ความทรงจำสมัยเป็นทหารเกณฑ์ทะลักล้นออกมาดั่งทำนบแตก

สรุปสำหรับคนขี้เกียจอ่านยาวๆ: บล็อกตอนนี้อวยกระทู้เล่าเรื่องในพันทิปในซีรี่ส์ “ประสบการณ์ เรื่องเล่าของตุ๊ดมนุษย์เงินเดือนขี้ขลาด ต้องเป็นทหารเกณฑ์ รับเงินเดือน 9,000 บาท แต่ก็ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้” ซึ่งตอนนี้มีหลายตอนมาก กดเข้าไปอ่านเอง แต่ต้องขยันอ่านและว่างมาก (1, 2, 3.1, 3.2, 4)

ในยุคที่พันทิปเปลี่ยนแปลงไปเยอะ(ในทางที่ดีขึ้น) มีเรื่องเล่าของตัวเองให้อ่านเป็นนิยายนับพันนับหมื่นเรื่อง ผมตามทวิตเตอร์ @pantip_kratoo และกดอ่านอันที่น่าสนใจ (ส่วนมากเป็นเรื่องใต้สะดือปะ) ก็มาเจออันนี้ที่อ่านแล้วเออ ขอคารวะ ยกให้เป็นตำนานเลยละกัน

มันเป็นชุดกระทู้ (เรียกว่าชุดเพราะมีหลายภาคต่อกัน) ว่าด้วยตุ๊ดคนนึงที่เป็นตุ๊ดไม่แสดงออก คนรอบกายไม่รู้ แต่ตัวเองน่ะตุ๊ดสุดๆ เลยครับ เรียนเก่ง ปริญญาสองใบ แล้วอยู่ดีๆ ก็อกหัก เดินมึนๆ ไปสมัครเป็นทหารเกณฑ์เฉยเลย พล็อตเริ่มต้นประมาณนี้ตอนแรกที่ผมกดเข้าไปอ่านก็กะว่าฮาแน่ๆ คือแบบ มึงเล็งกระเจี๊ยวทหารทั้งกองร้อยแน่ๆ

แต่ผิดถนัดเลยครับ มันไม่ฮาเหมือนกระทู้ที่เขียนโดยตุ๊ดแบบที่เราจำๆ กัน (จขกท บอกว่าตัวเองไม่อ่านหนังสือนิยาย ไม่ได้เป็นนักเขียน ซึ่งพอเราอ่านก็เชื่อนะ เพราะสำนวนและชั้นเชิงทางภาษาไม่ใช่สไตล์นักเขียน แต่ถ้าบอกว่าเป็นทนาย อันนี้เชื่อ) แต่กลับเจ๋งตรงที่ความละเอียดในการเล่าของเจ้าของกระทู้ ที่ละเอียดเกินไปรึเปล่าวะ จำได้แบบเป็นวันๆ เลย วันนี้บ่ายโมง จับไข่เพื่อน วันนั้นนอนกอดกัน อะไรแบบนี้

คือถ้าตัดดีเทลยุบยิบๆ แบบที่ต้องการเขียนยั่วให้ผู้อ่านฟินจิ้นตาม หรือพวกใส่สีใส่ไข่อะไรแล้วเนี่ย ถือเป็นชุดกระทู้ที่เล่าประสบการณ์การเป็นทหารเกณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา คือผมเองก็โดนทหารมา 2 ปีนะ (ผมเข้ารุ่น 47 ผลัด 1 .. เหี้ย สิบปีมาแล้วนี่หว่า) แต่ความตั้งใจในการละเลียดกลั่นกรองและจดจำประสบการณ์มาบอกต่อนั้นเทียบชั้นกับ จขกท ไม่ติดเลยครับ คือเคยหยิบมาเล่าเสี้ยวนึงนะ นอกนั้นคือบันทึกไว้ในสมุดจดหมด ด้วยหวังว่าวันนึงจะเรียบเรียงเอาแบบที่ออกอากาศเกือบได้มาเล่าในบล็อกหลังจากปลดทหาร คิดไกลขนาดจะเขียนเป็นต้นฉบับไปส่งอะบุ๊กเลยด้วยซ้ำ 5555 (สมัยนั้นยังเขียนแนวๆ อวดสำนวนน่าหมั่นไส้ และยังไม่มีเรื่องกับ วทน ถึงขั้นแตกหักนะ) ซึ่งเอาเข้าจริงก็ขยันไม่พอ จนตอนนี้ความทรงจำมันคืนกลับเข้าสู่ลิ้นชักไปหมดแล้ว ไอ้ที่เคยเขียนเล่าไว้ในบล็อกแค่เสี้ยวนึงก็หายไปกับระบบที่พังและกู้คืนไม่ได้ ความทรงจำดิจิทัลนี่มันแย่จริงๆ

