ฝันว่ากอดแม่

สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเคลียร์งานงานหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการทำ แล้วดันมีอยู่คือหนึ่งที่ฝันถึงแม่

ตื่นมาจำได้แม่น ประทับใจมาก อยากวาดเล่าเรื่องฝันนี้มาก แต่ด้วยภาระท่วมตัวที่ยังปั่นงานไม่เสร็จสักที เลยวาดทิ้งไว้ก่อนตอนพักกินก๋วยเตี๋ยว ผ่านมาสามสี่วันพองานเสร็จเลยวาดต่อจนจบ โดยที่ทั้งภาพและเริ่องราวในฝันยังคงจำได้ชัดเจน

พอวาดจบแล้วก็มานึกได้ว่า เออ ใครมันจะไปเข้าใจกูวะ…

บันทึกถึงบันทึกลับเซินเจิ้น

อ่านจบแล้ว หนังสือเรื่องเซินเจิ้นฯ สักอย่างของศิลา บัวเพชร (สนพ.แซลมอน / 275 บาทมั้ง / เป็นตัวอักษรปนๆ กับการ์ตูน / ภาพสีทั้งเล่มทั้งที่บางภาพมันวาดแบบใช้แต่สีดำก็ยังจะพิมพ์สีให้เปลือง)

ขอพูดถึงโจ้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในนักเขียนการ์ตูนที่เราชอบที่สุดในประเทศไทย (อีกคนคือสะอาด)

รู้จักโจ้มานานตั้งแต่มันอยู่ปีหนึ่ง เวลาโจ้อยู่กับเพื่อนๆ ทีไร พลังมันจะมา มาแรงมากครับ ด้วยความเนิร์ดโอตาคุของแก๊งนี้ เวลามันเปิดประโยคสนทนากันแต่ละเรื่อง แม่งจะจริงจังเหมือนแบบที่เราเห็นกันในคุโรมาตี้ แต่เป็นคุโรมาตี้ที่มีเส้นสปีดอยู่ในช่องตลอดเวลา

เมื่อโจ้มาวาดการ์ตูนเขี่ยๆ ให้เพื่อนอ่าน มันถ่ายทอดเสียงเหล่านี้ลงมาเป็นภาพได้อย่างชัดเจน อันนี้ทึ่งว่ามันทำได้ไง เลยเฝ้าติดตามมาตลอดด้วยความทึ่ง

วันหนึ่งการ์ตูนของโจ้ก็มาโผล่ใน Way นิตยสารที่เรารัก

แบบงงๆ ว่า บ.ก.คิดอะไรอยู่วะ โจ้มันยัดเงิน หรือว่า บ.ก.เห็นอะไร ทำไมวิสัยทัศน์ก้าวไกลขนาดนี้ เพราะการ์ตูนของโจ้มีแต่เรื่องส่วนตัวทั้งหมด

ส่วนตัวแบบไม่ประนีประนอมใครใดๆ ทั้งสิ้น คือมึงอยากรู้จักกูใช่ไหม มาสิ แต่กูไม่แนะนำตัวนะ พยายามเอาเอง แม่งคุยกันแต่ศัพท์เฉพาะทางของวงการกันดั้ม เกมกระดานสำหรับโอตาคุอะไรแบบนี้

ไอ้วิธีเล่าเรื่องแบบไม่เห็นใจคนอ่านแบบนี้ สำหรับนักเขียนแล้วใครที่ทำได้จริงๆ นี่โคตรน่าอิจฉา เพราะเรื่องเล่ามันต้องมีเสน่ห์พอที่จะกระชากคนดูให้อยู่กับตัวเราจริงๆ ได้

และศิลาทำได้

ส่วนทำแล้วจะเวิร์กกับคนอื่นขนาดไหนนั้น ยอดขายของ Way ก็เป็นข้อพิสูจน์…

ใครอยากรู้จักโจ้แบบดิบๆ ไปหา “เมื่อก่อนก็ยังดีๆ อยู่หรอก” มาอ่านได้ (สนพ.เวย์นั่นแหละ) (จำชื่อไม่ได้ทั้งชื่อหนังสือทั้งชื่อสำนักพิมพ์) เล่มนั้นดีมาก ดิบมากๆ และรู้สึกว่าเขาเอามาลดราคาเทกระจาดอยู่

