(คำเตือน: นี่คือบล็อกตอนที่ว่าด้วยกิเลสและทุนนิยม)
(เตือนอีกที: นี่ไม่ใช่รีวิวกล้องนะครับ แต่ถ้าใครสนใจจะถามอะไรเชิญที่คอมเมนต์ครับ ถ้าพอตอบได้ก็จะตอบจ้ะ แต่อย่าหวังคำตอบแนวน้าๆ นะ)
ผมวางโครงการเปลี่ยนกล้องมาหลายเดือนแล้วครับ ตั้งใจว่าจะเกษียณเจ้า GF1 กล้อง mirrorless สีแดงแปร๊ดที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน คือเรียกว่าเป็น “ของเล่น” ที่ใช้ทำมาหากินควบคู่กันไปด้วย (ใช้ถ่ายแบบแฟชันของร้านนลินฟ้าครับ ทำสตูดิโอถ่ายกันบ้านๆ นี่แหละ แต่ก็ช่วยให้ครอบครัวเรามีตังค์ซื้อข้าวกินทุกวันนี้) ใช้มาจนตรงนั้นขัด ตรงนี้สนิม แต่ยังถ่ายภาพได้ดีอยู่ โดยที่รู้สึกแค่ว่าคุณภาพของภาพถ่ายในระยะสามสี่ปีหลังจากการเกิดมาบนโลกของ GF1 เนี่ย มันน่ามีอะไรพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากๆ แล้ว และเทคโนโลยีที่เคยราคาแพงในสมัยนั้น ก็น่าจะปรับราคาลงจนเราเอื้อมถึงได้ ทำให้การถ่ายรูปเล่นและใช้ทำงานไปด้วยก็คงจะสะดวกมือขึ้นนะ
โจทย์ที่วางเอาไว้ก็คือ กล้องตัวต่อไป ต้องถือแล้วดูหล่อ อวดความเป็นสลิ่มได้เต็มที่ แต่ไม่เอากล้องใหญ่ๆ หนักๆ ที่พกยากนะ คือเลิกคบ DSLR ขายทิ้งหมดตั้งแต่สมัยที่เจอ GF1 แล้วหลงรักนั่นแหละ
ส่วนประเด็นรองคือความเก่งของกล้อง ตามสเป็กที่โอตาคุและน้าๆ เขาชอบเอาตัวเลขนั่นนี่มาข่มกัน คือมีอะไรที่ดูเลขเยอะๆ ได้ก็ดี แต่ไม่ได้สนใจจะเน้นมันเท่ากับประสบการณ์การใช้งานที่ดี (เป็นนิสัยของพวกคนทำงานออกแบบรึเปล่าวะ)
ถ้าให้เรียงลำดับความสำคัญก็จะได้ สวย > นิสัยดี > เก่ง
หลังจากอ่านนู่นนี่อยู่นาน ก็มาชอบ E-PL5 สีขาวขอบน้ำตาล เพราะมันดูตุ๊ดๆ ดี (ผมชอบใช้ของที่มันดูตุ๊ดๆ ครับ) และน่าจะใช้กับเลนส์เก่าของเราได้ด้วย แต่พอไปดูของจริง แม่งไม่สวยอย่างที่เห็นในเว็บเลย บายนะ นี่ยังไม่ได้ดูสเป็กใดๆ ทั้งสิ้น แต่บายไว้ก่อนละ
พอได้ติดตามฟีดข่าวจากเว็บกล้องและวงการภาพถ่ายบ่อยๆ (ของฝรั่งนะ ของไทยไม่รู้เขาดูกันที่ไหน) ก็ได้เห็นการเปิดตัวของกล้องที่เห็นแล้วกรี๊ดเลย คือใช่เลย ดีไซน์นี้แหละ มันคือ Olympus E-P5 ต้องสีเงิน-ดำด้วยนะ ถึงจะดูแคลสสิก ถูกใจมาก บ้าคลั่งมาก ขนาดตอนที่ไปญี่ปุ่นในช่วงเดียวกับที่มันกำลังจะวางขาย (เออ ยังไม่ได้เขียนบล็อกเล่าเลยนี่หว่า) ก็ออกตามหาเพื่อจะหิ้วกลับมาไทย และก็พบว่ามันยังไม่วางขาย เลยกลับบ้านแบบหงอยๆ พร้อมโบร์ชัวร์ภาษาญี่ปุ่นที่มีแต่ข้อมูลและภาพตัวกล้อง ไม่มีของติดมือมาจริงๆ
