คองรักคองข้า

ไปดูหนังกับแฟนมาครับ แน่นอนครับ โอกาสพิเศษแบบนี้ทั้งที เลยไปดูลิงยักษ์ถล่มโลกมา…

เรื่องรีวิวหนังไม่ใช่งานถนัดของผม เอาเป็นว่าดูแล้วก็เออ สนุกดีละกัน (ยังยึดมั่นตำราของ บ.ก.โชเน็นจั๊มป์เสมอ ที่บอกว่าการ์ตูนมันต้องสนุก — เท่านั้นแหละ เลยยึดถือเรื่อยมาเวลาใครถามว่าเรื่องนี้เป็นไง ดีไหม ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแฝงสัญญะแมวน้ำอะไรไหม เราก็จะเหลือปัญญามาตอบได้แค่สนุกหรือไม่สนุกเท่านั้นเอง จบ)

(อ้อ แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่าดูหนังตัวอย่างเลยเหอะ หรือพวกสกู๊ปอะไรๆ ก่อนไปดูจริง โดยเฉพาะพวกรีวิวสัตว์ประหลาดสุดโหด 5 อันดับที่จะมาปรากฏตัวในหนัง มึงเล่าอย่างละเอียดเลยอีเว้ร การรู้อะไรแบบนี้มันคงมีคนที่ชอบอยู่หรอก แต่กับผมแล้วมันทำให้หนังจืดมากอะ พอดูจริงแล้วจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับการรู้แค่คร่าวๆ หรือไม่รู้เลยยิ่งดี ความเซอร์ไพรส์มีมูลค่าของมันนะ จำไว้นะ Beauty and the Beast และ Wonder Woman … อ้อ Spider-man เวอร์ชันนู้นด้วย เบื่ออออ)

ทีนี้ พอดูจบเลยนึกถึงหนังแนวที่ตัวเองชอบ แล้วก็ลามเลียไปถึงยุคที่เคยเขียนบล็อกลง blogger.com (โอ้โห เก่าจนแทบจะบรรจุลง #เน็ตเมื่อวานซืน) ตอนนั้นหน้า bio เขาให้ระบุประเภทหนังที่ชอบ ก็นั่งนึกอยู่นานว่าชอบแนวไหน

จึงกรอกไปว่า หนังแมงมุมยักษ์ สัตว์ประหลาด จระเข้ยักษ์ อะไรแบบนี้

ลืมเขียนเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกอย่าง…

ด้วยความสัตย์จริง เออผมก็ชอบดูนี่หว่า ไอ้อะไรที่ว่าเนี่ย แม่งสนุก ยิ่งถ้าเป็นหนังที่มีฉากอยู่ในเมือง หรือมันพอจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับตัวเองด้วย และยิ่งพล็อตเรื่องเป็นประมาณว่า กูอยู่ของกูดีๆ แล้วโดนไอ้พวกอสุรกายถล่มโลกนี่มารังควานจนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จับกลุ่มกับคนรอบข้างแล้วทุลักทุเลพากันหนี หนีอยู่ดีๆ ก็ทยอยตายกันทีละคน มีพระเอกลากนางเอกตึงๆ หน่อย พากันรอดไปจนจบเรื่องไรงี้ ยิ่งรู้สึกอินใหญ่ (มึงอินได้ยังไง)

นี่ถ้าให้นึกถึงหนังที่แว้บเข้ามาตอนพิมพ์บรรทัดนี้แล้วนึกได้ว่าชอบจัดๆ เลย ก็คงเป็น Cloverfield ครับ เรียกได้ว่ารวมฮิตเม็กกะแดนซ์ ครบทุกความกระสันที่ผมต้องการเลย นั่นจึงเป็นโคตรสุดยอดหนังสนุกในดวงใจที่ดูมาแล้วรอบเดียว (อ้าว) เออไว้เดี๋ยวจะหาโอกาสซ้ำอีกที

แล้ววันก่อนก็เพิ่งดูหนังเซอร์ไพรส์เรื่อง 10 Cloverfield Lane อันนี้ไม่บอกละกันว่ามันเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวยังไง เพราะแค่บอกก็ไม่สนุกแล้ว (ที่เพิ่งได้ดูก็เพราะตอนนั้นพลาดการดูในโรง แล้วดันไปอ่านนั่นนี่มาด้วยความที่หนังมันเก่งในด้านการขายแบบยุทธการไวรัสไง ให้เหล่าติ่งหยอดนั่นแปะนี่นิดๆ หน่อยๆ) (ขออีกวงเล็บละกัน ใครยังไม่ได้ดู อย่าดูหนังตัวอย่างเด็ดขาด!!!!!!! ไอ้สัส สปอยล์จนจบเรื่อง แบบเน้นๆ จะจะด้วยนะ อันนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดันไปอ่านสกู๊ปมาแล้วรู้ว่าคนทำหนังกับค่ายแม่งไม่ลงรอยกัน อีค่ายก็จะขาย คนทำหนังก็จะเก็บความลับ พอตัดตัวอย่างออกมาปั๊บ พัง เฉลยตอนจบในนั้น ฆ่าหนังได้ทั้งเรื่อง)

แต่ก็ต้องบอกว่า สนุกดีครับ

แล้วทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องที่เมียผมไม่ชอบทั้งคู่ 55555555555555 อันแรกเพราะกล้องมันส่าย อันสองคือมันกดดัน 555555555

