทำไมชีวิตเราถึงไม่เคยผ่านสังคมที่มีภาพพวกนี้เลยวะ แต่พ่อกลับเป็นคนที่ส่งอะไรแบบนี้มาได้ทั้งวัน ในแวดวงไลน์ของพ่อจะต้องมีอะไรแบบนี้เป็นทรัพยากรอยู่อีกเยอะแหงๆ เลย

แล้วก็มีชาวทวิตภพทยอยแบ่งปันภาพจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเพื่อช่วยย้ำให้มั่นใจว่า #กรุ๊ปไลน์ครอบครัว นั้น ช่างคัลต์อย่างน่ามหัศจรรย์ Continue reading #กรุ๊ปไลน์ครอบครัว

ไอเดียแก้ปัญหาการทำผิดกฎจราจรและการทุจริตของเจ้าหน้าที่

death-app

วันนี้คิดเรื่องนี้ไว้ แล้วมันวนเวียนในหัวรุนแรงมากขึ้นทุกที รู้สึกเลยว่าถ้าไม่ระบายออกมาในบล็อกคงอกแตกตาย พอกลับมาถึงบ้านเลยเปิดคอมเขียนเลย ไม่สนใจลูกเต้าที่กำลังแหกปากร้องละครับ

คือผมเพิ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “พลังกลุ่มไร้สังกัด” (แปลจาก Here Comes Everybody) ฝีมือแปลและเสริมวงเล็บของพี่ยุ้ย @Fringer ที่เคารพ ถึงมันจะเป็นหนังสือที่ขายมาสองปีแล้ว แต่เนื้อหาข้างในที่พูดเรื่องระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์โดยการมาถึงของเครือข่ายสังคม และพฤติกรรมการรวมกลุ่มทำอะไรสักอย่างของคน โดยไม่ต้องไปเจอระบบระเบียบความยุ่งเหยิงขององค์กร แต่กลับง่ายแบบที่คนที่เกิดไม่ทันยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่มีทางเก็ต อย่างเช่น

  • การที่อยู่ดีๆ ก็มีคนไปสร้างอีเวนต์อะไรในเฟซบุ๊ก แป๊บเดียวก็รวมตัวกันได้มหาศาลแล้วโดยไม่ต้องพึ่งบริษัทออแกไนเซอร์เลย แค่คอมหรือมือถือต่อเน็ตได้ก็จบแล้ว
  • การประกาศล่าตัวคนร้าย ที่หนังสือเล่มดังกล่าวหยิบยกกรณีศึกษาของฝรั่งในปี 2006 ขึ้นมา ดังนี้: เจ๊คนนึงมือถือหาย / ซื้อเครื่องใหม่มาล็อกอิน ก็เจอในระบบ ว่านางโจรกำลังเล่นมือถือตัวเอง / แต่ติดต่อโจรไปทางอีเมลแล้วแม่งไม่คืน แถมท้าทายด้วย / โมโห เลยทำเว็บประกาศหา / แชร์ต่อเพื่อนๆ / แชร์ต่อกันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีคนเป็นล้านๆ ติดตามจนเป็นปรากฏการณ์ / มีออกสื่อสารพัด ใครถนัดด้านไหนก็ช่วยกัน ทนายมาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นักสืบไล่ตามหาบ้านให้ มีคนไปขุด MySpace ของอีนังนั่นจนเจอแล้วเอามาแชร์ ฯลฯ / ถ้าเป็นแบบไทยๆ ก็อาจจะเรียกว่าล่าแม่มดก็ว่าได้ / ตำรวจเลยต้องลงมาเล่นคดีนี้ / จับได้ ประจานแม่มดกันสมใจ / ปิดคดี
  • รวมถึงเรื่องราวอื่นๆ ในหนังสือ ทั้งแบบเล่นๆ ง่ายๆ เช่นการแท็กภาพใน FLickr (แต่เบื้องหลังของมันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ) ที่ทำให้ยุคนี้การหาภาพจากงานอะไรสักอย่างแม่งโคตรง่ายเลย เช่นโอลิมปิกก็ได้เอ้า มีตากล้องทั้งมือสมัครเล่นยันมืออาชีพไม่รู้เท่าไหร่ที่แชร์มาให้ดูโดยที่เมื่อก่อนกว่าจะได้ภาพเจ๋งๆ มาสักทีนี่หากันแทบตาย
  • หรือจริงจังอย่างที่พวกนักบริหารสนใจ เช่นกล่าวถึงปัญหาของระบบที่เกิดจากการบริหารองค์กรหรือโปรเจกต์ใดๆ “จากบนลงล่าง” นั้น ดันแก้ปัญหาหลายๆ อย่างไม่ได้ (เป็นปัญหาอมตะในรอบร้อยปีที่ผ่านมา) สำเร็จลุล่วงด้วยพลังมวลชน และเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกต่อมวลชนนั้น โดยที่ค้าใช้จ่ายลดลงอย่างน่าตกใจ จนแทบจะเรียกว่าฟรี!

