วิถีข่าวสั้น

สัญญาว่าจะเขียนบล็อกสั้นๆ .. ออกจะน่าอายด้วยที่ไปเอาไมโครบล็อกที่มันสั้นอยู่แล้วมาขยายตีกินแบบนี้

news-on-twitter

วันก่อนทวีตไว้แบบข้างบน แล้วรู้สึกว่าเออ มันอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์ได้อยู่นะ

คือตั้งแต่ข่าวทวิตเตอร์ของนายกโดนแฮ็ก ไม่สิ คนอื่นปลอมเข้าไปเกรียนจนเป็นข่าวเอิกเกริกละ
พอดีตอนนั้นผมอยู่ด้วยและเห็นข้อความตั้งแต่ทวีตแรก ยังทักอยู่เลยว่าเฮ้ย ทีมงานแกจะหักมุมอะไรไหม
ที่ไหนได้ ก็เป็นข่าวแบบที่เราทุกคนคงรู้กันหมดแล้วนี่แหละครับ
ทีนี้ไอ้เฮ้ยแรกนั่นน่ะคือระยะที่ 1: ตกกะใจกับข่าวครับ ไทม์ไลน์ช่วงนี้จะไหลบ่ามาก ด้วยเรื่องเดียวกันทั้งนั้น
หลังจากนั้นแค่ไม่นาน ก็เริ่มมีนักวิเคราะห์วิจารณ์ฟันธง ดาหน้ากันออกมาชม-เชียร์กันไปต่างๆ นานา
สำหรับเหตุการณ์นี้ก็น่าสนใจตรงที่คนที่ชังหรือเชียร์นายก ไม่จำเป็นต้องรุมด่าหรือชมแฮ็กเกอร์เหมือนกันหมดนิ
ซึ่งอันนี้คือระยะที่ 2: วิเคราะห์ครับ (บางคนเพิ่งรู้ข่าว ก็ยังมีโผล่มาตกกะใจอยู่บ้าง เจ๋งดี)
แล้วไม่นานหลังจากนั้น ..ไม่นานเลยนะ ข่าวทวิตเตอร์นายกโดนแฮ็กก็เข้าสู่ระยะที่ 3: ระยะตลก อย่างรวดเร็ว
ทีนี้ล่ะมึงเอ๊ย สารพัดมุกที่ไม่รู้จะแข่งกันฮาไปไหนก็ทยอยหลั่งไหลเข้ามาอย่างฟ้าฝนกระหน่ำ
มีตั้งแต่ปล่อยมุกเปิด มุกชง มุกแก้ มุกตัด มุกคำผวน ยันมุกขยี้ (ขออภัยที่ทำลิงก์วนไปวนมาแค่นี้ จริงๆ มีอีกเยอะมาก)

ไหนจะข่าวเปิดตัวไอโฟนโฟร์เอสสร้างสรรค์อีกละ.. ไม่พูดไม่ได้ เอาสั้นๆ นะ
พอดีคืนนั้นผมขี้เกียจรอฟังเขาเปิดตัว เลยเข้านอนก่อนแล้วค่อยตื่นมาอ่านตอนเช้า
ซึ่งคนที่ฟังทั้งสาวก แอนตี้สาวก และแอนตี้แอนตี้สาวก ก็ได้ชมและด่ากันไปเรียบร้อยตั้งแต่กลางดึกคืนนั้นกันหมดแล้ว
แต่ผมเพิ่งตื่นมาอ่านไง สาบานได้ว่าสนใจข่าวน้ำท่วมมากกว่า (ไม่ได้ซึนหรือกระแดะ แต่เพราะมันใกล้ตัวครอบครัวผม)
พอเปิดทวิตเตอร์ดูปั๊บก็เพิ่งเข้าสู่ระยะเฮ้ย ว่าอ้าว ตกลงปากกาเซียนนักเดาแม่งหักหมดโลกเลยเรอะ
พออ่านไอ้ที่วิเคราะห์หรือดราม่ากันจบปั๊บ ก็เริ่มเล่นมุกเลย ..ก็ตามสูตรเลยครับ เรามาระยะนี้ช้าไป แม่งจะไม่ซ้ำได้ยังไงวะ

โฟร์เอสสร้างสรรค์
ภาพนี้ก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานไปละ เพราะมันถูกส่งต่อมหาศาลกว่าความพยายามของนักการตลาดใดๆ ซะอีก
(ใครเป็นต้นตอของภาพนี้ทราบไหมครับ เขาเจ๋งมากเลยนะที่คิดแล้วทำทันทีได้เนี่ย อยากสืบให้เจอและให้เครดิตครับ)
// 16:05 น. แก้ไขเพิ่ม เจอเจ้าของภาพตัวจริงแล้วครับ ฝีมือคุณ Kenshin BHX จ้ะ (เจ้าตัวมาบอกเอง)

