น้ำปั่นแก้วไหนเป็นสีที่ถูกต้อง

สองรูปนี้คือน้ำปั่นแก้วเดียวกัน ถ่ายด้วยมือถือเครื่องเดียวกัน ในห้องเดียวกัน ไฟเพดานดวงเดียวกัน มือก็มือฉันเหมือนกันแต่ภาพนึงม่วงปั้ดเป็นมันม่วง มือก็กลายเป็นมือธานอส ส่วนอีกภาพเหลืองอมเขียวเหมือนฉันเป็นโรค

คือจะให้ดูว่าการถ่ายรูปโหมดออโต้ในมือถือ มันสามารถสีเพี้ยนได้ขนาดนี้เลยนะ แถมภาพทั้งคู่สีไม่ตรงกับสีจริง ของจริงถ้าชั่งน้ำหนักก็เอียงไปทางชมพูมากกว่าม่วงประมาณ 80% (คืออมม่วงแค่นิดเดียว อมแบบยังไม่ถึงโคนลิ้น อะไรนะ)

เพราะภาพที่น้ำปั่นเป็นสีม่วงนั้น กล้องมันวัดค่าสีจากพื้นหลังสีเหลืองเยอะๆ โปรแกรมมันเลยพยายามปรับสมดุลคืนให้ด้วยหวังดี (เกินไปหน่อย) ส่วนภาพที่เป็นน้ำปั่นชมพูซีดๆ ก็ตามสภาพ ใครเป็นตากล้องเห็นแล้วก็จะรู้เลยว่าอ๋อ บ้านแกเป็นหลอดไฟยาวๆ สีขาว(ที่ให้แสงอมเขียว)สินะ อะไรที่เป็นสีชมพูในภาพจึงซีดเซียวดังนั้น

หลายครั้งลูกค้าเราไม่เข้าใจว่าทำไมซื้อของไป ยืนถ่ายเซลฟี่หน้าตู้เสื้อผ้าที่บ้าน แล้วเปิดรูปคู่กันกับภาพ product shot ที่เทียบแล้วเทียบอีกว่าสีตรงแล้วนะ มันถึงดูต่างกันไม่มากก็น้อย (ที่โวยวายไม่ยอมฟังเลกเชอร์เรื่องนี้ก็ไม่น้อย) หรืออย่างในวงการเครื่องสำอางก็ยิ่งแล้วใหญ่ ก็ดูจากน้ำปั่นนี่สิ ปากชมพูยังกลายเป็นปากม่วงได้อ้ะ ไม่รู้ว่าเป็นฟรีซเซอร์ร่างไหน

ขนาดว่ากล้องมือถือที่ใช้นี่ก็ถือว่าดีมากๆ แล้วนะ (S23 Ultra) ถ้าเป็นรุ่นที่ย่อมเยาลงมา อาจยิ่งอาการหนัก

จึงวอนทุกท่านโปรดเห็นใจในความคลาดเคลื่อนนี้ ป.ล.โฆษณาน้ำผักปั่น #smoothiebow เมียฉันทำให้กินอย่างบ้าคลั่งทุกวัน ไม่มีขาย แต่ขยันโพสต์อวดที่ instagram.com/smoothiebow

42

  • เคยรู้สึกว่าอายุเท่านี้แม่งแก่มาก ใครมาบอกว่าสี่สิบสอง คือคนแก่
  • ตามบทมันต้องบอกว่า “ที่จริงพอเดินทางมาถึง ก็ไม่แก่นี่นา” แต่เปล่าเลย แก่จริงๆ
  • เพื่อนฝูงหลายคนผมหงอกหัวล้าน หน้าเหี่ยวย่น ริ้วรอยบนใบหน้าบอกถึงช่วงชีวิตที่ก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังกันแล้ว ตอนนี้เริ่มเลิกล้อกันเรื่องสังขารแล้ว น่าจะเพราะเป็นเรื่องธรรมดา
  • ปีที่ผ่านมา อยู่ดีๆ วันนึงก็อ่านฉลากยาไม่เห็น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราเป็นคนที่เย่อหยิ่งจองหอง ยโสโอหังมากว่าตัวเองสายตาดีกว่าใครๆ ตอนนี้คำอวดตัวนั้นต้องหุบเก็บไว้ตลอดกาล เพราะสายตาเราโฟกัสช้า แบบเดียวกับคนอื่นๆ แล้ว ที่ปวดร้าวมากก็คือตอนอ่านการ์ตูน Kingdom สักฉบับ เราอ่านฟอนต์เล็กจิ๋วในนั้นไม่ออก ปวดร้าวมาก
  • ชินกับย่านหลักสี่แล้ว แต่จำไม่ค่อยได้ว่าอายุเท่าไหร่ ทีแรกคิดว่า 42 มานานแล้วซะอีก แต่ไม่ เพิ่งวันนี้วันแรก
  • ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ต้องจำก็ได้มั้ง

ไหนๆ พูดถึงสังขารแล้วก็ขอบันทึกเพิ่มไว้หน่อย เพราะจากนี้ไปมันคงไม่ได้ดีไปกว่านี้อีกต่อไปแล้ว

