เขียนความหวัง

เนี่ย พอมันประทับใจแล้วก็เลยลำดับเรื่องไม่ถูกจนได้… งั้นเริ่มเลยนะ

เอาเป็นว่า เมื่อวานนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2025) เราไปนิทรรศการของสะอาดมา มีชื่อยาวๆ ว่า 2475 Graphic Novel Exhibition: เขียน • ความ • หวัง – รายละเอียดกดดูจากลิงก์ต้นทางที่ก๊อปชื่อมา

เราเป็นแฟนการ์ตูนของสะอาดมายาวนานมากๆ เอาแค่ที่เคยเขียนลงบล็อกนี้ (ซึ่งไม่ค่อยได้เขียน) ก็ 2012.1 เสียดายภาพหายหมดแล้ว / 2012.2 / 2014 / ฯลฯ ไม่รวมในยุคหนังสือทำมือและบล็อก Exteen ที่เราเซฟภาพเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ (ไม่รู้เจ้าของภาพจะเก็บไว้ไหม หรือหายไปพร้อมเว็บแล้ว 55555) ยืนยันเสมอมาว่าเป็นนักเขียนการ์ตูนสัญชาติไทยที่เราชอบที่สุด

นิทรรศการนี้โฆษณาไว้ว่าด้วยการทำหนังสือ 2475 นักเขียนผีแห่งสยาม คือไม่ได้ะูดแค่เรื่องหนังสือ แต่พูดเรื่องการ “ทำ” ด้วย ซึ่งหนังสือดังกล่าวเป็นงานที่เราเองมองด้วย(สายตาติ่งคนหนึ่งแหละ)ว่ามันจะมาสเตอร์พีซไปไหนวะ ตอนสั่งจองแบบเขาให้รอ 2-3 ปี เราก็รอ หนังสือบ้าอะไรซื้อวันนี้ อีก 2-3 ปีค่อยเสร็จ พอมาก็ประดับดอกไม้ถ่ายทำคอนเทนต์ ทิ้งไว้ครึ่งเดือนจนได้ที่แล้วค่อยหยิบมาละเลียดอ่าน และก็ฟิน มันดีอย่างที่รอคอย มันดีอย่างที่ตั้งใจ และจุใจมากๆ

พอตัดสลับกับโพสต์ระบายอารมณ์หลายครั้ง ได้เห็นการเล่าถึงความเครียด ความกังวลที่โผล่ในเพจและโพสต์ส่วนตัวของนักเขียน และตามบทความที่สำนักต่างๆ ที่ไปสัมภาษณ์ (เออ เราก็ไปไล่อ่านหมดแหละ) ซึ่งนั่นน่าจะเป็นแค่เสี้ยวเดียวของความโหดหิน คงมีอีกหลายอย่างที่มันน่าท้อมากๆ ในการทำงานยากระดับนี้ และเขาจะเอาเรื่องนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ! แล้วทำไมเราจะพลาดล่ะ

อ้อ เราเองมีส่วนร่วมกับงานเล่มนี้ด้วยนิดหน่อย คือได้มีโอกาสทำฟอนต์ลายมือของสะอาด พอเห็นผลการดัดเส้นตรงเส้นโค้ง แอบซ่อมนู่นปะนี่ และใส่โค้ดให้มันแสดงผลได้อย่างถูกต้อง (ถึงจะไม่ใช่ลายมือเรา แต่เอาวะ ขอเนียนภูมิใจหน่อย) ไปปรากฏในเล่มหนังสือจริงๆ แถมยังเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่ามากๆ ด้วยไม่ว่าจะมองมันในหมวดหนังสือการ์ตูน หมวดงานศิลปะ หรือหมวดวรรณกรรม ระดับที่จะอยู่ไปเป็นตำนานคู่บ้านคู่เมืองเราไปอีกแสนนานแล้ว มันฟินแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง

ตัดภาพมา เราก็มายืนอยู่หน้า Kinjai contemporary อยู่ใกล้ MRT สิรินธรเลย เดินทางง่ายมาก แต่เราอยู่บ้านนอกก็ขับรถไปจอดในซอยข้างหลังแล้วเดินนิดนึงก็ถึง เรามาถึงก่อนงานเริ่มประมาณครึ่งชั่วโมง ยืนถ่ายรูปสักพักก็เจอมิตรสหายที่ไม่รู้จักกัน แต่มองตากันก็เข้าใจว่ามางานเดียวกันนี้แหละ เก้ๆ กังๆ ใส่กันสักพัก ก็พยักหน้าและตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในนั้น (แอร์เย็นฉ่ำ) อ้าว ไม่มีคนเฝ้านี่นา ขโมยของกลับบ้านดีกว่า ก็เริ่มทยอยดูงาน

พยายามไม่สปอยล์ลงทวิตเตอร์ แต่พอเป็นบล็อกแล้วอดใจไม่ไหว ขอเล่าไว้เผื่อใครสนใจละกันนะครับว่างานนี้คุณจะได้เจออะไรบ้าง

ชั้นล่าง มีธงผ้าใหญ่ๆ ปลิวๆ (จำคีย์เวิร์ดปลิวไว้นะครับ จะมีให้เห็นตลอดงาน ทั้งแบบ 3D และ 2D) เหมือนปกหนังสือ ที่เชิญชวนเราเข้าไป