ตอนดู War of the World นั่นก็ชอบนะ ค่อนข้างลืมไปแล้วว่าตอนนั้นทำไมมีคนวิจารณ์ในทางลบเยอะอยู่ แต่แม่คุณเอ๋ย ฉากที่อีพระเอกหลบหูลู่ไม่ให้มนุษย์ต่างดาวทำร้ายนั่นแหละ คือฉากเดียวกับที่ผมฝันบ่อยๆ

ผมชอบฝันเรื่องหลบๆ หนีๆ ซ่อนๆ ไอ้พวกอสุรกายที่มันจะมาฆ่าเราแบบนี้ (คำว่า “ชอบ” นี่หมายถึงทั้ง like และ usualy)

เป็นความฝันที่ไม่รู้ต้องเตรียมสภาพร่างกายอยู่ในโหมดไหน ถึงจะได้นอนหลับและออกผจญภัยในจินตนาการได้ขนาดนั้น หลายครั้งพล็อตแม่งสนุกมากจนอยากตื่นมาเขียนการ์ตูนไว้กันลืม ยิ่งเป็นช่วงที่โตมาแล้วพานพบประสบการณ์ชีวิตที่มันซับซ้อนกว่าวัยเยาว์แล้วล่ะก็ ฝันแนวหนีตายแบบนี้ก็ดันยิ่งสนุก มีดราม่า มีการผูกเรื่อง

แต่ที่แน่ๆ ทุกครั้งที่ฝันจะมีจุดร่วมคล้ายๆ War of the World และ Cloverfield คือ กูอยู่ของกูดีๆ ก็ต้องมาหนีตาย

ตัดจบเท่านี้.

บุปผาอาริกาโตะ: คือจูออนเวอร์ชันยุทธเลิศ

(ไม่สปอยล์ / ถ้าอ่านแล้วไม่ชอบ เม้นด่าได้ครับ)

จำได้ว่าผมแทบไม่ได้เขียนบล็อกที่พูดถึงหนังที่ดูเลย ส่วนมากจะทวีตสั้นๆ แค่ สนุกดี จบ หรืองั้นๆ จบ เพราะผมไม่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ รู้แค่ว่าหนังสนุกมันก็สนุก หนังเหี้ยมันก็เหี้ย มีเท่านั้นเอง

แต่กับหนังของผู้กำกับคนนี้ ที่ทำออกมากี่เรื่อง ก็จะออกมาแบบก้ำกึ่งเสมอ คือจะมีคนชอบครึ่งนึง อีกครึ่งนึงด่าเสียหมา แถมผู้กำกับก็ดันไปมีดราม่าปะทะชาวโซเชียลใหญ่โตก่อนหนังลงโรงซะยังงั้น

ผมขอไม่พูดถึงดราม่าที่ว่าละกัน เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับหนัง จะเกี่ยวก็ตรงที่พอเขาฉายรอบสื่อปั๊บ เราก็ได้เห็นคำวิจารณ์ในไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ ที่ออกมาสวิงแบบขาว(เกือบ)จัด และดำจัดสุดๆ คือฝั่งที่ด่าก็ด่าพินาศ ฝั่งที่ชอบก็ชอบไป แต่เรื่องนี้เห็นเลยว่าฝั่งด่านี่เสียงดังกว่าเย้อะ

แต่ผมเพิ่งดูจบตะกี้ เดินออกมาจากโรงแล้วก็พบว่า “เออ เราอยู่ฝั่งที่ชอบว่ะ”

เอาเหตุผลที่ชอบก่อน

rose-0

ก็นั่นล่ะครับ โอเคนะ เข้าใจกันนะ

คืองี้ การจะบอกว่าเรื่องนี้มันดีไม่ดี ชอบไม่ชอบเนี่ย แม่งยาก 5555 เพราะว่า “หนังยุทธเลิศ” มันเป็นหนังแบบที่ต้องทำใจก่อนเข้ามาดู

เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งรู้สึกแบบ “อ้าว มันเป็นภาระของคนดูอย่างกูไหม ที่จะต้องทำใจในการดูหนังสักเรื่อง กูเสียตังค์นะ ฯลฯ” สิ

ก่อนอื่น เวลาเราไปดูสตาร์วอร์ส เราต้องจูนทัศนคติของตัวเองก่อนไหมว่าเราจะดูสตาร์วอร์ส เช่นเดียวกับหนังจิบลิ หนังพี่เจ้ย หนังพี่เก้ง (ใครดูบุปผาฯ แล้วอ่านถึงตรงนี้ น่าจะฮา) หนังพจน์อานนท์ หรือหนังฝรั่งก็ได้ อย่างพวกหนังไมเคิลเบย์ หนังเควนติน หนังโนแลน หนังตั้งกล้อง หนังทุนต่ำ หนังคัลต์ หนังมาร์เวล หนังดีซี หนังเพลง หนังดิสนีย์ หนังจีทีเอช (ที่ตอนนี้ชื่อค่ายว่าอะไรไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว) หรือหนังคานส์ต่างๆ ฯลฯลฯลฯ

แต่ละอย่างมันก็เป็นอาหารคนละแบบ คนละรสชาติกันใช่มะ คนที่เดินเข้าไปร้านอาหารอินโด เจออาหารอินโด ก็ต้องกินอาหารอินโดใช่มะ จะไปกินแล้วออกมาบอกว่า แม่งรสชาติยังกะแกงไตปลาที่ใส่กระชายลงไป อี๋ แหวะๆๆๆ แบบนี้ แล้วมาบอกว่าคนอื่นอย่าไปกินนะ ไม่อร่อยอย่างแรง กินแกงไตปลาไปเลยดีกว่า ไรงี้