จนพอขี่แว้นกลับบ้าน ก็เลยนึกว่าเออ ถ้าจะเอาไอ้พวกนี้มาประยุกต์ใช้กับการจราจรบ้านเราได้ก็คงดี..

อ้อ ออกตัวไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวคนต่างจังหวัดจะน้อยใจเอา ว่าผมขอจำกัดคำว่า “บ้านเรา” ลงไปแคบๆ เหลือแค่พื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนนะครับ เพราะชั่วแวบนี้มันคิดได้เท่านี้ ต่อไปมันอาจจะงอกเงยเป็นอย่างอื่นก็ได้

ปัญหา

  • มี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือเรื่อง “การกระทำผิด” และ “การทุจริต”
  • ประสบด้วยตัวเองหลายครั้งจนมั่นใจที่จะปรักปรำได้ว่า “ด่านตำรวจในกรุงเทพฯ นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถติด” คือเจอหลายครั้งเลย รถติดไม่รู้สาเหตุ พอกระดึ๊บๆ ไปปั๊บก็เจอ อ้าว ด่านสิ้นเดือนนี่เอง ..พอพ้นด่านไปปั๊บแม่งโล่ง (เห็นตอนนี้มีข่าวว่าเขาสั่งยกเลิกด่านในกรุงเทพฯ แล้ว ดีใจ)
  • หลายครั้งพบว่าผู้รักษากฎหมายนั้นลงโทษคนทำ “พลาด” ไม่ใช่คนทำ “ผิด” ดังจะเห็นได้จากหลายๆ กรณี
  • เช่นเด็กแว้น พวกขับเหี้ย พวกฝ่าไฟแดง พวกแต่งรถไฟแยงตา แม่งไม่ผิด แต่ขาจรเลี้ยวผิดเลนเพราะไม่รู้อะไรแบบนี้ล่ะ หวานจ่าเลย
  • นิสัยมักง่ายแบบ “ไทยๆ” เช่น นึกจะจอดก็จอดข้างทาง (เย็นนี้เพิ่งเห็นอีกคัน รถแม่งติดยาวทั้งลาดปลาเค้าเลย พี่แกจอดกระพริบไฟซื้อก๋วยเตี๋ยว) หรือพฤติกรรมอื่นๆ ที่เกิดจากความมักง่ายนั้น
  • จากกรณีข้างบนทำให้มีความมักง่ายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นจอดกินก๋วยเตี๋ยวริมเกษตรนวมินทร์เนี่ย เลนหายไปเลนนึงเลย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเพราะมันเยอะเกินรึเปล่า? แล้วกรณีใกล้เคียงแบบนี้ก็อีกเพียบ
  • ในแง่การทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ: ตำรวจจราจรเลวๆ บางนาย รู้สูตรการตั้งด่านที่จะไถเงิน แบบ รอตรงนี้ แยกนี้ยาก เลี้ยวผิดกันบ่อย เดี๋ยวเหยื่อมาแน่ อะไรแบบนี้
  • ผู้ขับขี่ที่มักง่าย ก็ยัดเงินตำรวจซะเลย วินวินกันทั้งคู่
  • การไปจ่ายค่าปรับที่โรงพักแม่งยุ่งยากมาก เลยส่งเสริมให้ระบบนี้มันอยู่ยงคงกระพันเข้าไปอีก
  • การใช้จ่าเฉย มันพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล หรือการใช้ระบบกล้องจับภาพรถฝ่าไฟแดง ก็อาจจะได้ผล นะ ตำรวจสบายขึ้น แต่ก็ลงทุนค่าเทคโนโลยีไปไม่น้อย
  • ฯลฯ (ตอนนี้นึกออกเท่านี้)

ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาที่ว่ามาด้านบนเนี่ยแม่งยืดเยื้อรุนแรงและไม่รู้จะแก้ยังไง ประเด็นหนึ่งก็คือการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งมีไม่เยอะ แถมที่มีก็มีทั้งดีและเลว ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าเลวก็เข้าใจว่าระบบเศรษฐศาสตร์มันเอื้อต่อพฤติกรรมทุจริต วิธีแก้ไขคือต้องหาวิธีลดเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกระทำผิด หรือทุจริตนั้น (ไอ้การทุ่มงบเพื่อรณรงค์ต่างๆ หรือขอความร่วมมือที่ทำกันมาตลอดหลายสิบปี มันก็เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ในเมื่อวินัยจราจรของพวกเรามันเฮงซวยขนาดนี้) ซึ่งพอเห็นการกระทำผิดทีนึง อีคนอยากด่าก็มีไม่น้อย แต่ด่าแล้วไม่รู้จะทำไงต่อดี… Continue reading ไอเดียแก้ปัญหาการทำผิดกฎจราจรและการทุจริตของเจ้าหน้าที่

วิถีข่าวสั้น

สัญญาว่าจะเขียนบล็อกสั้นๆ .. ออกจะน่าอายด้วยที่ไปเอาไมโครบล็อกที่มันสั้นอยู่แล้วมาขยายตีกินแบบนี้

news-on-twitter

วันก่อนทวีตไว้แบบข้างบน แล้วรู้สึกว่าเออ มันอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ได้อยู่นะ

คือตั้งแต่ข่าวทวิตเตอร์ของนายกโดนแฮ็ก ไม่สิ คนอื่นปลอมเข้าไปเกรียนจนเป็นข่าวเอิกเกริกละ
พอดีตอนนั้นผมอยู่ด้วยและเห็นข้อความตั้งแต่ทวีตแรก ยังทักอยู่เลยว่าเฮ้ย ทีมงานแกจะหักมุมอะไรไหม
ที่ไหนได้ ก็เป็นข่าวแบบที่เราทุกคนคงรู้กันหมดแล้วนี่แหละครับ
ทีนี้ไอ้เฮ้ยแรกนั่นน่ะคือระยะที่ 1: ตกกะใจกับข่าวครับ ไทม์ไลน์ช่วงนี้จะไหลบ่ามาก ด้วยเรื่องเดียวกันทั้งนั้น
หลังจากนั้นแค่ไม่นาน ก็เริ่มมีนักวิเคราะห์วิจารณ์ฟันธง ดาหน้ากันออกมาชม-เชียร์กันไปต่างๆ นานา
สำหรับเหตุการณ์นี้ก็น่าสนใจตรงที่คนที่ชังหรือเชียร์นายก ไม่จำเป็นต้องรุมด่าหรือชมแฮ็กเกอร์เหมือนกันหมดนิ
ซึ่งอันนี้คือระยะที่ 2: วิเคราะห์ครับ (บางคนเพิ่งรู้ข่าว ก็ยังมีโผล่มาตกกะใจอยู่บ้าง เจ๋งดี)
แล้วไม่นานหลังจากนั้น ..ไม่นานเลยนะ ข่าวทวิตเตอร์นายกโดนแฮ็กก็เข้าสู่ระยะที่ 3: ระยะตลก อย่างรวดเร็ว
ทีนี้ล่ะมึงเอ๊ย สารพัดมุกที่ไม่รู้จะแข่งกันฮาไปไหนก็ทยอยหลั่งไหลเข้ามาอย่างฟ้าฝนกระหน่ำ
มีตั้งแต่ปล่อยมุกเปิด มุกชง มุกแก้ มุกตัด มุกคำผวน ยันมุกขยี้ (ขออภัยที่ทำลิงก์วนไปวนมาแค่นี้ จริงๆ มีอีกเยอะมาก)

ไหนจะข่าวเปิดตัวไอโฟนโฟร์เอสสร้างสรรค์อีกละ.. ไม่พูดไม่ได้ เอาสั้นๆ นะ
พอดีคืนนั้นผมขี้เกียจรอฟังเขาเปิดตัว เลยเข้านอนก่อนแล้วค่อยตื่นมาอ่านตอนเช้า
ซึ่งคนที่ฟังทั้งสาวก แอนตี้สาวก และแอนตี้แอนตี้สาวก ก็ได้ชมและด่ากันไปเรียบร้อยตั้งแต่กลางดึกคืนนั้นกันหมดแล้ว
แต่ผมเพิ่งตื่นมาอ่านไง สาบานได้ว่าสนใจข่าวน้ำท่วมมากกว่า (ไม่ได้ซึนหรือกระแดะ แต่เพราะมันใกล้ตัวครอบครัวผม)
พอเปิดทวิตเตอร์ดูปั๊บก็เพิ่งเข้าสู่ระยะเฮ้ย ว่าอ้าว ตกลงปากกาเซียนนักเดาแม่งหักหมดโลกเลยเรอะ
พออ่านไอ้ที่วิเคราะห์หรือดราม่ากันจบปั๊บ ก็เริ่มเล่นมุกเลย ..ก็ตามสูตรเลยครับ เรามาระยะนี้ช้าไป แม่งจะไม่ซ้ำได้ยังไงวะ

