วิธีเตรียมตัวสอบเข้าสาธิตธรรมศาสตร์

ช่วงนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำลังรับสมัครนักเรียนใหม่ชั้น ม.1 และ ม.4 พอดี

เรามองย้อนไปปีที่แล้ว ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของนิทาน ที่เป็นเด็ก ป.6 และต้องหาที่เรียนมัธยม เราก็ไม่ต่างจากผู้ปกครองบ้านอื่นๆ ที่ถ้าเป็นไปได้ ก็จะหาโรงเรียนที่ดีที่สุด (เท่าที่จ่ายไหว) ที่ถูกใจทั้งเด็กเอง และพ่อแม่

หลังจากไปดูมาหลายที่ ก็พบว่าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี่เอง ก็เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจของบ้านเรา

พอถึงช่วงสอบเข้า เราก็พอรู้มาว่าโรงเรียนนี้ไม่ได้สอบแบบวิชาการแบบที่เราคุ้ยเคย แต่เป็นระบบยื่นพอร์ตโฟลิโอ เลยลองเสาะหาและถามไถ่รุ่นพี่ ผู้ปกครองบ้านอื่นๆ หรือคุณครูที่รู้จักโรงเรียนนี้ ขอคำปรึกษา และเอามาปรับใช้ จนสามารถสอบเข้าได้สำเร็จ

เราคุยกับลูกไว้ว่า อยากคืนกำไร–เรียกแบบนี้ได้ไหม งั้นเอาเป็นเรียกว่าขอบคุณแทนละกัน–ขอบคุณความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาจากรุ่นพี่ๆ ด้วยการเป็นรุ่นพี่คนนั้นให้รุ่นน้อง

เราพ่อแม่ลูก (ท้ายคลิปมีเพื่อนลูกด้วย) จึงมาช่วยกันเล่าว่าการจะเตรียมสอบเข้าสาธิตธรรมศาสตร์นั้นต่างจากที่อื่นยังไง อะไรบ้างที่ควรรู้ ต้องเตรียมตัวยังไง และทำไงให้สอบติด

ทำเสร็จแล้วก็โล่งใจ จึงฝากส่งต่อเรื่องราวให้น้องๆ ได้รู้กันต่อไปจ้ะ

(เสียงเบาไปนิดนึง ใช้มือถือถ่าย แล้วลืมว่ามีไมค์ติดเสื้อ ต้องขออภัยครับ)

Viltrox AF 28mm F4.5 FE Chips-Size Ultra-Thin Lens

กดมาจาก Indiegogo ในราคาไม่ถึงสามพัน ($89) รวมภาษีแล้วก็ตีกลมๆ ไปสามพันละกัน

คำโฆษณาที่ได้เราไป ก็คือมันเป็นเลนส์ราคาถูก ขนาด 28mm ที่ขนาดเล็กและบางเบามาก เบาขนาดที่ว่าดูผ่านๆ เหมือนกับเป็นฝาปิดกล้องเลย

ดูแล้วสรรพคุณน่าจะเอาไว้ใช้ถ่าย street photo หรือหันไปเห็นอะไรเจ๋งๆ แล้วหยิบมาถ่ายได้ทันที ซึ่งความสามารถนี้พวกกล้องใหญ่มันทำไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่สะดวก ส่วนถ้าเป็นมือถือบางครั้งก็หงุดหงิดใจในคุณภาพของภาพ ซึ่งความหงุดหงิดนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ

จริงๆ ภาพจากมือถือมันก็สวยแหละ (อย่างภาพบนนี้ก็ใช่) แต่ความโรคจิตของคนเป็นตากล้องมันต้องการอะไรมากกว่านั้นนิดนึง เช่นความละลายหลังที่เป็นของจริงจากกฎฟิสิกส์ ไม่ใช่จาก AI เอามาทำละลายเยิ้มๆ อะไรแบบนั้น โรคจิตไหมล่ะ

แต่ f4.5 ก็ไม่ได้ทำให้มันเวอร์วังอะไรมาก อ่านรีวิวป้ายยาก็รู้สึกว่ามันกลางๆ ไม่ได้ดีเด่นอะไร แถมถ่ายกลางคืนไม่น่าจะรอด

