[Get Talks] โตแล้วยังอ่านการ์ตูนอีก?

อารัมภบทเกี่ยวกับรายการ Get Talks กันนิดนึง
ตอนนี้ตอนทำงานหรือขับรถ ผมนิยมฟัง Podcast (ก็คือรายการวิทยุนั่นแหละ แต่เป็นแบบออนไลน์) ไปด้วย เพราะมันสะดวกดี มือทำอย่างอื่น ตาทำอย่างอื่น แต่หูว่าง ก็เปิดฟังเพลินๆ ตอนนี้ติดตามอยู่ 3-4 รายการ เช่น WitCast, BATCast, Omnivore, JUSTดูIT., GM Cast, RadioMANGA (เกินยังวะ) (ทั้งหมดดูเป็นชื่อรายการฝรั่ง แต่พูดไทยทั้งหมดนะครับ ผมภาษาอังกฤษยังไม่ได้แข็งแรงพอจะฟังฝรั่งคุยกันยาวๆ ได้เถอะ)

และสุดท้ายที่นึกออกและเราจะมาอวยกันวันนี้คือ “Get Talks” ของสองพิธีกร แซมมี่และกตัญญู ซึ่งต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานกันดีอยู่แล้วแหละนะ แล้วมึงมาจัดรายการกันทำไม ว่างเหรอ

คืองี้ครับ วันก่อน คุณแซมติดต่อเข้ามาชวนคุยเรื่องการอ่านการ์ตูน ผมก็งงๆ ไม่กล้ารับปากมัน เกรงว่าเราจะไปรู้อะไรเรื่องการ์ตูนนักวะ เพราะตัวเองก็แค่คนหนึ่งในท่ามกลางผู้คนอีกมากมายหลายล้านที่ต่างก็เติบโตและอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กจนโตมาเหมือนๆ กัน คือมันเป็นเรื่องที่หันไปทางไหนก็เจอแต่คนที่รู้เยอะกว่าผมแน่นอน

พอไอ้แซมเห็นผมอึกอักทำท่าจะรับปากแหล่ไม่รับแหล่ มันก็ให้เหตุผลที่รู้สึกว่าเออ ผมยอมรับได้ นั่นก็คือ “ก็ผมรู้จักพี่คนเดียว”

GetTalks-iannnnn

พอถึงวันนัด ทีมงาน Get Talks ก็ยกสตูดิโอ (ก็มีสองคนนั่นแหละ กะมือถือเครื่องนึงไว้อัดเสียง) มานั่งสัมภาษณ์กันอย่างจริงจังที่บ้านลาดปลาเค้า ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ เดือนที่ผมได้นั่งคุยกับมนุษย์นานขนาดนี้ แถมยังเป็นเรื่องที่ตัวเองก็ประหม่าอยู่ใช่ย่อย

แต่พอเริ่มปริปาก โอ้โห ต้องขอกล่าวอย่างสุภาพเลยครับว่าเย็ดเป็ด ความทรงจำของวัยรุ่นยุค 90s (เห็นกำลังฮิตแซะกันใช่มะตีมนี้) ก็พรั่งพรูทะลักทลายพรวดพราดออกมาอย่างรุนแรงเหมือนดั่งเพิ่งอัดน้ำยาดีท็อกซ์สวนเข้าไปในรูตูด อั้นไว้ 3 นาทีแล้วตัดสินใจคลายการเกร็งหูรูด พุ่งมากๆ! พุ่งมากๆ!

มากไป!

มากไปจนกลายเป็นว่า ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของรายการนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาดักแก่ และความโรแมนติกข้นคลั่กของอดีตเด็กที่โตมากับวัฒนธรรมการอ่านการ์ตูน ทั้งการ์ตูนสายหลัก สายรอง สายโป๊ (<--ดอกจัน) รวมถึงการพยายามลิสต์รายชื่อการ์ตูนโปรดของแต่ละคน แทนที่จะเลยไปเรื่องอื่นที่มันร่วมสมัย เช่นว่าด้วยการล่มสลายของอาณาจักรการ์ตูน หรือวงการการ์ตูนดิจิทัล พวกเว็บตูนงี้ นี่กลายเป็นว่ามาโชว์กันว่าใครจะรำลึกความหลังได้มากกว่ากันซะยังงั้น แต่นั่นกลับกลายเป็นว่า เออแม่งสนุกฉิบหายเลย 5555 คือทุกคนต่างแลกเปลี่ยน ต่างจากเทปอื่นๆ ที่แขกรับเชิญจะเชี่ยวชาญเรื่องอะไรสักอย่างสัสๆ ที่น่าเสียดายมากก็คือ พอคุยๆ ไป เวลามันผ่านล่วงเลยไปเร็วมาก ก็ยังรู้สึกว่ามีการ์ตูนอีกหลายเรื่องที่ปลิวหลุดไปจากความทรงจำ บางเรื่องถูกยกขึ้นมาพูดแล้วก็นั่งนึกกันอยู่นาน แต่พอร้องอ๋อปั๊บ เฮ้ย เรื่องนี้กูอินเว้ยยยยย แต่กับบางเรื่อง กดหยุดเทปอัดจบรายการ ก็มานั่งสบถกันด้วยความเสียดายว่าเฮ้ย เมื่อกี้ลืมพูดถึงเรื่องนี้ว่ะะะะะ อารมณ์ประมาณว่า มีนักท่องเที่ยวมาถามว่าประเทศยูมีอะไรฮาๆ มั่ง ให้เวลาเล่าแป๊บนึง เชื่อเถอะว่าเล่ายังไงก็ไม่หยด (แค่หมวดการปกครองก็ฮาจนหมดเวลาแล้ว) ก็เลยเหมือนเป็นการเปิดช่องให้คนฟัง (ใช่แล้ว คุณนั่นแหละครับถ้าเกิดทนฟังได้จนจบ) ได้ร่วมสนุก ร่วมแชร์ และแบ่งปันประสบการณ์ของคุณกันบ้างเนอะ ขอบคุณทั้งสองท่านนะครับที่ให้เกียรติ และขอบคุณที่เอาพลังงานมาฝากอย่างล้นเหลือ ฟังเลยครับ