  • นอกจากสายตาที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ความดันก็เริ่มแสดงตัวให้รู้ว่าเข้าสู่วัยที่ต้องประคบประหงม คือค่าตัวเลขมันสูงกว่าคนปกติประมาณ 10-20 ทั้งตัวบนและตัวล่าง ไปหาหมอศิริราชอยู่เนืองๆ ค่าไขมันอะไรต่างๆ เวลาเจาะเลือดไปตรวจก็มี LDL ที่สูงจนหมอบอกว่าควรลดหน่อยนะ สู้ๆ นะ (เป็นคำสั่งแบบหน้ายิ้มๆ)
  • วันก่อนไปนั่งคาเฟ่นึงแถวปทุม ไม่ใช่ร้านตัวเองนะ แต่เป็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ ปรากฏว่าเก้าอี้เขาเตี้ย พอเตี้ย และนั่งนาน ก็เลยปวดหลัง นี่อาทิตย์กว่าแล้วยังปวดอยู่ ปกติมันต้องหายไวกว่านี้
  • แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะการใช้ชีวิตแบบไร้การออกกำลังกายของเราเอง ทำงานนั่งโต๊ะ นอนดึก ตื่นสาย เป็นแบบนี้มาตลอด อยากแก้ แต่ยังผัดวันประกันพรุ่งอยู่ เพราะเงยหน้าดูตัวเลขแล้วยังมีที่ว่างให้เหลวไหลอยู่
  • สูง 175 หนัก 79-80 ถ้าวันไหนอารมณ์ดีๆ ก็ชั่งได้ 78 แต่เวลาใครถามจะบอกว่า 78 เพราะมันดูน้อยสุด
  • สุขภาวะทางเพศยังปกติดี นั่นแน่ แต่บันทึกไว้ วันนึงมันไม่ปกติจะได้มานั่งรำลึกความหลัง

การงานการเงินครอบครัวล่ะ

  • เอาการงานก่อน ทุกวันนี้ก็ทำอาชีพที่อธิบายยาก แต่พูดสั้นๆ คือทำธุรกิจกับที่บ้าน ที่บ้านที่ไม่ได้แปลว่าเกาะพ่อแม่กินแบบคนมีตังค์เขานะ อยากเหมือนกัน แต่ไม่มีให้เกาะไง ต้องมาช่วยกันกับเมีย
  • เมียบ่นวนอยู่สองเรื่อง คือเรื่องอ้วน และเรื่องไม่มีตังค์ พักหลังๆ มาเน้นเรื่องไม่มีตังค์มากกว่า
  • ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ปีที่ผ่านมา ลากยาวมาจนถึงวินาทีนี้ ยังไม่มีช่วงไหนที่ง่ายเลยกับอาชีพการงานของเราสองคน ตั้งแต่โควิดเป็นต้นมาที่พลิกทุกอย่างจากดาวสู่ดิน แต่ก็ยังสู้เท่าที่สู้ไหว ประคับประคองและพยายามหาช่องทางอื่นๆ ที่เดินทางไปกันได้
  • เมียยุให้กลับไปทำงานบริษัท อย่างน้อยก็มีสิ่งที่เรียกว่าความมั่นคงอยู่บ้าง แต่ดูแล้วไม่น่าไหวมั้ง
  • ลูกๆ โตขึ้น แฮปปี้ดี ปีหน้าย้ายโรงเรียนทั้งคนโตที่ขึ้น ม.1 และคนเล็กที่ย้ายมาเรียนใกล้บ้าน ค่าเทอมแพงกว่าเดิม แต่ได้เวลาเพิ่มขึ้นมาก
  • ตอนเด็กๆ บ้านเรายากแค้นมาก แถมลูกก็มีตั้งสี่คน แต่ถึงจะลำบากยังไง นโยบายของพ่อแม่คือ ถ้าลูกอยากเรียน จะต้องกู้หนี้ยืมสินเท่าไหร่ก็ยอม เพื่อส่งให้เรียนสูงที่สุด ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่เฉียบขาดมาก ถึงแม้พ่อกับแม่จะเพิ่งมาสบายตอนแก่ก็ตาม
  • เปรียบกับตอนนี้มันอาจจะปรับบริบทให้เป็นปัจจุบันหน่อย เราคิดว่าการมอบโอกาสให้ลูกไว้ก่อนนั้นเท่าไหร่ก็เท่ากัน เพราะเราในฐานะพ่อแม่ก็ถือว่าได้เห็นนั่นนี่มาพอสมควรแล้ว ถึงจะไม่ได้หรูหราหรืออิ่มเท่ากับคนในโซเชียล แต่ก็ยังดีที่มีอะไรไว้เล่าว่าอดีตเคยแรง
  • อ้าวบ่นอะไรเนี่ย กลับมาเรื่องครอบครัว
  • ย้อนไปถึงรุ่นแม่ แม่ตายเมื่อเดือนตุลาฯ เราไปเจอแม่ครั้งสุดท้าย กินก็วยเตี๋ยวด้วยกันสองคน ขับรถพาไปทัวร์รอบๆ ตามที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ตอนไปเพชร (ซึ่งครั้งนั้นไปคนเดียวเพราะไปทำธุระที่ดินข้างๆ เขารังวัดเลยต้องไปเซ็น) กอดครั้งสุดท้ายก็รู้สึกว่าแม่แก่จัด เหลือตัวนิดเดียว ผอมกว่าแมวอีก และไม่กี่วันแม่ก็ตาย
  • งานศพเป็นไปอย่างปกติธรรมดา เหมือนอีกหนึ่งงานที่โลกนี้มี คนตายก็เป็นเรื่องธรรมดา เหมือนการตายอีกครั้งที่โลกนี้มี ใบเก่าปลิดปลิวลงไป ใบใหม่ก็งอกขึ้นมา นี่ก็เรื่องธรรมดา
  • สำหรับเรา เราทำเรื่องบริจาคร่างกายกับสภากาชาดไทยเรียบร้อย บอกลูกไว้แล้วว่าไม่ต้องจัดงานอะไรเลย ไม่มีศาสนา ไม่มีพิธีกรรม เอาศพไปให้โรงพยาบาลเขา แล้วก็จบกันเท่านั้นแหละ ง่ายดี
  • ลูกก็เข้าใจ เออดี สอนกันแบบไม่ต้องดราม่าอะไร