แต่ด้วยราคาของมัน ได้กู มึงได้กู

หลังจากสั่งไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผ่านมาไม่ถึงเดือนของก็มาส่งถึงบ้าน (พร้อมโดนภาษี)

ทั้งหมดมีแค่นี้จริงๆ แพ็คเกจง่ายๆ ดูแล้วรู้เลยว่าราคาไม่แพง แต่งานประกอบของชิ้นเลนส์ถือว่าโอเคนะ

ทีแรกกะว่าจะนอน แต่พอมีของเล่นตกมาถึงมือก็เลยลองซะหน่อย ก็เปลี่ยนกับเลนส์เดิมแล้วกดถ่ายมารุเลย ไม่มีการจัดอะไร

ก็ได้ผลออกมาน่าประทับใจกว่าที่คิด (คิดว่าจะไม่ประทับใจ)

ในห้องหนังสือ เป็นห้องสภาพแสงน้อยมาก แสงสีส้มด้วย ดัน ISO ไป 2,500 speed เท่าไหร่จำไม่ได้ น่าจะ 1/40 โฟกัสช้า บางครั้งก็โฟกัสแล้วแต่กดชัตเตอร์ไม่ลง นึกได้ว่าก่อนหน้านี้มีจดหมายมาจากบริษัทบอกว่าอาจมีปัญหาเรื่องการกดชัตเตอร์ auto focus ซึ่งจะเกิดในกรณีที่เราเปิดกล้องโดยไม่ได้เปิดหน้าเลนส์ไว้ก่อน คิดว่าใช้ไปก็คงชิน

อันนี้ครั้งแรกไม่เป็นไร อย่าให้มีครั้งที่ 2 ถ้ามีครั้งที่ 2 ก็อย่าให้มีครั้งที่ 3

แต่ที่แน่ๆ ภาพออกมาโอเคเลย! ไม่คิดว่ามันจะละลายหลังได้แต่ก็ละลาย คิดว่าสีมันจะออกมาแย่แต่ก็ไม่แย่

ที่สำคัญที่สุดคือขนาดมันเล็กและเบาเหมือนเป็นบอดี้กล้องเปล่าๆ ไม่ได้ใส่เลนส์ อันนี้เป็นจุดที่เป็นที่ตายถ้าใครผ่านมาอ่านแล้วคิดจะซื้อตาม

มันคือฝาปิดกล้องที่ถ่ายรูปได้!

เดี๋ยวไว้จะลองปั่นจักรยานเล่นแล้วพวกเจ้าตัวนี้ไปด้วยคิดว่าน่าจะได้ถ่ายอะไรข้างทางหมาแมวมาฝากด้วยเลนส์ตัวนี้จ้ะ

บอกหน่อยได้ไหมชื่ออะไรจ๊ะ

เห็นชื่อหนังอนงค์มาตั้งแต่ก่อนจะเข้าโรง แต่ก็ไม่ได้สนใจจะดู เพราะเราเห็นข้อมูลของหนังเรื่องนี้น้อยมากๆ รู้แต่นางเอกคือโบว์ เมลดา (ที่น่ารักมากๆ แต่เราก็ไม่เคยดูงานที่น้องแสดง) และกำกับโดยคุณเอส ผู้กำกับที่เราเชื่อฝีมือมาเกินสิบปี และเห็นตัวอย่างหนัง 1 ครั้ง จบ

เราไม่โทษตัวเองที่ไม่ได้ขวนขวายอยากรู้ต่อ แต่โทษอัลกอริทึมละกัน สบายใจดี…

ทั้งหมดนี้ทำให้เราพลาดการดูหนังไทยที่น่ารักมากๆ โคตรๆ เรื่องนึงในโรงไป เสียดายที่ไม่ได้อุดหนุนผู้มีส่วนร่วมที่ทำให้เกิดอะไรน่ารักขนาดนี้ขึ้นมา