โอ๊ย เล่าแล้วก็เสียดายบล็อกโพสต์เก่าๆ ฮือๆ T-T

กลับมาเข้าเรื่อง ในขณะที่เจ้าของกระทู้เล่าเป็นมหากาพย์ละเอียดยิบ เล่าเหตุการณ์ของตัวเองเนี่ย อ่านแรกๆ ก็จะเซ็งนิดนึง และหยุดอ่านไป (เพราะคิดว่าเราน่าจะได้เห็นสำนวนตลกๆ แต่มันไม่ค่อยตลก) นั่นคงเพราะมันเป็นเรื่องที่เราเคยเจอมาหมดแล้วในค่ายทหารมั้ง เลยปิดแอป (อ่านในแอป) แล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป … แต่พอวันดีคืนดี เห็นทวีตของ @pantip_kratoo บอกว่าถึงภาค 4 แล้ว ก็เลยกดเข้าไปดู แล้วก็เฮ้ย คนเม้นเยอะมาก โคตรๆ มากๆ เลยเริ่มอ่านตรงภาค 4 ก่อน พบว่ามีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกเยอะมาก เลยนั่งย้อนอ่าน เชี่ยยยยย จขกท พบประสบการณ์เจ๋งๆ ในค่ายที่เหนือกว่าที่ผมเจอมาแบบคนละชั้นกันเลย ติดเลยครับ เอาความทรงจำของตัวเองไปซ้อนทับในนั้นได้ละเอียดยิบ โคตรอยากขุดสมุดบันทึกขึ้นมาอ่านอีกรอบเลยครับ

ข้าพเจ้าสมัยเป็นทหาร (ถ่ายโดย @ohaeey)