จนพอเวลาผ่านไปไม่นาน ได้คุยกับคนนั้นคนนี้ ปรึกษาทั้งมนุษย์ตัวเป็นๆ และมนุษย์ที่แปลงสภาพเป็นตัวอักษรในจอคอมพิวเตอร์แล้ว (คุยกับคนนี้ด้วย!) ก็ได้ตัวเลือกระดับสุดยอดมา 2 ตัวที่กินกันไม่ลงจริงๆ นั่นคือ Fujifilm X-E1 และ Olympus OM-D EM5 ซึ่งมีข้อดีข้อด้อยต่างๆ กันออกไป ใครจะมีวิธีตัดสินใจยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผมใช้เกณฑ์พิจารณาด้วยรสนิยมส่วนตัวต่อไปนี้
โดยสรุปคือ ฟูจิไฟล์โคตรสวยกว่า, ราคาถูกกว่า(เมื่อขายเลนส์ไปซะ), เทคโนโลยีในการใช้งานกล้องเก่ากว่า, ความสามารถน้อยกว่า, แต่หน้าตาน่าจะดีกว่าโอลิมปัสที่ผมไม่ชอบยอดพีระมิดของมันเลย
ทั้งสองตัวก็มีดีมีด้อยต่างกันไป เรียกว่าคนละสายกัน ที่แน่ๆ คือผมเลือกไม่ถูกจริงๆ ถึงขนาดตื่นก็คิด นอนก็คิด ว่ากูจะฟันธงยังไงดีว้า ยิ่งถามใครก็ได้ความเห็นแตกเป็นสองฝ่ายที่น้ำหนักเท่าๆ กัน มันเหมือนขั้วการเมืองเลยครับ กินกันไม่ลง อยู่ที่ใครจะรสนิยมและวิถีชีวิตเป็นแบบไหน ผมก็เลยตัดสินใจว่า วันนี้แหละ (30 มิ.ย.56) จะไปงานมหกรรมสินค้าดูดเงินพ่อบ้านที่พารากอน ที่เขาว่ามีโปรของค่ายกล้องเอามาลดแข่งกันในงานด้วย (ชื่องาน Electronica Showcase 2013)
ไปถึงงานก็พุ่งไปหาโอลิมปัสก่อนเลย เพื่อดูหน้าตา OM-D ว่าตัวเป็นๆ มันสวยไหม และราคาจริงๆ คือเท่าไหร่ ก็ได้รู้ว่า “หน้าตาแม่งไม่ถูกจริตจริงๆ” แต่ราคานั้นกลับถูกกว่าที่คิด คือหลังจากหักส่วนลดนั่นนี่แล้ว มันจะเหลือไม่ถึงสามหมื่นห้า แถมยังได้เลนส์มาตัวนึงที่ขายทิ้งได้สักหกพัน
ส่วนฟูจิที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ผมแวะไปดูแป๊บเดียว พนักงานไม่สนใจ เห็นเราแต่งตัวแว้น คือแว้นจริงๆ ไม่ได้ดูเหมือนคนที่พร้อมจะจ่ายเงินเลย (ผมชอบแต่งตัวงี้เวลาจะซื้อของ จะได้รู้ว่าคนขายใส่ใจไหม ถามตอบรู้เรื่องไหม แต่เอาเข้าจริงเราศึกษาข้อมูลทางเทคนิคมามากกว่าพนักงานขายแน่ๆ อันนี้กล้าปากดีอวดได้เลย) แต่พอลองเล่นก็พบว่า เออ ตัวกล้องมันไม่ค่อยสวยเลยว่ะ..