ด้านหลังมีวิดีโอชวนเชื่อ และคำนำ-เครดิตของงานนี้ ดูเป็นนิทรรศการที่ดูขึงขังกว่าที่คิดแฮะ เรานั่งรอสักพักก็ไม่รู้ว่าต้องทำไงต่อ มันน่าจะใกล้ห้าโมงตามเวลาเปิดแล้ว แต่ยังไม่เห็นใคร งั้นแอบขึ้นบันไดตามพี่คนนั้นที่เพิ่งถูพื้นเสร็จไปชั้นสองดีกว่า

ชั้นสอง (ที่จริงคือชั้นลอย) เพดานเตี้ย เกือบหัวโขกแล้ว แต่ถ้าใครโขก ก็จะเป็นความประทับใจแรกที่ได้เห็นป้ายสีดำทะมึน มีรูปนิภาที่ทำสีหน้าดุดัน เป็นป้ายเกริ่นนำเข้าสู่ตัวเล่มหนังสือ

ขึ้นบันไดไปอีกนิดก็เจอชั้นที่บอกเล่าว่าไอเดียของโครงการนี้มาจากไหน เป็นยังไง แรงบันดาลใจมาจากอะไรบ้าง หนึ่งในนั้นมีเสา 1 ต้น สูงจากพื้นจดเพดาน เสานี้ทำจากหนังสือ reference ที่ผู้เขียนได้เสพและย่อยมันเข้าไป อยู่ในหมวด #สะอาดอ่าน ล่ะ และฝั่งตรงข้ามมีอีกบางเล่มที่เขาจัดวางไว้บนหิ้งพร้อมคำอธิบาย

พออ่านคำอธิบายเท่านั้นแหละ ก็รู้สึกซี้ดขึ้นมาทันที …เข้เห้ นี่มันไม่ใช่นิทรรศการเครียดๆ แบบต้องยืนหลังตรงดูแล้วนี่หว่า แต่มันรอให้คุณส่อง สังเกต แล้วจะพบมวลแห่งความเปรี้ยวตีน(แบบสะอาด)ที่แฝงซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ แถมเยอะซะด้วย

ผมขอเอามาสปอยล์แค่นิดหน่อยนะครับ เพราะความเซอร์ไพรส์มันต้องไปดูเองเท่านั้นเลย แต่มีมวลนี้อยู่เยอะแบบจุใจ นี่แค่ชั้น (ชั้นอะไรแล้ววะ สองครึ่งมั้ง บันไดเขาหลายชั้นจัด)

พอเดินขึ้นมาอีกชั้น บนบันไดไม้ขัดมันปลาบ แต่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ด้วยความคลาสสิกของสถานที่จัดงานที่บิลด์อารมณ์กันเต็มที่ เราก็มาถึงชั้นนี้ที่เด็ดดวงสุดยอดครับ (เราใช้เวลาอยู่ชั้นนี้นานมากๆๆๆ)

ห้องแรกคือโน้ต สเก็ตช์ ดราฟต์ บันทึกต่างๆ ของผู้เขียน ทั้งแบบที่เป็นภาพร่างตัวละคร และแบบไดอารี่ ที่เป็นไอเดียที่ดีมาก คนที่นั่งทำงานเงียบๆ หมกมุ่นอยู่กับงาน และตัวเอง เพื่อจะไม่ให้เขาบ้าไปเสียก่อน ก็ต้องมีสักทางให้ระบายมันออกมา

สะอาดเลือกใช้วิธีเขียนบันทึกคุยกับตัวเอง ระบายความกดดัน ความสับสน ความกังวลใจออกมาทุกระยะที่งานเจออุปสรรค หรือไม่เจอในงาน แต่เจอกับตัวเขาเอง ตลอดระยะเวลาที่ตื่นเต้น ประหม่า เริ่มเขียน แก้งาน ท้อใจ สิ้นหวัง หมกมุ่น กลับมาฮึด วนลูปไปจนงานเสร็จ ยืนอ่านไดอารี่นี่นานเลย ชอบที่ได้เห็นความฉิบหายของคนอื่นแบบไม่เซ็นเซอร์ งานระดับนี้มันก็ต้องกดดันขนาดนี้สินะ พอรู้แล้วมันก็ช่วยสร้างเสริมพลังใจให้ตัวเองได้ดีมากๆ (นิสัย)

และห้องที่เป็นไฮไลต์ (รึเปล่าไม่รู้ แต่เราชอบสัสๆ) คือ ห้องรวมต้นฉบับ

ในห้องนี้มีงานต้นฉบับขนาด A4 ที่ร่างด้วยดินสอสีฟ้า และตัดเส้นด้วยปากกา หมึกวาวๆ (เราไม่รู้เรียกว่าอะไร) เห็นการวาดเส้นทุกเส้น มีความหนาและนูนออกมาจากเนื้อกระดาษ มีรอยขูดขีด โน้ตต่างๆ ในกระบวนการผลิต และตบท้ายด้วยลายมือสะอาดที่เขียนคอมเมนต์ด้วยปากกาดำเพิ่มลงบนแผ่นกระจกปิดหน้า เพื่อจัดแสดงในงานนี้

