ปกติผมจะมีความสุขดีกับการขี้นะครับ (คำที่ทวีตบ่อยที่สุดก็คงเป็นเรื่องขี้นี่แหละมั้ง)
คือขี้วันละ 1-3 ครั้งแล้วแต่โอกาสและร่างกายจะอำนวย
แล้วก็รู้สึกยินดีกับการขี้ เพราะถือคติว่า “การขี้คือสิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำคุณประโยชน์ให้กับโลกได้”
ไม่เชื่อก็ลองนึกๆ ดูสิครับ แต่ละอย่างที่เราทำ แม้กระทั่งการลดโลกร้อน ก็ยังไม่เห็นว่าโลกจะได้อะไรเลย
แต่เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
หลังจากกลับจากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ชาวฟอนต์ที่สวนผึ้ง ราชบุรี
ซึ่งตอนนั้นซื้อเนื้ออะไรต่ออะไรมาปิ้งย่างกินกันสนุกสนานยันเกือบจะโต้รุ่ง
กลับมาจากทริปนี้ ผมขี้แตกระเบิดระบมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้
ปกติที่ทำงานผมจะสามารถทำงานที่บ้านได้ 1 วัน คิวของผมคือวันจันทร์
ซึ่งปกติจะมีความสุขมาก เพราะได้นอนดึกและตื่นสายๆ มาทำงานกับห้องทำงานที่คุ้นเคยได้สะดวก
แต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ผมโคตรทุกข์ทรมานเลยครับ เพราะนอกจากจะเป็นไข้(1) ผื่นขึ้นตูด(2) แล้ว
(คือดูรวมๆ เราก็เรียกว่าไม่สบายนั่นแหละครับ แต่แจกแจงได้เป็นสามโรคที่แทบไม่เกี่ยวอะไรกันเลยด้วยซ้ำ)
ผมยังใช้ชีวิตวนเวียนระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำเหมือนรับจ็อบทดสอบระบบสุขภัณฑ์อย่างหฤโหด
ตื่นมาขี้ แล้วไปนอนซม (เป็นไข้ไง)
นอนได้แป๊บๆ เอ้าขี้อีก
แล้วไปนอน แล้วก็ลุกมาขี้อีก
เดี๋ยวก็ไปนอนอีก แล้วก็ลุกมาขี้อีก
วนลูปไปเรื่อยๆ จนจำไม่ได้ และเข็มนาฬิกาเริ่มเลือนลาง
ขี้จนตูดเป็นเหน็บ จนเริ่มหาวิธี ท่านั่งแบบใหม่ๆ
ก็เลยรู้ว่ามนุษย์เราพัฒนาปัญญาและฝึกการแก้ปัญหามาจากการขี้นี่เอง
ขี้จนได้รู้จักตัวเอง ขี้จนมานั่งพูดคุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่าชีวิตเราเกิดมาทำไม
คนเราต้องใส่เสื้อผ้ากันทำไมในเมื่อมันขัดขวางการมีชีวิตขนาดนี้
และการออกแบบสถาปัตยกรรมไม่ว่าจะเป็นระดับเมือง หรือระดับอาคารเนี่ย
มันทำลายพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์เกินไปหรือเปล่า
คือเราควรจะมีเสรี ขี้ได้ทุกที่ที่ใจอยากไม่ใช่หรือ?