ปีนี้

  • ความสัมพันธ์กับมนุษย์ทั่วไปก็น้อยลงเรื่อยๆ พูดน้อยลง เพื่อนมีเท่าเดิมแต่พอห่างๆ กันไปก็คงไม่ได้สนิทเหมือนเดิม มั้งนะ พอดีไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับใครเท่าไหร่แล้ว จะมีก็แก๊งพอดแคสต์สามโคกและเทเลแกรมที่ใช้เวลาชีวิตอยู่ด้วยกันผ่านหน้าจอเป็นหลัก เท่านั้นเลยจริงๆ
  • บล็อกที่ไม่ได้เขียนมานาน ก็เพราะไปเล่นทวิตเตอร์อย่างที่เคยบอกไว้สักแห่ง เสียใจเหมือนกัน แต่พอคิดถึงบล็อกทีไรก็อยากมาเขียนยาวๆ เพียงแค่รู้สึกว่าไวยากรณ์มันเยอะจัง อยากให้พ่นง่ายๆ แล้วกดโพสต์เลยกว่านี้
  • พอดแคสต์ที่จัดก็มีเสาเสาเสา เถกจ๊อก #คุณหมอขา สามรายการเหมือนเดิม ไม่ได้ตังค์หรอก เสียเวลาด้วย แต่ได้ฟังอะไรเพลินๆ ดี ยังเป็นแบบนี้เสมอมา (เสาเสาเสาแม่งแปดปีแล้ว)
  • ปีนี้พลอยชวนมาวาดรูปกัน ได้เลย จะวาดบ่อยๆ แบบไม่พยายาม
  • ปีนี้จะปล่อยฟอนต์ประมาณห้าตัว โม้ไว้ก่อน เพิ่งทำได้ตัวเดียว
  • ปีนี้จะขี่จักรยานเล่นอีกครั้ง เอาสักก่อนเดือนพฤษภา เพราะหมอบอกว่าไขมันเลวคุณเยอะ อยากให้มันหายไปหน่อย แต่ไม่รู้ค่าฝุ่นและค่าแดดจะโหดสัสจนไปไม่ไหวไหม แต่ไม่อยากออกกำลังในบ้านน่ะ ขอแบบชมวิวชิลเล่นหมาเล่นงูข้างทางได้ไหม

อะไรอีกล่ะ

  • ยังอยากมีเวลาเยอะๆ เหมือนเดิม เอาไว้อ่านการ์ตูน เดี๋ยวนี้อ่านก่อนนอนทุกคืน ทำเป็นกิจวัตรที่ขาดไม่ได้ ก็โอเคนะ บางทีเอาไปฝันเพี้ยนๆ ก็สนุกดี เหมือนได้โบนัสแทร็ก
  • ยังเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ยังไม่พอใจเท่าไหร่ ไม่รู้สิ ไม่ได้ฟูมฟายกับสิ่งที่ขาดหาย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับภาคภูมิใจในปัจจุบัน ที่เขาว่าพอเราโตขึ้น ชีวิตจะแหว่งเว้าไปเรื่อยๆ ตามการเซาะกร่อนของกาลเวลา
  • ของเรานี่ก็คงเว้าใช้ได้ แต่ไปนูนตรงพุง
  • ไม่ได้วางแผนอะไรกับอนาคตของปีนี้ไว้เลย รู้แค่ตอนนี้ก็ลอยๆ เปิดโหมดออโต้ไว้พอสมควร คือสิ่งที่วางรากฐานไว้นานแล้วก็ทำงานของมันไป เราก็อยู่กับมันได้
  • จะมีเรื่องเศรษฐกิจทางบ้านกับสุขภาพที่ยกมาเป็นประเด็นที่ให้ความสำคัญของปีนี้ที่ถ้ามันดีขี้นได้อีกนิด คนรอบๆ ตัวก็จะยิ้มกว้างกว่านี้

เมื่อวานทำฟันเสร็จออกไปเดินเจอร้านเค้กวันเกิด (ถูกๆ ก้อนละ 150 บาทเอง) นึกได้ว่าไม่ได้กินมานาน ทีแรกจะซื้อเลย แต่ก็นึกได้ว่าเอ๊ะพรุ่งนี้ก็วันเกิดเราแล้วนี่ ทำอีเวนต์ตอแหลดูดีกว่า เลยชวนลูกไปซื้อเมื่อกี้ก่อนกลับถึงบ้าน

เราไม่ใช่คนที่อะไรเลยกับวันเกิด ไม่เลย เกลียดการเซอร์ไพรส์ด้วย มันอี๋ๆ น่ะ ยิ่งยุคโซเชียลด้วยแล้วก็ยิ่งเอาข้อมูลวันเกิดทุกอย่างออกหมด แต่วันนี้นี่พิมพ์ก่อนกินข้าวเย็น กินเสร็จก็จะเอาเค้กในตู้เย็นมากิน ไม่รู้ก้อนแรกในรอบกี่สิบปี

อายุเท่านี้แล้วคือเริ่มเข้าสู่โหมดอะไรก็ได้แล้วน่ะ

ทำเหยื่อกำจัดแมลงสาบในบ้านที่มีเด็ก มีแมว มีแม่บ้านพม่า

แมลงสาบบุกบ้านครับ ไม่คิดว่าจะมีวันนี้

พอตกดึก ผมทำงานทำการเสร็จเดินลงมาเปิดไฟ เปิดตู้เย็น ก็เห็นเลยว่ามีลูกกะจั๊วจิ๋ววิ่งเต็มครัวไปหมด บางวันก็ลามไปถึงเคาน์เตอร์ครัว กระทั่งโต๊ะกินข้าว!