มาได้ดูเอาก็เมื่อคืน ตอนลง นฟ และลูกเมียว่างพร้อมกันพอดี เลยเปิดดูเป็นเซสชันครอบครัวตอนค่ำๆ โดยที่ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่พอดูไปแค่ 10 นาทีแรก เฮ้ย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของหนังไทยที่มันตลก สนุก ไม่เก๊ก ไม่หยาบคาย แต่ก็ไม่จืดจาง แบบที่เราเคยรู้สึกกับหนังยุคเพื่อนสนิท (ของคุณเอส) มันกลับมาปรากฏต่อหน้าต่อตาเราอีกครั้ง

ใช้คำว่าอร่อยกลมกล่อมก็ดูจะตรงกับที่ใจคิด

นางเอกน่ารักมากกกกก ต้องเป็นคนนี้เท่านั้นด้วย เป็นคนอื่นก็ไม่ได้แบบนี้ (ถ้าให้นึกเท่าที่ความรู้เรื่องดารามีจำกัด อีกคนก็น่าจะเป็นน้องเต้ยที่ได้มู้ดใกล้เคียง แต่น้องเต้ยยังดูไม่คุณหนูคุณนายตามคาแรกเตอร์เป๊ะ)

แก๊งตัวประกอบ และคามิโอต่างๆ ที่โผล่มา ทั้งแบบที่เรารู้จักและไม่รู้จัก มันคือเครื่องปรุงรสที่ใส่มาแล้วอร่อยหมดเลย เวิร์กหมดเลย และตลกฉิบหาย ทำไมพี่เก่งจังง่ะ

วิธีการเล่าเรื่อง วิธีการต่อบท วิธีการเดินเรื่องไปสู่เป้าหมาย การอธิบายชัดๆ แบบเคี้ยวมาให้ย่อยง่ายสุดๆ คงเพราะอยากให้บันเทิง ไม่ต้องมาคิดเยอะอะไร ไม่ต้องยากสักอย่าง นั่นก็ทำได้อย่างสร้างสรรค์และแนบเนียน

จบเรื่องแล้วลุกขึ้นปรบมือ อร่อย อิ่ม มีความสุขครับ

ไม่รู้จะสรรเสริญอะไรเพราะไม่ใช่คนวิจารณ์หนัง แต่แค่บอกว่าชอบ และขอแสดงความขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันสร้างมันขึ้นมา

เลยมาไล่อ่านประวัติจนได้รู้ว่าอ๋อ นี่เป็นบริษัทใหม่ที่เวิร์คพอยท์จับมือกับเอ็มพิกเจอร์ส ขอเข้ามาสร้างสีสันให้หนังไทยอีกค่าย

สัมผัสได้เลยว่าหนังไทยมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องมารอรัฐบาลสนับสนุนห่าอะไรแล้ว … (อ้าวเครียดเฉยเลย)

มาม่าผักชี ของดี(?) จากเซี่ยงไฮ้

วันนี้มีกล่องพัสดุส่งมาให้น้าแอน แกะดูข้างในมีห่อกันกระแทกแบบนี้ พร้อมจดหมายที่อ่านยังไงก็ไม่น่าไว้ใจเลย

คุณซีเป็นมิตรสหายท่านหนึ่งที่มีความสุขกับการส่งอะไรมาทำไมวะ ว่างนักเหรอ ซึ่งในวาระนี้คุณซีไปจีนมา แล้วเห็นอะไรแปลกๆ เลยซื้อมาฝาก ซึ่งเราควรจะดีใจในน้ำจิตน้ำใจนี้

แต่ ช้าก่อน

นี่มันคุณซี

เราจึงได้เห็นมาม่า 1 ซองใหญ่ สีเขียวสด รูปผักชีเต็มๆ เน้นๆ กดส่องแปลภาษา บรรทัดบนบอกประมาณว่าหอมสุดๆ หอมสัสๆ เข้ หอมโว้ย ส่วนบรรทัดไตเติล บอกว่าเป็นบะหมี่ผักชี! (เออ กูเห็นก็รู้แล้ว!)