ถ้านึกไม่ออกก็ลองเปลี่ยนเป็นคำว่ารักสิครับ มันไม่ควรมีกำแพง เราควรรักได้เท่าที่ใจต้องการมิใช่หรือ
ฯลฯลฯลฯ
ผมทรมานจนหลับไป และตื่นมาช่วงที่ไข้เริ่มทุเลา
เปิดคอม เขียนอีเมลบอกพี่ที่ทำงานว่าขอลาป่วย
(ไม่รู้จะมีกี่คนที่จดหมายลามีแต่คำว่าขี้ๆๆๆ เต็มไปหมดแบบนี้)
พอวันที่สองก็ยังขี้อยู่ แต่สภาพของขี้เปลี่ยนไป
ใครที่เคยท้องเสียคงเข้าใจดีว่ามันมีระยะของอาการอยู่
ส่วนวันที่สามอาการใหม่ก็มาถึง คือตูดเปื่อยครับ
รูตูดนี่แหละเปื่อยยุ่ยเพราะใช้งานหนักไป เวลาขี้จะแสบตูดและทรมานมาก
มากจนสงสัยว่าเก้งกวางเขาทนกันได้ยังไง หรือทำไปบ่อยๆ แล้วมันก็โอ
ที่สำคัญคือได้รู้ว่าการทำงานและเดินทางทั้งวันนั้นทรมานมาก แวะขี้ทุกป้าย
ตั้งแต่บ้าน ห้องน้ำเอ็มโพเรียม (ถ่ายรูปไว้ข้างบน – ป้ายห้ามเสกของออกจากส้วม)
ไปยันที่ทำงานก็เอาซะหน่อย แถมตอนกลับอาการกำเริบเพราะกินไส้อั่ว(กินทำไมวะ)
เลยไปแวะห้องน้ำสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน ซึ่งโสโครกระดับห้าดาว แต่กูยอม
ความซวยบังเกิดก็อีตรงที่พี่มูส(พี่ที่ทำงานเก่า)และพรรคพวก ดันอยากกินเนื้อย่าง
คือไม่ได้เจอหน้ากันนานไง ก็เลยยกพวกกันไปร้านบอยโพนยางเจ้าเก่ากัน
แล้วก็คงนึกภาพออกว่าเกิดสงครามขึ้นทุกที ซัดเนื้อกันระเนระนาด
โดยมีผมนั่งน้ำลายยืด ไม่กล้าแตะมาก (ปกติมาทีก็ยัดห่าเหมือนซูโม่หลังแข่งเสร็จทุกครั้งแท้ๆ)
ที่สำคัญคือตลอดระยะการกินเนื้อย่างแบบนิดๆ นั่นเอง ผมแวะไปขี้ถึงสองครั้ง
ทำให้เปลี่ยนทัศนคติต่อห้องน้ำร้านเนื้อย่างโพนยางคำ ..ว่าเออ ห้องน้ำเขาก็น่าขี้ดีนะ
จากวันนั้นจนวันนี้ นี่คือวันที่สี่
ลำไส้ยังไม่ฟื้นตัวดี (อาการท้องเสียที่เขาว่าลำไส้อักเสบนั่นแหละ คือผนังมันเจ๊ง รอฟื้นตัว)
รูตูดยังไม่โอเค แต่เลือดไม่ออกให้หลอนเล่นเวลาก้มลงไปตรวจผลงาน
แต่ท้องยังแน่นมาก ระบบทางเดินอาหารมึงยังไม่แข็งแรงแต่เสือกอยากแดกเนื้อ สมควรตาย
ป.ล.
ก่อนขี้แตก ผมกะจะเขียนบล็อกโหมดจริงจังเรื่องปัญหาการสื่อสารข้อมูลในการเลือกตั้ง
ว่าที่จริงแล้ว ก.ก.ต.ควรหางบสักก้อนมาจ้างทีมนักออกแบบดีๆ ให้ช่วยสื่อสารอะไรต่ออะไรออกมา
เพราะมันมีเรื่องที่ต้องสื่อสารเต็มไปหมดแต่คนก็ยังกาชูวิทย์ทั้งสองใบบ้าง กาที่ชื่อพรรคเพื่อไทยบ้าง
หรือแม้แต่หยอดหีบผิดบัตร เฮ้ย หยอดบัตรผิดหีบบ้าง ฯลฯ
มีประเด็นเยอะเลยเรื่องที่รัฐควรมาพึ่งนักออกแบบซะทีเนี่ย (ส่วนเรื่องนักออกแบบพึ่งรัฐนั่นไม่ต้องหวัง)
แต่เขียนตอนนี้ก็หมดไฟละ งั้นเอามาย่อเหลือแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านี้พอ เรื่องขี้แตกนี่แหละ เป็นปัจจุบันกว่า
ป.อ.
ขอบคุณคุณเมีย ที่ชงเกลือแร่จากโรงพยาบาลมาให้
ช่วยให้ไม่ตายระหว่างขี้ครับ ผมเป็นคนโชคดีที่กินอะไรก็ไม่รู้สึกว่าไม่อร่อย
ก็เลยกินได้แทบทุกอย่างไม่มีบ่น แม้กระทั่งน้ำเกลือแร่ชนิดนี้ที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่อร่อย
(เอ๊ะ หรือไอ้การกินไม่เลือกนี่แหละที่เป็นเหตุแห่งท้องเสียครั้งนี้)
ป.ฮ.
แต่ประโยคที่เมียพูดบ่อยๆ ตอนมาดูอาการ คือ “อย่าเพิ่งตายนะ ยังไม่ได้ทำประกัน”