เขียนความหวัง

เนี่ย พอมันประทับใจแล้วก็เลยลำดับเรื่องไม่ถูกจนได้… งั้นเริ่มเลยนะ

เอาเป็นว่า เมื่อวานนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2025) เราไปนิทรรศการของสะอาดมา มีชื่อยาวๆ ว่า 2475 Graphic Novel Exhibition: เขียน • ความ • หวัง – รายละเอียดกดดูจากลิงก์ต้นทางที่ก๊อปชื่อมา

เราเป็นแฟนการ์ตูนของสะอาดมายาวนานมากๆ เอาแค่ที่เคยเขียนลงบล็อกนี้ (ซึ่งไม่ค่อยได้เขียน) ก็ 2012.1 เสียดายภาพหายหมดแล้ว / 2012.2 / 2014 / ฯลฯ ไม่รวมในยุคหนังสือทำมือและบล็อก Exteen ที่เราเซฟภาพเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้ (ไม่รู้เจ้าของภาพจะเก็บไว้ไหม หรือหายไปพร้อมเว็บแล้ว 55555) ยืนยันเสมอมาว่าเป็นนักเขียนการ์ตูนสัญชาติไทยที่เราชอบที่สุด

นิทรรศการนี้โฆษณาไว้ว่าด้วยการทำหนังสือ 2475 นักเขียนผีแห่งสยาม คือไม่ได้ะูดแค่เรื่องหนังสือ แต่พูดเรื่องการ “ทำ” ด้วย ซึ่งหนังสือดังกล่าวเป็นงานที่เราเองมองด้วย(สายตาติ่งคนหนึ่งแหละ)ว่ามันจะมาสเตอร์พีซไปไหนวะ ตอนสั่งจองแบบเขาให้รอ 2-3 ปี เราก็รอ หนังสือบ้าอะไรซื้อวันนี้ อีก 2-3 ปีค่อยเสร็จ พอมาก็ประดับดอกไม้ถ่ายทำคอนเทนต์ ทิ้งไว้ครึ่งเดือนจนได้ที่แล้วค่อยหยิบมาละเลียดอ่าน และก็ฟิน มันดีอย่างที่รอคอย มันดีอย่างที่ตั้งใจ และจุใจมากๆ

พอตัดสลับกับโพสต์ระบายอารมณ์หลายครั้ง ได้เห็นการเล่าถึงความเครียด ความกังวลที่โผล่ในเพจและโพสต์ส่วนตัวของนักเขียน และตามบทความที่สำนักต่างๆ ที่ไปสัมภาษณ์ (เออ เราก็ไปไล่อ่านหมดแหละ) ซึ่งนั่นน่าจะเป็นแค่เสี้ยวเดียวของความโหดหิน คงมีอีกหลายอย่างที่มันน่าท้อมากๆ ในการทำงานยากระดับนี้ และเขาจะเอาเรื่องนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ! แล้วทำไมเราจะพลาดล่ะ

อ้อ เราเองมีส่วนร่วมกับงานเล่มนี้ด้วยนิดหน่อย คือได้มีโอกาสทำฟอนต์ลายมือของสะอาด พอเห็นผลการดัดเส้นตรงเส้นโค้ง แอบซ่อมนู่นปะนี่ และใส่โค้ดให้มันแสดงผลได้อย่างถูกต้อง (ถึงจะไม่ใช่ลายมือเรา แต่เอาวะ ขอเนียนภูมิใจหน่อย) ไปปรากฏในเล่มหนังสือจริงๆ แถมยังเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่ามากๆ ด้วยไม่ว่าจะมองมันในหมวดหนังสือการ์ตูน หมวดงานศิลปะ หรือหมวดวรรณกรรม ระดับที่จะอยู่ไปเป็นตำนานคู่บ้านคู่เมืองเราไปอีกแสนนานแล้ว มันฟินแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง

ตัดภาพมา เราก็มายืนอยู่หน้า Kinjai contemporary อยู่ใกล้ MRT สิรินธรเลย เดินทางง่ายมาก แต่เราอยู่บ้านนอกก็ขับรถไปจอดในซอยข้างหลังแล้วเดินนิดนึงก็ถึง เรามาถึงก่อนงานเริ่มประมาณครึ่งชั่วโมง ยืนถ่ายรูปสักพักก็เจอมิตรสหายที่ไม่รู้จักกัน แต่มองตากันก็เข้าใจว่ามางานเดียวกันนี้แหละ เก้ๆ กังๆ ใส่กันสักพัก ก็พยักหน้าและตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในนั้น (แอร์เย็นฉ่ำ) อ้าว ไม่มีคนเฝ้านี่นา ขโมยของกลับบ้านดีกว่า ก็เริ่มทยอยดูงาน

พยายามไม่สปอยล์ลงทวิตเตอร์ แต่พอเป็นบล็อกแล้วอดใจไม่ไหว ขอเล่าไว้เผื่อใครสนใจละกันนะครับว่างานนี้คุณจะได้เจออะไรบ้าง

ชั้นล่าง มีธงผ้าใหญ่ๆ ปลิวๆ (จำคีย์เวิร์ดปลิวไว้นะครับ จะมีให้เห็นตลอดงาน ทั้งแบบ 3D และ 2D) เหมือนปกหนังสือ ที่เชิญชวนเราเข้าไป

ด้านหลังมีวิดีโอชวนเชื่อ และคำนำ-เครดิตของงานนี้ ดูเป็นนิทรรศการที่ดูขึงขังกว่าที่คิดแฮะ เรานั่งรอสักพักก็ไม่รู้ว่าต้องทำไงต่อ มันน่าจะใกล้ห้าโมงตามเวลาเปิดแล้ว แต่ยังไม่เห็นใคร งั้นแอบขึ้นบันไดตามพี่คนนั้นที่เพิ่งถูพื้นเสร็จไปชั้นสองดีกว่า

ชั้นสอง (ที่จริงคือชั้นลอย) เพดานเตี้ย เกือบหัวโขกแล้ว แต่ถ้าใครโขก ก็จะเป็นความประทับใจแรกที่ได้เห็นป้ายสีดำทะมึน มีรูปนิภาที่ทำสีหน้าดุดัน เป็นป้ายเกริ่นนำเข้าสู่ตัวเล่มหนังสือ

ขึ้นบันไดไปอีกนิดก็เจอชั้นที่บอกเล่าว่าไอเดียของโครงการนี้มาจากไหน เป็นยังไง แรงบันดาลใจมาจากอะไรบ้าง หนึ่งในนั้นมีเสา 1 ต้น สูงจากพื้นจดเพดาน เสานี้ทำจากหนังสือ reference ที่ผู้เขียนได้เสพและย่อยมันเข้าไป อยู่ในหมวด #สะอาดอ่าน ล่ะ และฝั่งตรงข้ามมีอีกบางเล่มที่เขาจัดวางไว้บนหิ้งพร้อมคำอธิบาย

พออ่านคำอธิบายเท่านั้นแหละ ก็รู้สึกซี้ดขึ้นมาทันที …เข้เห้ นี่มันไม่ใช่นิทรรศการเครียดๆ แบบต้องยืนหลังตรงดูแล้วนี่หว่า แต่มันรอให้คุณส่อง สังเกต แล้วจะพบมวลแห่งความเปรี้ยวตีน(แบบสะอาด)ที่แฝงซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ แถมเยอะซะด้วย

ผมขอเอามาสปอยล์แค่นิดหน่อยนะครับ เพราะความเซอร์ไพรส์มันต้องไปดูเองเท่านั้นเลย แต่มีมวลนี้อยู่เยอะแบบจุใจ นี่แค่ชั้น (ชั้นอะไรแล้ววะ สองครึ่งมั้ง บันไดเขาหลายชั้นจัด)

