Dear Dakanda

แน่นอนว่าระเบิดเละเทะ กับเอ็มวีล่าสุดของบอยป๊อด ที่ดักแก่และเค้นน้ำตาชาวเจนวายทั้งประเทศอย่างอลังการ เลยขอก๊อปปี้มาจากทวิตเตอร์ จะได้ไม่หาย

///

นี่ฟังสลับกับเพลงเลย เพลงแรกที่ปล่อยออกมาในอัลบั้ม ก็เลยรู้สึกว่ามันมีความคาบเกี่ยวกันพอประมาณ คือมีสองคนที่เคยดีๆ ต่อกันแหละ แล้วก็จากกัน เวลาผ่านไปนานก็มีความรู้สึกคิดถึงกัน …แต่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน

เสียงของพี่ป๊อดในเพลงเลย มันเหมือนเรื่องเล่าของคนเหี้ย – อาจจะไม่ถึงกับเหี้ยหรอก แต่มึงไปทำอะไรเขาไว้แน่ๆ ก่อนจะแยกจากกัน แล้วจนบัดนี้ไม่ได้เจอกันนาน มึงก็ยังไม่รู้เลยว่าทำอะไรลงไป

ในขณะที่ I’m ok // not ok นี่มันมินิมัลกว่านั้นมาก ถึงจะตัดเรื่องไข่ย้อยและดากานดาออกไป (ลบยากแหละเพราะภาพนี้มันจะประทับไปพร้อมกับเพลงไปตลอดกาลแล้ว) แต่เนื้อเพลงที่พูดออกมาแค่นิดหน่อย เหมือนเริ่มทักทาย แต่ก็รู้เลยว่าแต่ละคนมันผ่านอะไรที่หวานขมมาเยอะขนาดไหนในช่วงที่ไม่ได้เจอกัน

///

อีกมุมหนึ่ง เอ็มวีไม่ได้แค่เล่าเรื่องของพระนางในตำนานคู่นี้แต่เพียงสองคนเท่านั้น

คนที่คิดถึงกันอย่างจับใจ ไม่ได้มีแค่สองคนนั้น แต่เราด้วย คุณด้วย (ถ้าคุณเกิดทัน) กับเพื่อนสนิท และประสบการณ์ส่วนตัวที่แต่ละคนได้เจอมา

คนที่ต่างเติบโตแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง ผ่านช่วงเวลาที่ดีและร้ายในวงโคจรของดวงดาวแตกต่างกันไป แต่ในลิ้นชักความทรงจำก็ยังมีก้อนอุ่นๆ ที่เก็บไว้อย่างลึกที่สุดอยู่ คิดถึงบ้างในบางที แต่ชีวิตก็ต้องไปต่อ

จนได้ลืมตามาเห็นฟินาเล่ระดับนี้ปรากฏต่อหน้า ไม่ใช่แค่ดากานดาหรือไข่ย้อย มันคือเรากับเอ็มวีเพลงนี้ที่บรรจงปรุงมาระเบิดต่อมน้ำตาด้วย วินาทีนั้น ไอ้ที่ต่างปกปิดกับมานานขนาดไหนก็ตาม ก็ระเบิดพรั่งพรูเอ่อล้นออกมา แบบไม่ต้องห่วงฟอร์มกันอีกแล้ว

ดูไปหกรอบ พยายามฟังเพลงก็ยังโดนรัศมีของเพื่อนสนิทกลบ (เรียกว่าดีหรือไม่ดีวะเนี่ย ดีละกัน 555) จนย้ายมาใส่หูฟังใน สปตฟ ที่เขาทำเวอร์ชันแยกเสียงไว้

เรียกว่าสมมง เจอกันในคอนสิ้นเดือนนะ

ท่อนที่บิวกิ้นอยากจะถามอะไรออกไปเยอะๆ ระดับที่ละล่ำละลัก // แต่ก็ไม่ถาม
ในขณะที่เสียงของป๊อดก็อยากเล่าอะไรให้ฟังเต็มไปหมด // แต่สุดท้ายก็ต้องกลั้นไว้เพราะไม่อยากให้อุตส่าห์ได้เจอกัน เธอฟังแล้วไม่สบายใจ