คือที่ผมเป็นทหาร 2 ปีนี่ สรุปพล็อตได้สั้นๆ ว่า

  • จับทหาร ได้ทหารอากาศ อยู่หน่วยอากาศโยธิน (คือเรียกว่าเป็นทหารราบของกองทัพอากาศ)
  • โดน 2 ปี เพราะปีนั้นใบเกรดออกไม่ทัน บัดซบ
  • ไปเป็นทหารที่ประจวบฯ เป็นกองบิน 53 (ตอนนี้อัปเกรดเป็นกองบิน 5 เลขหลักเดียวคือใหญ่กว่าสองหลัก)
  • พอบอกว่าก่อนจับทหารได้ ผมทำงานกราฟิกดีไซน์ ทุกคนในนั้นมองเราด้วยสีหน้าแบบ… อะไรของมึงนะ (สุดท้ายจ่าเรียกผมว่า มึงน่ะเป็นโปรแกรมเมอร์ละกัน โดยแกก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมเมอร์คืออะไร รู้แค่ไอ้นี่มันน่าจะช่วยทำรายงานกองร้อยในเอ็กเซลได้ งั้นมึงไปทำคอม จบนะ)
  • คือ 40% ของคนในนั้นทำประมง 40% เป็นเกษตรกร 30% อื่นๆ ส่วนอีก 20% เถลไถลเกาะพ่อแม่แดก (เกินยังวะ)
  • กว่าครึ่งเรียนไม่จบ ม.3, 99% สูบบุหรี่, 50% เคยติดคุกมาก่อน!!, 1/3 มีเมียเด็ก!!!
  • และอีกมากมายหลากหลายสถิติที่ไอ้เนิร์ดๆ อย่างผมไปเจอแล้วโคตรงง คือเป็นโลกที่ไม่รู้จัก (และไม่จำเป็นต้องรู้จัก) ว่าวงสครับมีอยู่ในโลกน่ะ พอนึกออกปะ ถ้ายังนึกไม่ออกก็ให้นึกว่าเป็นโลกที่ไม่รู้จักเว็บพันทิป (และแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องรู้จัก ชีวิตเขาก็ปกติสุขดี) ดังนั้นรสนิยมและวิถีชีวิตนี่ พลิกกลับ 360 องศาเลยครับ
  • โดยเฉพาะเรื่องเรต 20+ ทุกอย่างมีครบจริงๆ อยากรู้ไปอ่านในกระทู้ที่ผมอวยอยู่นี่ได้เลย
  • แต่ของผมมีออปชันเพิ่ม คือไอ้ต้อง ผู้มีควยใหญ่เท่าขวดโค้ก (จริงๆ) (ย้ำ) (จับมาแล้ว) เพราะมันไปฉีดมาตอนติดคุก ความเจ๋งคือมันก็ซื่อๆ นี่แหละ แต่แค่ควยใหญ่ และซ่องที่ไหนก็ขึ้นแบล็กลิสต์ (นี่มันโม้ให้ฟัง) คือจะมีอยู่วันนึงที่เพื่อนทหารนับสิบชีวิตไปนั่งดูมันถกให้ลูบคลำเล่น (คือทหารนี่เห็นกระเจี๊ยวกันเป็นเรื่องสามัญพอๆ กะเห็นหน้าครับ) โอ้ย เจ๋ง คือไม่อยู่ในสถานะที่จะเอาความรู้จากหมอแมวไปเตือนมันได้เลย เป็นโลกที่เออ มึงทำไปเหอะ เน่าเมื่อไหร่บอกด้วย
  • เนื่องจากความสามารถในการปรับตัวระดับตุ๊กแกของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าสามารถเนียนใช้ชีวิตกับทุกคนได้อย่างกลมกลืน ทำไปทำมาได้เป็นหัวหน้ากองเฉยเลยเหอะ 5555
  • เพราะตั้งใจตั้งแต่จับทหารแล้วว่า จับได้ก็โอเค มันคือการสวมหมวกแสดงบทบาทอะไรบางอย่าง แล้วก็จริงตามนั้น คือเตรียมรับประสบการณ์เอ็กซ์ตรีมอย่างเดียว และก็ได้ทุกอย่างตามที่คิด
  • เป็นทหารใหม่ 6 แต่ฝึกหนักแค่ 10 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ชิวๆ
  • ชิวมาก ย้ำเลย เนื่องจากมันเป็นค่ายทหารตรงอ่าวมะนาว ดังนั้นทุกอย่างคือความสวยงาม ทะเลสวย บ่ายๆ จ่าใช้ให้ไปจับหอย เย็นๆ แอบหนีออกจากค่ายไปปีนเขาล้อมหมวก (เพื่อการอวดอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกท่านกรุณาคลิกดูภาพนี้ โคตรอยากอวดเลย 5555) นอกนั้นก็ตัดไม้ ถางหญ้า ดับเพลิง ซ่อมคอม ฯลฯ
  • เออ เรื่องซ่อมคอมนี่คือในกองทั้งหมดมีคนเป็นคอมนับได้ 3 คน รวมผมด้วย (ยุคนั้นโลกยังไม่มีไอโฟนนะ) ดังนั้น การทำงานคอมพิวเตอร์แปลว่ามึงต้องทำอะไรก็ได้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่ก็ดี เพราะมันพาให้มีโอกาสเจออะไรเจ๋งๆ อีกเยอะเลย โดยเฉพาะการขอจ่าเอาคอมตัวเองไปทำงานในกองร้อย แล้วผู้กองดันอนุญาต เชี่ยยย
  • เออ ยุคนั้นมันว่างไง แล้วได้ทำงานใน บ.ก. (กองบัญชาการ) ก็เลยได้ทำฟอนต์เยอะแยะ และเป็นจุดกำเนิดเว็บฟอนต์ในปัจจุบัน (เว็บฟอนต์เกิดในค่ายทหาร!) อย่างฟอนต์ที่ประทับใจคือ iannnnnDVD นี่ จำได้เลยว่าหลังจากออกวิ่งตีห้าเสร็จ กลับมารอคิวอาบน้ำ เลยเปิดคอม (ในกองร้อย) มานั่งตวัดๆ ได้ฟอนต์ตัวนึงในเวลา 5-10 นาที ทำลายสถิติโลก แล้วตอนนั้นฟอนต์นี้ฮิตด้วยนะ 5555
  • พอครบ 6 เดือน เขาจะให้แยกไปประจำที่นั่นที่นี่ ของผมมีวาสนาไอ้ย้ายข้ามห้วยมาที่ฐานทัพอากาศดอนเมือง ทำงานหน้าห้อง (คือเป็นเบ๊) ของผู้บัญชาการใหญ่ในหน่วยระดับที่เป็นรองก็แค่ออฟฟิศ ผบ.ทอ.เท่านั้นเอง ใชเวลาอีก 1 ปีครึ่งที่เหลือในเครื่องแบบทหารรัดรูปทุกวัน ทำงาน 6 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน คล้ายๆ เป็นข้าราชการ จนครบสองปี ก็ปลดประจำการ จบ

