การ์ด “บุคคลสำคัญของโลก” (ทวิสตี้, ริงโก้สตาร์) #ดักแก่

ที่จริงบล็อกตอนนี้เขียนครั้งแรกที่ Exteen แต่คิดว่าต่อไปนี้คงไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว เลยย้ายมาบล็อกหลักซะเลย เผื่อต่อไปว่างๆ ค้นลิ้นชักเจออะไร จะได้หยิบมาเล่าอีก (ขอบคุณเพจ “น่าเสียดายพวกนายเกิดไม่ทัน” ที่ทำให้นึกถึงบล็อกนี้ขึ้นมา)

—–

สมัยเราอยู่ ม.1 ตอนนั้นก็ปี 2537 ล่ะ

การได้อยู่ในหมู่เพื่อนที่บ้าสะสมและบ้าเอาของสะสมเหล่านั้นมาอวดกัน โลกมันช่างอยู่ยากไม่แพ้เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เราสะสมจำนวน Like หรือ Follower กัน แต่ตอนเรายังเด็ก การมีไพ่หายาก การ์ดแรร์สุดๆ นั้นคือสุดยอดแห่งความฟิน

การ์ดชุดนี้คือหนึ่งในตำนานที่ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มันก็ยังเก็บมาพลิกดูแล้วรู้สึกเท่ได้อยู่ นั่นคือซีรี่ส์ “ที่สุดของโลก”

P1190940

เป็นของแถมขนมสามยี่ห้อ คือ ทวิสตี้ วิลลี่ และริงโก้สตาร์ (เราชอบริงโก้สตาร์ที่สุด เพราะมันเอามาสวมนิ้วได้) ถือเป็นยุคที่มาหลังกาก้า คัมคัม และขนมช็อกโกแล็ตยี่ห้อโดราเอมอน (ที่แม่งไม่ได้ขอลิขสิทธิ์เขามาทำแน่ๆ) ที่แถมไพ่สติกเกอร์ดราก้อนบอลหรืออะไรแบบนั้น เพราะนี่มาแนวความรู้ เอาไว้อวดอ้างผู้ปกครองได้ว่าการสะสมนี่ดูภูมิฐานเกินเด็กนะ เพราะเนื้อหาของการ์ดแต่ละใบจะเป็นการ์ดความรู้เกี่ยวกับ “ที่สุดของโลก” ในแต่ละแขนง

P1190944

อันได้แก่

  1. “โลกมหัศจรรย์” ที่ว่าด้วยสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแบบพวกความรู้ทั่วไปที่เด็กสมัยนั้นใครรู้ก็จะอวดเพือนได้สบายๆ
  2. “บุคคลระดับโลก” (เราสะสมชุดนี้ ที่จริงมีอีกชุดแต่ทำหายไปแล้วมั้ง) นี่ก็ว่าด้วยเรื่องคนดังระดับโลก 30 คน ในยุคที่ สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่แจ้งเกิดในวงการศาสดาโลก
  3. “เผ่าพันธุ์มนุษย์” อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง ไม่เห็นอยากรู้เลย
  4. “โลกเร้นลับ” สนุกมากครับ ยุคนั้นเพิ่งพ้นช่วงที่มนุษยชาติกำลังบ้าคำว่าวิทยาศาสตร์ (นึกภาพการ์ตูนสมัยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ) คือทุกอย่างมันต้องค้นคว้าศึกษา เลยมีวิทยาศาสตร์เทียมเข้ามาปะปนเต็มไปหมด ก็เชื่อกันบ้างไม่เชื่อกันบ้าง สนุกดี ..แต่ก็เอาเหอะ ผ่านมาหลายสิบปีคนก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่

ซึ่งบางครั้ง พอเปิดซองมาก็จะเจอกับชุดที่เราไม่ได้สะสม หรือบางทีสะสมนะ แต่ซ้ำแล้วก็บ่อยไป จังหวะนี้แหละครับที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากเพื่อน ก็เอาไปแลกกันซะ วินวินกันทั้งคู่