จบท่อนที่ระเบิดออกมาแล้วก็ทิ้งช่วงเปียโนยาวๆ จนเฟดจบเพลงลงไป ไอ้เหี้ย แค่เพลงนะ ไม่ต้องมีเอ็มวี เท่านี้ก็ระเบิดแล้ว

พี่บอยบอกว่ากำลังจะมีเอ็มวีเวอร์ชันสอง คิดว่าคราวนี้คงมีนักร้องปรากฏตัวในนั้นด้วย และหาคนทำซับจีนอยู่

i’m ok // not ok

// edit  : โพสต์ของคุณปอย พอร์ตเทรต สรุปทุกอย่างอย่างละเอียด ดีจัด โพสต์นี้

เราไม่ใช่คนทันสมัยอีกต่อไปแล้ว

ช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ตรงกับช่วงหนึ่งของยุคสมัยที่เทคโนโลยียังไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่เป็นคนที่เจอมันก่อน มีโอกาส และเข้าถึงเท่านั้น

เราเป็นหนึ่งในคนแบบนั้น ถึงที่บ้านจะไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดี แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของพ่อ ที่บังคับไปเรียน Lotus , D-Base, DBFORM ที่โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์และบัญชีใกล้บ้าน (โรงเรียนคอมพิวเตอร์ท้องถิ่นนะเว้ย) ตอน ป.6 และซื้อคอมพิวเตอร์ 486 DX-II แรม 4MB มาให้หัดเล่นหัดแงะตั้งแต่ ม.1 ด้วยแกเห็นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นอนาคตที่เด็กเนิร์ดอย่างเราอาจจะคว้าไว้ได้

และเราก็คว้าไว้ ล้วงแคะแกะเกาอย่างสนุกจัดๆ หัดโน่นซนนี่ เท่าที่เทคโนโลยีจะอำนวย แงะเกม โมรอม (ในยุค 90s) ทำเว็บ (ในยุคที่บังมีเน็ตให้เล่นอยู่ที่เดียวในจังหวัดคือราชภัฏ) ไม่นับพวกงานประกอบคอมพ์ ซึ่งเป็นสูตรมาตรฐานของคนประเภทนี้ ที่ทำจนสร้างรายได้จากเหล่าเพื่อนพ่อที่โดนเราหลอกพามาเดินพันธุ์ทิพย์เพื่ออัปเดตว่ากรุงเทพฯ เขาไปถึงไหนกันแล้ว

ในยุคก่อนอินเทอร์เน็ตนั้น การเรียนรู้ระบบไอทีอะไรที่เข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ก็น่าจะเล่นมาจนปรุ

แต่แบบเสียเงิน เช่นเรียนเขียนโปรแกรม PASCAL ตอน ม.3 ที่ต้องจ่ายเพิ่มเทอมละ 400 บาท ไม่กล้าขอเงินพ่อแม่ไปเรียน นี่เป็นสิ่งที่นึกย้อนไปแล้วเสียดายจนทุกวันนี้ ถ้ารากฐานตอนนั้นดี มันคงเปลี่ยนเราไปจากนี้เยอะเลย แต่ช่างมัน

ชีวิตในวัยมัธยมของเราจึงโคตรฟินกับอะไรใหม่ๆ กระโดดขึ้นรถไฟขบวนแรกอยู่เสมอ ถึงจะเป็นรถไฟต่างจังหวัดที่เป็นเพียงกะลาเล็กๆ สู้เด็กในเมืองไม่ได้หรอก แต่มันก็ถูกพิสูจน์ชัดตอนเข้ามหาลัย