มันก็ไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ไง ดังนั้นเปิดใจเปิดกบาลนิดนึงนะ

rose-1

อย่าง “บุปผาราตรี” ก็เป็นอาหารประเภทหนึ่งเหมือนกัน มีคนชอบ มีคนไม่ชอบ มีคนชอบบางภาค หรือรังเกียจบางประการ นั่นก็ว่าไป แล้วแต่จริตของใครต่อใคร

เพราะหนังยุทธเลิศก็มีขึ้นมีลง มีดีมีกาก น้ำขึ้นน้ำลงตามเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งทุนสร้าง ทัศนคติ อีโก้ ความหยิ่งผยองของผู้กำกับเอง

ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบหนังที่มีคนชมครึ่งนึง คนด่าอีกครึ่ง ถ้าหนังเรื่องไหนที่กระแสมาแบบก้ำกึ่งแบบนี้ มันจะมีเสน่ห์เฉยเลย ก็จะอยากดูมากกว่าแบบที่ชมอย่างเดียวจนเราคาดหวังฉิบหาย แล้วพอไปดูเลยผิดหวังออกมา อย่างหนังฮีโร่ตีกันเรื่องล่าสุดนี่ไง 5555555

rose-2

เข้าเรื่องตัวหนังซะทีนะ

บุปผาอาริกาโตะ เป็นเหมือนเล่าเรื่องในจักรวาลเดียวกันกับบุปผาราตรี แต่ก็สามารถดูได้โดยไม่ต้องเคยดูบุปผาราตรีมาก่อน (พูดให้นึกออกง่ายๆ คือเรื่อง MAD MAX งี้ ที่ไม่ต้องรู้มาก่อนก็ได้ว่ามีภาคก่อน)

ว่าด้วยแก๊งแฟนฉันตอนโต นำโดยแน็คและแจ๊ค (ที่ต่างก็ใช้ชื่อจริงกันทั้งคู่ และปูพื้นตัวละครแบบถ้าเก็ตและไม่อคติกับความปากจัดของนักแสดงและบทที่ส่งมา ก็จะขำ — นะ เราขำ) ที่ไปถ่ายทำมิวสิกวิดีโออินดี้ของตัวเองที่เมืองสกีในญี่ปุ่น แล้วก็ไปพักที่บ้านเช่าชื่อ “ออสก้าร์ ลอดจ์” (ชื่อเดียวกะอพาร์ตเมนต์ในตำนานในบุปผาราตรี)

ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวคนนึงโผล่มา (นั่นแหละ น้องเก้า) แล้วความโรแมนติกก็เริ่มขึ้น ซึ่งเราจะไม่เล่า เพราะกลัวสปอยล์

แต่จะเล่าว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านออสก้าร์เนี่ย มันเป็นบ้านผีสิงเว้ย ตามที่เห็นในหนังตัวอย่างเลยว่าในบ้านมีผีกิโมโนถือมีด แล้วก็ผีเด็กหน้าขาวนั่นแหละ เป็นแม่ลูกกัน เอาเป็นว่ามันคือบ้านผีสิงละกัน แล้วก็มีความพยายามของเจ้าของบ้านเช่า (นาวินต้าร์ ในเรื่องชื่อเน) ที่พยายามไปหาหมอผีสารพัดชนิดมาไล่ผี แล้วก็เสร็จผีไปซะทุกราย ตามสูตรการ์ตูนเล่มละบาทของบุปผาราตรีไง ส่วนปมของเรื่องจะผูกจะคลายจะดำเนินยังไง ก็ไปตามกันเอาเอง

แต่หนังคลายปมได้หมดนะครับ ดูแล้วไม่สงสัยค้างคา ปิดคดีทุกดราม่า และขยายจักรวาลใหม่ของบุปผาฯ (ที่ไม่รู้ภาคต่อไปจะเอาคำว่าอะไรมาต่อท้าย) ได้ หนังจบออกมาแล้วมีเรื่องคุยกันต่อนิดหน่อย และสรุปตรงกันว่าชอบ

เอ้า สุดท้ายแค่บอกชอบก็พอนี่หว่า จะเขียนยาวทำไม 55555

rose-3

อื่นๆ ประกอบการตัดสินใจเผื่อมีโครงการว่าจะดูหรือไม่ดูดี:

  • ดูไปสักพักก็จะรู้ว่านี่คือหนังทุนต่ำ ถ่ายทำกันแบบหนังผีอินดี้เลย
  • ไม่ชอบชื่อเรื่อง “บุปผาอาริกาโตะ” เลย แต่พอดูหนังจบแล้วก็เข้าใจว่าทำไมต้องชื่อนี้ เป็นเหตุผลที่รับได้ แต่ มันไม่ดึงดูดเรา (ในฐานะคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง)
  • ไม่ชอบตัวอย่างหนัง ทั้งเวอร์ชันธรรมดา และเวอร์ชัน 18+ ที่ไม่รู้จะทำมาทำไม ไม่ได้ส่งเสริมหนังเลย
  • ไม่ชอบกระทั่งคำโปรยบนโปสเตอร์หนัง (ทิ้งกูมึงตาย) อะไรนั่น แล้วมีหน้าน้องเก้ายิ้มสวยๆ ไมไ่ด้เกี่ยวกับข้อความนั้น คือไร ผิดมาก นี่สปอยล์ให้เลยว่า “มันไม่ควรโปรยแบบนี้” จะได้สบายใจว่าหน้าหนังเรื่องนี้ทำให้หนังดูแย่
  • นี่คือหนังผีตุ้งแช่ ที่ถึงเราจะอยู่ในยุคที่เหยียดหนังแนวผีตุ้งแช่ว่าเป็นผีแบบกากๆ แต่ก็นะ ถ้าเตรียมใจไว้พร้อมแล้วว่านี่กูกำลังจะไปดูผีตุ้งแช่ มันก็เป็นผีตุ้งแช่ที่สนุก
  • และตลกด้วย คือเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอแล้ว ผีที่แบบ เหี้ยเอ๊ย เล่นกูอยู่ได้ แต่ก็หัวเราะลั่นไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ยังคงทำได้หลายช็อต
  • น้องที่ไปดูด้วยกันกรี๊ดนาวินต้าร์มากๆ หล่อสัสๆ หล่อทะลุหิมะ อันนี้ผมเห็นด้วย
  • แน็ค ชาลีเล่นดี ร้องเพลงเจ๋งดีด้วย เซอร์ไพรส์ (ไมไ่ด้ตามติดชีวิตน้องคนนี้ แต่พอมาเห็นมาดล่าสุดนี่เราว่าโอเคมาก)
  • แจ๊คแฟนฉันที่ปกติจะถ่อยและพูดจาหยาบคาย ไม่ค่อยได้ประเด็น มาในเรื่องนี้ดันเอาอยู่ครับ คุมหนังอยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคาแร็กเตอร์ของตัวเองที่จะว่าไปก็รักษาความถ่อย (นิดๆ) แบบนี้ไว้นะ ทำดีแล้ว
  • มีพลอยเฌอมาลย์มาแจมแว้บนึง ใช้ไม่คุ้มง่ะ
  • อีกหนึ่งตัวละครที่เอามาแจมด้วยคือเสนาหอย ออกมานานแต่ก็ไม่คุ้มเหมือนกัน
  • เออ บทลุงอังเคิลค่อยคุ้มหน่อย
  • หนังมีตำหนิอยู่บ้าง เช่นภาพกระตุกอยู่ช่วงนึง เข้าใจว่าเป็นที่ต้นฉบับเลย แต่ทุนสร้างคงไม่พอที่จะไปถ่ายซ่อม-ถ่ายแก้ เลยปล่อยไว้งั้น รวมถึงเอฟเฟกต์ช่วงนึงของเรื่องที่เห็นแล้วก็อะไรวะ นี่มันละครจักร์ๆ วงศ์ๆ ช่องเจ็ดเรอะ
  • มีฉากนึงที่แม่งควรเป็นตำนาน คือฉากที่ทุกคนพยายามไขกุญแจเข้าบ้าน แล้วเห็นผีกัน และการกระทำของผีที่ไอ้แจ๊คแนบหน้าเข้าไปเห็นนั่น อีเหี้ย ตำนาน หัวเราะนานมาก ไอ้สัสสสสสส 555555555555555
  • นิดนึง แถวถัดจากผมมีวัยรุ่นคู่นึงแม่งคุยกันเสียงดังตั้งแต่หนังตัวอย่าง พอหนังจริงเริ่ม คิดว่าจะหยุด แต่มันไม่หยุด ยังคุยกันต่อ ที่โหดคือเสือกอ่านซับอังกฤษแล้วแปลไทยล่วงหน้า พอคำพูดตัวละครตรงก็เสือกหัวเราะดีใจกันอีก (อีห่า) ผมเลยลุกขึ้น หันไปบอกว่า น้องครับ “ช่วยดูเงียบๆ หน่อยนะครับ” ตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็แฮปปี้ (เพราะถึงฉากเปิดตัวน้องเก้าพอดี)
  • เหมือนว่าองค์กรพุทธ (สักอย่าง) จะยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ถ้าดูผมว่าคงมีแบน
  • ย้ำอีกที นาวินต้าร์หล่อมาก อยากได้เป็นผัว
  • ส่วนน้องเก้า สารภาพชัดๆ ตรงนี้เลยครับ น้องเก้าครับ พี่…
  • เมียเรียกแล้ว แค่นี้นะ

สตาร์ วอร์ส

starwars

คิดได้ก่อนเที่ยงคืนนิดนึงว่าเดือนธันวาคม (ที่กำลังจะผ่านไป) นั้นเราแทบไม่ได้เขียนบล็อกเลย เลยเขียนก่อนจะหมดปี …เผากระทั่งบล็อกตัวเอง

พูดถึงสตาร์ วอร์ส ละกัน ผมไม่เคยดูหนังภาคต้น (4-5-6) มาก่อน แต่อ่านเรื่องย่อมาก่อนที่จะไปดูภาค 1 ในโรง

ตอนนั้นอยู่ปี 1 และค่อนข้างไม่มีตังค์ การเก็บตังค์ไปดูหนังเรื่องนี้จึงเป็นความตั้งใจอย่างยิ่ง และก็ได้ผล คือตื่นตาตื่นใจกับงานดีไซน์ในหนังเอามากๆ เจ๋งดี เหมือนรวมคนเก่งๆ ด้านสถาปัตยกรรมมาร่วมกันแสดงงานในหนัง รู้สึกว่าพอหนังจบตอนนั้นก็ไปหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานออกแบบอีกพอสมควร ให้สมเป็นเด็กเนิร์ด

แต่เนื้อเรื่องนั้นแทบจำไม่ได้ คือมันไม่อิน อินแค่ว่าเจ้าหญิงอามิดาล่าน่ารักฉิบหาย (ต่อมาจึงจำชื่อดาราคนนั้นได้ และทุกวันนี้นาตาลี พอร์ตแมน ก็ยังเป็นดาราหญิงที่ข้าพเจ้าว่าน่ารักที่สุดในโลก)