ป.ล.
หลังจากจบการบันทึกรายการ เดินไปส่งอีสองคนนี้หน้าบ้าน กำลังจะปิดรั้ว ผมก็บอกอีแซมไปว่า เออ ทำรายการงี้ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ น่าทำมั่งว่ะ 555

ป.อ.
ไอ้แซมบอก เอาดิพี่

ป.ฮ.
คืนนั้นเลยได้ชื่อและโลโก้รายการเรียบร้อย รวมถึงผู้ดำเนินรายการแล้วด้วย ก็คือแซมกะผมนี่แหละ ไม่ได้หาจากที่ไหนไกลเล้ย 55555 เอาไว้เดี๋ยวให้มันเสร็จสักตอนแล้วมาอัปเดตกันอีกทีครับ

ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์

กำลังหาสถานที่ถ่ายแบบเสื้อผ้าของร้านนลินฟ้า) ที่มันดูวินเทจๆ ออกแนวอังกฤษ อิตาลี ยุโรปใดๆ ก็เลยกูเกิลไปเรื่อยๆ (ส่วนมากสู้ราคาไม่ไหว แหะๆ) อยู่ดีๆ ก็เจอที่นี่ เป็นโรงแรม ชื่อ Praya Palazzo เลยกดดูข้อมูล ก็ว่าเอ๊ะคุ้นๆ แฮะ

เจออีกคลิปนึงเป็นรายการนี้ที่ถ่ายทำในปี 2010 ซึ่งเจ้าของโรงแรมบอกว่าเปิดมาได้ปีเดียวเอง

เอ๊ะ ไหนดูอีกคลิปซิ

โอ้ ชัดเลย เลยมาเปิดคอมดูโฟลเดอร์ภาพถ่ายที่เก็บไว้ ก็เจอโฟลเดอร์ชื่อว่า “20030216 – ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์” (มึงตั้งชื่อซะแบบ…)

เนี่ย เคยถ่ายไว้ด้วย

01-DSCF2997

ในยุคที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง และเช่าหอพัก (ไว้เก็บของซะเป็นส่วนใหญ่) อยู่แถวตีนสะพานพระปิ่นเกล้า ข้างๆ ชุมชนวัดดาวดึงษ์… ใช่แล้ว เป็นถิ่นกำเนิดของเนวัดดาวนั่นเอง พอนึกบรรยากาศออกเลยใช่มะ (ไม่)

คือ เมื่อก่อนไม่มีตังค์ครับ เป็นนักศึกษาบ้านจนพ่อแม่เป็นข้าราชการลูกสี่ มีหนี้สิ้นท่วมบ้านอะไรแบบนั้นแหละ แต่ด้วยกิเลสส่วนตัว อยากได้กล้องถ่ายรูปดิจิทัล จึงรับจ้างออกแบบนั่นนี่ระหว่างเรียน จนเก็บตังค์พอจะซื้อกล้องดิจิทัลได้ เป็นกล้องฟูจิ (เล่นฟูจิก่อนที่มันจะเริ่มฮิปอีก!) แต่เป็นแค่กล้องปัญญาอ่อนรุ่น FinePix 6800z นะ กดดูดีไซน์ของมันได้ พอร์ชดีไซน์เชียวนะะะะะ สมัยนี้ไม่มีใครทำกล้องประหลาดๆ แบบนี้กันแล้ว แต่ 12 ปีที่แล้วผมทุบกระปุกซื้อเพราะความสวยของมันนี่แหละ 5555555 (ซึ่งนิสัยนั้นก็ยังติดตัวมาจนทุกวันนี้ ที่ซื้อ E-P5 ที่ใช้ทำมาหากินทุกวันนี้ก็ไม่ได้สเป็กดีเด่ไปกว่ากล้องกิ๊กก๊อกใน พ.ศ.นี้ แต่นั่นแหละ มันสวย. ฟุลสต็อป)

สมัยนั้นพอว่างจากโปรเจ็กต์เรียนอันหฤโหด มีเวลาได้ไปนอนแผ่สลบอยู่ที่หอ พอตื่นมาบ่ายๆ ก็ชอบเดินหาร้านก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งประหลาดๆ ที่ซ่อนอยู่ในชุมชนวัดดาวดึงษ์กิน อร่อยบ้างอี๋บ้าง แต่ถ้าเขาขายได้ เราก็ต้องกินได้