(รายละเอียดหลายอย่างหล่นหายไประหว่างทางแล้ว แต่ถ้าขุดสมุดบันทึกมาอ่านอาจจะเล่าได้เป็นกิโลๆ)

แต่กับเจ้าของกระทู้นั้นเหตุการณ์มันเพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี ผมเลยเชื่อนะครับว่าเหตุการณ์เอ็กซ์ตรีมต่างๆ ที่แม่งประทับใจมากขนาดนั้น เขาจะหยิบมาเล่าได้ละเอียดยิบย่อย (ถึงจะยิบไปนิด แต่ให้เชื่อว่าโครงเรื่องนั้นมันเจ๋งและคู่ควรต่อการจำได้จริงๆ) เพราะเขามีโหมดทะเลาะวิวาทชกต่อยกัน และติดคุกด้วย ซึ่งตอน 3.2 ที่เล่าเหตุการณ์ในคุกนี่เจ๋งมาก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น โดยเฉพาะการโดดถังขี้นี่ ลืมไปแล้วว่าที่กองร้อยก็มี 555555

จบแล้วครับ เขียนระบายเฉยๆ ด้วยความเซ็งในความขี้เกียจของตัวเอง ถ้าเรียบเรียงการเล่าให้เป็นระบบตั้งแต่สมัยนั้นคงสนุก ดังนั้นใครอยากทำอะไร ทำเลยนะครับ จะได้ไม่ต้องมาบ่นเป็นคนแก่แบบนี้

ผมโดนผีเด็กประถมหลอกเข้าจังๆ

นี่ตอนเขียนบล็อกยังเหงื่อแตกไม่หยุดเลยครับ อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไร แต่ไอ้ที่ทำให้ใจเต้นโครมครามก็คือความรู้สึกโหยหาอดูตอย่างแรง

เรื่องมันมีอยู่ว่า อยู่ดีๆ เพื่อนสมัยประถมของผมก็เกิดคิดถึงกัน ไม่ได้เจอกัน (เรียกว่าขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิงเลยแหละ) มายี่สิบปีแล้วไรงี้ เลยนึกสนุก นัดรวมพลกันอีกครั้ง เลยลากกันมาคุยในกรุ๊ปไลน์ (ถ้าเป็นเมื่อก่อนพฤติกรรมนี้คงเกิดในเฟซบุ๊ก แสดงว่าเอาเข้าจริงพบแนวโน้มว่าคนจะเริ่มไม่เล่นเฟซบุ๊กกันจริงๆ ละ) แล้วก็ไถ่ถามกันแบบไม่อายเลยว่าเราก็จำนายไม่ได้ บ้างก็จำได้แต่ชื่อ บ้างก็เปลี่ยนชื่อไปจนลืมทุกอย่างที่เคยเกี่ยวพันกันเลยดีกว่า

แต่อีกไม่กี่วันเราก็จะได้กลับมาเจอกัน นึกภาพฉากจบในหนังเรื่องแฟนฉันดูสิครับ (สปอยล์แบบนี้คงไม่เป็นไรเนอะ) คือไอ้เจี๊ยบแม่งเดินเข้างานแต่งน้อยหน่า น้อยหน่าหันมา อ้าว หน้ายังเป็นน้องโฟกัสตอนสิบขวบอยู่เลย!

ตอนนี้ภาพของเพื่อนฝูงสมัยประถมหลายคนนั้นก็อารมณ์นี้เลยครับ ฟรีซความทรงจำแช่แข็งไว้เท่านั้น แต่พอเริ่มพูดคุยก็ได้รู้ว่าทุกคนก็ต่างเติบโต แบบเดียวกับที่มีนักเขียนหลายท่านที่บอกเล่าเรื่องราวของมานีมานะในยุคที่พอโตแล้วมาเจอกัน อารมณ์ถวิลหามันพวยพุ่งรุนแรง

จนผมเปิดกล่องรองเท้าที่เก็บสะสมนั่นนี่มาตั้งแต่ประถม จนเจอเฟรนด์ชิปเอย ภาพถ่ายเอย การ์ตูนที่วาดแบ่งห้เพื่อนอ่านสมัยนั้นเอย ฯลฯ แต่ไม่กล้าดูนาน เพราะยิ่งดูยิ่งเหงื่อแตก และยิ้มปากฉีกถึงหู ใครเปิดประตูห้องเข้ามาจะพบภาพที่น่ากลัวมาก คือไอ้อ้วนบ้านี่นั่งยิ้มปากฉีก และเหงื่อท่วมตัวเหมือนกำลังดูหนังโป๊ในห้องเซาน่า

กรุสมบัติแอน

ไม่อายแล้วครับที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ และพร้อมจะดักแก่ทุกคนที่ขวางหน้าด้วย!