แมวสองตัวที่เลี้ยงไว้เพื่อหวังจะให้ตะปบแมลงสาบกินให้ราบคาบ พอเจอจั๊ววิ่งผ่านหน้า มันกลับนั่งดูเฉยๆ (สนใจล่าเฉพาะจิ้งจกบนเพดาน) เลี้ยงเสียอาหารเปียกจริงๆ

เมื่อหวังอะไรไม่ได้ ผมเลยเปิดกรุ๊ปงานบ้านที่รักดู แน่นอนมันต้องมีคนเจอปัญหาคล้ายๆ งี้มาแล้ว และได้รีวิวป้ายยา “เจลกำจัดแมลงสาบ” ที่หลายคนฮือฮาว่าเฮ้ยมันเวิร์ก หลักการคือคล้ายๆ กับซันเจี่ย ที่เป็นอาหารแสนอร่อย จั๊วไหนที่ซวยผ่านมาแวะชิม ก็จะเดินงงๆ กลับไปตายที่รัง

พอเพื่อนๆ ญาติมิตรที่รักมารุมกินศพ ก็ตายห่าตกไปตามกัน เรียกว่าฆ่ายกโคตรล้างตระกูล โหดชิบเป๋ง

ผมก็เลยเป็นเหยื่อการตลาด ลองซื้อมาจากแอปส้ม แล้วหยดตามหลืบตามมุมบ้านเป็นเม็ดจิ๋วๆ ดู จะได้ผลไหมหนอๆๆๆ

ผ่านไปสามวัน แมลงสาบหายหมด (เยส)

ผ่านไปสี่ห้าวัน ลงมาดูอีกที อ้าว… เม็ดๆ นั่นหายหมด คือด้วยความที่ไม่ได้บรีฟคุณแม่บ้านไว้ แกเลยถูบ้าน เก็บซอกเก็บมุมหมดเกลี้ยง สะอาดเอี่ยม

หลอดละเกือบสองร้อย หยดไปประมาณแปดสิบบาท เกลี้ยง…

แล้วมันก็กลับมาใหม่ เหมือนแค้น คราวนี้เลวมาก มันไล่ไต่ไปถึงลิ้นชักเก็บช้อน อีเลว!

เฮ้ย บ้านที่เสียอธิปไตยให้แมลงสาบนี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ผมไล่เก็บกวาดทำความสะอาดบ้านยกใหญ่ รื้อตู้ (เจอรังแมลงสาบย่อมๆ มีไข่เข่ยด้วย กำจัดหมด) ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ เหงื่อโทรมกาย

แล้วมันก็หายไปสองวัน เพื่อจะกลับมาใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม…

ที่บ้านมีเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย มันเวิร์กมากแก ตอนที่สติขาดนั้นเราสามารถวิ่งเข้าไปหยิบมาแล้วดูดดดดดดดศัตรูบ้านพวกนี้ให้หายวับเข้าไปปั่นติ้วๆๆ (ตายด้วยนะ) ในเครื่อง แล้วเห็นตอนมันหมุนทั้งตัวเล็กตัวจิ๋ว สนุกมาก สัญชาตญาณนักฆ่าทำงานเต็มที่ ผมทำแบบนี้คืนนึงๆ ดูดรวมได้สิบกว่าตัว เฮ้ย เยอะมากนะ

แล้วมันก็หายไปสองวัน เพื่อจะกลับมาใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม…

กูไม่ทนแล้ว!!! คราวนี้ขอเปลี่ยนแผนเป็นนายพรานดักเหยื่อแบบจริงจังเลยดีกว่า ต้องปราบมันให้หมดให้ได้ และต้องไม่เสียเวลามาไล่ล่ามันโดยไร้จุดหมายด้วย

ว่าแล้วก็เริ่มคิดวิธีการอัปเกรดอุปกรณ์เหยื่อดักมรณะ ร่วมกับเจลเทพที่เคยใช้ได้ผล (แต่ได้ไม่นาน) ที่คราวนี้แหละ จะต้องแก้ปัญหาอันน่ากังวลใจ เช่น

  • ที่บ้านมีเด็กเล็กและเด็กโต โอเคแหละ เด็กโตพอคุยรู้เรื่อง แต่เด็กเล็กบางทีก็ตีมึน ชอบไปจับไปลูบ หรือเล่นของเล่นที่มันกลิ้งเข้าไปในซอกหลืบ แล้วดูดนิ้ว
  • เด็กข้างบ้านที่ยิ่งแล้วใหญ่ ดูดทุกอย่างที่จับเมื่อกี้
  • แมวสองตัวยิ่งแล้วใหญ่ คือไม่รู้หรอกว่ามันจะกินเจลแมงสาบไหม แต่ก็ไม่อยากเสี่ยง เพราะหลังซองมันบอกว่าเป็นอาหารที่อร่อยมาก เผื่อมันอร่อยสำหรับแมวไง
  • แม่บ้านพม่าที่ผมตื่นมาแกก็ทำความสะอาดบ้านเสร็จแล้วโดยไม่รอบรีฟ
  • เมีย ที่ยื่นคำขาดว่าจะซื้อซันเจี่ยมาโรยทั้งครัว คืออย่างอื่นพอคอนโทรลได้ แต่ถ้าเมียประกาศแบบนี้แล้ว คือโรยส่งเดชแน่ๆ เหนือการควบคุมที่สุด แต่เพื่อสวัสดิภาพ เราจะไม่พูดถึงเยอะ

ลืมไปว่าเดี๋ยวนี้คนไม่อ่านอะไรยาวๆ กันแล้วนี่หว่า งั้นเริ่มเลย!

คือเจลอาหารแมงฉาบเนี่ย ที่เคยหยอดตามซอกหลืบ มันจะเป็นก้อนเล็กๆ เท่าหัวเข็มหมุด หน้าตาเหมือนยาสีฟัน ซึ่งดูแล้วถ้าเราเป็นแมวก็คงพุ่งไปชิม งั้นทำไงดีให้แมวเลียไม่ถึง และวางอยู่ตรงไหนก็สามารถทำงานได้

นึกอยู่นานว่าจะใช้อะไรเป็นภาชนะดี คือมันต้องดูเหมือนเป็นฝาปิดได้ด้วย ทีแรกจะเอาฝาน้ำอัดลม แต่ก็ทิ้งไปหมดแล้ว งั้น… เอ้า หลอดไงล่ะ หลอด เปิดลิ้นชักเจอหลอดชานมไข่มุก โอ๊ะ ขนาดพอดี ตรงตามสเปก เอาเลย