เราเข้าเรียนคณะสายออกแบบ อีคณะนี้เรียกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่เราถนัดเลย แต่นั่นเลยกลายเป็นคนนอกระบบการศึกษาด้านเทคโนโลยี ที่ดันต้องแถกไถหาวิธีเล่นเอง มันเลยกลายเป็นสายประยุกต์ที่น่าสนุกดีนะ อย่างพวกวิชากราฟิก วิชาทำฟอนต์ ทำเว็บ วิชาแฟลช (ภูมิใจมาก แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้ว) แล้วก็ SketchUp (ที่น่าจะเคลมได้ว่าหัดเองเป็นคนแรกๆ ของประเทศเรา เพราะโหลดเถื่อนตรงจากเว็บฝรั่ง แล้วเอามาสอนอาจารย์ที่คณะอีกที แถมเอามาทำ Thesis คนแรกของไทย 5555)

ที่อวดเก่งมาทั้งหมดนี่เพียงเพื่อจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ในอดีตของคนที่เคยมั่นใจในความนำสมัยของตัวเองว่า ถึงจะด้อยโอกาสอยู่หน่อยๆ แต่เรื่องสู้ชีวิตเพื่อให้ได้เป็นโปรยูสเซอร์นี่ เราก็ไม่แพ้ใครนะ

เป็นแค่ในตอนนั้น

ถัดมาแค่สิบปี พอเราอิ่มตัวจัดๆ และหมดไฟในการใช้ชีวิตในเมืองกรุง ถึงขั้นตัดสินใจเด็ดขาดว่าขอลาออกจากกรุงเทพฯ แม้จะเป็นการเปลี่ยนงานเปลี่ยนอาชีพ โดดลงจากรถไฟสายเทคโนโลยีที่รู้ดีว่ามันเร็ว และไม่มีทางหยุด

แต่กูเหนื่อยไง

พอโจทย์ในชีวิตเปลี่ยน มันก็เหมือนสับสวิตช์ปิดฉับเลย วางมือจากทุกงานที่เกี่ยวกับงานออกแบบสร้างสรรค์หรือดิจิทัลเอเจนซีใดๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นพาหนะ หันมาคุยกับต้นไม้ คุยกับแมว ถ่ายรูป ช่วยเมียขายเสื้อผ้า ฯลฯ

แล้วก็ได้พบว่าอีกเพียงไม่นานหลังจากนั้น สิ่งที่เราโม้ เราภูมิใจที่ผ่านมาทั้งหมด มันเป็นขยะ

โอเค เราสามารถอวดได้แหละว่าพี่มาก่อน พี่ทำก่อน พี่รู้ก่อน แต่มันยังไงต่อนะ เพราะทุกวันนี้ไอ้ทักษะที่เราอวด มันคือสิ่งปกติสามัญธรรมดามากๆ ประเภทที่เด็กประถมก็เกิดมากับการทำเป็นกันหมดแล้ว

วิทยาการมันพัฒนาไปจนคลื่นลูกที่ตามมามันทับถมตะกอนทราย เป็นพื้นฐานและต่อยอดทบทับขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่รอ และแน่นอน ไม่หยุด

เราจึงเป็นเพียงเศษซากความภูมิใจในอดีต ที่จดไว้ฟินเองในบันทึกส่วนตัวเท่านั้น ตอนนี้จะตัดคลิปติ๊กต็อกแบบที่เขาเล่นกันท้ายตลาด ยังทำไม่เป็นเลย

และทั้งหมดนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเสียใจหรือชอกช้ำระกำทรวงอะไรนะ แต่รู้สึกว่ามันเป็นภาพใกล้เคียงกับที่จินตนาการไว้ตอนโดดลงจากรถไฟ ว่ายังไงถ้าทุกปัจจัยมันลงตัวพอดี ไอ้สิ่งที่เราเคยเบ่งบารมีว่าเคยทำ ทุกคนก็ต้องทำได้เป็นปกติ และดีกว่า