พออิ่มท้องก็เดินถือกล้องนี่แหละ ไปถ่ายรูปเรื่อยๆ… (อะไรนะ ซิตี้สเคปเหรอ ไม่มั้ง มันดูยิ่งใหญ่ไป ที่ทำนี่ไม่ได้มีความงามอะไรหรอก แค่ชอบถ่ายบันทึกไว้ดูตอนแก่ งั้นเรียกว่าถ่ายเรื่อยๆ ละกัน)

เผอิญวันนั้นเดินไปส่งๆ จนทะลุริมฝั่งเจ้าพระยา เป็นท่าเรือเล็กๆ ของวัดดาวดึงษ์ ก็เลี้ยวซ้ายและเดินเละตลิ่งริมน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยหวังจะเจออะไรสนุกๆ แล้วก็เจอเข้าจริงๆ

02-DSCF2998

ตอนนั้นตะลึงมากเลยครับ ต้องลองช่วยกันหลับตานึกภาพว่าไอ้นี่เดินๆ อยู่ในชุมชน มีขี้หมา มีเด็กวิ่งไล่กัน มีแม่ค้า มีรถเข็น มอไซค์ คุณยาย ร้านของชำอยู่ดีๆ แล้วเลี้ยวซ้าย ฟึ่บ ทะลุเจ้าพระยา มองไปด้านซ้าย และคุณจะต้องอึ้งเมื่อได้เห็นอะไรอลังการขนาดนี้มาหมกตัวอยู่ในจุดที่ไม่น่าจะมี …ในภาษาของวงการนึงเขาเรียกว่าเป็นช็อกสเปซ

03-DSCF3012

มันเป็นตึกร้างเก่าแก่สไตล์โคโลเนียล อายุอานามน่าจะสมัย ร.5 (เดาเอาเอง) ที่อยู่ติดกับแม่น้ำพอดี คือถ้ามองในมุมของคนชอบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลนี่มันเท่มากอะ ส่วนถ้ามองในมุมของพี่ป๋อง …นี่มันน่ามาเดินสายทัวร์ดูผีชะมัด

04-DSCF3013

ทั้งหมดนี้นี่คือปีนกำแพงถ่ายมานะ

05-DSCF3015

06-DSCF3016

เนี่ย แค่เห็นเสาก่ออิฐที่สีมันร่อนออกมาจนเห็นอิฐมอญข้างในก็ว่าโคตรสวยแล้ว ชอบ

07-DSCF3017

สีทาผนังเหลืองๆ ด่างๆ นี่ก็ชอบ บานประตูสีเขียวก็ชอบ (แล้วอะไรคือป้ายที่เขียนว่า “ฝึกฝีมือ”)

08-DSCF3018

เดี๋ยวนะ อันนี้เพิ่งเห็นตอนอัปภาพเขียนบล็อกนี่แหละ ว่ามันมีอะไรสักอย่างอยู่ในห้องมืดด้านซ้ายชั้นบน (น่าจะเป็นกระจกสี) ที่พอมาซูมขยายดูแล้วเหมือนหน้าคน ไม่คนสิ เรียกว่าเจไดใส่หน้ากากจะเท่กว่า (ผีบอกกูเซ็งเลย)

10-DSCF3025

ภาพสุดท้ายนี่คือไปนั่งกับแก๊งเด็กในชุมชน ดูเขาชักว่าวกัน

สรุปว่าบล็อกนี้ไม่มีอไร จะอวดว่าเคยถ่ายตอนมันยังเป็นตึกร้างอยู่เท่านั้นเอง

อ้อ แล้วก็เลยนึกได้ว่าชอบอาคารสไตล์โคโลเนียลแบบนี้มานานแล้ว (ทำไมจบแบบดูจะมีความรู้วะ)

ความทรงจำสมัยเป็นทหารเกณฑ์ทะลักล้นออกมาดั่งทำนบแตก

สรุปสำหรับคนขี้เกียจอ่านยาวๆ: บล็อกตอนนี้อวยกระทู้เล่าเรื่องในพันทิปในซีรี่ส์ “ประสบการณ์ เรื่องเล่าของตุ๊ดมนุษย์เงินเดือนขี้ขลาด ต้องเป็นทหารเกณฑ์ รับเงินเดือน 9,000 บาท แต่ก็ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้” ซึ่งตอนนี้มีหลายตอนมาก กดเข้าไปอ่านเอง แต่ต้องขยันอ่านและว่างมาก (1, 2, 3.1, 3.2, 4)

ในยุคที่พันทิปเปลี่ยนแปลงไปเยอะ(ในทางที่ดีขึ้น) มีเรื่องเล่าของตัวเองให้อ่านเป็นนิยายนับพันนับหมื่นเรื่อง ผมตามทวิตเตอร์ @pantip_kratoo และกดอ่านอันที่น่าสนใจ (ส่วนมากเป็นเรื่องใต้สะดือปะ) ก็มาเจออันนี้ที่อ่านแล้วเออ ขอคารวะ ยกให้เป็นตำนานเลยละกัน