เอามาตัดเป็นท่อนๆ ไม่รู้ต้องเท่าไหร่ เราเอานิ้วนึงก่อนละกัน ได้มาเท่านี้

ขั้นตอนสำคัญคือต้องสื่อสารกับ ลูก เมีย พ่อตาแม่ยาย น้องเมีย ฯลฯ ที่มาบ้านเราตลอดวัน และที่สำคัญคือแม่บ้านที่ชอบพาหลานข้างบ้านมาเล่นด้วย ทำอาร์ตเวิร์กมันซะเลย อ่านไทยไม่ออกก็คงพอเข้าใจล่ะมั้ง

พรินต์ ตัดเป็นชิ้นๆ ขนาดพอดีคำ แล้วก็เอาสองอย่างมาแปะติดกันง่ายๆ แบบนี้แหละ

เราก็จะได้โมดูลอันตรายขึ้นมาแบบนี้ หวังว่าแมลงสาบจะอ่านไม่ออกนะ

ตอนนี้มือยังสะอาด ไม่ปนเปื้อนสารพิษ เราก็เอาเทปใสไปแปะตามจุดต่างๆ ของบ้านก่อน

สังเกตว่าคราวนี้เราไม่ได้แปะตรงพื้นแล้ว เพราะก่อนนี้ค้นพบว่าจั๊วมันสามารถเคลื่อนที่สามมิติได้อย่างเก่งกาจ แต่ไม่ถูพื้นนั้นทำงานเฉพาะแนวราบ ดังนั้นเราจึงขยับขึ้นมาแปะสูงจากพื้นหน่อย

เมื่อเรียบร้อยทุกจุดแล้ว ก็ไปหยิบแอปเปิลพิษมาจากตู้ บรรจงหยดลงไปในหลอด สังเกตว่างวงมันยาวประมาณ 1 ซ.ม. ก็สามารถจ่อเข้าไปในหลอดที่ยาวนิ้วนึงได้ แล้วแมวก็คงเลียเข้าไปไม่ถึงหรอกมั้ง แต่แมงฉาบกินถึง… ไงล่ะ ดูเหมือนคิดมาแล้ว

เคาน์เตอร์ครัวจะมีร่องตรงนี้ ดูแล้วไม่เกะกะ ก็ติดและหยอดมันไปทุกระยะ

สุดท้ายนี้ให้ดูรายละเอียดของเจลกำจัดแมลงสาบว่ามันทำงานยังไงอะไรบ้าง เผื่อใครจะซื้อตาม แต่แพ้งแพง ซันเจี่ยถูกกว่าเยอะเลย

ยังไงงวดก่อนหน้านี้ผมเห็นว่ามันทำงานได้ผลนะครับ แต่ได้แค่ไม่นาน ครั้งนี้พอทำภาชนะสำหรับใส่เจลแล้ว ก็หวังว่าภาชนะจะพาให้เราชนะมันให้ได้ (นั่นแน่ะ มีการเล่นคำ)

ใช่ครับ ครั้งนี้มนุษยชาติต้องชนะ

ช่วยอวยพรเราด้วย

มีลูกดีไหม : คำถามสุดฮิตของคนวัยทำงาน

เวลาอัดเสาเสาเสาเสร็จ จะมีเวลาที่เหล่าผู้จัดรายการยังคงออนซูมคุยนั่นคุยนี่กันอีกนานเป็นชั่วโมง บางทีก็นานกว่านั้น กินนั่นกินนี่หรือทำงานไปด้วย จนดึกดื่นมากๆ นั่นแหละถึงได้แยกย้าย ในแต่ละครั้งจะมีประเด็นสนทนาที่ซีเรียสบ้าง เรื่อยเปื่อยบ้าง ลามกจกเปรตบ้าง ซึ่งปกติแล้วเราจะเป็นคนฟังอย่างเดียว และทำงานหรือวาดรูปไปด้วย ไม่ค่อยได้ออกความเห็นอะไร คือชอบเป็นคนฟังมากกว่า

แต่สำหรับเมื่อคืน ซึ่งเป็นคืนที่เราทำงานกระหน่ำมาก (เตรียมอาร์ตเวิร์กสกรีนเสื้อที่ออเดอร์ทะลักอยู่ตอนนี้) มีอยู่ช่วงหนึ่งที่น้องมันคุยกันเรื่องชีวิตของแต่ละคน จนถึงเรื่องแต่งงานและการมีลูก

แน่นอนว่าบทสนทนาร่วมของคนอายุ 30 กว่าๆ มาถึง 40 มันจะไม่ใช่วัยที่แซวกันว่าคนนั้นเป็นแฟนคนนี้ คนนี้ได้กับคนนั้นแล้ว แต่มันจะเป็นประมาณว่า เออเราไปกินข้าวกับเพื่อนครั้งล่าสุด เพื่อนคนนั้นก็อุ้มลูก คนนี้ก็แต่งงานคนนู้นก็เลิกกัน

แล้วก็จะต้องเข้าสู่คำถามสุดฮิตของคนวัยเรา

คือ มีลูกดีไหม

ซึ่งสังคมเมื่อก่อนเราจะสงสัยเรื่องนี้กันตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้เป็นสิบๆ ปี คือเดี๋ยวนี้แม่งชอบมีลูกกันตอนอายุเยอะๆ บางคนก็ไม่มีเลย บางคนอยากมีแต่ก็ไม่มี บางคนยังไม่ได้ทันนึกเลยว่าควรมีหรือไม่มีดีหนอ แต่ก็มีเอง

บางคนพ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่ามีแฟน มาถึงก็อุ้มลูกเลย แบบนี้เรียกว่าลั่น สมัยวัยรุ่นจะเจอบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว

.