P1190942

แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในแต่ละเล่มจะมีการ์ดที่โคตรสุดยอดหายากอยู่ใบหรือสองใบเสมอ สำหรับชุดบุคคลสำคัญของโลกนี้ ใที่หายากที่สุดก็คือ “เขาทราย แกแล็คซี่” ครับ รู้สึกว่าอีบริษัทขนมมันจะผลิตมาแค่จำนวนจำกัดนะ เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดเนื้อหมดตัวกับรางวัลที่มีราคา และมีจำนวนจำกัด (ก็แหงแหละ) ดังนั้นใครที่ได้ครอบครองการ์ดเหล่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่ากูชนะแน่

นอกจากนั้นก็ยังมีการ์ดหายากระดับรองๆ ลงมา ผมไม่อน่ใจว่าเขาผลิตเป็นจำนวนจำกัดหรือเปล่า แต่มันก็หายากจริงๆ ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงๆ ถ้าคุณเป็นนักสะสมตัวยง ก็จะหาทางแลกมันมาจนได้ อาจจะต้อง 3 แลก 1 หรือ 10 แลก 1 เลยก็มี หรือถ้าจะได้มาด้วยฝีมือก็เอามาเล่นไพ่เขี่ยกัน อ้ะ หรือจะใช้ดวงก็เอามาเป่ายิ้งฉุบกัน (ที่มุมการ์ดมีเครื่องหมายค้อนปากกากระดาษครบเลย คือมึงวางแผนมาให้เด็กต่อสู้กันนอกกฎหมายอย่างรัดกุมมาก)

P1190943

และนี่คือรางวัล สะสม 1 เล่มได้เกมแฟมิคอม, 2 เล่มได้จักรยาน, 3 เบ่ม เอาไปเลย โคตรพ่อไอพอด! ซึ่งมันเท่มาก เท่จับใจมาก เด็กที่ไหนวะจะไม่อยากได้ ไม่มีหรอกครับ กรุณาเถอะ เปิดซองครั้งหน้าขอเขาทรายผมเถอะะะะ!

แต่ถ้าสะสมไม่ครบก็ไม่เป็นไร เอาแต้มที่มีอยู่บนหน้าการ์ดมารวมๆ กัน ไปแลกเป็นของรางวัลกากๆ ก็พอได้ .. และของรางวัลอันโคตรสุดยอดแฟนะพันธุ์แท้อันสุดเลอค่า ก็คือ เงินรางวัล 15,000 บาท!!! (เทียบกับสมัยนี้ก็เป็นแสนเลยเปล่าวะ) ซึ่งฝันไปเถอะ แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่มีทางอะ

P1190941

และนั่นก็เป็นหนึ่งในความฝันของเด็กชายวัยหัวเกรียน ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว ดีที่สมัยเด็กๆ เราไม่มีเงินมากพอที่จะเอามาเล่นไอ้พวกนี้ได้มาก แต่ก็เจียดเงินจากข้าวกลางวันมาเป็นค่าโง่พวกนี้ไปหลายมื้ออยู่

ก็นะ มันคือความมันส์ของลูกผู้ชาย

ป.ล.
มีร้านเกม (Play Station 1) หน้าโรงเรียน มันเลวมาก เอาการ์ดเขาทรายที่ไม่รู้ว่าเจอเองหรือซื้อต่อมาจากเด็กอีกที มาเสียบอวดไว้หน้ากระจกร้าน เรียกว่าเป็นการประกาศกร้าวว่าข้ามี แต่ไม่เอาไปแลก มีอะไรไหมไอ้หนู วะฮ่าๆๆๆ ซึ่งยังความคับแค้นใจให้เหล่าเด็กมัธยมต้นหัวเกรียนยุคนั้นมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่ไปยืนเกาะกระจกร้านน้ำลายยืดกันท่วมฟุตปาทเอย

ไม่ใช่ไทม์แมชชีน แต่มันคือเฟซบุ๊ก

แอนสมัยประถม
(ขอบคุณภาพประกอบจากเตย เมธาวี)