สรุปคือรู้สึกเฟลนิดๆ ที่เราดันเลือกความสวยเป็นที่ตั้ง แล้วคู่แข่งทั้งสองดันทำให้ผิดหวัง
แต่แล้วคดีก็พลิก
เพราะพอเดินผ่านไปอีกมุมของโอลิมปัส ก็ไปเจอกล้องตัวใหม่ที่หน้าตาคุ้นๆ คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเคยเห็นมันตามบล็อกข่าวลือกล้อง mirrorless แล้วกรี๊ดคาจอมาตั้งนานแล้วนี่หว่า
เฮ้ย E-P5!
มาครบทุกสีและทุกออปชันเลยนะครับ คือทุกอย่างดูดี สวยงาม และความสามารถตอบโจทย์ที่เราต้องการได้หมดเลย แต่เราเลิกหวังกับมันไปแล้วเพราะใครๆ ก็เรียกมันว่า อีแพง แต่เอ๊ะ มันเข้าไทยแล้วเรอะ เอ๊ะ ดูราคาโปรโมชัน มันก็ 35XXX บังคับขายพร้อมเลนส์คิด 14+42 ตัวนึงที่ราคาปล่อยต่อมันอยู่ที่ 3000 บาท พร้อมบัตรเงินสดที่เอาไปช็อปปิ้งได้อีกพันนึง แถมกระเป๋า แถมเม็ม 32 กิ๊ก… บวกลบดูแล้ว เออ มันก็ไม่ได้ต่างจากอีสองตัวที่ตบตีกันมาตั้งนานนี่หว่า
แต่ แต่
แต่ E-P5 มันตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยของตัวกล้อง (เหตุผลน่าหมั่นไส้นี่แหละครับ ที่ผมถือเป็นจริงเป็นจังกว่าเรื่องอื่นๆ) ความสามารถเอย เทคโนโลยีเอย อายุของการเปิดตัวเอย สรุปได้ว่าเหมือนซื้อมือถือรุ่นท็อปตัวใหม่ที่สวยและเร็วฉิบหาย (แน่นอนว่าแพงกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วย)
พิจารณาอยู่นาน ปรึกษาเมีย ปรึกษาสมาคมที่ไปกันด้วย (ป้าหน่อยและอีเอ) เมียบอกโอเค สวย ชอบ ถึงจะแพงก็จริง แต่ถ้ามันใช้งานได้จริงและเตงพอใจ ก็อนุมัติงบ (กรี๊ด!!!) เลยเดินไปซื้อ ยืมบัตรเครดิตอีเอ รูดซะ แล้วเดินยิ้มออกมาจากร้าน ไปคาเฟ่แมวตามคำชวนของป้าหน่อย เพื่อหัดใช้งานได้แค่แป๊บเดียว แบตก็หมด กากจริง
เดี๋ยวไงก็ค่อยๆ หัดไปละกันเนอะ แต่เมื่อรักไปแล้วก็ไม่มีอะไรให้ผิดหวังละ ถึงแม้อีกหกเดือนราคามันจะตกลงมาห้าพันก็ตาม
ป.ล.
ภาพประกอบบนสุดนั่นถ่ายด้วย GF1 ตัวเดิมที่เตรียมเกษียณ และคงส่งไม้ต่อ ยกให้ญาติสักคน เพราะมันขายต่อแล้วไม่คุ้มแน่นอน (ภาพอาจจะเหลืองๆ ก็ช่างมันเนอะ ไม่ได้ถ่ายไปออกสอบ)
ป.อ.
24 ชั่วโมงนี้เขียนบล็อกตั้งสามตอน ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย มีทั้งเรื่องกล้อง เรื่องคอนเสิร์ตเบเกอรี่ / P.O.P และมุกแป้กเรื่องฮอร์โมน (ปรากฏว่าไอซ์เอาภาพไปทวีต คนอาร์ทีตั้งเจ็ดร้อยกว่า เออดี ไม่แป้กละ 555)
ป.ฮ.
ขอบพระคุณคุณเมียมากครับ ผมจะตั้งใจทำงานและตั้งใจถ่ายเล่นให้คุ้มกับที่อนุมัติงบประมาณมาครับ (ก้มกราบสามที)