เราจึงแฮปปี้ที่ได้อยู่ในโลกที่เทคโนโลยี (ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ) มันดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ตัวเองจะชราลงทุกวัน และตกยุคหล่นสมัยไปแล้ว

แต่ก็จะพยายามไม่ให้ตกไปไกลมากนะ เดี๋ยวคุยสคิบิดี้ซิกมากับเจนอัลฟาที่บ้านไม่รู้เรื่อง

ฝันว่ากอดแม่

สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเคลียร์งานงานหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการทำ แล้วดันมีอยู่คือหนึ่งที่ฝันถึงแม่

ตื่นมาจำได้แม่น ประทับใจมาก อยากวาดเล่าเรื่องฝันนี้มาก แต่ด้วยภาระท่วมตัวที่ยังปั่นงานไม่เสร็จสักที เลยวาดทิ้งไว้ก่อนตอนพักกินก๋วยเตี๋ยว ผ่านมาสามสี่วันพองานเสร็จเลยวาดต่อจนจบ โดยที่ทั้งภาพและเริ่องราวในฝันยังคงจำได้ชัดเจน

พอวาดจบแล้วก็มานึกได้ว่า เออ ใครมันจะไปเข้าใจกูวะ…

[Get Talks] โตแล้วยังอ่านการ์ตูนอีก?

อารัมภบทเกี่ยวกับรายการ Get Talks กันนิดนึง
ตอนนี้ตอนทำงานหรือขับรถ ผมนิยมฟัง Podcast (ก็คือรายการวิทยุนั่นแหละ แต่เป็นแบบออนไลน์) ไปด้วย เพราะมันสะดวกดี มือทำอย่างอื่น ตาทำอย่างอื่น แต่หูว่าง ก็เปิดฟังเพลินๆ ตอนนี้ติดตามอยู่ 3-4 รายการ เช่น WitCast, BATCast, Omnivore, JUSTดูIT., GM Cast, RadioMANGA (เกินยังวะ) (ทั้งหมดดูเป็นชื่อรายการฝรั่ง แต่พูดไทยทั้งหมดนะครับ ผมภาษาอังกฤษยังไม่ได้แข็งแรงพอจะฟังฝรั่งคุยกันยาวๆ ได้เถอะ)

และสุดท้ายที่นึกออกและเราจะมาอวยกันวันนี้คือ “Get Talks” ของสองพิธีกร แซมมี่และกตัญญู ซึ่งต่างคนก็ต่างมีหน้าที่การงานกันดีอยู่แล้วแหละนะ แล้วมึงมาจัดรายการกันทำไม ว่างเหรอ

คืองี้ครับ วันก่อน คุณแซมติดต่อเข้ามาชวนคุยเรื่องการอ่านการ์ตูน ผมก็งงๆ ไม่กล้ารับปากมัน เกรงว่าเราจะไปรู้อะไรเรื่องการ์ตูนนักวะ เพราะตัวเองก็แค่คนหนึ่งในท่ามกลางผู้คนอีกมากมายหลายล้านที่ต่างก็เติบโตและอ่านการ์ตูนมาตั้งแต่เด็กจนโตมาเหมือนๆ กัน คือมันเป็นเรื่องที่หันไปทางไหนก็เจอแต่คนที่รู้เยอะกว่าผมแน่นอน

พอไอ้แซมเห็นผมอึกอักทำท่าจะรับปากแหล่ไม่รับแหล่ มันก็ให้เหตุผลที่รู้สึกว่าเออ ผมยอมรับได้ นั่นก็คือ “ก็ผมรู้จักพี่คนเดียว”

GetTalks-iannnnn

พอถึงวันนัด ทีมงาน Get Talks ก็ยกสตูดิโอ (ก็มีสองคนนั่นแหละ กะมือถือเครื่องนึงไว้อัดเสียง) มานั่งสัมภาษณ์กันอย่างจริงจังที่บ้านลาดปลาเค้า ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ เดือนที่ผมได้นั่งคุยกับมนุษย์นานขนาดนี้ แถมยังเป็นเรื่องที่ตัวเองก็ประหม่าอยู่ใช่ย่อย