ต้นฉบับและเกร็ดต่างๆ ที่จัดแสดงในห้องนี้นั้นโคตรทรงคุณค่าเลย คือในฐานะผู้อ่านแล้ว มันเหมือนเพิ่มมิติการอ่านได้อีกชั้นนึง บางหน้าที่เราอ่านเร็วไป พอได้เห็นเบื้องหลังการถ่ายทำ ก็อยากจะพุ่งกลับบ้านไปอ่านแบบละเลียดอีกรอบ ด้วยสายตาที่ต่างจากเดิม (คือปกติก็อ่านช้าอยู่แล้วนะ แต่นี่พอเห็นความละเอียดของงานแล้วอยากเสพแบบเสพภาพเลย) แต่เดี๋ยวก่อน ยังไม่กลับ เราจะมาซื้อเล่มพิเศษในงานนี้ด้วย! เดี๋ยวว่ากัน

เออ แปลกใจนิดนึงที่ว่าห้องนี้เขาห้ามถ่ายหรือห้ามสัมผัสชิ้นงานเนอะ แต่เห็นคนถ่ายเต็มเลย ทั้งๆ ที่ป้ายห้ามก็มีเยอะแยะ T-T ไม่ใช่ไร อิจฉา อยากถ่ายมั่ง จะฟ้องครูก็ไม่รู้ครูอยู่ไหน เขาให้เดินอิสระดีจัง

บอกเลยครับว่าตอนนี้ฟินแล้ว สามารถกลับถึงบ้านนอนหลับฝันดีได้เลย เขาลำดับการนำเสนองานได้ดีมากๆ

แต่ยังไม่จบเท่านั้น! ยังไม่เจอเจ้าของงานเลยนี่!

พอเดินขึ้นไปถึงชั้นบนซึ่งเป็นแกลเลอรี่และดาดฟ้าเท่านั้นแหละ

บรรยากาศโคตตตตตรรรรดีเลยครับ! ชั้นนี้เป็นแกลเลอรี่ มีภาพวาดเท่ๆ มีโต๊ะวาดรูปของสะอาดอยู่ที่มุมห้องนึง อีกมุมก็เป็นโต๊ะพิมพ์ดีดของนิภา ผมเดินชมงานแล้วก็พบว่าคนมากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ

ด้านนอกห้องฝั่งที่เป็นดาดฟ้าก็บรรยากาศชิลสุดขีด เห็นว่ามีเบียร์ขายด้วยมั้ง แต่เราไม่ได้แงะไปโซนนั้นเพราะไม่สันทัดปาร์ตี้ ขอวนกลับมาในห้องอีกครั้ง เพื่อจัดเล่มนี้

หนังสือ 2475 นักเขียนผีแห่งสยาม ฉบับเขียนความหวัง 🖋️✨ เป็นเล่มพิเศษฉลองล้านตลับ เปลี่ยนปก เพิ่มเพลง ทำเป็นเล่มแข็งๆ นอนหงายอ่านยากกว่าเดิม ต้องนอนคว่ำ ไม่งั้นมีฟันบิ่นแน่

เรียบร้อยครับ ฟิน กลับบ้านได้ แต่เดี๋ยวก่อน

เจ้าของนิทรรศการมากล่าวเปิดงานครับ ดูจะเขินๆ หน่อย แต่ก็บรรยากาศครึกครื้นดีจัง

งานนี้เป็นงานของคุณ เป็นผลผลิตที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และวินัยที่เข้มข้น จากมันสมอง หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา และด้วยมือของคุณเองนั่นแหละที่พาคุณเดินทางไปทั่วโลก และตอนนี้คงสิ้นสงสัยกับทุกคำถามแล้วเนอะ

เราในฐานะของคนที่ตามผลงาน และอาจได้ร่วมงานกันหชนิดๆ ก็โคตรภูมิใจแทนภูมิเป็นอย่างมาก เห็นพ่อแม่พี่และภรรยามาเดินยิ้มแฉ่งในงานก็ยิ้มตามไปด้วย

เออ ดีง่ะ

พอจบพิธีการก็มีการวาดรูปสดๆ ให้ดู คนยืนมุงกันเยอะมาก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ๆ นะ กลัวจะรบกวน นี่เดาว่าตัวของสะอาดเองก็คงรู้สึกไม่ธรรมดาเท่าไหร่ เพราะปกติคือนั่งปั่นงานอยู่ในถ้ำคนเดียว พูดกับตัวเองคนเดียวมาตลอด แต่คราวนี้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหมูเด้ง

ซึ่งก็จะมีน้องคนนั้น ที่เป็นแฟนคลับรุ่นเยาว์ แหวกวงล้อมของผู้ชมคนอื่นๆ ไปยืนเกาะโต๊ะดูแบบชิดต้นฉบับเลย นี่เป็นภาพที่โคตรดีเลยว่ะ

เห็นเลยว่าแรงบันดาลใจที่คุณรับมาในวัยเด็ก(แบบนี้) มันถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดไปแล้ว

ขอบคุณที่เขียนความหวังขึ้นมาครับ

.