มันเป็นชุดกระทู้ (เรียกว่าชุดเพราะมีหลายภาคต่อกัน) ว่าด้วยตุ๊ดคนนึงที่เป็นตุ๊ดไม่แสดงออก คนรอบกายไม่รู้ แต่ตัวเองน่ะตุ๊ดสุดๆ เลยครับ เรียนเก่ง ปริญญาสองใบ แล้วอยู่ดีๆ ก็อกหัก เดินมึนๆ ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์เฉยเลย พล็อตเริ่มต้นประมาณนี้ตอนแรกที่ผมกดเข้าไปอ่านก็กะว่าฮาแน่ๆ คือแบบ มึงเล็งกระเจี๊ยวทหารทั้งกองร้อยแน่ๆ

แต่ผิดถนัดเลยครับ มันไม่ฮาเหมือนกระทู้ที่เขียนโดยตุ๊ดแบบที่เราจำๆ กัน (จขกท บอกว่าตัวเองไม่อ่านหนังสือนิยาย ไม่ได้เป็นนักเขียน ซึ่งพอเราอ่านก็เชื่อนะ เพราะสำนวนและชั้นเชิงทางภาษาไม่ใช่สไตล์นักเขียน แต่ถ้าบอกว่าเป็นทนาย อันนี้เชื่อ) แต่กลับเจ๋งตรงที่ความละเอียดในการเล่าของเจ้าของกระทู้ ที่ละเอียดเกินไปรึเปล่าวะ จำได้แบบเป็นวันๆ เลย วันนี้บ่ายโมง จับไข่เพื่อน วันนั้นนอนกอดกัน อะไรแบบนี้

คือถ้าตัดดีเทลยุบยิบๆ แบบที่ต้องการเขียนยั่วให้ผู้อ่านฟินจิ้นตาม หรือพวกใส่สีใส่ไข่อะไรแล้วเนี่ย ถือเป็นชุดกระทู้ที่เล่าประสบการณ์การเป็นทหารเกณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา คือผมเองก็โดนทหารมา 2 ปีนะ (ผมเข้ารุ่น 47 ผลัด 1 .. เหี้ย สิบปีมาแล้วนี่หว่า) แต่ความตั้งใจในการละเลียดกลั่นกรองและจดจำประสบการณ์มาบอกต่อนั้นเทียบชั้นกับ จขกท ไม่ติดเลยครับ คือเคยหยิบมาเล่าเสี้ยวนึงนะ นอกนั้นคือบันทึกไว้ในสมุดจดหมด ด้วยหวังว่าวันนึงจะเรียบเรียงเอาแบบที่ออกอากาศเกือบได้มาเล่าในบล็อกหลังจากปลดทหาร คิดไกลขนาดจะเขียนเป็นต้นฉบับไปส่งอะบุ๊กเลยด้วยซ้ำ 5555 (สมัยนั้นยังเขียนแนวๆ อวดสำนวนน่าหมั่นไส้ และยังไม่มีเรื่องกับ วทน ถึงขั้นแตกหักนะ) ซึ่งเอาเข้าจริงก็ขยันไม่พอ จนตอนนี้ความทรงจำมันคืนกลับเข้าสู่ลิ้นชักไปหมดแล้ว ไอ้ที่เคยเขียนเล่าไว้ในบล็อกแค่เสี้ยวนึงก็หายไปกับระบบที่พังและกู้คืนไม่ได้ ความทรงจำดิจิทัลนี่มันแย่จริงๆ

โอ๊ย เล่าแล้วก็เสียดายบล็อกโพสต์เก่าๆ ฮือๆ T-T

กลับมาเข้าเรื่อง ในขณะที่เจ้าของกระทู้เล่าเป็นมหากาพย์ละเอียดยิบ เล่าเหตุการณ์ของตัวเองเนี่ย อ่านแรกๆ ก็จะเซ็งนิดนึง และหยุดอ่านไป (เพราะคิดว่าเราน่าจะได้เห็นสำนวนตลกๆ แต่มันไม่ค่อยตลก) นั่นคงเพราะมันเป็นเรื่องที่เราเคยเจอมาหมดแล้วในค่ายทหารมั้ง เลยปิดแอป (อ่านในแอป) แล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป … แต่พอวันดีคืนดี เห็นทวีตของ @pantip_kratoo บอกว่าถึงภาค 4 แล้ว ก็เลยกดเข้าไปดู แล้วก็เฮ้ย คนเม้นเยอะมาก โคตรๆ มากๆ เลยเริ่มอ่านตรงภาค 4 ก่อน พบว่ามีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมาก เลยนั่งย้อนอ่าน เชี่ยยยยย จขกท พบประสบการณ์เจ๋งๆ ในค่ายที่เหนือกว่าที่ผมเจอมาแบบคนละชั้นกันเลย ติดเลยครับ เอาความทรงจำของตัวเองไปซ้อนทับในนั้นได้ละเอียดยิบ โคตรอยากขุดสมุดบันทึกขึ้นมาอ่านอีกรอบเลยครับ

ข้าพเจ้าสมัยเป็นทหาร (ถ่ายโดย @ohaeey)