ที่สำคัญคือเริ่มสงสารรุ่นน้องๆ หลานๆ สมัยนี้ (ใช้คำว่า “สมัยนี้” ด้วย… ครบสูตรแก่ละกู) ที่ดันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเอย ความเป็นดิจิทัลทั้งหลายเอย ที่ไม่อนุญาตให้สิ่งใดเก่าลงตามการกัดกร่อนของกาลเวลา

ภาพถ่ายดิจิทัลยังคงคมชัดเสมอ จนน้องเองก็คงสงสัยแล้วว่า ไอ้การเลือนหายของความทรงจำนี่มันดียังไงวะ

เออ กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่านั่งยิ้มเหงื่อแตกจนน้ำหนักตัวลดไปสัก 5 ขีดได้ละเนี่ย

ป.ล.
ไว้จะเอาอะไรมาโพสต์เรื่อยๆ นะครับ รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกบ้าสะสมของในยุค 253X เยอะเลย เช่นที่เคยเขียนถึงอันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขยะ 5555 คือวันนี้เช่านารุโตะมาอ่านหลายเล่ม เลยมีเวลาเขียนเท่านี้ ไว้จะไล่ละเลียดทีหลังครับ รู้แต่ว่าเขียนสามวันไม่หมดแน่ๆ

การ์ด “บุคคลสำคัญของโลก” (ทวิสตี้, ริงโก้สตาร์) #ดักแก่

ที่จริงบล็อกตอนนี้เขียนครั้งแรกที่ Exteen แต่คิดว่าต่อไปนี้คงไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว เลยย้ายมาบล็อกหลักซะเลย เผื่อต่อไปว่างๆ ค้นลิ้นชักเจออะไร จะได้หยิบมาเล่าอีก (ขอบคุณเพจ “น่าเสียดายพวกนายเกิดไม่ทัน” ที่ทำให้นึกถึงบล็อกนี้ขึ้นมา)

—–

สมัยเราอยู่ ม.1 ตอนนั้นก็ปี 2537 ล่ะ

การได้อยู่ในหมู่เพื่อนที่บ้าสะสมและบ้าเอาของสะสมเหล่านั้นมาอวดกัน โลกมันช่างอยู่ยากไม่แพ้เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เราสะสมจำนวน Like หรือ Follower กัน แต่ตอนเรายังเด็ก การมีไพ่หายาก การ์ดแรร์สุดๆ นั้นคือสุดยอดแห่งความฟิน

การ์ดชุดนี้คือหนึ่งในตำนานที่ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มันก็ยังเก็บมาพลิกดูแล้วรู้สึกเท่ได้อยู่ นั่นคือซีรี่ส์ “ที่สุดของโลก”

P1190940

เป็นของแถมขนมสามยี่ห้อ คือ ทวิสตี้ วิลลี่ และริงโก้สตาร์ (เราชอบริงโก้สตาร์ที่สุด เพราะมันเอามาสวมนิ้วได้) ถือเป็นยุคที่มาหลังกาก้า คัมคัม และขนมช็อกโกแล็ตยี่ห้อโดราเอมอน (ที่แม่งไม่ได้ขอลิขสิทธิ์เขามาทำแน่ๆ) ที่แถมไพ่สติกเกอร์ดราก้อนบอลหรืออะไรแบบนั้น เพราะนี่มาแนวความรู้ เอาไว้อวดอ้างผู้ปกครองได้ว่าการสะสมนี่ดูภูมิฐานเกินเด็กนะ เพราะเนื้อหาของการ์ดแต่ละใบจะเป็นการ์ดความรู้เกี่ยวกับ “ที่สุดของโลก” ในแต่ละแขนง

P1190944

อันได้แก่

  1. “โลกมหัศจรรย์” ที่ว่าด้วยสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแบบพวกความรู้ทั่วไปที่เด็กสมัยนั้นใครรู้ก็จะอวดเพือนได้สบายๆ
  2. “บุคคลระดับโลก” (เราสะสมชุดนี้ ที่จริงมีอีกชุดแต่ทำหายไปแล้วมั้ง) นี่ก็ว่าด้วยเรื่องคนดังระดับโลก 30 คน ในยุคที่ สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่แจ้งเกิดในวงการศาสดาโลก
  3. “เผ่าพันธุ์มนุษย์” อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง ไม่เห็นอยากรู้เลย
  4. “โลกเร้นลับ” สนุกมากครับ ยุคนั้นเพิ่งพ้นช่วงที่มนุษยชาติกำลังบ้าคำว่าวิทยาศาสตร์ (นึกภาพการ์ตูนสมัยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ) คือทุกอย่างมันต้องค้นคว้าศึกษา เลยมีวิทยาศาสตร์เทียมเข้ามาปะปนเต็มไปหมด ก็เชื่อกันบ้างไม่เชื่อกันบ้าง สนุกดี ..แต่ก็เอาเหอะ ผ่านมาหลายสิบปีคนก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่