พอเดินขึ้นมาอีกชั้น บนบันไดไม้ขัดมันปลาบ แต่มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ ด้วยความคลาสสิกของสถานที่จัดงานที่บิลด์อารมณ์กันเต็มที่ เราก็มาถึงชั้นนี้ที่เด็ดดวงสุดยอดครับ (เราใช้เวลาอยู่ชั้นนี้นานมากๆๆๆ)

ห้องแรกคือโน้ต สเก็ตช์ ดราฟต์ บันทึกต่างๆ ของผู้เขียน ทั้งแบบที่เป็นภาพร่างตัวละคร และแบบไดอารี่ ที่เป็นไอเดียที่ดีมาก คนที่นั่งทำงานเงียบๆ หมกมุ่นอยู่กับงาน และตัวเอง เพื่อจะไม่ให้เขาบ้าไปเสียก่อน ก็ต้องมีสักทางให้ระบายมันออกมา

สะอาดเลือกใช้วิธีเขียนบันทึกคุยกับตัวเอง ระบายความกดดัน ความสับสน ความกังวลใจออกมาทุกระยะที่งานเจออุปสรรค หรือไม่เจอในงาน แต่เจอกับตัวเขาเอง ตลอดระยะเวลาที่ตื่นเต้น ประหม่า เริ่มเขียน แก้งาน ท้อใจ สิ้นหวัง หมกมุ่น กลับมาฮึด วนลูปไปจนงานเสร็จ ยืนอ่านไดอารี่นี่นานเลย ชอบที่ได้เห็นความฉิบหายของคนอื่นแบบไม่เซ็นเซอร์ งานระดับนี้มันก็ต้องกดดันขนาดนี้สินะ พอรู้แล้วมันก็ช่วยสร้างเสริมพลังใจให้ตัวเองได้ดีมากๆ (นิสัย)

และห้องที่เป็นไฮไลต์ (รึเปล่าไม่รู้ แต่เราชอบสัสๆ) คือ ห้องรวมต้นฉบับ

ในห้องนี้มีงานต้นฉบับขนาด A4 ที่ร่างด้วยดินสอสีฟ้า และตัดเส้นด้วยปากกา หมึกวาวๆ (เราไม่รู้เรียกว่าอะไร) เห็นการวาดเส้นทุกเส้น มีความหนาและนูนออกมาจากเนื้อกระดาษ มีรอยขูดขีด โน้ตต่างๆ ในกระบวนการผลิต และตบท้ายด้วยลายมือสะอาดที่เขียนคอมเมนต์ด้วยปากกาดำเพิ่มลงบนแผ่นกระจกปิดหน้า เพื่อจัดแสดงในงานนี้

ต้นฉบับและเกร็ดต่างๆ ที่จัดแสดงในห้องนี้นั้นโคตรทรงคุณค่าเลย คือในฐานะผู้อ่านแล้ว มันเหมือนเพิ่มมิติการอ่านได้อีกชั้นนึง บางหน้าที่เราอ่านเร็วไป พอได้เห็นเบื้องหลังการถ่ายทำ ก็อยากจะพุ่งกลับบ้านไปอ่านแบบละเลียดอีกรอบ ด้วยสายตาที่ต่างจากเดิม (คือปกติก็อ่านช้าอยู่แล้วนะ แต่นี่พอเห็นความละเอียดของงานแล้วอยากเสพแบบเสพภาพเลย) แต่เดี๋ยวก่อน ยังไม่กลับ เราจะมาซื้อเล่มพิเศษในงานนี้ด้วย! เดี๋ยวว่ากัน

เออ แปลกใจนิดนึงที่ว่าห้องนี้เขาห้ามถ่ายหรือห้ามสัมผัสชิ้นงานเนอะ แต่เห็นคนถ่ายเต็มเลย ทั้งๆ ที่ป้ายห้ามก็มีเยอะแยะ T-T ไม่ใช่ไร อิจฉา อยากถ่ายมั่ง จะฟ้องครูก็ไม่รู้ครูอยู่ไหน เขาให้เดินอิสระดีจัง

บอกเลยครับว่าตอนนี้ฟินแล้ว สามารถกลับถึงบ้านนอนหลับฝันดีได้เลย เขาลำดับการนำเสนองานได้ดีมากๆ

แต่ยังไม่จบเท่านั้น! ยังไม่เจอเจ้าของงานเลยนี่!