คือที่ผมเป็นทหาร 2 ปีนี่ สรุปพล็อตได้สั้นๆ ว่า

  • จับทหาร ได้ทหารอากาศ อยู่หน่วยอากาศโยธิน (คือเรียกว่าเป็นทหารราบของกองทัพอากาศ)
  • โดน 2 ปี เพราะปีนั้นใบเกรดออกไม่ทัน บัดซบ
  • ไปเป็นทหารที่ประจวบฯ เป็นกองบิน 53 (ตอนนี้อัปเกรดเป็นกองบิน 5 เลขหลักเดียวคือใหญ่กว่าสองหลัก)
  • พอบอกว่าก่อนจับทหารได้ ผมทำงานกราฟิกดีไซน์ ทุกคนในนั้นมองเราด้วยสีหน้าแบบ… อะไรของมึงนะ (สุดท้ายจ่าเรียกผมว่า มึงน่ะเป็นโปรแกรมเมอร์ละกัน โดยแกก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมเมอร์คืออะไร รู้แค่ไอ้นี่มันน่าจะช่วยทำรายงานกองร้อยในเอ็กเซลได้ งั้นมึงไปทำคอม จบนะ)
  • คือ 40% ของคนในนั้นทำประมง 40% เป็นเกษตรกร 30% อื่นๆ ส่วนอีก 20% เถลไถลเกาะพ่อแม่แดก (เกินยังวะ)
  • กว่าครึ่งเรียนไม่จบ ม.3, 99% สูบบุหรี่, 50% เคยติดคุกมาก่อน!!, 1/3 มีเมียเด็ก!!!
  • และอีกมากมายหลากหลายสถิติที่ไอ้เนิร์ดๆ อย่างผมไปเจอแล้วโคตรงง คือเป็นโลกที่ไม่รู้จัก (และไม่จำเป็นต้องรู้จัก) ว่าวงสครับมีอยู่ในโลกน่ะ พอนึกออกปะ ถ้ายังนึกไม่ออกก็ให้นึกว่าเป็นโลกที่ไม่รู้จักเว็บพันทิป (และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องรู้จัก ชีวิตเขาก็ปกติสุขดี) ดังนั้นรสนิยมและวิถีชีวิตนี่ พลิกกลับ 360 องศาเลยครับ
  • โดยเฉพาะเรื่องเรต 20+ ทุกอย่างมีครบจริงๆ อยากรู้ไปอ่านในกระทู้ที่ผมอวยอยู่นี่ได้เลย
  • แต่ของผมมีออปชันเพิ่ม คือไอ้ต้อง ผู้มีควยใหญ่เท่าขวดโค้ก (จริงๆ) (ย้ำ) (จับมาแล้ว) เพราะมันไปฉีดมาตอนติดคุก ความเจ๋งคือมันก็ซื่อๆ นี่แหละ แต่แค่ควยใหญ่ และซ่องที่ไหนก็ขึ้นแบล็กลิสต์ (นี่มันโม้ให้ฟัง) คือจะมีอยู่วันนึงที่เพื่อนทหารนับสิบชีวิตไปนั่งดูมันถกให้ลูบคลำเล่น (คือทหารนี่เห็นกระเจี๊ยวกันเป็นเรื่องสามัญพอๆ กะเห็นหน้าครับ) โอ้ย เจ๋ง คือไม่อยู่ในสถานะที่จะเอาความรู้จากหมอแมวไปเตือนมันได้เลย เป็นโลกที่เออ มึงทำไปเหอะ เน่าเมื่อไหร่บอกด้วย
  • เนื่องจากความสามารถในการปรับตัวระดับตุ๊กแกของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเนียนใช้ชีวิตกับทุกคนได้อย่างกลมกลืน ทำไปทำมาได้เป็นหัวหน้ากองเฉยเลยเหอะ 5555
  • เพราะตั้งใจตั้งแต่จับทหารแล้วว่า จับได้ก็โอเค มันคือการสวมหมวกแสดงบทบาทอะไรบางอย่าง แล้วก็จริงตามนั้น คือเตรียมรับประสบการณ์เอ็กซ์ตรีมอย่างเดียว และก็ได้ทุกอย่างตามที่คิด
  • เป็นทหารใหม่ 6 แต่ฝึกหนักแค่ 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ชิวๆ
  • ชิวมาก ย้ำเลย เนื่องจากมันเป็นค่ายทหารตรงอ่าวมะนาว ดังนั้นทุกอย่างคือความสวยงาม ทะเลสวย บ่ายๆ จ่าใช้ให้ไปจับหอย เย็นๆ แอบหนีออกจากค่ายไปปีนเขาล้อมหมวก (เพื่อการอวดอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกท่านกรุณาคลิกดูภาพนี้ โคตรอยากอวดเลย 5555) นอกนั้นก็ตัดไม้ ถางหญ้า ดับเพลิง ซ่อมคอม ฯลฯ
  • เออ เรื่องซ่อมคอมนี่คือในกองทั้งหมดมีคนเป็นคอมนับได้ 3 คน รวมผมด้วย (ยุคนั้นโลกยังไม่มีไอโฟนนะ) ดังนั้น การทำงานคอมพิวเตอร์แปลว่ามึงต้องทำอะไรก็ได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็ดี เพราะมันพาให้มีโอกาสเจออะไรเจ๋งๆ อีกเยอะเลย โดยเฉพาะการขอจ่าเอาคอมตัวเองไปทำงานในกองร้อย แล้วผู้กองดันอนุญาต เชี่ยยย
  • เออ ยุคนั้นมันว่างไง แล้วได้ทำงานใน บ.ก. (กองบัญชาการ) ก็เลยได้ทำฟอนต์เยอะแยะ และเป็นจุดกำเนิดเว็บฟอนต์ในปัจจุบัน (เว็บฟอนต์เกิดในค่ายทหาร!) อย่างฟอนต์ที่ประทับใจคือ iannnnnDVD นี่ จำได้เลยว่าหลังจากออกวิ่งตีห้าเสร็จ กลับมารอคิวอาบน้ำ เลยเปิดคอม (ในกองร้อย) มานั่งตวัดๆ ได้ฟอนต์ตัวนึงในเวลา 5-10 นาที ทำลายสถิติโลก แล้วตอนนั้นฟอนต์นี้ฮิตด้วยนะ 5555
  • พอครบ 6 เดือน เขาจะให้แยกไปประจำที่นั่นที่นี่ ของผมมีวาสนาไอ้ย้ายข้ามห้วยมาที่ฐานทัพอากาศดอนเมือง ทำงานหน้าห้อง (คือเป็นเบ๊) ของผู้บัญชาการใหญ่ในหน่วยระดับที่เป็นรองก็แค่ออฟฟิศ ผบ.ทอ.เท่านั้นเอง ใชเวลาอีก 1 ปีครึ่งที่เหลือในเครื่องแบบทหารรัดรูปทุกวัน ทำงาน 6 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน คล้ายๆ เป็นข้าราชการ จนครบสองปี ก็ปลดประจำการ จบ

