ย้อนกลับไปดูสมุดบันทึกของผมเมื่อเดือนที่แล้ว
ในนั้นลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๘ มีข้อความประมาณว่า
ฉิบหายแล้ว นี่กูอ้วนขนาดนี้แล้วเหรอวะเนี่ย!
บรรทัดหลังจากนั้นเล่าว่า น้ำหนักตัวผมเพิ่มขึ้นเป็น ๗๓ กิโลกรัม
โดยมีข้ออ้างว่า แฟนต้องการให้อ้วนๆ จะได้นิ่มๆ เวลาซบไหล่
หนึ่งเดือนต่อไปนี้ (๑๓ มิ.ย.-๑๓ ก.ค.) กูจะ “ระงับ” ความอ้วนด้วยข้อบังคับดังนี้
- ไม่กินข้าวเย็น (ยกเว้นวันไหนที่หิวจัดๆ หรือมีคนชวนไปกินในโอกาสพิเศษ)
- ไม่ดื่มน้ำอัดลม ถ้ากระหายให้แดกน้ำเปล่าซะ (ยกเว้นไม่มีน้ำจืดจะกินจริงๆ)
- ไม่ดื่มชาเขียว (ผมติดชาเขียวแบบขวดๆ อย่างหนัก จนมั่นใจว่ามันทำให้อ้วนแน่ๆ)
- ไม่กินขนมถุงจุกจิก หรือเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อการซื้อของกินแนวๆ นั้น
- ฯลฯ
วันนี้วันที่ ๑๓ กรกฎาคมครับ ผ่านวันที่ผมประกาศสงครามคอร์รัปชั่นมา ๑ เดือนพอดี
ชั่งน้ำหนักตัวได้ ๗๓ กิโลกรัม
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก……. เท่ากับเดือนที่แล้วเลย
เฮ้ยยยยย เป็นเหี้ยอะไรเนี่ยกู
นี่ก็พยายามลดแล้วนะ ทำไมน้ำหนักไม่ลดเลยวะ
พอมานั่งนึกดูอีกที ผมอยู่บนความหละหลวมของกติกาที่ตั้งขึ้นมาแบบช่างแม่งๆ
นั่นทำให้ผมไม่รู้สึกว่านั่นเป็นวินัยประจำตัวที่พึงปฏิบัติ แต่กลับคิดว่า “ถ้าทำได้แล้วจะดี”
ดังนั้นเดือนที่ผ่านมา ผมจึงรักษากฎที่ว่าในบางวัน
และวกเข้าข้อความในวงเล็บซะหลายบ่อย
ยิ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายนี่เลวร้ายมากเลยครับ ผิดศีลบ่อยจนน่าตกใจกับตัวเอง
แดกหมูกระทะเอย (พี่เจ้าของร้านพาไปเลี้ยง) กลับบ้านซัดข้าวอย่างหนักเอย
กินข้าวกะแฟนแบบอิ่มจุกแทบจะทุกวันที่เจอกันเอย
สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยสู่ความวิบัติของสรีระผมเองทั้งสิ้น!!
สังเกตได้ง่ายเลย ว่าช่วงก่อนตั้งใจระงับฯ นั้น ผมใส่ชุดเครื่องแบบอ่อนของทหารได้ทุเรศมาก
นั่นคือตื่นมาแปรงฟันอาบน้ำ พอใส่เสื้อแล้วรูดซิป (กระดุมหลอก) แล้วรู้สึกว่ามันติดพุง
แถมเวลารูปซิปกางเกงก็ดันฝืดในระยะ ๓ เซ็นต์สุดท้าย (คงไม่ได้มาจากไอ้นั่นผมใหญ่ขึ้นหรอกนะ)
ดังนั้นผมจึงเป็นทหารที่มีพุงพลุ้ย หุ่นแม่งเหี้ยมากเลยครับ
เหมือนโปลิศแก่ๆ ที่ไล่กวดคนร้ายไม่มีทางทันแบบในหนังในละครนั่นเลย
ทั้งนี้อย่างที่บอกว่าผมปล่อยปละให้ร่างกายมันบวมขนาดนี้ได้ก็เพราะแฟนอยากให้อ้วน
แต่ที่เหนือจากนั้น (เหนือจากการควบคุมน้ำหนักของแฟน) ก็คือ