เท่านั้นยังไม่พอ เห็นซองข้างๆ ไหม นั่นคือกุ้งสำเร็จรูป และตีนไก่สำเร็จรูป (อ่านไม่ผิด) เพียงคุณฉีกซองก็ใส่ปากเคี้ยวได้เลย ทราบภายหลังจากคุณซีว่าคนจีนชอบเดินดูดตีนไก่แบบยนี้แหละ ทซื้อมา แกะ ดูดตีน แล้วทิ้งกระดูกไว้เป็นกอง จริงหรือไม่เราไม่รู้ แต่เราได้ยินเสียงหัวเราะแปลกๆ ในช่องแชต

และนี่คือการท้าทายครั้งล่าสุดของมิตรสหายท่านนี้ ที่อุตส่าห์ส่ง “อะไรแปลกๆ” มาให้กิน

โอเค ในเมื่อคุณส่งมา เราก็ขอสนองด้วยการจับทุกอย่างมารวมกัน แล้วแดกแม่งเลย เริ่ม!

พอฉีกซองผักชีปั๊บ กลิ่นงี้ฟุ้งไปถึงในครัว ไม่ใช่ครัวบ้านเรานะ แต่เป็นบ้านปากซอยถัดไปอีก 15 ไมล์

เราซื้อเต้าหู้มาหวังว่าวันหนึ่งจะทำหมาล่ากิน แต่วันนั้นยังมาไม่ถึง งั้นเอามาใส่อาหารประหลาดนี่ก่อน

เทน้ำรดลงไปให้ผักชีงอกงาม

เฮ้ย มันก็ดูดีอยู่นะ ใช่ไหม ได้โปรด

ปิดฝา (หม้อสุกี้นี่ก็เพิ่งแกะมาใช้ครั้งแรกหลังจากพ่อตาได้มาในงานปีใหม่แล้วไม่มีใครเอา วางไว้ในครัวเฉยๆ)

สุกแล้ว กลิ่นเหรอ ก็เหมือนน้ำซุปเครื่องปรุงหอมๆ ของมาม่าแปลกๆ แหละ มีกลิ่นของตีนไก่ไม่รู้กี่ตีนที่สละชีพมาเพื่อการนี้ด้วย แต่เอาจริงสุดท้ายกลิ่นผักชีกลบหมด ทุกอย่าง สูญสิ้นกลายเป็นต้มผักชี

เอาล่ะ ถึงเวลาลองของ

เฮ้ยเส้นนุ่มอยู่นะว่าไป อร่อยเลยแหละ (เราว่าเทียบได้กับนิสชิน) สำหรับคนที่ชอบลองของแปลกอย่างเรานี่ให้ผ่านสบายเลย แล้วเนื่องจากเราใส่น้ำลงไปเยอะให้มันท่วมก้อน ก็เลยจืดกว่าพวกนิสชินปกติ แต่บวกรวมโซเดียมต่างๆ แล้วไม่น่าแพ้กัน แถมพอใส่ฟองเต้าหู้ม้วนลงไปให้มันซับน้ำซุป ก็เลยหอมอร่อยกำลังดี

กินเสร็จแล้วก็เอาตีนไก่มาลองแทะดู แม่ง หนังติดกระดูกนี่มันแทะยังไงก่อน ลองพยายามแล้วพยายามอีกก็พบว่า

เรามาไม่รอดตรงตีนไก่นี่แหละ T-T

ขอบคุณผู้สนับสนุนอีพีนี้ คุณซี ซี้ซั้ว สวัสดีครับ

TK Park

ไม่ได้ไปมาหลายปีมากกกก น่าจะนับได้สิบปีแล้ว ตั้งแต่เมื่อก่อนที่ยังอยู่กรุงฯ แล้วก็เคยไปขอจัดอีเวนต์สอนทำฟอนต์ในนั้น

จนวันนี้ลองวางทริปพาลูกเมียเที่ยวกรุงเทพฯ (ใช่ เรามันบ้านนอกเข้ากรุง) บวกลบไปมา ดูฟ้าฝน จึงไปจบที่กินข้าวห้าง และไปเยี่ยมเพื่อนแม่ที่ TK Park (เมียมีเพื่อนทำงานในนั้น)

กำหนดการถูกวางไว้อย่างหลวมๆ ทีแรกจะไปเดินเล่นบรรทัดทอง ไปสวนเบญจกิติ อุทยานจุฬาร้อยปี แล้วก็หอศิลป์ด้วย สุดท้ายคือ กินข้าวกินหนมกันเสร็จ ก็เข้าไปนอนกลิ้งอยู่ TK Park เกือบครึ่งวัน