แต่พอเริ่มปริปาก โอ้โห ต้องขอกล่าวอย่างสุภาพเลยครับว่าเย็ดเป็ด ความทรงจำของวัยรุ่นยุค 90s (เห็นกำลังฮิตแซะกันใช่มะตีมนี้) ก็พรั่งพรูทะลักทลายพรวดพราดออกมาอย่างรุนแรงเหมือนดั่งเพิ่งอัดน้ำยาดีท็อกซ์สวนเข้าไปในรูตูด อั้นไว้ 3 นาทีแล้วตัดสินใจคลายการเกร็งหูรูด พุ่งมากๆ! พุ่งมากๆ!

มากไป!

มากไปจนกลายเป็นว่า ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งของรายการนั้นเต็มไปด้วยเนื้อหาดักแก่ และความโรแมนติกข้นคลั่กของอดีตเด็กที่โตมากับวัฒนธรรมการอ่านการ์ตูน ทั้งการ์ตูนสายหลัก สายรอง สายโป๊ (<--ดอกจัน) รวมถึงการพยายามลิสต์รายชื่อการ์ตูนโปรดของแต่ละคน แทนที่จะเลยไปเรื่องอื่นที่มันร่วมสมัย เช่นว่าด้วยการล่มสลายของอาณาจักรการ์ตูน หรือวงการการ์ตูนดิจิทัล พวกเว็บตูนงี้ นี่กลายเป็นว่ามาโชว์กันว่าใครจะรำลึกความหลังได้มากกว่ากันซะยังงั้น แต่นั่นกลับกลายเป็นว่า เออแม่งสนุกฉิบหายเลย 5555 คือทุกคนต่างแลกเปลี่ยน ต่างจากเทปอื่นๆ ที่แขกรับเชิญจะเชี่ยวชาญเรื่องอะไรสักอย่างสัสๆ ที่น่าเสียดายมากก็คือ พอคุยๆ ไป เวลามันผ่านล่วงเลยไปเร็วมาก ก็ยังรู้สึกว่ามีการ์ตูนอีกหลายเรื่องที่ปลิวหลุดไปจากความทรงจำ บางเรื่องถูกยกขึ้นมาพูดแล้วก็นั่งนึกกันอยู่นาน แต่พอร้องอ๋อปั๊บ เฮ้ย เรื่องนี้กูอินเว้ยยยยย แต่กับบางเรื่อง กดหยุดเทปอัดจบรายการ ก็มานั่งสบถกันด้วยความเสียดายว่าเฮ้ย เมื่อกี้ลืมพูดถึงเรื่องนี้ว่ะะะะะ อารมณ์ประมาณว่า มีนักท่องเที่ยวมาถามว่าประเทศยูมีอะไรฮาๆ มั่ง ให้เวลาเล่าแป๊บนึง เชื่อเถอะว่าเล่ายังไงก็ไม่หยด (แค่หมวดการปกครองก็ฮาจนหมดเวลาแล้ว) ก็เลยเหมือนเป็นการเปิดช่องให้คนฟัง (ใช่แล้ว คุณนั่นแหละครับถ้าเกิดทนฟังได้จนจบ) ได้ร่วมสนุก ร่วมแชร์ และแบ่งปันประสบการณ์ของคุณกันบ้างเนอะ ขอบคุณทั้งสองท่านนะครับที่ให้เกียรติ และขอบคุณที่เอาพลังงานมาฝากอย่างล้นเหลือ ฟังเลยครับ

ป.ล.
หลังจากจบการบันทึกรายการ เดินไปส่งอีสองคนนี้หน้าบ้าน กำลังจะปิดรั้ว ผมก็บอกอีแซมไปว่า เออ ทำรายการงี้ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ น่าทำมั่งว่ะ 555