เมื่อคืนตื่นเต้นมากจนทวีตออกมาอย่างรวบรัดว่าอย่างนี้ครับ

เหตุการณ์ก่อนหน้านั้นคืออยู่ดีๆ ก็มีอีเมลเด้งเข้ามาว่ามีคนตอบเราในเฟซบุ๊ก (ต้องอธิบายหน่อยว่าผมไม่ได้ “เล่น” เฟซบุ๊ก ไม่ได้แปลว่าไม่ได้ใช้งาน แต่แปลว่าไม่ได้จมปลักอยู่กับมัน ซึ่งการจมปลักนี้ใช้กับทวิตเตอร์ แม่งเรียกได้ว่าตลอดเวลา ติดต่อง่ายกว่าโทรหากันสักล้านเท่า) เลยกดไปดู

ก็พบว่ามีเพื่อนชื่อจูนทักเข้ามา แล้วลงท้ายด้วยว่ามาจากกรุ๊ปชื่อ อ.ป. ซึ่งเป็นชื่อย่อของโรงเรียนอรุณประดิษฐ เพชรยุรี ที่ผมเคยเรียนอยู่สมัย ป.3 ถึง ป.6

ด้วยความฉงนแกมตะลึง (คือพอจะสปอยล์ตัวเองได้แล้วว่าวินาทีต่อจากนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้น) ก็เลยกดลิงก์นั้นเข้าไป และพบกับโลกที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ

เพื่อนสมัยประถมหลายคนกำลังูดคุยสนทนากันในกรุ๊ปแบบปิด บางคนแนะนำตัว บางคนโพสต์รูปถ่ายเมื่อสมัย 20 ปีก่อน (เด็กประถมที่ถือกล้องถ่ายรูปเมื่อ 20 ปีก่อนนี่รวยส์จังเลย 5555) เอามาอวดกัน แล้วเริ่มไล่เรียงทายชื่อเพื่อนแต่ละคนที่วิญญาณสถิตอยู่ในภาพถ่ายนั่น

ผมตื่นเต้น ไล่นิ้วปาดดูไปเรื่อยๆ (เปิดในมือถือ) ก็พบว่าไม่สาแก่ใจ เลยวิ่งลงมาหยิบคอม เอาไปวางบนเตียงแล้วนอนคว่ำหน้าเสพภาพมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันคือภาพของเด็กประถมจำนวนมากที่กำลังจัดกิจกรรมอะไรบางอย่าง บางภาพเป็นภาพหมู่ บ้างก็ภาพเดี่ยวๆ แต่ด้วยเทคโนโลยีและราคาของมันในสมัยนั้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมต่างตั้งใจฉีกยิ้ม และเก็กท่าใส่กล้องอย่างเต็มที่

ซึ่งสารภาพว่าผมจำใครแทบไม่ได้เลย แม้เพื่อนหลายคนจะรายงานตัวว่าตัวเองชื่อ นามสกุลอะไร ก็ยังคงจำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา

มัธยมกับประถมมันต่างกัน

วัยมัธยมเรามีเพื่อนเป็นศูนย์กลางของชีวิต การมีกรุ๊ปเพื่อนมัธยมมันคือเรื่องสามัญของยุคนี้ไปแล้ว (ยิ่งเพื่อนมหาลัยนี่ไม่ต้องพูดถึง) ดังนั้นการเข้าไปพูดคุยอัปเดตสถานะปัจุบัน และทำท่าทีสนิทสนมกันแบบที่ใครดันลืมชื่อเพื่อนก็ถือเป็นบาป นั่นคือเรื่องปกติ แต่สำหรับเพื่อนประถมนั้นต่างออกไป

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือเพื่อนแต่ละคนก็จำกันไม่ได้ จะจำได้ก็ต่อเมื่อลากเพื่อนที่สนิทๆ กัน หรือยังต่อติดจนปัจจุบันเข้ามาในกรุ๊ป แล้วเริ่มแนะนำตัวกันอีกทีว่าตัวเองเป็นใคร ผูกโยงกับเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อนว่ามีบุคลิกยังไงตอนประถม หรือพยายามแสดงท่าทางว่าถ้าเพื่อนๆ จำเด็กคนนั้นไม่ได้ ให้นึกถึงเหตุการณ์นี้สิ

ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องอาย เมื่อบอกกันตรงๆ ว่า “เราจำเธอไม่ได้นะ” และเริ่มแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้ง — ด้วยชื่อจริง (สมัยนั้นไม่มีใครเรียกกันด้วยชื่อเล่นหรอก โดยเฉพาะผมที่แม่ตั้งชื่อว่าแอน โคตรน่าอายเลย เลยชื่อปรัชญามาตลอด)

มิตรภาพที่เกิดขึ้นมันคล้ายกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันหมาดๆ แต่มีสายใยอะไรบางอย่างที่ผูกกันบางๆ บ้างก็ขาดไปแล้วเนิ่นนาน แต่วันนี้มันกลับย้อนคืนมาอีกครั้ง

ไม่ใช่แค่เรื่องของเพื่อน แต่หมายถึงเรื่องของเราเอง

สำหรับผม เด็กชายปรัชญาสมัยประถม ไม่มีเรื่องอะไรให้เพื่อนจำไปมากมายไปกว่าการเป็นเด็กเนิร์ด(มากๆ)คนนึง ที่เรียนเก่งที่สุดในห้องของฝั่งชาย (ของฝั่งหญิงจะเป็น “จูน จินตนา” ที่เราเจอกันโดยบังเอิญเมื่อเดือนก่อน ตอนนี้เธอมีครอบครัวแล้วและเปิดร้านขายยาอยู่สมุย) นอกนั้นก็เป็นเด็กที่ชอบนั่งเงียบๆ วาดรูป (หลอดสัส) .. และความทรงจำอื่นๆ ที่พอจะแกะออกมาได้คือเราบ้าหมากรุกมาก เอาหมากรุกไปเผยแพร่ในโรงเรียนจนดังระเบิดตอน ป.6 แล้วมั่นใจมากว่ากูนี่เก่งนักหนา ล้มเพื่อนทุกคนในโรงเรียนได้ จนไปแพ้ อ.สอนคณิตศาสตร์เสียหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี ฯลฯ

ฯลฯ

ฯลฯ

เมื่อคืนนี้นอนยิ้มและหลับด้วยอารมณ์ดีมากๆ เหมือนตัวเองได้กระโดดกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่รู้ว่าความทรงจำต่างๆ มันเป็นเพียงสิ่งเสพติดให้เราหลงเคลิ้มไปชั่วคราว แต่พอตื่นมาก็เจอโลกปัจจุบัน ที่มีเมียนั่งสกรีนเสื้อขายอยู่ เคล้ากับเสียงเด็กทารกที่รักการแหกปากร้องและขี้แตกทั้งวัน

แต่ก็เชื่อว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไปไม่ใช่แค่การหลงอดีต แต่คือการขุดมิตรภาพในอดีตที่ตัวเองไม่เคยนึกถึงว่าจะได้เจอ ให้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน และความสัมพันธ์แบบปัจจุบัน

ผมเขียนบล็อกตอนนี้ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังเกิด เข้าใจว่าผู้อ่านบางคนคงเคยพบช่วงเวลาแบบนี้มาแล้ว ก็ขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของพวกโหยหาอดีตที่กำลังจะเป็นปัจจุบันด้วยคนละกันนะครับ

ขอบคุณมาร์ก ซักเกอร์เบิร์กจริงๆ ครับ (อีมาร์กคงงงว่าเกี่ยวอะไรกะกู)

ป.ล.
จูน จินตนาที่พูดถึงนี่เป็นคนแรกในชีวิตผมที่พูดคำว่า “คอมพิวเตอร์” ให้ได้ยินนะครับ ตอน ป.6 เธอบอกว่ากำลังเรียน “โลตัส” อยู่ ผมไม่เคยได้ยินคำว่าโลตัสมาก่อน (ตอนนั้นห้างโลตัสบิ๊กซีเซเว่นยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ) เอาจริงๆ คำว่าคอมพิวเตอร์ก็ไม่เคยได้ยิน แต่รู้สึกว่าแม่งเท่ฉิบหาย .. ปีต่อมาพ่อผมก็เก็บเงินซื้อคอมมาให้ลูกได้เรียนได้หัดบ้าง ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่สุดยอดจริงๆ