(รายละเอียดหลายอย่างหล่นหายไประหว่างทางแล้ว แต่ถ้าขุดสมุดบันทึกมาอ่านอาจจะเล่าได้เป็นกิโลๆ)

แต่กับเจ้าของกระทู้นั้นเหตุการณ์มันเพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี ผมเลยเชื่อนะครับว่าเหตุการณ์เอ็กซ์ตรีมต่างๆ ที่แม่งประทับใจมากขนาดนั้น เขาจะหยิบมาเล่าได้ละเอียดยิบย่อย (ถึงจะยิบไปนิด แต่ให้เชื่อว่าโครงเรื่องนั้นมันเจ๋งและคู่ควรต่อการจำได้จริงๆ) เพราะเขามีโหมดทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน และติดคุกด้วย ซึ่งตอน 3.2 ที่เล่าเหตุการณ์ในคุกนี่เจ๋งมาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการโดดถังขี้นี่ ลืมไปแล้วว่าที่กองร้อยก็มี 555555

จบแล้วครับ เขียนระบายเฉยๆ ด้วยความเซ็งในความขี้เกียจของตัวเอง ถ้าเรียบเรียงการเล่าให้เป็นระบบตั้งแต่สมัยนั้นคงสนุก ดังนั้นใครอยากทำอะไร ทำเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องมาบ่นเป็นคนแก่แบบนี้

ผมโดนผีเด็กประถมหลอกเข้าจังๆ

นี่ตอนเขียนบล็อกยังเหงื่อแตกไม่หยุดเลยครับ อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไร แต่ไอ้ที่ทำให้ใจเต้นโครมครามก็คือความรู้สึกโหยหาอดูตอย่างแรง

เรื่องมันมีอยู่ว่า อยู่ดีๆ เพื่อนสมัยประถมของผมก็เกิดคิดถึงกัน ไม่ได้เจอกัน (เรียกว่าขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิงเลยแหละ) มายี่สิบปีแล้วไรงี้ เลยนึกสนุก นัดรวมพลกันอีกครั้ง เลยลากกันมาคุยในกรุ๊ปไลน์ (ถ้าเป็นเมื่อก่อนพฤติกรรมนี้คงเกิดในเฟซบุ๊ก แสดงว่าเอาเข้าจริงพบแนวโน้มว่าคนจะเริ่มไม่เล่นเฟซบุ๊กกันจริงๆ ละ) แล้วก็ไถ่ถามกันแบบไม่อายเลยว่าเราก็จำนายไม่ได้ บ้างก็จำได้แต่ชื่อ บ้างก็เปลี่ยนชื่อไปจนลืมทุกอย่างที่เคยเกี่ยวพันกันเลยดีกว่า

แต่อีกไม่กี่วันเราก็จะได้กลับมาเจอกัน นึกภาพฉากจบในหนังเรื่องแฟนฉันดูสิครับ (สปอยล์แบบนี้คงไม่เป็นไรเนอะ) คือไอ้เจี๊ยบแม่งเดินเข้างานแต่งน้อยหน่า น้อยหน่าหันมา อ้าว หน้ายังเป็นน้องโฟกัสตอนสิบขวบอยู่เลย!