ป.อ.
ไอ้แซมบอก เอาดิพี่

ป.ฮ.
คืนนั้นเลยได้ชื่อและโลโก้รายการเรียบร้อย รวมถึงผู้ดำเนินรายการแล้วด้วย ก็คือแซมกะผมนี่แหละ ไม่ได้หาจากที่ไหนไกลเล้ย 55555 เอาไว้เดี๋ยวให้มันเสร็จสักตอนแล้วมาอัปเดตกันอีกทีครับ

ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์

กำลังหาสถานที่ถ่ายแบบเสื้อผ้าของร้านนลินฟ้า) ที่มันดูวินเทจๆ ออกแนวอังกฤษ อิตาลี ยุโรปใดๆ ก็เลยกูเกิลไปเรื่อยๆ (ส่วนมากสู้ราคาไม่ไหว แหะๆ) อยู่ดีๆ ก็เจอที่นี่ เป็นโรงแรม ชื่อ Praya Palazzo เลยกดดูข้อมูล ก็ว่าเอ๊ะคุ้นๆ แฮะ

เจออีกคลิปนึงเป็นรายการนี้ที่ถ่ายทำในปี 2010 ซึ่งเจ้าของโรงแรมบอกว่าเปิดมาได้ปีเดียวเอง

เอ๊ะ ไหนดูอีกคลิปซิ

โอ้ ชัดเลย เลยมาเปิดคอมดูโฟลเดอร์ภาพถ่ายที่เก็บไว้ ก็เจอโฟลเดอร์ชื่อว่า “20030216 – ดุ่มเดินเดี่ยวด้อมดูดาวดึงษ์” (มึงตั้งชื่อซะแบบ…)

เนี่ย เคยถ่ายไว้ด้วย

01-DSCF2997

ในยุคที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง และเช่าหอพัก (ไว้เก็บของซะเป็นส่วนใหญ่) อยู่แถวตีนสะพานพระปิ่นเกล้า ข้างๆ ชุมชนวัดดาวดึงษ์… ใช่แล้ว เป็นถิ่นกำเนิดของเนวัดดาวนั่นเอง พอนึกบรรยากาศออกเลยใช่มะ (ไม่)

คือ เมื่อก่อนไม่มีตังค์ครับ เป็นนักศึกษาบ้านจนพ่อแม่เป็นข้าราชการลูกสี่ มีหนี้สิ้นท่วมบ้านอะไรแบบนั้นแหละ แต่ด้วยกิเลสส่วนตัว อยากได้กล้องถ่ายรูปดิจิทัล จึงรับจ้างออกแบบนั่นนี่ระหว่างเรียน จนเก็บตังค์พอจะซื้อกล้องดิจิทัลได้ เป็นกล้องฟูจิ (เล่นฟูจิก่อนที่มันจะเริ่มฮิปอีก!) แต่เป็นแค่กล้องปัญญาอ่อนรุ่น FinePix 6800z นะ กดดูดีไซน์ของมันได้ พอร์ชดีไซน์เชียวนะะะะะ สมัยนี้ไม่มีใครทำกล้องประหลาดๆ แบบนี้กันแล้ว แต่ 12 ปีที่แล้วผมทุบกระปุกซื้อเพราะความสวยของมันนี่แหละ 5555555 (ซึ่งนิสัยนั้นก็ยังติดตัวมาจนทุกวันนี้ ที่ซื้อ E-P5 ที่ใช้ทำมาหากินทุกวันนี้ก็ไม่ได้สเป็กดีเด่ไปกว่ากล้องกิ๊กก๊อกใน พ.ศ.นี้ แต่นั่นแหละ มันสวย. ฟุลสต็อป)

สมัยนั้นพอว่างจากโปรเจ็กต์เรียนอันหฤโหด มีเวลาได้ไปนอนแผ่สลบอยู่ที่หอ พอตื่นมาบ่ายๆ ก็ชอบเดินหาร้านก๋วยเตี๋ยวหรืออาหารตามสั่งประหลาดๆ ที่ซ่อนอยู่ในชุมชนวัดดาวดึงษ์กิน อร่อยบ้างอี๋บ้าง แต่ถ้าเขาขายได้ เราก็ต้องกินได้