พอเดินขึ้นไปถึงชั้นบนซึ่งเป็นแกลเลอรี่และดาดฟ้าเท่านั้นแหละ

บรรยากาศโคตตตตตรรรรดีเลยครับ! ชั้นนี้เป็นแกลเลอรี่ มีภาพวาดเท่ๆ มีโต๊ะวาดรูปของสะอาดอยู่ที่มุมห้องนึง อีกมุมก็เป็นโต๊ะพิมพ์ดีดของนิภา ผมเดินชมงานแล้วก็พบว่าคนมากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ

ด้านนอกห้องฝั่งที่เป็นดาดฟ้าก็บรรยากาศชิลสุดขีด เห็นว่ามีเบียร์ขายด้วยมั้ง แต่เราไม่ได้แงะไปโซนนั้นเพราะไม่สันทัดปาร์ตี้ ขอวนกลับมาในห้องอีกครั้ง เพื่อจัดเล่มนี้

หนังสือ 2475 นักเขียนผีแห่งสยาม ฉบับเขียนความหวัง 🖋️✨ เป็นเล่มพิเศษฉลองล้านตลับ เปลี่ยนปก เพิ่มเพลง ทำเป็นเล่มแข็งๆ นอนหงายอ่านยากกว่าเดิม ต้องนอนคว่ำ ไม่งั้นมีฟันบิ่นแน่

เรียบร้อยครับ ฟิน กลับบ้านได้ แต่เดี๋ยวก่อน

เจ้าของนิทรรศการมากล่าวเปิดงานครับ ดูจะเขินๆ หน่อย แต่ก็บรรยากาศครึกครื้นดีจัง

งานนี้เป็นงานของคุณ เป็นผลผลิตที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และวินัยที่เข้มข้น จากมันสมอง หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา และด้วยมือของคุณเองนั่นแหละที่พาคุณเดินทางไปทั่วโลก และตอนนี้คงสิ้นสงสัยกับทุกคำถามแล้วเนอะ

เราในฐานะของคนที่ตามผลงาน และอาจได้ร่วมงานกันหชนิดๆ ก็โคตรภูมิใจแทนภูมิเป็นอย่างมาก เห็นพ่อแม่พี่และภรรยามาเดินยิ้มแฉ่งในงานก็ยิ้มตามไปด้วย

เออ ดีง่ะ

พอจบพิธีการก็มีการวาดรูปสดๆ ให้ดู คนยืนมุงกันเยอะมาก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ๆ นะ กลัวจะรบกวน นี่เดาว่าตัวของสะอาดเองก็คงรู้สึกไม่ธรรมดาเท่าไหร่ เพราะปกติคือนั่งปั่นงานอยู่ในถ้ำคนเดียว พูดกับตัวเองคนเดียวมาตลอด แต่คราวนี้อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหมูเด้ง

ซึ่งก็จะมีน้องคนนั้น ที่เป็นแฟนคลับรุ่นเยาว์ แหวกวงล้อมของผู้ชมคนอื่นๆ ไปยืนเกาะโต๊ะดูแบบชิดต้นฉบับเลย นี่เป็นภาพที่โคตรดีเลยว่ะ

เห็นเลยว่าแรงบันดาลใจที่คุณรับมาในวัยเด็ก(แบบนี้) มันถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นถัดไปแล้ว

ขอบคุณที่เขียนความหวังขึ้นมาครับ

.