ถึงไหนแล้วนะ อ้อ ภาคแรก เนื้อเรื่องเป็นไงไม่รู้ แต่สรุปได้ว่า อีเด็กหัวเห็ดนี่โตขึ้นมันจะเป็นตัวโกงในภาค 4

ต่อมา ไปดูภาค 2 ในโรงกับแฟน จำได้แค่ว่า นาตาลีน่ารักฉิบหายเหมือนเดิม แต่เนื้อเรื่องก็น่าเบื่อขนาดที่ว่าหลับกลางเรื่อง มาตื่นเอาตอนที่เห็นคำว่า จอร์จ ลูคัส ซึ่งเป็นเครดิตท้ายเรื่อง

ภาคสามก็ไปดูกับแฟนเหมือนกัน (เอาจริงๆ ตั้งแต่มีแฟนมาก็ไม่เคยดูหนังคนเดียวอีกเลย จนกระทั่งปีนี้เองที่แฟนเลี้ยงลูก เลยได้ไปดูกับเพื่อนบ้าง กับน้องบ้าง นับได้ 2-3 ครั้งในชีวิต) พบว่าภาคสามนั้นสนุกดี เพราะมันมีสเกลที่ตูมตามกว่าเดิม และพาไปสู่บทสรุปที่เห็นในโปสเตอร์ของภาคแรก ที่เป็นอีเด็กหัวเห็ดยืนตากแดด ฉายเงาเป็นคุณลุงใส่หมวกกันน็อกทรงติ่งหู

สรุปว่า ถึงจะดูมาแล้วสามภาค แต่ถ้าไม่นับเรื่องความประทับใจในงานออกแบบ และนางเอกของเรื่อง ผมก็ไม่ได้อินอะไรกับเรื่องนี้เลย ในขณะที่เพื่อนหลายคนสถาปนาตัวเองเป็นสาวกของหนังเรื่องนี้ และเจอเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโดดมาทำงานวงการไอที (คือเนิร์ดหนังเรื่องนี้เยอะมาก)

ตัดภาพมายุคปัจจุบัน อยู่ดีๆ ทุกคนแม่งก็พูดกันถึงหนังเรื่องนี้ ว่ามันโอเคนะ ผู้กำกับก็เก่งนะ สามารถเย็บเอาความทรงจำในวัยเยาว์ของแฟนๆ มาผูกกับเนื้อเรื่องที่ “เดินไปข้างหน้า” ได้ ผมเลยตั้งใจจะดู

เชี่ย อีก 7 นาทีจะเที่ยงคืน รีบพิมพ์ๆๆ

ก็เลยนัดน้อง (โมนาและมาเฟีย) มาเข้าค่าย เพื่อตะบี้ตะบันดู ทำความรู้จักหนังเรื่องนี้กันใหม่เลย โดยบรีฟกับตัวเอง และน้องๆ ว่า จงดูโดยคิดว่าเราอยู่ในยุคนั้น ดังนั้นพวกสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่เป็นงานทำมือ ที่มันไม่เนียน ดูก๊องแก๊งหรืออะไรที่เรากำลังจะเจอ (ในยุคที่วงการมายาเขาสร้างโลกทั้งใบจากคอมพิวเตอร์ได้เนียนกว่าของจริงมานานแล้ว) นั้น คือความเท่ ให้ดูด้วยไม้บรรทัดของคนในยุค 30 ปีก่อน โอเคนะ ตามนี้ เริ่มเลย

แผนการดูคือใช้สูตรเรียงภาคตาที่หลายคนแนะนำมาว่าให้ไล่จาก 4-5-1-2-3-6 แล้วมะรืนนี้เราจะไปดู 7 กันในโรง!

สรุปสั้นๆ ได้ดังนี้:

  • 4 – เปิดเรื่อง เนื้อเรื่องมีพอประมาณ ไม่ได้ประทับใจอะไร ในขณะที่ทำใจเตรียมไว้แล้วว่าเราจะได้ดูหนังที่ผ่านกาลเวลามานาน แต่ก็ยังสงสัยในความง่ายของบทมัน ว่าทำไมมึงเจอจุดหักเหแล้วตัดสินใจอะไรๆ กันง่ายจังวะ แต่ก็นะ สมัยนั้นหนังมันก็ไม่ได้ต้องเนี้ยบเรื่องความคิดความอ่านเหมือนยุคนี้ พอดูจบก็หันมาเสวนากันว่าทำไมมันง่วงยังงี้ แต่ในไทม์ไลน์เขาว่ากันว่า มึงอย่าตัดสินแค่ภาค 4 ขอให้ดู 5-6 ก่อน ความเจ๋งมันอยู่ตรงนั้น เราเลยโอเค ขอดูต่อ
  • 5 – เนื้อเรื่องเดินทางต่อไป แต่เดินทางแบบไม่มีอะไรเลย (ความรู้สึกเดียวกับตอนที่ดู 2 ในโรง) ภาคนี้เลยง่วงมากๆ และหลับๆ ตื่นๆ กันทั้งสามคน มาถึงตอนนี้เราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า หนังเรื่องนี้มันจะตรงจริตเราจริงไหม คนเขาตื่นเต้นกันเพราะความสดใหม่ในยุคนั้น แต่เรามาดูกันช้าไปอย่างที่เขาว่าหรือไม่
  • 1 – โดดมาภาค 1 ตามสูตร แล้วก็พบว่างานสร้างที่มันสวยขึ้นตามยุคสมัยนั้นทำให้ดูสบายตาขึ้น แต่ก็อย่างว่า ว่ามันก็ยังเฉยๆ
  • 2 – น่าเบื่อ เนื้อเรื่องไม่เดิน เลยหลับกันทุกคน แต่พอโตขึ้นแล้วพบว่านางเอก (นาตาลี) น่ารักกว่าที่เคยดูในสมัยก่อนมากๆ ดูไปหื่นไป
  • 3 – ภาคนี้แหละที่ได้เนื้อได้หนังที่สุด เก็บอรรถรสจากหนังได้เยอะ ยอมรับว่าสนุก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแบบ เหี้ย สนุกสัสๆ กูจะขอสมัครเป็นสาวกของเรื่องนี้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อะไรงี้ คือสนุก แต่ก็สนุกแบบ อืม ดีเหมือนกันนะ
  • 6 – ปิดไตรภาคที่สองด้วยความเบื่อ เพราะประเด็นขัดแย้งและเนื้อเรื่องในภาคนี้มันมีอะไรให้เถียงเต็มไปหมด หลักๆ คือ นี่มันหนังอวกาศหรือว่าซิตคอมครอบครัววะเนี่ย งงมาก จะเล่นสเกลเล็กหรือใหญ่เอาให้แน่ก่อนไหม คือดูจนจบแล้วก็ผิดหวังกับคำท้าของประชาชนที่บอกว่าให้ดูให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน นี่คือดูจบแล้ว และทิ้งความคาดหวังไปแล้ว