หมายเหตุ : นิทรรศการมีถึงวันที่ 16 มีนาคมนี้ อยากให้ไปดูครับ

Viltrox AF 28mm F4.5 FE Chips-Size Ultra-Thin Lens

กดมาจาก Indiegogo ในราคาไม่ถึงสามพัน ($89) รวมภาษีแล้วก็ตีกลมๆ ไปสามพันละกัน

คำโฆษณาที่ได้เราไป ก็คือมันเป็นเลนส์ราคาถูก ขนาด 28mm ที่ขนาดเล็กและบางเบามาก เบาขนาดที่ว่าดูผ่านๆ เหมือนกับเป็นฝาปิดกล้องเลย

ดูแล้วสรรพคุณน่าจะเอาไว้ใช้ถ่าย street photo หรือหันไปเห็นอะไรเจ๋งๆ แล้วหยิบมาถ่ายได้ทันที ซึ่งความสามารถนี้พวกกล้องใหญ่มันทำไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่สะดวก ส่วนถ้าเป็นมือถือบางครั้งก็หงุดหงิดใจในคุณภาพของภาพ ซึ่งความหงุดหงิดนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ

จริงๆ ภาพจากมือถือมันก็สวยแหละ (อย่างภาพบนนี้ก็ใช่) แต่ความโรคจิตของคนเป็นตากล้องมันต้องการอะไรมากกว่านั้นนิดนึง เช่นความละลายหลังที่เป็นของจริงจากกฎฟิสิกส์ ไม่ใช่จาก AI เอามาทำละลายเยิ้มๆ อะไรแบบนั้น โรคจิตไหมล่ะ

แต่ f4.5 ก็ไม่ได้ทำให้มันเวอร์วังอะไรมาก อ่านรีวิวป้ายยาก็รู้สึกว่ามันกลางๆ ไม่ได้ดีเด่นอะไร แถมถ่ายกลางคืนไม่น่าจะรอด

แต่ด้วยราคาของมัน ได้กู มึงได้กู

หลังจากสั่งไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผ่านมาไม่ถึงเดือนของก็มาส่งถึงบ้าน (พร้อมโดนภาษี)

ทั้งหมดมีแค่นี้จริงๆ แพ็คเกจง่ายๆ ดูแล้วรู้เลยว่าราคาไม่แพง แต่งานประกอบของชิ้นเลนส์ถือว่าโอเคนะ

ทีแรกกะว่าจะนอน แต่พอมีของเล่นตกมาถึงมือก็เลยลองซะหน่อย ก็เปลี่ยนกับเลนส์เดิมแล้วกดถ่ายมารุเลย ไม่มีการจัดอะไร

ก็ได้ผลออกมาน่าประทับใจกว่าที่คิด (คิดว่าจะไม่ประทับใจ)

ในห้องหนังสือ เป็นห้องสภาพแสงน้อยมาก แสงสีส้มด้วย ดัน ISO ไป 2,500 speed เท่าไหร่จำไม่ได้ น่าจะ 1/40 โฟกัสช้า บางครั้งก็โฟกัสแล้วแต่กดชัตเตอร์ไม่ลง นึกได้ว่าก่อนหน้านี้มีจดหมายมาจากบริษัทบอกว่าอาจมีปัญหาเรื่องการกดชัตเตอร์ auto focus ซึ่งจะเกิดในกรณีที่เราเปิดกล้องโดยไม่ได้เปิดหน้าเลนส์ไว้ก่อน คิดว่าใช้ไปก็คงชิน

อันนี้ครั้งแรกไม่เป็นไร อย่าให้มีครั้งที่ 2 ถ้ามีครั้งที่ 2 ก็อย่าให้มีครั้งที่ 3

แต่ที่แน่ๆ ภาพออกมาโอเคเลย! ไม่คิดว่ามันจะละลายหลังได้แต่ก็ละลาย คิดว่าสีมันจะออกมาแย่แต่ก็ไม่แย่

ที่สำคัญที่สุดคือขนาดมันเล็กและเบาเหมือนเป็นบอดี้กล้องเปล่าๆ ไม่ได้ใส่เลนส์ อันนี้เป็นจุดที่เป็นที่ตายถ้าใครผ่านมาอ่านแล้วคิดจะซื้อตาม

มันคือฝาปิดกล้องที่ถ่ายรูปได้!

เดี๋ยวไว้จะลองปั่นจักรยานเล่นแล้วพวกเจ้าตัวนี้ไปด้วยคิดว่าน่าจะได้ถ่ายอะไรข้างทางหมาแมวมาฝากด้วยเลนส์ตัวนี้จ้ะ

ไปดูผีที่ยุดยา

ฟังเรื่องผีมาตั้งแต่เด็กๆ สถานที่ที่ถูกปลูกฝังมาให้หลอนที่สุดเมื่อพูดถึงเรื่องผีก็คืออยุธยา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ ททท. ใช้โอกาสนี้ จัดเทศกาลขนหัวลุก ณ สถานที่จริงๆ วัดจริงๆ โบราณสถานเอย สถูปเจดีย์เอย ศาลเพียงตาเอย เป็นของจริงที่แทบไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม แค่จัดไฟสวยๆ และเปิดซาวด์หลอนๆ เพิ่มบรรยากาศก็พอแล้ว

ในเมื่อเขาชวนให้ไปดูผี ในสถานที่ที่ขลังระดับนี้ ก็แจ๋วสิครับ เมื่อวานเลยขับพาลูกเมีย ค่อนชั่วโมงจากบ้านก็ถึงวัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ ** ระวังไปผิดสาขานะ วัดนี้มีสองที่ ต้องไปนอกเกาะ)