ป.อ.
ที่จริงผมแอบขุดบล็อกเก่าไว้ที่ Exteen และจะทยอยโพสต์ของรักของหวงสมัยเด็กๆ ไปแปะไว้ที่นั่น ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกรุ๊ปนี้พอดี เออ บ้าอดีตกันเข้าไป (ก็สนุกดีนะ แล้วจะทำไม)

ป.ฮ.
ขออภัยที่ไม่ได้เรียบเรียง พอดีเมียเร่งให้เขียนเร็วๆ จะไปกินข้าว

บางลำพูในวันที่ยังมีต้นลำพู

ใครยังไม่รู้ข่าวต้นลำพูต้นสุดท้ายของบางลำพูที่โดนตัด ก็ไปอ่านจากเว็บ ผจก ก่อนได้นะครับ

สำหรับผมแล้ว ถึงตอนอยู่มหาลัยจะเรียนไม่ไกลจากท่าพระอาทิตย์ สวนสันติชัยปราการ ป้อมพระสุเมรุ และบางลำพูสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รักเลยแหละตอนนั้น เพราะมันเป็นที่ที่สามารถลงไปกลิ้งชิวได้กลางสนามหญ้า และดูการเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมนานาชาติที่ไม่มีใครต้องมาร้องขอให้แสดง เพราะไม่ว่าจะไทยญี่ปุ่นฝรั่งดินแดง ต่างก็มาโชว์ออฟ โชว์ความเท่กันเยอะแยะไปหมด

เมื่อไหร่ที่เบื่อๆ เหงาๆ ไม่มีอะไรทำ ผมก็จะมานั่งอ่านหนังสือ รับลมเย็นๆ ดูวิว ดูหมวยบ้าง ตามประสามนุษย์ชิวแบบไม่มีตังค์จะไปเที่ยวหรือสังสรรค์แบบชาวบ้านเขา

ความผูกพันระหว่างผมกับสถานที่แห่งนั้น ที่มีต้นลำพูร้อยปียืนต้นอยู่ ก็มีเท่านั้นแหละครับ.. ฟังดูไม่โรแมนติกเลยใช่ไหม ก็มันจริงนี่หว่า เดี๋ยวจะหาว่าอินเกินเหตุหรือว่าอะไร แต่ตอนที่ได้ยินข่าวว่าอ้าว เขาตัดอีต้นนี้ทิ้งไปแล้วเหรอ ก็คงมีความรู้สึกโหวงๆ ขึ้นมา ว่าเออ เสียดายว่ะ ธรรมชาติของต้นไม้ชายเลนแบบนี้ที่จริงมันสามารถแตกหน่อแตกกอออกมาได้เรื่อยๆ เนอะ แต่กว่าอีต้นรอบๆ จะโตได้ขนาดต้นแม่มันก็ไม่รู้จะนานแค่ไหน แถมวิสัยทัศน์ของผู้รับผิดชอบการดูแลก็ไม่รู้จะใส่ใจกับ “เรื่องกะโหลกกะลาแค่นี้” ขนาดไหน

ตอนปี พ.ศ.2545 (2002) ผมขอขูดรีดเงินจากพ่อแม่ (ที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) มาซื้อกล้องดิจิทัลได้สำเร็จ สมัยนั้น Fuji Finepix 6800Z ในตำนาน ราคาฝากเพื่อนหิ้วจากญี่ปุ่นคือ 14000 บาท) ที่ซื้อเพราะข้ออ้างในการเรียนด้วย (ทุกคนควรมีกล้องเพราะใช้ในการออก Site ..แต่ผมไม่มีตังค์ซื้อฟิล์มบ่อยๆ เลยไปศึกษาเรื่องกล้องดิจิทัลมา ก็ได้รุ่นนี้ ทุกวันนี้ยังชอบดีไซน์มันอยู่เลย แถมภาพออกมาก็ไม่ได้แย่สมเป็นกล้องดิจิทัลยุคโบราณซะหน่อย

Continue reading บางลำพูในวันที่ยังมีต้นลำพู