กลับมาที่เล่มใหม่ของโจ้กับสำนักพิมพ์แซลมอน

เอาตรงๆ ความรู้สึกเหมือนวงดนตรีใต้ดินที่เล่นเถื่อนๆ เพลงหยาบๆ จนไปต้องตาค่ายใหญ่เข้า (แต่เรารู้ว่าแซลมอนร่วมงานกับโจ้มานานแล้วนะ ไม่ได้เพิ่งมารู้จัก) ความเป็นสตูดิโอของแซลมอนนั้นกลับกลายเป็นว่า มันทำให้กลิ่นฉุนๆ ตลกร้ายๆ หน้าตายแต่ฮาเกรงใจคนข้างๆ ของศิลา มันหายไปพอสมควร

แง่หนึ่งเข้าใจว่าเป็นความเกร็งมากกว่า ซึ่งมันสื่อสารออกมาทางรูปเล่มที่ดูเป็นทางการ ภาพถ่าย การจัดวาง กราฟิกชี้ๆ ในเล่มที่ดูประดิษฐ์มากกว่าความระห่ำของเนื้อหา ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เสียดายนิดหน่อย

แต่นิดหน่อยจริงๆ คือรู้เลยว่าโจ้ยังมีของมาปล่อยอีกเยอะ

เนื้อหาในเล่มว่าด้วยประสบการณ์การไปใช้ชีวิตหลายปีในเซินเจิ้น ไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปทำงานเป็นสถาปนิก

เล่าเกริ่นตั้งแต่เริ่มออกไข่ (เห็นมะ พอทำงานกับสตูดิโอเลยต้องแนะนำตัวเอง อีตอนเขียนให้เวย์มึงไม่มียั้งแบบนี้เลย) ออกไข่จนตั้งไข่ ไปยันประสบการณ์ไข่ออก

คาดหวังได้กับความฮาที่แบบ ไอ้สัสมึงเอางี้เลยเหรอ

และคาดหวังได้กับมุมมองแหลมคมของศิลาในอีกร่างหนึ่งที่หลายคนก็น่าจะพอนึกออกว่า คนที่ตลกๆ เนี่ย ที่จริงมันคือคนฉลาดๆ หรือคนจริงจังที่แค่หันด้านตลกใส่เราเท่านั้นเอง

ความสนุกของเล่มนี้จะค่อยๆ มาแบบเนิบๆ ไต่กราฟขึ้นเรื่อยๆ จนจะจบเล่มอยู่แล้ว ช่วงที่เพื่อนๆ มาเยี่ยมที่เมืองจีนนั่นแหละก็เป็นจังหวะรถไฟเหาะตีลังกา!

แล้วก็ตัดจบ ไอ้สัส เดี๋ยวก่อนเซ่!

อย่างที่บอกว่าโจ้จะมีพลังเยอะมากเมื่ออยู่กับเพื่อน เราได้เห็นวาบหนึ่งของพลังนี้เปล่งประกายมาในช่วงค่อนหลังของเล่ม แล้วก็ตัดจบเลยทั้งที่ยังสนุกค้างเติ่งอยู่แบบนั้น

1. อาจเป็นความตั้งใจของผู้เขียนและบรรณาธิการที่จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกเสี้ยน อยากอ่านผลงานเล่มถัดไปเร็วๆ จากฟอร์มสุดยอดในช่วงท้าย เป็นจิตวิทยาชั้นเซียนที่เกิดจากการบ่มเพาะมาอย่างโชกโชน

2. มันเขียนไม่ทันจริงๆ

สรุปว่าเล่มนี้ดีครับ สมหวังที่ถ่อเข้ากรุงเทพฯ ไปงานหนังสือเพื่อไปขอลายเซ็น 5555555 ถึงจะมีจุดผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แบบที่ให้อภัยได้ แต่ให้อะไรกับสมองเรามากกว่าความฮา เยอะเลย เยอะมาก

แนะนำครับ!

ป.ล. นี่อ่านจบบนรถไฟฟ้า ออกจากขบวนรถมาเจอเก้าอี้เลยนั่งพิมพ์ในมือถือรัวๆ เวลาเกินยังวะ จะโดนปรับไหมวะ

นิทานสิบช่อง ตอน น้องไม่ยอมช่วย

เมื่อวานนิทานวิ่งไปฟ้องแม่ว่าน้องไม่ยอมช่วยงาน พอถามก็ได้ความดังการ์ตูนต่อไปนี้

ป.ล.คนระบายสีสี่ช่องแรกคือนิทานนี่แหละ พอถึงช่องที่ห้าก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว ทำไมมันเยอะจัง พ่อทำเองละกัน