ที่กองทัพ ห้องทำงานของผมมีข้าวกินฟรีวันละสองมื้อ — เช้าและสาย — เป็นอาหารอย่างดี
ก็เพราะผมทำงานอยู่หน้าห้องผู้บังคับบัญชาระดับสูง
ดังนั้นท่านๆ กินอะไร ลูกจ๊อกอย่างผมก็กินด้วย โดยสั่งมาจากร้านอาหารในกองทัพนั่นแหละ
ไม่ว่าจะหิวหรือไม่หิว คำสั่งที่ผมได้รับก็คือ “กินซะ”
แถมถ้าวันไหนท่านๆ ไม่ทาน ผมก็ต้องกวาดกับข้าวกับปลาที่เหลือให้เหี้ยนก่อนกลับบ้าน
ดังนั้นน้ำหนักและหุ่นที่ยังดีๆ อยู่ตอนที่ยังเป็นทหารใหม่ ฝึกอยู่กองร้อย ก็เลยกลายพันธุ์อย่างแร็ง
จาก ๖๒-๖๓ กิโล พุ่งพรวดพราดขึ้นมาอีกสิบโล ในระยะเวลาแค่ครึ่งค่อนปี
อะไรก็ไม่เดือดร้อนเท่าแฟนผมที่วันนึงก็บอกว่า “ตัวเองอ้วนเกินไปแล้วนะ”
ฉิบหายละสิ .. คนที่พยายามผลักดันให้ผมอ้วนมาตลอด ดันมาหักหลังเอาในโค้งนี้ซะงั้น
ก็เลยได้เวลาพิสูจน์ความ(เคย)น้ำหนักขึ้นเร็วลงเร็วของผมอีกครั้งซะที
ตัดฉากกลับมาช่วง ๑ เดือนที่ผ่านมา
พอผมเริ่มระงับคงามอ้วน (ไม่ได้ใช้คำว่าลด) ในช่วงอาทิตย์แรก
ผมรู้สึกได้เลยจริงๆ ว่าน้ำหนักลดลง รู้สึกว่าชุดทหารไม่อึดอัดเหมือนก่อน
เฮ้ย เจ๋งว่ะ ทำไมกูรู้สึกชนะยังงี้วะ … เดี๋ยวเย็นๆ กูฉลองดีกว่า .. แดกข้าวผัดเขียวหวานไก่ไข่ดาวซะ
ความหละหลวมครั้งนั้นครั้งแรก ทำให้มีครั้งถัดๆ มาอีกมากมาย
มากมายจนผมเริ่มละเหี่ยใจ เลิกเขียนผลการประเมินงานไว้ที่สมุดบันทึก
จนกระทั่งวันวัดผล…
ตัวเลข ๗๓ ที่ปรากฏบนหน้าปัดตาชั่ง จึงเป็นการประกาศความพ่ายแพ้ของไอ้แอนนนนน
มึงแพ้ มึงแพ้ มึงแพ้~
แพ้อย่างหมดรูป.. จนต้องมาคิดปรับกระบวนใหม่ ..ด้วย ครม.ใหม่
ตั้งกติกาใหม่ขึ้นมาว่า กูจะไม่ได้แค่ “ระงับความอ้วน” เหมือนที่เคยทำและไม่ได้ผล
แต่จะเป็นการ “ลดความอ้วน” เลยดีกว่า
โดยตั้งเป้าไว้ว่า กลับบ้านครั้งหน้า กูต้องหนักไม่เกิน ๖๘ กิโลให้ได้
โดยวิธีการในระยะแรกคือ งดอาหารเย็นโดยเด็ดขาด (อนุญาตให้มาม่าได้ในกรณีที่หิวจริงๆ)
(เฮ้ย บรรทัดข้างบนนี่มีวงเล็บมาได้ไงวะ …กลัวใจตัวเองว่ะ)
และเริ่มวิ่งออกกำลังกายตอนเย็นหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน
โดยเริ่มในวันพรุ่งนี้.. ทีละน้อยๆ ก่อน
และถ้าเห็นว่าไม่มีอะไรให้อาย ก็จะค่อยๆ ปรับตัว เพิ่มปริมาณไปวันละนิด
จนใส่ชุดทหารได้ไม่หลวม และเป้าไม่โตอย่างทุกวันนี้..ก็พอ.
เรื่องนี้ยังไม่จบแน่ๆ ..โปรดติดตาม!
ป.ล.
ทดลองเล่าเรื่องแบบสับไปสับมาเหมือนหนังฝรั่งดู.. เขียนเองก็งงเองว่ะ
ป.อ.
เขาว่า 85% ของผู้ชายที่ลดน้ำหนัก.. ให้สงสัยว่าเป็นเกย์!
ป.ฮ.
เย็นวันนี้พอจะทดลองวิ่งออกกำลังกายดู ฝนดันตกฉิบ.. เริ่มเห็นลาง