ต้องขอเกริ่นไว้ให้นิดนึง ให้ตัวเองตอนที่ย้อนกลับมาอ่านบล็อกในหลายๆ ปีหลังจากนี้

ตอนนี้สถานการณ์ประชากรในประเทศไทยโดยรวมก็คือ เส้นกราฟจำนวนคนตายมากกว่าจำนวนคนเกิดแล้ว นั่นแปลว่าเด็กเกิดน้อยลงเรื่อยๆ เรากำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ แล้วอะไรล่ะคือสาเหตุ

เอาแค่เรื่องแต่งงาน หลายๆ คนอายุ 30 – 40 ปี ถ้านับคนที่มีแฟนแล้วก็มีจำนวนมากที่ตัดสินใจไม่แต่งงานเพราะเสียเวลา ยุ่งยาก เปลือง ก็แค่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ง่ายจะตาย ซึ่งไอเดียนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ในหมู่มิตรสหาย เราจะคุ้นชินกันมาหลัก 10-20 ปีแล้ว

แต่พอสเต็ปถัดไปเรื่องการมีลูก บทสนทนามันจะมาถึงทางแยก โดยเฉพาะในการมีตติ้งสังสรรค์กับเพื่อนมหาลัยหรือเพื่อนมัธยมอะไรแบบนี้

คนที่ไม่มีลูกก็จะให้เหตุผลว่าไม่อยากมีหรอก แม่งเปลือง หรือไม่พร้อม ไม่มีตังค์ กลัวลูกโตมาเจอสังคมเหี้ย หรือไม่ชอบเด็กหรืออะไรก็ว่าไป

แต่กับคนที่มีลูกน่ารักสามขวบแก้มยุ้ยอุ้มมานั่งคุยกับเพื่อน คนนั้นมันจะกลายเป็นชาวลัทธิชนิดหนึ่ง ที่พยายามจะเชียร์ให้เพื่อนว่ามึงมีลูกเถอะ ดีนั่นนี่ แฮปปี้ลันล้า มีเถอะมึง

แล้วสองทีมนี้ก็จะไม่เข้าใจกัน เกิดเป็นสงครามเย็นระหว่าง 2 ค่ายความคิด

ตามความเห็นของเรา บอกเลยว่า บทสนทนานี้มันก็มาถึงทางตัน เพราะคนที่ไม่มี หรือไม่อยากมี ก็จะไม่เก็ตจริงๆ *ไม่มีทางเลย*

เอาจริงๆ การมีลูกเนี่ย ใครๆ ก็จะพอรู้กันว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต อันนี้้เบสิกพื้นฐานเนอะ แต่พอฟังแล้วก็จะยังนึกไม่ออกว่ามันจะทำให้เห็นภาพยังไง

เราเคยเขียนไว้ในหนังสือคือปะป๊าครองพิภพ (สำนักพิมพ์แซลมอน ทุกวันนี้ยังมีขายอยู่ตามกระบะหนังสือลดราคา 50 บาท) ด้วยความคิดสมัยเกือบ 10 ปีที่แล้วที่เพิ่งมีลูกคนแรกตอนอายุไม่ถึงขวบ และกำลังเห่อมาก ว่า ชีวิตเรามันคงเหมือนการเดินขึ้นบันได เราจะเลือกเดินขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ขึ้นแล้วขึ้นเลย คนที่อยู่ขั้นบนก็จะได้พบทัศนียภาพแบบใหม่ และในขณะเดียวกันคนที่อยู่ข้างล่างก็จะนึกไม่ออกหรอกว่าวิวข้างบนเป็นยังไง

ถ้าลองนึกดู ขั้นบันไดชีวิตเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นตอนเรียนจบ แต่งงาน จนกระทั่งมีลูก

ฟังดูแล้วสะเหล่อนิดนึง แต่นั่นแหละ มันเป็นสำนวนที่เอาไว้เขียนหนังสือเมื่อนานมาแล้ว

ถ้าตอนนี้ย้อนไปเขียนเพิ่มได้ เราจะบอกว่า อีขั้นบันไดพวกนี้มันขึ้นแล้วขึ้นเลย ขึ้นแล้วลงไม่ได้ด้วยนะ

ถ้าโฟกัสเฉพาะเรื่องการมีลูก เราไม่สามารถทดลองเลือกว่าโอเค กูขออยู่ค่ายมีลูกละกัน พอมีลูกปุ๊บ แล้วตื่นมาอีกวันหนึ่งจะบอกว่า เชี่ยแม่ง ไม่เวิร์ก ขอย้ายไปทีมไม่มีลูก แบบนี้ไม่ได้นะ

คือการมีลูกมันเป็นชอยส์ ทุกคนมีเหตุผลที่ดี (หรืออาจไม่ดีก็ได้) ตามประสบการณ์ชีวิต และทัศนคติของตัวเองกับคู่ ดังนั้นจะขิงกันเพื่ออะไร

การเถียงกันเรื่องดีหรือไม่มีลูกดีหว่า จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคู่ถกเถียงไม่ใช่แค่เพื่อนที่เจอกันตามงานเลี้ยงมีตติ้ง แต่เป็นคู่ชีวิตตัวเอง

มีเพื่อนหลายคนที่คิดไม่เหมือนกันกะแฟน คนนึงอยากมีลูก แต่อีกคนไม่อยากมี …

คำถามว่ามีลูกดีไหม จึงไม่ใช่แค่การเอามาขิงกันเล่นๆ แต่หลายๆครอบครัวก็ประสบปัญหากันแบบนี้จริงๆ บางทีบ้านแตกเลยก็มี

ดราม่าแบบใน Fast and Feel Love จึงเป็นสิ่งที่ valid ในโลกจริง ในสังคมบ้านเรา อ้าวยังไม่ได้ดูเหรอ เดี๋ยวรอลง นฟ ละกันนะ

สำหรับเราที่ถูกตั้งคำถามแบบนี้เป็นระยะๆ เพราะตัวเองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในกลุ่มเพื่อนที่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มไหนก็ตาม