ซึ่งบางครั้ง พอเปิดซองมาก็จะเจอกับชุดที่เราไม่ได้สะสม หรือบางทีสะสมนะ แต่ซ้ำแล้วก็บ่อยไป จังหวะนี้แหละครับที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากเพื่อน ก็เอาไปแลกกันซะ วินวินกันทั้งคู่

P1190942

แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในแต่ละเล่มจะมีการ์ดที่โคตรสุดยอดหายากอยู่ใบหรือสองใบเสมอ สำหรับชุดบุคคลสำคัญของโลกนี้ ใที่หายากที่สุดก็คือ “เขาทราย แกแล็คซี่” ครับ รู้สึกว่าอีบริษัทขนมมันจะผลิตมาแค่จำนวนจำกัดนะ เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดเนื้อหมดตัวกับรางวัลที่มีราคา และมีจำนวนจำกัด (ก็แหงแหละ) ดังนั้นใครที่ได้ครอบครองการ์ดเหล่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่ากูชนะแน่

นอกจากนั้นก็ยังมีการ์ดหายากระดับรองๆ ลงมา ผมไม่อน่ใจว่าเขาผลิตเป็นจำนวนจำกัดหรือเปล่า แต่มันก็หายากจริงๆ ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงๆ ถ้าคุณเป็นนักสะสมตัวยง ก็จะหาทางแลกมันมาจนได้ อาจจะต้อง 3 แลก 1 หรือ 10 แลก 1 เลยก็มี หรือถ้าจะได้มาด้วยฝีมือก็เอามาเล่นไพ่เขี่ยกัน อ้ะ หรือจะใช้ดวงก็เอามาเป่ายิ้งฉุบกัน (ที่มุมการ์ดมีเครื่องหมายค้อนปากกากระดาษครบเลย คือมึงวางแผนมาให้เด็กต่อสู้กันนอกกฎหมายอย่างรัดกุมมาก)

P1190943

และนี่คือรางวัล สะสม 1 เล่มได้เกมแฟมิคอม, 2 เล่มได้จักรยาน, 3 เบ่ม เอาไปเลย โคตรพ่อไอพอด! ซึ่งมันเท่มาก เท่จับใจมาก เด็กที่ไหนวะจะไม่อยากได้ ไม่มีหรอกครับ กรุณาเถอะ เปิดซองครั้งหน้าขอเขาทรายผมเถอะะะะ!

แต่ถ้าสะสมไม่ครบก็ไม่เป็นไร เอาแต้มที่มีอยู่บนหน้าการ์ดมารวมๆ กัน ไปแลกเป็นของรางวัลกากๆ ก็พอได้ .. และของรางวัลอันโคตรสุดยอดแฟนะพันธุ์แท้อันสุดเลอค่า ก็คือ เงินรางวัล 15,000 บาท!!! (เทียบกับสมัยนี้ก็เป็นแสนเลยเปล่าวะ) ซึ่งฝันไปเถอะ แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่มีทางอะ

P1190941

และนั่นก็เป็นหนึ่งในความฝันของเด็กชายวัยหัวเกรียน ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว ดีที่สมัยเด็กๆ เราไม่มีเงินมากพอที่จะเอามาเล่นไอ้พวกนี้ได้มาก แต่ก็เจียดเงินจากข้าวกลางวันมาเป็นค่าโง่พวกนี้ไปหลายมื้ออยู่

ก็นะ มันคือความมันส์ของลูกผู้ชาย

ป.ล.
มีร้านเกม (Play Station 1) หน้าโรงเรียน มันเลวมาก เอาการ์ดเขาทรายที่ไม่รู้ว่าเจอเองหรือซื้อต่อมาจากเด็กอีกที มาเสียบอวดไว้หน้ากระจกร้าน เรียกว่าเป็นการประกาศกร้าวว่าข้ามี แต่ไม่เอาไปแลก มีอะไรไหมไอ้หนู วะฮ่าๆๆๆ ซึ่งยังความคับแค้นใจให้เหล่าเด็กมัธยมต้นหัวเกรียนยุคนั้นมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่ไปยืนเกาะกระจกร้านน้ำลายยืดกันท่วมฟุตปาทเอย