มีหนึ่งประเด็นที่มีคนบอกว่าถ้าจะดูให้สนุกต้องดูตอนเด็กๆ เลย คือดูร่วมสมัย ในขณะที่มันนำสมัย นั่นถึงจะอิน โตมาดูตอนนี้มันก็ไม่ใช่แล้ว เพราะหนังมันผ่านกาลเวลาของมันไปแล้ว แต่ผมนึกเปรียบเทียบกับการ์ตูนบางเรื่องที่เสพมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าโคตรโอเคอยู่ อย่างดราก้อนบอล หรือโดราเอมอน หรือคอบร้า (ซึ่งเรื่องนี้แม่งดูก็รู้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากสตาร์วอร์สเต็มๆ อ้อ มีเจมส์บอนด์ด้วย เอ๊ะมีอินทรีแดงด้วยไหม) มาอ่านตอนนี้ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่เสมอ

ก็นะ รสนิยมคนมันมีหลายแบบ เราก็เป็นแบบหนึ่ง เผอิญว่าอาจจะไม่ได้ชอบหนังแบบเดียวกับที่แฟนๆ ทั่วโลกชอบกัน (โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่อง “พลัง” หรือปมประเด็นการสืบสายเลือด ฯลฯ) แต่ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้แหละมั้ง

และแล้วในที่สุดวันต่อมาก็ไปดูภาค 7 ในโรงกันเลย เพื่อจะได้ปิดคดีว่าสรุปแล้วเราโอเคกับคำอวยที่ไหลหลั่งมาจากทั่วสารทิศไหม

สรุปคือภาค 7 มันสนุกจริงๆ ครับ สนุกระดับเดียวกับภาค 3 เลย

เพราะเนื้อเรื่องมัน “เดินไปข้างหน้า” ในแบบที่ภาค 2 กับ 5 ทำไม่ได้นั่นแหละ พอดูจบก็เลยยังรู้สึกว่ามีอะไรติดหัวให้พูดคุยกันต่อหลังหนังจบอีกหน่อย (หนังเรื่องไหนไม่ว่าจะเหี้ยยังไง ถ้ามันมีอะไรให้พูดหลังออกจากโรง นั่นผมถือว่าเป็นหนังที่มีคุณค่านะ อย่างอะเวนเจอร์สนี่แทบไม่มีเลย ยกเว้นจะมาอ๊อดโชว์ภูมิใส่กันว่ามีลูกเล่นไอ้นั่นแอบอยู่ตรงนี้ตรงนั้น)

คือจนตกเย็น ผ่านไปถึงตอนเช้า ก็พบว่ายังมีกลิ่นของเนื้อเรื่องรวมๆ วนอยู่ในหัว (ก็เล่นดูมา 7 ภาครวดขนาดนี้ 5555555) เลยรู้สึกว่า เออ มันก็โจมตีความทรงจำของเราได้เหมือนกัน เช่นพอไปเดินโรบินสันเห็นโซนของเล่นที่ขายของเกี่ยวกับหนังพวกนี้ เราก็เก็ตแล้วว่าอ๋อ ยานนี้มันมีบทบาทตรงนั้น ตัวละครตัวนี้มันนิสัยยังงี้ เป็นต้น

รวมถึงการนึกย้อนไปในวัยเด็กที่มีเหล่าญาติโยมเคยหยิบหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มาฟันกัน บอกว่าเป็นไลต์เซเบอร์ ไอ้เราก็งงๆ เพราะตอนนั้นอินการปล่อยพลังมากกว่างี้

ก็นึกขอบคุณคนที่จินตนาการอะไรๆ ออกมาได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะภาคที่สร้างสรรค์ออกมาล้ำอวกาศในโลกภาพยนตร์สมัยก่อน ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม รวมไปถึงคนทำงานสร้างสรรค์หลายๆ วงการได้นำจินตนาการนั้นๆ มาสานต่อ เป็นโลกอีกหลายใบ ให้คนอีกหลายล้านคนได้ต่อยอดไปอีกครั้ง (อย่างการ์ตูนคอบร้าก็น่าจะนับเป็นหนึ่งในนั้น ที่เอามาจากสตาร์วอร์ส แต่ปรุงรสได้ถูกจริตเรามั้กๆ)