พอถูกถามแบบกระชั้นชิด คนที่ชอบนั่งฟังเพื่อนคุยกันแต่ไม่ค่อยพูดอะไรอย่างเรา ก็นึกคำตอบให้แบบด่วนๆ ไม่ออกจริงๆ

ก็ได้แต่บอกติดตลกเอาตัวรอดไปว่า เราแม่งมีลูกแล้วไง จะให้ย้อนกลับไปเป็นทีมไม่มีลูกก็ไม่ได้แล้ว ดังนั้นคำตอบของเรามันคือคำตอบลำเอียงของคนที่มีลูกแล้วเท่านั้น มึงจะฟังเหรอ

หลายครั้งที่คุยกันว่ามีลูกจะเหมือนเลี้ยงหมาไหม

อีเหี้ย นี่ลูก เป็นคน ไม่ใช่หมา

ด้วยความเคารพลัทธิเลี้ยงหมาเป็นลูก มันไม่เหมือนกันจริงๆ ถึงบ้านเราจะเลี้ยงหมาเป็นหมา (และเลี้ยงแมวเป็นลูก) แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายก็ได้มั้ง ว่ามันต่างกัน

ถึงจะมีจุดร่วมกันคือเลี้ยงแล้วเปลืองตังค์ชิบหายก็เถอะ

มีลูกเองกับเลี้ยงหลาน ก็ต่างกัน

บางคนบอกว่าเลี้ยงเด็กที่เป็นลูกของพี่ หลานของน้า แล้วชอบ (บางคนก็ไม่ชอบ) ก็จะตอบอีกว่าการถือครองลูกของคนอื่น มันเป็นประสบการณ์ชั่วคราว

แต่การมีลูกเองมันเป็นประสบการณ์ถาวร ถาวรแบบอยู่กันไปจนตายไปข้างนึงน่ะ

บางคนที่อยู่ในลัทธิมีลูก ก็จะให้เหตุผลแบบคนแก่ว่าพอมีลูกแล้ว
จะได้เอาไว้ดูแลตอนแก่ หรือเอาไว้ทดแทนคุณ หรืออะไรก็แล้วแต่

บอกตามตรงจากในมุมมองของเรา ณ ตอนนี้ เราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ไม่ได้ตอบหล่อๆ แต่คงเพราะยังจินตนาการไม่ถึง หรือด้วยวัยวุฒิที่ยังนึกไม่ออกว่า ไอ้เด็กสองคนที่นั่งเล่นมือถือแคะขี้มูกอยู่ตรงโซฟานี้มันจะมาดูแลอะไรเราได้วะ แค่แปรงฟันเองยังไม่สะอาดเลย

ที่จริง เรื่องการขึ้นบันไดที่พูดไปข้างบน ตรงหน้าสุดท้ายของหนังสือ (สปอยล์เลยละกัน) เราลองทำนายไว้ว่ามันน่าจะมีจากนั้นอีกหลายขั้น

ลูกเข้าโรงเรียน ลูกเริ่มเป็นวัยรุ่น ลูกมีแฟน ลูกมีผัว ฯลฯ

อ้าว วนลูปนี่

ใช่แล้ว วนลูป และมนุษยชาติก็อยู่ในลูปแบบนี้มาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปีแล้ว

คนที่ชื่นชอบการชมวิวอย่างเรา ก็จะขอใช้คำว่า มันเป็นความสุขในการเฝ้าดูละกัน

ไม่เก็ตใช่ไหม แน่นอน ไม่แปลกใจ 555555

เอาแค่คนที่มีลูกเหมือนกัน แต่ลูกยังเล็กๆ วัยป้อนนม ก็จะไม่มีทางเก็ตหรอกว่าพอลูกโตจนเดินเองได้พูดได้จะเป็นยังไง

หรือคนที่มีลูกโตเดินเองได้และพูดได้ ก็นึกไม่ออกหรอกว่าเวลาเด็กมันเข้าโรงเรียนแล้วจะยุ่งยากวุ่นวายหรือมีอะไรสนุกตื่นเต้นขนาดไหน

หรือแม้แต่คนที่มีลูกโตขึ้นมาแล้ว แต่มี 1 คนก็จะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าพอมีอีกคนปุ๊บ ชีวิตของลูกและเรา จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง

ทั้งหมดมันเป็นเรื่องการสัมผัสประสบการณ์ของชีวิต ซึ่งแต่ละคนมีลู่วิ่งเป็นของตัวเอง คุณจะขึ้นหรือไม่ขึ้นบันไดก็ได้ และเอาจริงอย่างที่บอกว่าคุณจะเลือกเดินสู่สเต็ปถัดไปหรือไม่ก็ได้ การขึ้นบันไดมันก็ไม่ได้มีเส้นเดียว ไม่งั้นน่าเบื่อแย่

ที่นี้มาสู่คำถามสำคัญว่า มีลูกแล้วคุ้มไหม

ขอใช้คำว่า “คุ้ม” เป็นคำถามทางเศรษฐศาสตร์เลย แบบไม่ต้องโรแมนติก

สำหรับเรา ซึ่งให้คำตอบแทนใครไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดต่างกันไป อันนี้ไม่ต้องพูดเยอะนะ มันเป็นสิ่งที่คนโตๆ จะเข้าใจกันปกติ

ซึ่งคำตอบของเราคือคุ้ม

ถามอีกทีก็บอกว่าคุ้ม ไม่ได้ชักจูงให้ใครคิดตาม แต่กูคุ้ม จะให้กูพูดใช่ไหม นี่ไง ฟังกูดิ กูบอกว่าคุ้ม

ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง (ที่ถ้ามองแบบนี้ไม่คุ้มแน่ กินเปลืองบัดซบ) แต่มันก็ยังคุ้ม แม้ต้องแลกอิสระในการใช้ชีวิตของเราและเมีย