ทีแรกก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะอยู่นาน คือลืมความรู้สึกของการอยู่ห้องสมุดแบบคนเยอะๆ ไปแล้ว เพราะระยะหลังๆ มานี้เราอ่านการ์ตูนทุกวัน จนรู้สึกว่าเสพหนังสือเยอะเกินไปอยู่แล้ว (การ์ตูนก็นับนะ ขอร้อง) แล้วจะไปห้องสมุดเพื่ออะไร

อ๋อ ไปรอรับลูกเลิกเรียนไงล่ะ ที่โรงเรียนของลูกมี Learning Center ซึ่งก็คือ TK Park ฉบับย่อส่วน คนไม่เยอะ ถ้าไม่นับห้องบอร์ดเกม ก็มีมุมเงียบๆ ไว้นั่งอ่านหนังสือได้ แน่นอน เราพกการ์ตูนจากบ้านไปอ่านเอง (ที่จริงเขามีห้องสมุดการ์ตูนด้วย แต่ไม่ค่อยเยอะ) นอกนั้นก็นั่งทำงาน นั่งไถมือถือในห้องแอร์เล่นๆ

แต่กับวันนี้มันไม่ใช่แบบนั้น เราเข้าห้องสมุดไปเพื่ออ่านหนังสือ นอนกลิ้งอ่าน จนง่วงสัปหงก ตื่นมาก็อ่านต่อ ง่วงอีกทีแล้วก็ตื่นมาอ่านอีก

แม้จะเป็นการ์ตูนเรื่องเดียวกับที่มีที่บ้าน แต่ของที่บ้านยังไม่ได้แกะ ก็จะเป็นมือหนึ่ง ขายต่อได้ราคาอยู่เสมอ (แฮ่)

ทั้งนี้เราพบว่า การเข้ามาอยู่ในพื้นที่ที่บรรยากาศเอื้อต่อการอ่านมากๆ มีผู้คนที่เข้ามาอ่านหนังสือ มาทำงาน มาเปิดคอมพิวเตอร์ ก๊อกแก๊กๆ ห้องเด็ก(เราอยู่ห้องนี้เพราะเบาะมันนุ่ม)ก็มีเด็กวิ่งเล่นตะโกนไปมา เขาไม่ห้าม ซึ่งก็โอเคนะ

และที่สำคัญคือมันมีหนังสือดีๆ หลากหลายจนไม่เกิดความรู้สึกว่า “ไม่รู้จะอ่านอะไรดี” คือเดินจิ้มไปเถอะ แป๊บเดียวต้องโดนสักเล่มจนได้

เราอ่านการ์ตูนเงือกเสร็จ ลูกชวนไปหาวันพีซ (อ่านเล่มต่อจากที่บ้าน) จบแล้วก็เดินไปตู้ค้นหนังสือ หาหนังสือผีอ่าน

ส่วนอีพ่อ เจอสาวตึงอยู่โซนหนังสือออกแบบ เลยเลี้ยวเข้าไปซะหน่อย แหะๆ แล้วก็ได้เจอหนังสือโชว์งานออกแบบฟอนต์ของคัดสรรดีมาก เล่มละ 1,600 บาท (ซึ่งเราไม่มีปัญญาซื้อ) ก็นั่งเสพอยู่นาน

ขณะที่เมียขลุกอ่านนิยายจีนเรื่องที่แพงจนไม่มีตังค์ซื้อ และลูกสาวคนโตเอาไอแพดมานอนวาดรูปในช่องรูปรังผึ้ง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกำหนดการเดิมที่จะไปหอศิลป์ก็ต้องงดไปก่อนเพราะรถติดมหาศาลแล้ว

แถมฝนก็ทำท่าจะตกอีก บรรทัดทองก็เลยต้องงดไปโดยปริยาย

ถึงกระนั้นเราก็ฝ่ารถติดออกจากใจกลางเมือง แวะกินข้าวแถวอารีย์ และขึ้นทางด่วนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

ลูกเมียต่างแฮปปี้ และนัดกันว่าเดี๋ยวเดือนนี้เรามากันอีก เท่านี้ก็เป็นอันปิดจ็อบอย่างสมบูรณ์แบบ