เตือนก่อนเลยว่ารถเยอะมาก เราไปวันเสาร์ คาดหวังว่าคนน่าจะเยอะอยู่แล้ว แต่ก็เกินคาดนะครับ ไปถึงประมาณ 17:00 น. นิดๆ รถก็เต็มแน่นสองข้างถนนยาวไปสุดลูกหูลูกตา (พอค่ำๆ ก็ไม่ต้องหาเลยครับที่จอด แนะนำให้ขึ้นสองแถวอย่างเดียว มีรับส่งตลอด) ครั้นจะใช้เงินแก้ปัญหาด้วยการหาที่จอดก็แทบไม่มีหวัง สุดท้ายโชคดีเลี้ยวเข้าอู่รถฝั่งตรงข้ามวัดพอดีเป๊ะ ค่าจอด 50 บาทก็รีบควักจ่ายโดยไว สัมภาษณ์เจ้าของอู่ก็บอกว่าเพิ่งคิดได้ว่าควรเปิดเป็นที่จอดรถเมื่อวานนี้เอง เรียกว่ารับทรัพย์อย่างมโหฬาร

สำหรับวัดวรเชษฐ์ (วัดวรเชต) นั้น เป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ในตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดมีรูปแบบสถาปัตยกรรม ราวสมัยอยุธยาตอนกลาง และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยอยุธยาตอนปลายอีกครั้งหนึ่ง โดยมีการสร้างปรางค์เป็นประธานของวัดทางด้านทิศตะวันตกหลังปรางค์ประธานเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถ ปรางค์ประธานมีขนาดใหญ่มีบันไดทางขึ้น 4 ทาง… ย่อหน้านี้ก๊อปมา ไปอ่านจากต้นทางเอาเอง เดี๋ยวมีสาระเกิน

เรามาเที่ยวยุดยาบ่อยเนื่องจากไม่ไกลบ้านเท่าไหร่ แต่วัดนี้เรากลับไม่เคยแวะมาก่อน เนื่องจากเที่ยวในเกาะจนอิ่มแล้วก็ใช้เป็นทางผ่านกลับบ้าน แต่สังเกตทุกครั้งว่าปรางค์ประธานโดดเด่นเป็นสง่าและสภาพดีอย่างเหลือเชื่อ (แน่นอนว่าเขาบูรณะมาแล้วหลายรอบเนอะ) คราวนี้ก็เลยพาเด็กเดินดูโบราณสถาน โม้นั่นนี่เรื่องสถาปัตย์วัดวังเท่าที่พอรู้ ชี้ชวนกันดูร่องรอยการบูรณะ ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า เพราะเดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นโหมดผีละ

ที่ถ่ายมานี่ยังไม่ได้เห็นตัวงานเลยนะ เพราะตัวสถานที่เดิมๆ ก็ขลังอยู่แล้ว จะมีก็บางอย่างเช่นศาลปลอมตรงป้ายหลักของงาน ที่เอามาเติมให้ดูร่วมสมัยขึ้น นอกนั้นคือ คนเยอะมากๆ จริงๆ นี่ถ่ายแบบไม่เห็นคนได้ถือว่ากลั้นหายใจเหนื่อยอยู่

โดยเฉพาะ “บ้านผีสิง” ไฮไลต์ของงานที่เปิดให้เข้าชมรอบแรกห้าโมงครึ่ง แต่คิวก็ยาวร้อยเมตรแล้ว เราตัดสินใจว่ายอมแพ้ไฮไลต์นี้ แต่ขอพาเด็กๆ ไปแวะกินข้าวกินปลาแทน

งานนี้ของกินเพียบครับ แต่งร้านกันหนุกหนาน พ่อค้าแม่ค้าก็จัดคอสตูมกันหลอนๆ ทั้งนั้น เรียกว่าแสงเด่น ซาวด์ดี ดนตรีหลอน มีอะไรสวยๆ งามๆ ให้เหล่มองอยู่เยอะเลย แน่นอนว่าไม่ได้ถ่ายมา…

เออพอมาเปิดรูปดู แม่งยังกะงานร้าง 555555 สงสัยเพราะมัวแต่ถ่ายหลบคน

อิ่มแล้วเดินต่อครับ (ไหนล่ะผี!)

ยังๆ เรามาดูวัดดูวังกันก่อน ชอบที่เขาจัดแสงแดงๆ น้ำเงินๆ วัดร้างแห่งนี้เลยดูสวย แบบสวยนะ ไม่ใช่สวยแบบหลอน เป็นความเท่ที่ไม่ค่อยได้เห็น เพราะปกติจะเป็นสีอิฐส้มๆ จนเป็นภาพจำ เลยขอบันทึกไว้หน่อย

แล้วตรงไหนที่พอทำให้หลอนได้ เช่นต้นไม้ที่ผูกผ้าไว้จริงๆ ศาลจริงๆ ก็เอาไฟไปส่องไฮไลต์ซะ คนทำนี่ต้องมีความไม่กลัวผีอยู่แหละ เพราะนึกออกเลยว่าเวลาโทรไปเล่าแล้วพี่แจ็คต้องถามก่อนเลยว่าไปทำอะไรมาถึงโดนหลอก ก็ทำแบบนี้แหละ