แลกแบบแลกเยอะมากเลยนะ เคยมีไลฟ์สไตล์ยังไงตอนวัยรุ่น พอมีลูกปั๊บ มันเปลี่ยนเลย เปลี่ยนไปตลอดกาลด้วย ไม่ใช่แป๊บๆ

บางครั้งก็คิดถึงการได้ออกไปเดินทางท่องเที่ยวง่ายๆ คล่องตัว เมียอยากไปสวิส ไปญี่ปุ่น ฯลฯ แต่พอมีภาระอยู่ที่บ้านปั๊บ มันไปไม่ได้แล้วไงล่ะ ถ้าไปปุ๊บ ภาระแม่งนอนจมกองขี้อยู่บ้านแน่ๆ …ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่เกิดก็ได้กับหลายครอบครัวที่มีคนช่วยดูแลลูก

เห็นไหมว่าเหตุปัจจัยในแต่ละบ้านไม่เหมือนกันจริงๆ

ซึ่งเราเข้าใจมากๆ อิสระเสรีภาพในการใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่มีมูลค่าในทางเศรษฐศาสตร์สูงที่สุดแล้ว บางคนไม่อยากแลก ตรงนี้ก็ควรเข้าใจเขา ไม่ใช่ไปล็อบบี้กดดันกัน

แต่แลกมาขนาดนั้น แล้วอะไรล่ะที่เรียกว่าคุ้ม

ตอนนี้ลูกเราคนโตคือ 10 ขวบ อยู่ ป.5 ฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังมา สิวเริ่มขึ้น เพื่อนในห้องเริ่มมีเมนส์ ส่วนคนเล็ก 7 ขวบ อยู่ ป.2 กำลังสนุกกับการได้ไปเรียน on-site และเล่นตามประสาเด็กกับเพื่อนๆ

นี่คือบันไดชีวิตขั้นที่เรายืนอยู่

เราไม่ได้โรแมนติกอะไร ปัญหาชีวิตก็มีสารพัดอย่างที่น่าจะมี แถมยังไปในอนาคตไม่ได้ บันไดขั้นที่สูงกว่านี้เหรอ ไม่เห็นและไม่มีทางรู้หรอก นึกไม่ออกจริงๆ ว่าลูกเราโตไปจะโอเคไหม เด็กมันจะรอดไหม จะเข้า ม.1 โรงเรียนไหน เพื่อนจะบูลลี่หรือไปบูลลี่เพื่อนไหม และจะต้องเติบโตในสังคมที่ไม่รู้จะเหี้ยต่อไปอีกนานไหม

เนี่ย วิวตอนนี้

แต่พอมองย้อนลงไปยังขั้นที่เราก้าวผ่านมา ความคิดของเรา ณ ตอนนี้ก็ยังมั่นใจ

เราแฮปปี้กับการเฝ้ารอดูการเติบโตของชีวิตเล็กๆ ที่เกิดขึ้น
มันลุ้น เหมือนปลูกต้นไม้… (มึงเปรียบเทียบเห็นภาพยากกว่าเลี้ยงหมาอีก)

เอางี้ก็ได้ มันเหมือนเราได้เล่นเกมที่ไม่มีวันจบ แต่ละวันก็ค่อยๆ เก็บเวลไป ได้ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น ตีบอสตัวใหม่ๆ ที่ขยันอัปแพตช์ อีห่า แค่บอสโควิดนี่กูกระอักเลือดจริง แทบไม่เงินให้เติมแล้ว มีเควสต์ใหญ่เควสต์ย่อยเกิดขึ้นให้ฝ่าฟันไป เจอบั๊กนิดหน่อย มีปัญหาเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง

แลกมากับ reward ที่พอแทนค่ากลับแล้ว มันคือรางวัลของชีวิต ไม่ใช่แค่ชีวิตเรา

แต่เป็นชีวิตของลูกเองด้วย

เป็นความรู้สึกว่าการอยู่ในสังคมนี้มันยังพอไหว ไม่ได้โหดร้ายบัดซบต่อชีวิตจนไม่อยากอยู่ต่อ แต่เอาวะ แก้ปัญหานี้ได้ก็สนุกดีว่ะ … งั้นกูแตกงอกใหม่เป็นถือไพ่อีกมือเลยละกัน แล้วส่งต่อสิ่งที่เรามี ไปให้ชีวิตใหม่ แล้วเฝ้าดู

มันคุ้มนะ กับการที่ได้เห็นความงอกงาม และงดงามของชีวิตเล็กๆ ที่บัดนี้โตจนไม่ต้องล้างตูดให้แล้ว

แต่เปลี่ยนเป็นทุกวันกลับมาบ้าน สวัสดีค่ะ เออ ไปเลย ไปอาบน้ำก่อน ถุงเท้าถอดยัง ไปล้างมือ ทำการบ้านก่อน อย่าเพิ่งเล่นเกม กินข้าวอะไรดีเย็นนี้ หยิบมือถือแม่ให้หน่อย อย่าแกล้งน้อง เออสึกมายากลตอนใหม่มาแล้วนะ อย่าเพิ่งกวนพ่อทำงานอยู่ แล้วเพื่อนหนูว่าไง เฮ้ยดึกแล้วไปนอน แปรงฟันสะอาดไหมเนี่ย ใครทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้ พรุ่งนี้งดโควตาเล่นเกม 10 นาทีนะ เออตกลงโรบินนี่มีพลังอะไรนะ เฮ้ยหัวเหม็นมาก อย่าแกล้งมารุ! กินน้ำส้มไหม ใครตด!! ฯลฯ

จนจบแต่ละคืนด้วยการเล่านิทานก่อนนอนส่งเดช ให้หลับไป

ง่ายๆ แบบนี้นี่แหละ ชีวิตที่บันไดขั้นนี้

วิวโคตรแจ่มเลยน้องงง

ภาพจาก คือปะป๊าครองพิภพ สนพ.แซลมอน ที่ลูกเอาไปอ่านจนทำเปียกบวมขาดเละ