ฉะนั้นบทเรียนที่ได้มาจากการวิจัยครั้งนี้คือ จะเล่นมุกก็หัดดูตาม้าตาเรือหน่อย หรือไม่ก็ต้องเร็วส์หน่อย
..เว้นแต่อีพวกที่ลอกมุกขี้ปากชาวบ้านมาทวีตเป็นของตัวเองแล้วไม่ให้เครดิตต้นตอนี่ก็ขอยกเว้นในกรณีนี้
(ในบอร์ดฟอนต์จะมีศัพท์สแลงคำนึงคือ “ละโว้” ที่แปลว่า เฮ้ย เขาเล่นหรือเขาเจอไอ้นี่กันตั้งนานแล้ว เพิ่งเห็นเรอะ)

และล่าสุด ..ข่าวเช้านี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่จริงๆ คือการจากไปของศาสดาจ็อบส์ แห่งอาณาจักรผลไม้ศักดิ์สิทธิ์
อันนี้มีการตายของบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกเกิดขึ้น ไม่ใช่ข่าวการเมือง ไม่ใช่ข่าวขายของ (ที่แม่งกาก)
ดังนั้นเราจึงเห็นระยะแรกและสองนานหน่อย นานจนสามารถแยกได้ว่านี่ไม่ใช่ “แค่” ปรากฏการณ์ของโลกออนไลน์
แต่มันคือข่าวระดับโลก (ก็แหงสิครับ) ถ้าให้เปรียบเทียบระดับความใหญ่ก็คงพอๆ กะไมเคิลแจ็กสันได้ไหมอ้ะ?

แต่ก็นะ พอมีระยะแรกกันท่วมไทม์ไลน์ปั๊บ เราก็ได้เห็นดราม่าตามมาในเวลาไม่นาน
ตั้งแต่มีคนเอาเรื่องน้ำท่วมและเหตุการณ์ 6 ตุลาที่เราควรเศร้ามากกว่าฝรั่งตายเหรอ? มาเปรียบเทียบ
ยันคน ที่ไปด่าคนกลุ่มแรกอีกที แล้วก็คนกลุ่มแรกบวกด้วยกลุ่มใหม่ ที่ไปด่ากลุ่มที่สองอีกที เอ้า ดราม่ากันให้เพลิน
อ้อ ข่าวนี้ยังไม่ค่อยเห็นใครตลกนะครับ คนที่จะตลกกับข่าวคนตายได้นี่.. มึงต้องล้ำและหากาลเทศะจริงๆ

ฉิบหายละ เขียนยาวอีกจนได้.. งั้นตัดสรุปจบเลยนะ

news-life

คือผมสนใจปรากฏการณ์ออนไลน์ที่เรียกกันว่า “meme” คืออะไรก็ได้ที่ดังเปรี้ยงขึ้นมาในเน็ตซะเฉยๆ น่ะครับ
เพราะมันมีอิทธิพลต่อโลกที่ผมอยู่* แถมยังให้สาระต่อสังคมมากบ้างน้อยบ้าง หรือไม่ให้เลย (ก็แล้วไง?)
ยิ่งเดี๋ยวนี้เส้นแบ่งคำว่า “โลกออนไลน์”  กับ “โลกจริง” มันบางลงทุกวัน คนที่พูดแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันก็เริ่มเชยละ
(แหงสิ โลกออนไลน์มันไม่จริงตรงไหนวะ เหมือนกะที่มึงดูทีวี คุยมือถือ ฟังวิทยุนั่นแหละ มันก็เป็นสื่อเหมือนกันนะ)
เราจึงเริ่มเห็นว่าข่าวในทีวีบ้านเราหลังๆ นี้ เริ่มพูดเรื่องเดียวกันกับที่เราคุยกันใน “โลกออนไลน์” บ่อยขึ้นเรื่อยๆ

แม้จะพาดหัว Breaking News ช้ากว่าระยะตลกของอีพวกในเน็ตก็ยังดีวะ..

.

ป.ล. (ขยายดอกจัน*ข้างบน)
คุยกะพี่เม่นวันก่อน วันเดียวกะที่นายกโดนแฮ็กนั่นแหละ ได้ย้ำแนวคิดเรื่องโลกออนไลน์อีกครั้ง
ว่ามันเป็นสังคมแบบใหม่ที่เลือกมาให้แล้วว่าเราจะมีโลกแบบไหน จะปัจเจกแค่ไหนก็เชิญเลยครับ เป็น “ชีวิตในแบบคุณ”
ใครสนใจแค่เรื่องอะไร แม่งก็จะกรองมาให้เราเห็นแค่นั้น โดยปัดเรื่องที่มันควรจะต้องมีสักหน่อยเพื่อการถ่วงดุลออกไปฉิบ
(เช่นผมก็จะชอบแต่อีพวกตลกๆ ทวิตเตอร์ก็ตามแค่พวกตลกปัญญาอ่อนทั้งนั้น ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ)
ไอ้สิ่งแสนสะดวกนี่แหละ ที่ต้องคอยเฝ้าจับตาดูดีๆ นะครับ ว่ามันจะพาต่อมความคิดของมนุษยชาติไปทางไหน
เอาแค่ปรากฏการณ์ที่เห็นในระยะสองสามปีให้หลังมานี้ เราได้เห็นว่าต่อมดราม่าของพวกเราตื้นลงเรื่อยๆ
อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้ที่คิดๆ กันไว้มันจะจริงไหม

คอมเมนต์