อุโมงค์เลเซอร์นี่เราชอบมาก แต่เดิมเป็นพื้นที่รกๆ ป่าๆ ยุงเยอะๆ แต่เขาเอาเครื่องพ่นควัน รวมพลังกับเครื่องฉายเลเซอร์สีเขียว ให้พ่นออกมาเป็นวงรอบ กลายเป็นอุโมงค์อากาศ ที่มีกรอบเป็นควันเหลวๆ ฟิวเจอริสติกแบบหลอนๆ ล่อคนให้เดินต่อขบวนกันเข้ามา เพื่อดูว่าปลายทางเป็นอะไร กว่าจะรู้ตัวว่าผนังมันเดินทะลุได้ ก็เกือบปลายทางแล้ว (ขอเตือนว่าอย่าเอากล้องมือถือไปส่องให้โดนลำแสงเลเซอร์ตรงๆ นะ กล้องพังนะเธอ) ทั้งนี้ปลายทางเป็นศาลพระนเรศวร พร้อมไก่บริวารจำนวนมาก

สังเกตว่า คนที่นี่ในยุคหนึ่งที่ตั้งใจทำยุดยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เขามักเล่าสตอรี่โดยหยุดเวลาไว้ที่ยุคพระนเรศวร ดังนั้นองคาพยพต่างๆ ก็จะเป็นพระนเรศวร (และไก่) เสียมาก เรื่องนี้ก็ต้องให้กาลเวลาเป็นผู้ทำละลายกันอีกที

อีกไฮไลต์ของงานก็คือแม่นากไททันสิบเมตร ที่ยืนตระหง่านอยู่หน้าบ้านผีสิง (ที่เราไม่ได้เข้า เพราะตอนนี้คิวยาวกว่าเดิมอีก) เราชอบตรงนี้มาก เพราะแม่ทั้งสวยทั้งสง่าเมื่อมายืนในจุดที่ถูกต้องแบบนี้ เนื่องจากมันมืดจนมือถือถ่ายแล้วดูหลอกลวง งั้นขอใช้กล้องโซหนี้ถ่าย

โอเค ก็ยังได้เท่านี้ แต่ของจริงดูดีมากแหละแก๊

เท่านั้นยังไม่พอ น้องผีที่จัดวางได้ถูกต้องที่สุดอีกตัวคือน้องคนนี้

น้องเป็นผีแนวบุปผาราตรี หรือใครเสพสื่อเกาหลีก็จะบอกว่าผีเกาหลีก็ได้ ไม่ต้องเถียงกัน เป็นผีร่วมสมัยแนวชุดขาว ผมยาว นั่งเศร้าอยู่บนหอระฆัง สวยดูดีทุกคนต้องเงยมองน้อง ดูว่าจะขยับเมื่อไหร่ (สปอยล์ : ไม่ขยับ) (ดีแล้ว)

นอกนั้นตลอดงานก็จะเห็นผีๆ ตัวเร้กตัวน้อยโผล่มาจ๊ะเอ๋อยู่ตามจุดต่างๆ ถือว่าทำดี ทำถึง ทำได้ เราชอบมาก ขอบคุณมากๆ

บรรยากาศส่งท้าย นี่ประมาณ 2 ทุ่ม ขนาดว่าเราจะกลับกันแล้ว ยังมีคนอีกมากหมายไหลหลั่ง ที่เพิ่งเดินทางมาเติมอีกเรื่อยๆ เลย จนรถติดยาวววววววว กว่าตอนก่อนพระอาทิตย์ตกดินมากๆ ดีใจแทนคนจัดที่งานได้รับความนิยมขนาดนี้

ขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการที่สร้างสรรค์อะไรแบบนี้ขึ้นมา ผีไทยนี่แหละสุดยอดซอฟต์เพาเวอร์แล้วจริงๆ ครีเอทีฟอีโคโนมี การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ บัซเวิร์ดอะไรอีกดีล่ะ เอาเป็นว่าเราเหล่านักท่องเที่ยวแฮปปี้มากและอยากให้มีอีก จบแล้วครับ สวัสดี

งานหยาบ

ที่จริงเขียนเป็นเสียงมาแล้ว แต่เมื่อคืนเจ็บคอแล้วพูดวนไปวนมา 55555 มานึกดูเราบันทึกเป็นตัวอักษรดีกว่า เขียนวนแล้วเนียนกว่า

เมื่อวานไป “งานหยาบ” — stand-up comedy ของเบียร์ บัฟแก๊ก (ศรัญญู เพียรทำดี) แถวสามย่านมา เป็นอีกครั้งที่เราเอาตัวเองไปนั่งเป็นส่วนหนึ่งของอีเวนต์ที่เป็นรสนิยมเฉพาะของเราจริงๆ คุยกับใครไม่รู้เรื่องแน่ 55555

ทีนี้ถ้ามองสังคม stand-up comedy ในบ้านเรา ที่ไม่ใช่ระดับซูเปอร์สตาร์อย่างอุดม แต้พานิชแล้ว คนที่ทำให้เรารู้จักวงการนี้ในสายอินดี้ ก็คือยู (กตัญญู สว่างศรี) ที่ตอนนี้ไปโด่งดัง (ดังเปล่าวะ เดี๋ยวนี้ความดังมันคืออะไร) กับรายการกตัญญูทูไนท์ไปแล้ว กับกลุ่มยืนเดี่ยว ที่เป็นคอมมูนิตี้ของคนรักความฮาเหมือนกัน มีจัดโชว์และอีเวนต์ต่างๆ เป็นระยะ เราพอจะเรียกได้แล้วว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นศิลปินยืนเดี่ยว ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างน่าสนใจ