โฟร์เอสสร้างสรรค์
ภาพนี้ก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานไปละ เพราะมันถูกส่งต่อมหาศาลกว่าความพยายามของนักการตลาดใดๆ ซะอีก
(ใครเป็นต้นตอของภาพนี้ทราบไหมครับ เขาเจ๋งมากเลยนะที่คิดแล้วทำทันทีได้เนี่ย อยากสืบให้เจอและให้เครดิตครับ)
// 16:05 น. แก้ไขเพิ่ม เจอเจ้าของภาพตัวจริงแล้วครับ ฝีมือคุณ Kenshin BHX จ้ะ (เจ้าตัวมาบอกเอง)

ฉะนั้นบทเรียนที่ได้มาจากการวิจัยครั้งนี้คือ จะเล่นมุกก็หัดดูตาม้าตาเรือหน่อย หรือไม่ก็ต้องเร็วส์หน่อย
..เว้นแต่อีพวกที่ลอกมุกขี้ปากชาวบ้านมาทวีตเป็นของตัวเองแล้วไม่ให้เครดิตต้นตอนี่ก็ขอยกเว้นในกรณีนี้
(ในบอร์ดฟอนต์จะมีศัพท์สแลงคำนึงคือ “ละโว้” ที่แปลว่า เฮ้ย เขาเล่นหรือเขาเจอไอ้นี่กันตั้งนานแล้ว เพิ่งเห็นเรอะ)

และล่าสุด ..ข่าวเช้านี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่จริงๆ คือการจากไปของศาสดาจ็อบส์ แห่งอาณาจักรผลไม้ศักดิ์สิทธิ์
อันนี้มีการตายของบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกเกิดขึ้น ไม่ใช่ข่าวการเมือง ไม่ใช่ข่าวขายของ (ที่แม่งกาก)
ดังนั้นเราจึงเห็นระยะแรกและสองนานหน่อย นานจนสามารถแยกได้ว่านี่ไม่ใช่ “แค่” ปรากฏการณ์ของโลกออนไลน์
แต่มันคือข่าวระดับโลก (ก็แหงสิครับ) ถ้าให้เปรียบเทียบระดับความใหญ่ก็คงพอๆ กะไมเคิลแจ็กสันได้ไหมอ้ะ?

แต่ก็นะ พอมีระยะแรกกันท่วมไทม์ไลน์ปั๊บ เราก็ได้เห็นดราม่าตามมาในเวลาไม่นาน
ตั้งแต่มีคนเอาเรื่องน้ำท่วมและเหตุการณ์ 6 ตุลาที่เราควรเศร้ามากกว่าฝรั่งตายเหรอ? มาเปรียบเทียบ
ยันคน ที่ไปด่าคนกลุ่มแรกอีกที แล้วก็คนกลุ่มแรกบวกด้วยกลุ่มใหม่ ที่ไปด่ากลุ่มที่สองอีกที เอ้า ดราม่ากันให้เพลิน
อ้อ ข่าวนี้ยังไม่ค่อยเห็นใครตลกนะครับ คนที่จะตลกกับข่าวคนตายได้นี่.. มึงต้องล้ำและหากาลเทศะจริงๆ