ตอนนี้ภาพของเพื่อนฝูงสมัยประถมหลายคนนั้นก็อารมณ์นี้เลยครับ ฟรีซความทรงจำแช่แข็งไว้เท่านั้น แต่พอเริ่มพูดคุยก็ได้รู้ว่าทุกคนก็ต่างเติบโต แบบเดียวกับที่มีนักเขียนหลายท่านที่บอกเล่าเรื่องราวของมานีมานะในยุคที่พอโตแล้วมาเจอกัน อารมณ์ถวิลหามันพวยพุ่งรุนแรง

จนผมเปิดกล่องรองเท้าที่เก็บสะสมนั่นนี่มาตั้งแต่ประถม จนเจอเฟรนด์ชิปเอย ภาพถ่ายเอย การ์ตูนที่วาดแบ่งห้เพื่อนอ่านสมัยนั้นเอย ฯลฯ แต่ไม่กล้าดูนาน เพราะยิ่งดูยิ่งเหงื่อแตก และยิ้มปากฉีกถึงหู ใครเปิดประตูห้องเข้ามาจะพบภาพที่น่ากลัวมาก คือไอ้อ้วนบ้านี่นั่งยิ้มปากฉีก และเหงื่อท่วมตัวเหมือนกำลังดูหนังโป๊ในห้องเซาน่า

กรุสมบัติแอน

ไม่อายแล้วครับที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ และพร้อมจะดักแก่ทุกคนที่ขวางหน้าด้วย!

ที่สำคัญคือเริ่มสงสารรุ่นน้องๆ หลานๆ สมัยนี้ (ใช้คำว่า “สมัยนี้” ด้วย… ครบสูตรแก่ละกู) ที่ดันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเอย ความเป็นดิจิทัลทั้งหลายเอย ที่ไม่อนุญาตให้สิ่งใดเก่าลงตามการกัดกร่อนของกาลเวลา

ภาพถ่ายดิจิทัลยังคงคมชัดเสมอ จนน้องเองก็คงสงสัยแล้วว่า ไอ้การเลือนหายของความทรงจำนี่มันดียังไงวะ

เออ กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่านั่งยิ้มเหงื่อแตกจนน้ำหนักตัวลดไปสัก 5 ขีดได้ละเนี่ย

ป.ล.
ไว้จะเอาอะไรมาโพสต์เรื่อยๆ นะครับ รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกบ้าสะสมของในยุค 253X เยอะเลย เช่นที่เคยเขียนถึงอันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขยะ 5555 คือวันนี้เช่านารุโตะมาอ่านหลายเล่ม เลยมีเวลาเขียนเท่านี้ ไว้จะไล่ละเลียดทีหลังครับ รู้แต่ว่าเขียนสามวันไม่หมดแน่ๆ

การ์ด “บุคคลสำคัญของโลก” (ทวิสตี้, ริงโก้สตาร์) #ดักแก่

ที่จริงบล็อกตอนนี้เขียนครั้งแรกที่ Exteen แต่คิดว่าต่อไปนี้คงไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว เลยย้ายมาบล็อกหลักซะเลย เผื่อต่อไปว่างๆ ค้นลิ้นชักเจออะไร จะได้หยิบมาเล่าอีก (ขอบคุณเพจ “น่าเสียดายพวกนายเกิดไม่ทัน” ที่ทำให้นึกถึงบล็อกนี้ขึ้นมา)

—–

สมัยเราอยู่ ม.1 ตอนนั้นก็ปี 2537 ล่ะ

การได้อยู่ในหมู่เพื่อนที่บ้าสะสมและบ้าเอาของสะสมเหล่านั้นมาอวดกัน โลกมันช่างอยู่ยากไม่แพ้เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เราสะสมจำนวน Like หรือ Follower กัน แต่ตอนเรายังเด็ก การมีไพ่หายาก การ์ดแรร์สุดๆ นั้นคือสุดยอดแห่งความฟิน

การ์ดชุดนี้คือหนึ่งในตำนานที่ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มันก็ยังเก็บมาพลิกดูแล้วรู้สึกเท่ได้อยู่ นั่นคือซีรี่ส์ “ที่สุดของโลก”

P1190940

เป็นของแถมขนมสามยี่ห้อ คือ ทวิสตี้ วิลลี่ และริงโก้สตาร์ (เราชอบริงโก้สตาร์ที่สุด เพราะมันเอามาสวมนิ้วได้) ถือเป็นยุคที่มาหลังกาก้า คัมคัม และขนมช็อกโกแล็ตยี่ห้อโดราเอมอน (ที่แม่งไม่ได้ขอลิขสิทธิ์เขามาทำแน่ๆ) ที่แถมไพ่สติกเกอร์ดราก้อนบอลหรืออะไรแบบนั้น เพราะนี่มาแนวความรู้ เอาไว้อวดอ้างผู้ปกครองได้ว่าการสะสมนี่ดูภูมิฐานเกินเด็กนะ เพราะเนื้อหาของการ์ดแต่ละใบจะเป็นการ์ดความรู้เกี่ยวกับ “ที่สุดของโลก” ในแต่ละแขนง