คนอื่นสนใจหรือเปล่าไม่รู้ เรานี่แหละสนใจ 55555

ตัดภาพมาที่เรื่องของเรา การจะเข้าเมืองมาดูงานนี้ก็ต้องใช้ความพยายามประมาณหนึ่ง เพราะบ้านไกล และบวกลบเวลาเดินทางสาธารณะเที่ยวนึงก็ล่อไป 2-3 ชั่วโมง ไปกลับคูณสองก็ยิ่งหมดพลังกันพอดี ทั้งนี้ก็บ่นไปงั้นแหละ เพราะคราวนี้เอารถมา ก็มาบ่นเรื่องรถติดในเมืองแทน

แต่นั่นก็เป็นแค่ปัญหาส่วนตัว ที่ไม่ส่วนตัวคือการเสี่ยงว่าเราจะพาคนอื่นมาดูแล้วรอดไหม เพราะรสนิยมเฉพาะแบบนี้มันไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะชอบ งานของ comedian อีกคนก่อนหน้านี้เราพาเมียมาดูเป็นเพื่อนด้วย แล้วก็อย่างที่คิดเลย ดูจบเมียก็บ่น ประมาณว่าไม่ถูกจริต 55555 เช่นเดียวกับเพื่อนที่โดนลากมาดูด้วยแบบงงๆ (ใช่แล้ว เราหมายถึงอีถลอก) ก็อดนอนมาก่อน เห็นว่านั่งฝืนถ่างตาตลอดงาน ก็เสือกนั่งแถวหน้าสุดกันน่ะสิ…

แถมสเกลงานคราวก่อนที่ใหญ่มาก กลับกลายเป็นทำให้สูญเสียความใกล้ชิดระหว่างคนพูดกับคนฟังไปอีก สิ่งนี้คนที่มีอาชีพโชว์บนเวทีอย่างนักร้อง นักดนตรี พิธีกร จะเข้าใจกันดี เพราะการขึ้นไปโชว์แล้วเห็น reaction ของผู้ชมแบบ 3 เมตร เต็มๆ ตา เทียบกับ 100 เมตรเป็นพิกเซลจิ๋วๆ มันต่างกันมาก

และการออกแบบโชว์ ออกแบบสคริปต์ โทนเรื่อง วิธีเล่า มุกสดต่างๆ มันแทบจะเป็นคนละศาสตร์กันเลย

เขียนยาวแล้วขอคั่นด้วยภาพหน่อย จอดรถตรงนี้ วิวสวย มีห้องน้ำด้วย ส้วมสะอาด ขี้สบายมาก

“งานหยาบ” ที่ไปมานี้จัดขึ้นที่ House No.18 สามย่าน บนชั้นสามมีพื้นที่สวยๆ ขนาดกะทัดรัด (เบียร์บอกว่าจุได้ไม่เกิน 70 ที่นั่ง) ซึ่งเป็นสเกลที่ดีมากกกกกก สำหรับการนั่งดูโชว์แนวนี้ ถ้าให้นึกภาพก็คงเป็นขนาดประมาณห้องเลกเชอร์ แต่ผนังด้านหลังเวทีเป็นจอภาพขนาดใหญ่ อันนี้เซอร์ไพรส์ไม่น้อย ทำไมมันหรูจังวะ

เปิดเวทีด้วยโนะ นนทบุเรี่ยน คนนี้เราชอบแหละ เป็นหนึ่งใน comedian ฝีปากดี ความสามารถด้านอื่นๆ ก็สูง คราวนี้มาแนวร้องเพลงล้อ ล้ออะไรเล่าไม่ได้จริงๆ เพราะนี่คืองาน underground เดี๋ยวเล่าไปก็จะเดือดร้อนทั้งคนพูดคนฟัง

เออ! ลืมบอกไปเลยว่านี่มันคืองาน underground!

underground stand-up comedy ก็คืองานที่เจ้าของโชว์ออกแบบเนื้อหามาให้ดิบเถื่อนกว่าโชว์ปกติ ไม่สามารถออกอากาศได้ ซึ่งในบ้านเราก็มีเรื่องที่เข้าข่ายนี้เยอะเหลือเกิน …..

เนี่ยแค่จะบอกว่าจะพูดเรื่องอะไรบ้างก็พิมพ์ไม่ได้แล้ว แต่เดาไม่ยากหรอกเนอะ

ก่อนหน้านี้เบียร์ก็เคยจัดเทวี underground มาแล้ว (ชื่องาน “ก่อนตาย” ที่ขยายความได้ว่าก่อนตายขอให้ได้พูดเรื่องนี้) และเราก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าไปนั่งสุมกันฟังในวงแคบๆ

ตอนนั้นเบียร์บอกว่า เป็นโชว์ที่คนฟังหัวเราะไปก็กังวลไป กังวลว่าพอเปิดประตูออกมาแล้วตำรวจจะมารวบกันหมดเลยหรือเปล่า…

ดังนั้นโชว์นี้ก็เลยไม่มีรูปถ่ายหรือคลิปอะไรมาเล่าเลย มัน off record ไปหมด แต่ตลกสัสๆ

เราติดตามงานของคณะนี้มานาน เป็นผู้ชมในมุมมืด ไม่ได้แนะนำตัว ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เป็นความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างศิลปินกับผู้ชมอย่างแท้จริง อุดหนุนกันโดยตรงบ้างตามโอกาสจะอำนวย (ก็บ้านไกลง่ะ)

ที่แน่ๆ คือเราแฮปปี้กับโชว์นี้มาก เต็มอิ่มพอดีคำ ไม่หนักไป ไม่เบาไป อะไรที่เป็นความหลุด ก็ถูกพลิกเปลี่ยนเป็นโอกาสได้ทั้งหมดด้วยสกิลของศิลปินเองที่ตอนนี้อยู่ในระดับที่สามารถเอาคนดูอยู่เรียบร้อยแล้ว เทียบกับโชว์ปีก่อนๆ แล้วถือว่าพัฒนาการมาเป็นร่างทองเรียบร้อย ดีมากเลย!