ฉิบหายละ เขียนยาวอีกจนได้.. งั้นตัดสรุปจบเลยนะ

news-life

คือผมสนใจปรากฏการณ์ออนไลน์ที่เรียกกันว่า “meme” คืออะไรก็ได้ที่ดังเปรี้ยงขึ้นมาในเน็ตซะเฉยๆ น่ะครับ
เพราะมันมีอิทธิพลต่อโลกที่ผมอยู่* แถมยังให้สาระต่อสังคมมากบ้างน้อยบ้าง หรือไม่ให้เลย (ก็แล้วไง?)
ยิ่งเดี๋ยวนี้เส้นแบ่งคำว่า “โลกออนไลน์”  กับ “โลกจริง” มันบางลงทุกวัน คนที่พูดแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันก็เริ่มเชยละ
(แหงสิ โลกออนไลน์มันไม่จริงตรงไหนวะ เหมือนกะที่มึงดูทีวี คุยมือถือ ฟังวิทยุนั่นแหละ มันก็เป็นสื่อเหมือนกันนะ)
เราจึงเริ่มเห็นว่าข่าวในทีวีบ้านเราหลังๆ นี้ เริ่มพูดเรื่องเดียวกันกับที่เราคุยกันใน “โลกออนไลน์” บ่อยขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะพาดหัว Breaking News ช้ากว่าระยะตลกของอีพวกในเน็ตก็ยังดีวะ..

.

ป.ล. (ขยายดอกจัน*ข้างบน)
คุยกะพี่เม่นวันก่อน วันเดียวกะที่นายกโดนแฮ็กนั่นแหละ ได้ย้ำแนวคิดเรื่องโลกออนไลน์อีกครั้ง
ว่ามันเป็นสังคมแบบใหม่ที่เลือกมาให้แล้วว่าเราจะมีโลกแบบไหน จะปัจเจกแค่ไหนก็เชิญเลยครับ เป็น “ชีวิตในแบบคุณ”
ใครสนใจแค่เรื่องอะไร แม่งก็จะกรองมาให้เราเห็นแค่นั้น โดยปัดเรื่องที่มันควรจะต้องมีสักหน่อยเพื่อการถ่วงดุลออกไปฉิบ
(เช่นผมก็จะชอบแต่อีพวกตลกๆ ทวิตเตอร์ก็ตามแค่พวกตลกปัญญาอ่อนทั้งนั้น ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ)
ไอ้สิ่งแสนสะดวกนี่แหละ ที่ต้องคอยเฝ้าจับตาดูดีๆ นะครับ ว่ามันจะพาต่อมความคิดของมนุษยชาติไปทางไหน
เอาแค่ปรากฏการณ์ที่เห็นในระยะสองสามปีให้หลังมานี้ เราได้เห็นว่าต่อมดราม่าของพวกเราตื้นลงเรื่อยๆ
อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ที่คิดๆ กันไว้มันจะจริงไหม

ขอกล่าวสดุดี Facebook Timeline

หลายปีที่ผ่านมาผมด่าเฟซบุ๊กมาโดยตลอด
คือมันดันเป็น Hi5 ที่ใช้โคตรยากและไม่สนุก ทุกคนต้องทำตามกติกาที่มันกำหนดไว้
จะดิ้นไม่ได้ สร้างสรรค์อะไรสนุกๆ ไม่ได้ ติดกรอบแม่งตลอด และเป็นแบบนั้นเสมอมา
เรื่องน่าปวดกบาลก็คือมันดันเป็นเว็บที่คนติดกันมากๆ .. มากที่สุดในโลก
แต่ระหว่างนั้นก็ต่อเติมอะไรไม่รู้เข้ามายังกะตึกนิวเวิลด์ที่บางลำภู จะถล่มแหล่มิถล่มแหล่
จนกระทั่งพักหลังๆ ที่มี Google+ มาแข่งด้วยเนี่ย ยิ่งลอกกันเละเทะรายวัน

ไม่รู้มีใครรู้สึกเหมือนกันไหมว่า ที่ผ่านมาการอวยพรวันเกิดเนี่ยแม่งหมดขลังสิ้นดีเพราะอีซักกะเบิกแท้ๆ
หรือการบันทึกความประทับใจอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น แล้ววันเวลาก็จะพาให้มันพร่าเลือนไปเนี่ย
มันเป็นสุดยอดเสน่ห์ของโลกอะนาล็อก ที่คนยุคก่อน MP3 ไม่มีทางเข้าใจเลยนะ

แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องคนแก่เอาไว้คุยกัน วันนี้เด็กๆ ยังไม่เข้าใจหรอกว่าเราจะมารำลึกอดีตกันทำไม
เพราะข้อความที่ทวีตออกไป หรือโพสต์อะไรออกไป มันคือ “ปัจจุบัน” เท่านั้น
ทุกคนทุกค่ายแย่งกันเป็นปัจจุบัน ไม่มีใครชอบบ้าสะสมเหมือนคนยุคซื้อเทปสะสมซีดีกันอีกแล้ว