P1190944

อันได้แก่

  1. “โลกมหัศจรรย์” ที่ว่าด้วยสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแบบพวกความรู้ทั่วไปที่เด็กสมัยนั้นใครรู้ก็จะอวดเพือนได้สบายๆ
  2. “บุคคลระดับโลก” (เราสะสมชุดนี้ ที่จริงมีอีกชุดแต่ทำหายไปแล้วมั้ง) นี่ก็ว่าด้วยเรื่องคนดังระดับโลก 30 คน ในยุคที่ สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่แจ้งเกิดในวงการศาสดาโลก
  3. “เผ่าพันธุ์มนุษย์” อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง ไม่เห็นอยากรู้เลย
  4. “โลกเร้นลับ” สนุกมากครับ ยุคนั้นเพิ่งพ้นช่วงที่มนุษยชาติกำลังบ้าคำว่าวิทยาศาสตร์ (นึกภาพการ์ตูนสมัยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ) คือทุกอย่างมันต้องค้นคว้าศึกษา เลยมีวิทยาศาสตร์เทียมเข้ามาปะปนเต็มไปหมด ก็เชื่อกันบ้างไม่เชื่อกันบ้าง สนุกดี ..แต่ก็เอาเหอะ ผ่านมาหลายสิบปีคนก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่

ซึ่งบางครั้ง พอเปิดซองมาก็จะเจอกับชุดที่เราไม่ได้สะสม หรือบางทีสะสมนะ แต่ซ้ำแล้วก็บ่อยไป จังหวะนี้แหละครับที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากเพื่อน ก็เอาไปแลกกันซะ วินวินกันทั้งคู่

P1190942

แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในแต่ละเล่มจะมีการ์ดที่โคตรสุดยอดหายากอยู่ใบหรือสองใบเสมอ สำหรับชุดบุคคลสำคัญของโลกนี้ ใที่หายากที่สุดก็คือ “เขาทราย แกแล็คซี่” ครับ รู้สึกว่าอีบริษัทขนมมันจะผลิตมาแค่จำนวนจำกัดนะ เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดเนื้อหมดตัวกับรางวัลที่มีราคา และมีจำนวนจำกัด (ก็แหงแหละ) ดังนั้นใครที่ได้ครอบครองการ์ดเหล่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่ากูชนะแน่

นอกจากนั้นก็ยังมีการ์ดหายากระดับรองๆ ลงมา ผมไม่อน่ใจว่าเขาผลิตเป็นจำนวนจำกัดหรือเปล่า แต่มันก็หายากจริงๆ ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงๆ ถ้าคุณเป็นนักสะสมตัวยง ก็จะหาทางแลกมันมาจนได้ อาจจะต้อง 3 แลก 1 หรือ 10 แลก 1 เลยก็มี หรือถ้าจะได้มาด้วยฝีมือก็เอามาเล่นไพ่เขี่ยกัน อ้ะ หรือจะใช้ดวงก็เอามาเป่ายิ้งฉุบกัน (ที่มุมการ์ดมีเครื่องหมายค้อนปากกากระดาษครบเลย คือมึงวางแผนมาให้เด็กต่อสู้กันนอกกฎหมายอย่างรัดกุมมาก)

P1190943

และนี่คือรางวัล สะสม 1 เล่มได้เกมแฟมิคอม, 2 เล่มได้จักรยาน, 3 เบ่ม เอาไปเลย โคตรพ่อไอพอด! ซึ่งมันเท่มาก เท่จับใจมาก เด็กที่ไหนวะจะไม่อยากได้ ไม่มีหรอกครับ กรุณาเถอะ เปิดซองครั้งหน้าขอเขาทรายผมเถอะะะะ!

แต่ถ้าสะสมไม่ครบก็ไม่เป็นไร เอาแต้มที่มีอยู่บนหน้าการ์ดมารวมๆ กัน ไปแลกเป็นของรางวัลกากๆ ก็พอได้ .. และของรางวัลอันโคตรสุดยอดแฟนะพันธุ์แท้อันสุดเลอค่า ก็คือ เงินรางวัล 15,000 บาท!!! (เทียบกับสมัยนี้ก็เป็นแสนเลยเปล่าวะ) ซึ่งฝันไปเถอะ แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่มีทางอะ

P1190941

และนั่นก็เป็นหนึ่งในความฝันของเด็กชายวัยหัวเกรียน ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว ดีที่สมัยเด็กๆ เราไม่มีเงินมากพอที่จะเอามาเล่นไอ้พวกนี้ได้มาก แต่ก็เจียดเงินจากข้าวกลางวันมาเป็นค่าโง่พวกนี้ไปหลายมื้ออยู่

ก็นะ มันคือความมันส์ของลูกผู้ชาย

ป.ล.
มีร้านเกม (Play Station 1) หน้าโรงเรียน มันเลวมาก เอาการ์ดเขาทรายที่ไม่รู้ว่าเจอเองหรือซื้อต่อมาจากเด็กอีกที มาเสียบอวดไว้หน้ากระจกร้าน เรียกว่าเป็นการประกาศกร้าวว่าข้ามี แต่ไม่เอาไปแลก มีอะไรไหมไอ้หนู วะฮ่าๆๆๆ ซึ่งยังความคับแค้นใจให้เหล่าเด็กมัธยมต้นหัวเกรียนยุคนั้นมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่ไปยืนเกาะกระจกร้านน้ำลายยืดกันท่วมฟุตปาทเอย