แต่นาตาลีน่ารักสุดยอดเลยล่ะ อันนี้สรุป

สวัสดีปีใหม่ครับ (อ้าว)

ฟรีแลนซ์: ห้ามอะไรดีวะ เขาเล่นกันไปหมดแล้ว

อย่าว่าแต่การรีวิวเลย นี่ผมนึกได้ว่าผมแทบไม่เคยเขียนบล็อกเกี่ยวกับหนัง

แต่กับเรื่องนี้ ไปดูมาเมื่อวานซืน จนตอนนี้มันยังวนอยู่ในหัว สลัดไม่หลุด สมควรต้องระบายออกด้วยการเขียนถึงใช่ไหม

(มีคติอยู่อย่างนึงว่า พอดูหนังจบ เดินออกจากโรงแล้ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าหนังมันยังวนเวียนในหัว อันนั้นคือหนังที่มีคุณค่าทางโภชนาการ)

ผมไม่ชอบหนัง GTH ยุคหลังๆ เลย โอเครู้ว่ามันเป็นที่ตัวเองด้วยแหละที่พ้นจากกลุ่มเป้าหมายของคนทำหนังออกมาไกล ทั้งวัย ทั้งหน้าที่การงาน และทั้งรสนิยม

คือดูหน้าหนังแต่ละเรื่องแล้วก็เฉยๆ แบบ ถ้าว่างค่อยไปดูโรงก็ได้ แต่ถ้าไม่ว่างก็ค่อยไว้ดูที่บ้าน และความรู้สึกหลังดูก็คือ เฉยๆ ซะเป็นส่วนใหญ่

รู้สึกว่าเรื่องสุดท้ายที่ดูแล้วชื่นชมก็คือลัดดาแลนด์…

สำหรับหนังเรื่องล่าสุดที่มนุษย์ออนไลน์รอบตัวทุกคนคงเคยเล่นเครื่องผลิตโลโก้ออนไลน์สนุกๆ มาแล้ว (มารู้ทีหลังว่ามีสองเวอร์ชัน เวอร์ชันออริจินัลนั้นกลับเป็นการทำเอาสนุก และโด่งดังเป็นอันมากโดยไม่ต้องมีเจตนาเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมนับถือคนแบบนี้)

เป็นครั้งที่ค่ายหนังตั้งใจขายหน้าตาของผู้กำกับพอๆ กับนักแสดงนำ จนตอนนี้คนเริ่มรู้กันแล้วว่า เต๋อนวพลมันเป็นคนละคนกับอีกเต๋อโว้ย

นั่นจึงแปลว่า เหล่าแฟนคลับเต๋อ (และซันนี่) จงมาดู ส่วนคนอื่น ถ้าสนใจเนื้อเรื่องในหนังตัวอย่าง จงมาดู เห็นไหมว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นชัดและแข็ง ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อเสียคือมันไม่กว้าง คือถ้าหนังแม่งโคตรดี สมควรดู แต่รายได้ก็คงไม่เยอะเท่าหนังผีตลกที่ค่ายเคยทำ ซึ่งตรงนี้ค่ายเองก็รู้ และตัดสินใจว่าเอาแบบนี้แหละ ขอให้มีหนังแบบนี้บ้าง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผมนับถือ

อ้อ ลืมบอกไปว่าผมมาดูเพราะใหม่ดาวิกา อันนี้เรียกว่ารักเลยเถอะ (เมียอย่าอ่านบรรทัดนี้นะ)

ยังไม่ได้พูดเรื่องหนังเลยว่ะ ขี้จะเสร็จแล้วเนี่ย

รีวิวสั้นๆ คือ “ไอ้ห่า โคตรจี้ใจดำ ขอดูซ้ำและเชียร์” ส่วนรีวิวยาวๆ ก็จะกล่าวถึงต่อไปนี้

image

เอาตั้งแต่ชื่อเรื่อง: ผมไม่ชอบนะ แต่มาชอบเอาตอนที่ทุกคนต่างเล่นคำพลิกแพลงกันออนไลน์นี่แหละ อีตาลุงคนคิดชื่อแกคิดถึงเรื่องนี้ด้วยแล้วแน่ๆ ถ้าใช่ก็เซียนมาก ถ้าไม่ใช่ก็ลุงโชคดีมาก

หน้าหนัง: ก็อย่างที่บอก มันแคบกว่าเรื่องอื่น อันนั้นช่างมัน พูดไปแล้ว แต่ที่เจ็บใจคือถ่ายนางเอกมาไม่สวย รอยยิ้มเหมือนแม่นาคเลย โกรธ

เนื้อหนัง: (ไม่สปอยล์) ไม่ได้ดูการแสดงของซันนี่แล้วชอบมานานมากแล้ว เรื่องนี้นับถือผู้กำกับที่ดึงเสน่ห์ของซันนี่ออกมาได้เต็มร้อยมาก แล้วแม่งก็มีเสน่ห์จริงๆ ถือว่าใช้คนถูกทางมากๆ ผิดกับเรื่องก่อนหน้า (อ๊ะ เราจะไม่ด่าพาดพิง)