แมวสามย่าน

ที่โล่งใจอีกอย่างก็คือ เพื่อนที่ถูกลากมาฟังด้วยคราวนี้ทีแรกก็หวั่นๆ ว่าจะชอบไหม เพราะคราวที่แล้วดันไม่ประทับใจเท่าไหร่ ตอนจะกดบัตรเลยเอาตัวเองไปการันตีว่าคนนี้ของจริง ดูเถอะ มาดูเป็นเพื่อนหน่อย ตูเหงา

แล้วเพื่อนก็ดูจบแล้วชอบ ชอบจนไปขอถ่ายรูปกับเบียร์ก่อนกลับด้วย นี่เซอร์ไพรส์เพราะไม่คิดว่าจะเป็นคนที่ขอถ่ายคู่ศิลปิน 555555 ทั้งที่ก่อนนี้หยิบลูกอมเปรี้ยวๆ มากันง่วงด้วย แถมนั่งหลังสุดอีก คือกลัวว่าถ้าดูไปหาวไปแล้วจะเกรงใจคนบนเวที 55555 สรุปว่าดูจบแล้วโอเคมาก เราเลยแฮปปี้ด้วย ไว้งานหน้าเดี๋ยวลากมาดูอีก

สุดท้ายนี้ วันนี้เหลืออีกรอบนึง (1 ทุ่ม) ใครบังเอิญมาอ่านก็จิ้มซื้อตั๋วได้นะ ขอเชียร์แบบกังวลๆ 5555555

น้ำปั่นแก้วไหนเป็นสีที่ถูกต้อง

สองรูปนี้คือน้ำปั่นแก้วเดียวกัน ถ่ายด้วยมือถือเครื่องเดียวกัน ในห้องเดียวกัน ไฟเพดานดวงเดียวกัน มือก็มือฉันเหมือนกันแต่ภาพนึงม่วงปั้ดเป็นมันม่วง มือก็กลายเป็นมือธานอส ส่วนอีกภาพเหลืองอมเขียวเหมือนฉันเป็นโรค

คือจะให้ดูว่าการถ่ายรูปโหมดออโต้ในมือถือ มันสามารถสีเพี้ยนได้ขนาดนี้เลยนะ แถมภาพทั้งคู่สีไม่ตรงกับสีจริง ของจริงถ้าชั่งน้ำหนักก็เอียงไปทางชมพูมากกว่าม่วงประมาณ 80% (คืออมม่วงแค่นิดเดียว อมแบบยังไม่ถึงโคนลิ้น อะไรนะ)

เพราะภาพที่น้ำปั่นเป็นสีม่วงนั้น กล้องมันวัดค่าสีจากพื้นหลังสีเหลืองเยอะๆ โปรแกรมมันเลยพยายามปรับสมดุลคืนให้ด้วยหวังดี (เกินไปหน่อย) ส่วนภาพที่เป็นน้ำปั่นชมพูซีดๆ ก็ตามสภาพ ใครเป็นตากล้องเห็นแล้วก็จะรู้เลยว่าอ๋อ บ้านแกเป็นหลอดไฟยาวๆ สีขาว(ที่ให้แสงอมเขียว)สินะ อะไรที่เป็นสีชมพูในภาพจึงซีดเซียวดังนั้น

หลายครั้งลูกค้าเราไม่เข้าใจว่าทำไมซื้อของไป ยืนถ่ายเซลฟี่หน้าตู้เสื้อผ้าที่บ้าน แล้วเปิดรูปคู่กันกับภาพ product shot ที่เทียบแล้วเทียบอีกว่าสีตรงแล้วนะ มันถึงดูต่างกันไม่มากก็น้อย (ที่โวยวายไม่ยอมฟังเลกเชอร์เรื่องนี้ก็ไม่น้อย) หรืออย่างในวงการเครื่องสำอางก็ยิ่งแล้วใหญ่ ก็ดูจากน้ำปั่นนี่สิ ปากชมพูยังกลายเป็นปากม่วงได้อ้ะ ไม่รู้ว่าเป็นฟรีซเซอร์ร่างไหน

ขนาดว่ากล้องมือถือที่ใช้นี่ก็ถือว่าดีมากๆ แล้วนะ (S23 Ultra) ถ้าเป็นรุ่นที่ย่อมเยาลงมา อาจยิ่งอาการหนัก

จึงวอนทุกท่านโปรดเห็นใจในความคลาดเคลื่อนนี้ ป.ล.โฆษณาน้ำผักปั่น #smoothiebow เมียฉันทำให้กินอย่างบ้าคลั่งทุกวัน ไม่มีขาย แต่ขยันโพสต์อวดที่ instagram.com/smoothiebow