พออิ่มท้องก็เดินถือกล้องนี่แหละ ไปถ่ายรูปเรื่อยๆ… (อะไรนะ ซิตี้สเคปเหรอ ไม่มั้ง มันดูยิ่งใหญ่ไป ที่ทำนี่ไม่ได้มีความงามอะไรหรอก แค่ชอบถ่ายบันทึกไว้ดูตอนแก่ งั้นเรียกว่าถ่ายเรื่อยๆ ละกัน)

เผอิญวันนั้นเดินไปส่งๆ จนทะลุริมฝั่งเจ้าพระยา เป็นท่าเรือเล็กๆ ของวัดดาวดึงษ์ ก็เลี้ยวซ้ายและเดินเละตลิ่งริมน้ำไปเรื่อยๆ ด้วยหวังจะเจออะไรสนุกๆ แล้วก็เจอเข้าจริงๆ

02-DSCF2998

ตอนนั้นตะลึงมากเลยครับ ต้องลองช่วยกันหลับตานึกภาพว่าไอ้นี่เดินๆ อยู่ในชุมชน มีขี้หมา มีเด็กวิ่งไล่กัน มีแม่ค้า มีรถเข็น มอไซค์ คุณยาย ร้านของชำอยู่ดีๆ แล้วเลี้ยวซ้าย ฟึ่บ ทะลุเจ้าพระยา มองไปด้านซ้าย และคุณจะต้องอึ้งเมื่อได้เห็นอะไรอลังการขนาดนี้มาหมกตัวอยู่ในจุดที่ไม่น่าจะมี …ในภาษาของวงการนึงเขาเรียกว่าเป็นช็อกสเปซ

03-DSCF3012

มันเป็นตึกร้างเก่าแก่สไตล์โคโลเนียล อายุอานามน่าจะสมัย ร.5 (เดาเอาเอง) ที่อยู่ติดกับแม่น้ำพอดี คือถ้ามองในมุมของคนชอบสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลนี่มันเท่มากอะ ส่วนถ้ามองในมุมของพี่ป๋อง …นี่มันน่ามาเดินสายทัวร์ดูผีชะมัด

04-DSCF3013

ทั้งหมดนี้นี่คือปีนกำแพงถ่ายมานะ

05-DSCF3015

06-DSCF3016

เนี่ย แค่เห็นเสาก่ออิฐที่สีมันร่อนออกมาจนเห็นอิฐมอญข้างในก็ว่าโคตรสวยแล้ว ชอบ

07-DSCF3017

สีทาผนังเหลืองๆ ด่างๆ นี่ก็ชอบ บานประตูสีเขียวก็ชอบ (แล้วอะไรคือป้ายที่เขียนว่า “ฝึกฝีมือ”)

08-DSCF3018

เดี๋ยวนะ อันนี้เพิ่งเห็นตอนอัปภาพเขียนบล็อกนี่แหละ ว่ามันมีอะไรสักอย่างอยู่ในห้องมืดด้านซ้ายชั้นบน (น่าจะเป็นกระจกสี) ที่พอมาซูมขยายดูแล้วเหมือนหน้าคน ไม่คนสิ เรียกว่าเจไดใส่หน้ากากจะเท่กว่า (ผีบอกกูเซ็งเลย)

10-DSCF3025

ภาพสุดท้ายนี่คือไปนั่งกับแก๊งเด็กในชุมชน ดูเขาชักว่าวกัน

สรุปว่าบล็อกนี้ไม่มีอไร จะอวดว่าเคยถ่ายตอนมันยังเป็นตึกร้างอยู่เท่านั้นเอง

อ้อ แล้วก็เลยนึกได้ว่าชอบอาคารสไตล์โคโลเนียลแบบนี้มานานแล้ว (ทำไมจบแบบดูจะมีความรู้วะ)