ไม่ใช่ไทม์แมชชีน แต่มันคือเฟซบุ๊ก

แอนสมัยประถม
(ขอบคุณภาพประกอบจากเตย เมธาวี)

เมื่อคืนตื่นเต้นมากจนทวีตออกมาอย่างรวบรัดว่าอย่างนี้ครับ

เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นคืออยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเด้งเข้ามาว่ามีคนตอบเราในเฟซบุ๊ก (ต้องอธิบายหน่อยว่าผมไม่ได้ “เล่น” เฟซบุ๊ก ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ใช้งาน แต่แปลว่าไม่ได้จมปลักอยู่กับมัน ซึ่งการจมปลักนี้ใช้กับทวิตเตอร์ แม่งเรียกได้ว่าตลอดเวลา ติดต่อง่ายกว่าโทรหากันสักล้านเท่า) เลยกดไปดู

ก็พบว่ามีเพื่อนชื่อจูนทักเข้ามา แล้วลงท้ายด้วยว่ามาจากกรุ๊ปชื่อ อ.ป. ซึ่งเป็นชื่อย่อของโรงเรียนอรุณประดิษฐ เพชรยุรี ที่ผมเคยเรียนอยู่สมัย ป.3 ถึง ป.6

ด้วยความฉงนแกมตะลึง (คือพอจะสปอยล์ตัวเองได้แล้วว่าวินาทีต่อจากนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้น) ก็เลยกดลิงก์นั้นเข้าไป และพบกับโลกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

เพื่อนสมัยประถมหลายคนกำลังูดคุยสนทนากันในกรุ๊ปแบบปิด บางคนแนะนำตัว บางคนโพสต์รูปถ่ายเมื่อสมัย 20 ปีก่อน (เด็กประถมที่ถือกล้องถ่ายรูปเมื่อ 20 ปีก่อนนี่รวยส์จังเลย 5555) เอามาอวดกัน แล้วเริ่มไล่เรียงทายชื่อเพื่อนแต่ละคนที่วิญญาณสถิตอยู่ในภาพถ่ายนั่น

ผมตื่นเต้น ไล่นิ้วปาดดูไปเรื่อยๆ (เปิดในมือถือ) ก็พบว่าไม่สาแก่ใจ เลยวิ่งลงมาหยิบคอม เอาไปวางบนเตียงแล้วนอนคว่ำหน้าเสพภาพมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันคือภาพของเด็กประถมจำนวนมากที่กำลังจัดกิจกรรมอะไรบางอย่าง บางภาพเป็นภาพหมู่ บ้างก็ภาพเดี่ยวๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีและราคาของมันในสมัยนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมต่างตั้งใจฉีกยิ้ม และเก็กท่าใส่กล้องอย่างเต็มที่

ซึ่งสารภาพว่าผมจำใครแทบไม่ได้เลย แม้เพื่อนหลายคนจะรายงานตัวว่าตัวเองชื่อ นามสกุลอะไร ก็ยังคงจำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา

มัธยมกับประถมมันต่างกัน

วัยมัธยมเรามีเพื่อนเป็นศูนย์กลางของชีวิต การมีกรุ๊ปเพื่อนมัธยมมันคือเรื่องสามัญของยุคนี้ไปแล้ว (ยิ่งเพื่อนมหาลัยนี่ไม่ต้องพูดถึง) ดังนั้นการเข้าไปพูดคุยอัปเดตสถานะปัจุบัน และทำท่าทีสนิทสนมกันแบบที่ใครดันลืมชื่อเพื่อนก็ถือเป็นบาป นั่นคือเรื่องปกติ แต่สำหรับเพื่อนประถมนั้นต่างออกไป

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือเพื่อนแต่ละคนก็จำกันไม่ได้ จะจำได้ก็ต่อเมื่อลากเพื่อนที่สนิทๆ กัน หรือยังต่อติดจนปัจจุบันเข้ามาในกรุ๊ป แล้วเริ่มแนะนำตัวกันอีกทีว่าตัวเองเป็นใคร ผูกโยงกับเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อนว่ามีบุคลิกยังไงตอนประถม หรือพยายามแสดงท่าทางว่าถ้าเพื่อนๆ จำเด็กคนนั้นไม่ได้ ให้นึกถึงเหตุการณ์นี้สิ

ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องอาย เมื่อบอกกันตรงๆ ว่า “เราจำเธอไม่ได้นะ” และเริ่มแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง — ด้วยชื่อจริง (สมัยนั้นไม่มีใครเรียกกันด้วยชื่อเล่นหรอก โดยเฉพาะผมที่แม่ตั้งชื่อว่าแอน โคตรน่าอายเลย เลยชื่อปรัชญามาตลอด)

มิตรภาพที่เกิดขึ้นมันคล้ายกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันหมาดๆ แต่มีสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกกันบางๆ บ้างก็ขาดไปแล้วเนิ่นนาน แต่วันนี้มันกลับย้อนคืนมาอีกครั้ง

ไม่ใช่แค่เรื่องของเพื่อน แต่หมายถึงเรื่องของเราเอง

สำหรับผม เด็กชายปรัชญาสมัยประถม ไม่มีเรื่องอะไรให้เพื่อนจำไปมากมายไปกว่าการเป็นเด็กเนิร์ด(มากๆ)คนนึง ที่เรียนเก่งที่สุดในห้องของฝั่งชาย (ของฝั่งหญิงจะเป็น “จูน จินตนา” ที่เราเจอกันโดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้เธอมีครอบครัวแล้วและเปิดร้านขายยาอยู่สมุย) นอกนั้นก็เป็นเด็กที่ชอบนั่งเงียบๆ วาดรูป (หลอดสัส) .. และความทรงจำอื่นๆ ที่พอจะแกะออกมาได้คือเราบ้าหมากรุกมาก เอาหมากรุกไปเผยแพร่ในโรงเรียนจนดังระเบิดตอน ป.6 แล้วมั่นใจมากว่ากูนี่เก่งนักหนา ล้มเพื่อนทุกคนในโรงเรียนได้ จนไปแพ้ อ.สอนคณิตศาสตร์เสียหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี ฯลฯ

ฯลฯ

ฯลฯ

เมื่อคืนนี้นอนยิ้มและหลับด้วยอารมณ์ดีมากๆ เหมือนตัวเองได้กระโดดกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความทรงจำต่างๆ มันเป็นเพียงสิ่งเสพติดให้เราหลงเคลิ้มไปชั่วคราว แต่พอตื่นมาก็เจอโลกปัจจุบัน ที่มีเมียนั่งสกรีนเสื้อขายอยู่ เคล้ากับเสียงเด็กทารกที่รักการแหกปากร้องและขี้แตกทั้งวัน

แต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ใช่แค่การหลงอดีต แต่คือการขุดมิตรภาพในอดีตที่ตัวเองไม่เคยนึกถึงว่าจะได้เจอ ให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน และความสัมพันธ์แบบปัจจุบัน

ผมเขียนบล็อกตอนนี้ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิด เข้าใจว่าผู้อ่านบางคนคงเคยพบช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว ก็ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของพวกโหยหาอดีตที่กำลังจะเป็นปัจจุบันด้วยคนละกันนะครับ

ขอบคุณมาร์ก ซักเกอร์เบิร์กจริงๆ ครับ (อีมาร์กคงงงว่าเกี่ยวอะไรกะกู)

ป.ล.
จูน จินตนาที่พูดถึงนี่เป็นคนแรกในชีวิตผมที่พูดคำว่า “คอมพิวเตอร์” ให้ได้ยินนะครับ ตอน ป.6 เธอบอกว่ากำลังเรียน “โลตัส” อยู่ ผมไม่เคยได้ยินคำว่าโลตัสมาก่อน (ตอนนั้นห้างโลตัสบิ๊กซีเซเว่นยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ) เอาจริงๆ คำว่าคอมพิวเตอร์ก็ไม่เคยได้ยิน แต่รู้สึกว่าแม่งเท่ฉิบหาย .. ปีต่อมาพ่อผมก็เก็บเงินซื้อคอมมาให้ลูกได้เรียนได้หัดบ้าง ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่สุดยอดจริงๆ

ป.อ.
ที่จริงผมแอบขุดบล็อกเก่าไว้ที่ Exteen และจะทยอยโพสต์ของรักของหวงสมัยเด็กๆ ไปแปะไว้ที่นั่น ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกรุ๊ปนี้พอดี เออ บ้าอดีตกันเข้าไป (ก็สนุกดีนะ แล้วจะทำไม)

ป.ฮ.
ขออภัยที่ไม่ได้เรียบเรียง พอดีเมียเร่งให้เขียนเร็วๆ จะไปกินข้าว