ส่วนใหม่ดาวิกานี่โคตรเซอร์ไพรส์ ผมคิดว่าใหม่เป็นนางฟ้าหรือนางในวรรณคดีมาตลอด คือหนังแต่ละเรื่องนี่ถ้าไม่พูดช้าก็ต้องพูดเป็นภาษาเขียน มันไกลความเป็นมนุษย์จนนึกว่าหญิงสาวคนนี้พูดแบบนั้นในชีวิตจริง ซึ่งในเรื่องนี้ แม่ง (นั่นไง มีคำว่าแม่ง) แม่งเป็นมนุษย์มากๆ มันจริงมาก

ไม่ต้องไปพูดถึงฉาก หรืองานภาพในหนังที่ตั้งใจเซ็ตให้เหมือนถ่ายส่งๆ ไม่ตั้งใจ (ตั้งใจให้เหมือนไม่ตั้งใจว่าตั้งใจไง งงไหม) ข้อนี้เหล่าคนดูหนังของเต๋อคงชินแล้ว แต่ผมแทบไม่เคยดูเลย 55555 แต่รู้แหละว่านี่คือความตั้งใจ ซึ่งมันดีมาก ชอบทุกฉากที่ดูรกตา ขอคารวะ

เนื้อเรื่อง: ผมตกใจที่สุดคือการเห็นตัวเองไปโผล่ในหนัง (ช่วงแรก) ได้เป๊ะขนาดนี้ ตอนฉากแบกคอมไปทำงาน หรือฉากหลับคาโฟโต้ช็อปที่แต่งภาพเบี้ยวๆ นี่ร้องเย็ดเข้ออกมาเลย นั่นมันกู! มึงเอาทวีตกูไปทำหนังใช่ไหมอีเต๋อ บอกมา

การออกแบบสถานการณ์นั่นนี่ในหนัง แม่งใช่เลยครับ มันก็คือการเอาตัวเอง (ผู้กำกับ) มาเล่าเรื่องเสียดสีจิกกัดประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องจริงกว่าการมโนเรื่องที่ไม่ถนัดอยู่แล้ว ดังนั้นมันเลยเป๊ะไปทุกช็อตแบบแทบไม่มีไขมันส่วนเกิน

พอเข้าสู่ช่วงที่เจอหมอ และสู่ช่วง “Whiplash” ร้อยเรียงไปจนจบเรื่อง อันนั้นไกลตัวออกไปละ แต่ก็เป็นการมโนที่กลมกล่อม

และตั้งคำถามมากมายให้คนดูอย่างผม ซึ่งเป็นกลุ่มที่สัมผัสประสบการณ์ร่วมเต็มๆ ได้คิดวนเวียน วนเวียนอยู่ในหัว

คิดถึงเหตุการณ์ในปีนี้ ที่เห็นเลยว่าตัวเองสุขภาพแย่จากการทำงาน (ของผมไม่ใช่ตุ่มขึ้น แต่เป็นตาบวมสลับซ้ายขวามาตลอด หาหมอเป็นสิบรอบแล้ว นี่ตอนเขียนบล็อกนี้กำลังบวมข้างขวา)

คิดถึงการไปตรวจสุขภาพครั้งแรกในชีวิต กับเพื่อนหมอที่ผมเคยแอบชอบสมัยเป็นสาวแว่นอยู่ ม.ต้น แต่ตอนนี้มีผัวแล้วและกำลังจะมีลูก (รู้ว่าท้องในวันที่ผมไปตรวจกับมันพอดี เฮ้ยอะไรวะ) ประเด็นสำคัญคือตอนนี้สนิทกับเมียผมจนเมียบังคับให้ไปตรวจกับมันนั่นแหละ ไงล่ะ… ชะตาชีวิตก็แบบนี้

ที่แน่ๆ คือสารพัดคำเตือนจากหมอ มันช่างเหมือนกับในหนัง และพฤติกรรมเหลวแหลกที่พระเอกทำเพราะห้ามทิฐิตัวเองไม่ได้ นั่นก็คือสิ่งที่ผมโดนตีเข้าจังๆ

ดูจนจบแล้วก็ยิ้ม ว่าเออ ทำมาดี เป็นหนังเพื่อมนุษย์อย่างเรา แต่ก็ยังเป็นมิตรกับคนที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเรา เลยใครถามว่าดีไหม ก็จะเชียร์ในนามของเรา

ขอบคุณที่ทำหนังดีๆ ครับ (โค้ง)

อาชีพฟรีแลนซ์มันไม่ได้อิสระเสรีอย่างที่คนข้างนอกมองกันนะครับ แต่ทำไมก็ไม่รู้ วิถีชีวิตแบบนี้แหละที่มันใช่จริงๆ นี่ถ้าไม่มีลูกเมียและร่างกายเริ่มเตือนว่ามึงควรถนอมสังขารดูบ้าง

ผมก็คงเป็นพวกห้ามป่วยห้ามพักเหมือนกัน

แต่รักหมอนี่คงไม่ไหว เมียกูเอาตาย

.

ป.ล.
เพิ่งผ่านตามาว่ามีคนรีวิวด่าเรื่องนี้เยอะ ผมยังไม่ได้อ่าน (กลัวความรู้สึกคนอื่นมาเปื้อนไปด้วย) เขียนเสร็จแล้วค่อยไปหาอ่าน

ป.อ.
ไม่ได้ดูทีวี และไม่ได้ติดตามช่องทางการโปรโมตของ GTH เลยแม้ในสื่อออนไลน์ใดๆ นึกได้ว่าค่ายนี้ขยันทำสกู๊ปเกร็ดนั่นเกร็ดนี่นี่นา เดี๋ยวไปหาดูดีกว่า (เลือกเฉพาะที่มีน้องใหม่)

ป.ฮ.
สารพัดหมอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ-หัวหิน ตึงมากครับ