สำหรับโลกออนไลน์ ผมใช้ทวิตเตอร์เป็นหลัก กูเกิลพลัสเป็นรอง ในการแบ่งหรือบ่นในชีวิตประจำวัน
แต่ก็ได้ประกาศอยู่บ่อยๆ ว่าอยากติดเฟซบุ๊กบ้าง แต่ทำยังไงก็ไม่ติดซะที แม่งไม่ใช่ทางของเราเลยอะ
จนหลังๆ ต้องตั้งเป็นหน้า Home จะได้ติดกะเขาบ้าง (อาจดูกระแดะ แต่สาบานได้ว่าพยายามจริงๆ)
ทีนี้ทุกเครือข่ายมันมีปัญหาคือเราดันไม่มีที่ไว้ “เก็บอดีต” เลยว่ะ อดีตมันจมหายไปหมดเลย

และแล้ว การเปลี่ยนแปลงล่าสุดเมื่อคืน เฟซบุ๊กก็ทำได้ และชนะแบบที่คิดว่ามึงเอาโลกไปเลย
นั่นเพราะพี่แกเปิดตัวหน้า Profile แบบใหม่ที่ชื่อ Timeline (อ่านเอาจาก faceblog นะ)
นั่นทำให้เราสามารถคลิกลากไถดูประวัติของตัวเอง หรือของเพื่อนได้ จะย้อนไปศักราชไหนก็ได้
จะสำคัญหรือไม่สำคัญก็เอาเหอะ คนออกแบบเขาทำให้เราไถย้อนกันไปได้อย่างเร็ว
เร็วจนไปขุดเอาเรื่องที่เคยหัวเราะร้องไห้กันมาตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ขึ้นมาให้เป็นบทสนทนากันอีกครั้ง

เฮ้ย สำหรับมนุษย์วัยนี้ ที่คาบเกี่ยวระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์นี่มันสุดยอดเลยนะ!

ความซวยไปตกอยู่ที่ทวิตเตอร์ ที่ดันจำกัดการย้อนดูไว้แค่ 3200 ทวีตล่าสุด
ที่ผ่านมาผมหาที่เอาไว้เก็บทวีตเก่าๆ แต่มีคุณค่าอยู่พักนึง แต่ก็ไม่ได้อันที่ถูกใจ (และฟรี) สักที
ที่ผ่านมาผมเลยสั่งให้ทวิตเตอร์มันโยนทุกข้อความที่เราทวีต ไปโผล่กองๆ เกะกะในเฟซบุ๊กไว้ซะ
ไม่คิดว่าวันนึงอยู่ดีๆ อีไทม์ไลน์แบบนี้จะโผล่มาเป็นเครื่องมือที่อยากได้เลยครับ (วิธีเปิดใช้งาน)
คือมึงตอบโจทย์กูทุกอย่างเลย ก็เล่นเก็บข้อความย้อนหลังได้ตั้งแต่ปีมะโว้ที่สิบหกเลยนะ
ที่สำคัญดันพรีเซนต์ออกมาหน้าตาดูดีโคตรๆ ซะด้วย

iannnnn's facebook timeline

ที่สำคัญอย่างยิ่งยงยอดบัวงาม ก็คือมันแต่งหน้ากากได้ (แต่พอสมควร ไม่ได้เปรอะเหมือนฮิห้า)
เป็นความสามารถที่น่ารักที่สุดเท่าที่จะคิดได้ของเว็บนี้แล้วครับ!
คือก่อนหน้านี้มันแห้งแล้งสุดๆ แต่ตอนนี้ทุกคนสามารถใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้
และต่อไปเทรนด์ใหม่ที่จะทยอยโผล่ตามมาก็คือทำหน้า Profile จ๊าบๆ มาอวดกัน
ทำให้ Facebook Profie นี้มีศักดิ์ศรีพอที่จะเอาไว้เป็น “บัตรประชาชนออนไลน์” จริงๆ ละ

ว่าแล้วก็หัดเล่นเฟซบุ๊กจริงๆ จังๆ ให้ติดแบบที่ชาวบ้านเขาคิดกันมาเป็นชาติแล้วมั่งดีกว่า
เพราะเริ่มเห็นอนาคตแล้วว่าถ้ามึงคิดได้ขนาดนี้ เว็บนี้ก็น่าจะมีอนาคตไปอีกชั่วฟ้าดินสลายแน่นอน

อ้าว แล้วกูเกิลพลัสที่รักของฉันล่ะ