หมายเหตุ : นิทรรศการมีถึงวันที่ 16 มีนาคมนี้ อยากให้ไปดูครับ

สร้างสรรค์ด้วยการทำลาย

เวลาไปเที่ยว ผมชอบเก็บ “ลาย” ครับ
ชอบไปเจอลายสวยๆ ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ หรือจากมือของมนุษย์เอง
ลายจากธณรมชาติเราเจอกันเยอะแล้ว แต่ลายจากมนุษย์เนี่ยสนุก

ชุดแรกเป็นลายจากโรงงานเซรามิก “Tao Hong Tai” ที่ราชบุรี
ที่เป็นโรงปั้นโอ่งมาตั้งแต่นมนาน พอกาลเวลาผ่านไปก็ปรับตัวเองกลายเป็นโรงเซรามิกที่มีชื่อเสียงสุดๆ
แถมเจ้าของเขาก็ไม่ได้รวยอย่างเดียว แต่มีใจรักด้วย ก็เปิดโรงงานของตัวเองเป็นสวนศิลป์ซะเลย
ผมไปราชบุรีมาสองครั้งในรอบสองเดือน ก็ได้ไปทั้งสาขาที่อยู่ริมแม่น้ำ กับสาขาโรงงานเลยครับ
อุ้ย เผลอพิมพ์ยาวอีกแล้ว พอๆ ดูภาพเลยดีกว่า

Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai

อีกชุดมาจากราชบุรีเหมือนกัน แต่ถ่ายมาตั้งแต่ไปเที่ยวกับมนุษย์ฟอนต์อีกกลุ่ม
ทีนี้เป็นของ “ชมรมจัดพิมพ์อิเล็กทรอนิกไทย” เขาพาผูั้ชนะการประกวดออกแบบตัวอักษรไปทัศนศึกษากัน
แล้วผมในฐานะกรรมการและวิทยากร (ที่ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกะเขาเลย) ก็ได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย
ลายที่จะเห็นด้านล่างนี้มาจากพิพิธพภัณฑ์วัดขนอนหนังใหญ่ครับ ไม่รู้คนอื่นเขาถ่ายแผ่นหนังหรืออะไรกัน
แต่ผมบ้าลายก็เลยไปส่องใกล้ๆ แล้วเก็บเฉพาะแบ็กกราวด์ของผืนหนังใหญ่อย่างเดียว
พอถึงบ้านมานั่งเปิดดู ก็พบว่าตัวเองลืมถ่ายหนังทั้งผืนซะฉิบ แบบนี้เรียกเสียเที่ยวไหมเนี่ย :30:

ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน

ผืนสุดท้ายนี่มีรูแหว่งตรงกลางเลย หาส่วนอื่นที่แสดงลายชัดๆ ก็ไม่เจอ เลยถ่ายมาแบบนี้ :58:

ในทุกยุคทุกสมัย เราจะเห็นศิลปะการออกแบบลวดลายต่างๆ
โดยศิลปินเองจะพยายามสร้างลายที่ไม่ซ้ำกับของเดิมที่มีมาก่อนแล้ว
อีโก้แบบนี้แหละครับที่สนุก มันเหมือนกับการ Planking ของสมัยนี้
คือเห็นคนก่อนหน้าทำ กูต้องทำได้แจ๋วกว่า และทำให้คนอื่นว้าวให้ได้
อีโก้แนวสร้างสรรค์แบบยอมกันไม่ได้เนี่ย ทำให้โลกของนักออกแบบไม่เคยตายครับ

070 | เยี่ยวข้ามโลก

Einstein
(ภาพประกอบ : ทาบจากวิกิพีเดีย)

.

ผมลุกจากโต๊ะคอมที่ร้านไปเข้าห้องน้ำ
ขณะยืนเยี่ยวอยู่นั่นเอง อยู่ดีๆ ก็แวบประโยคนี้ขึ้นมาในหัว

“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

มันเป็นคำพูดของตาลุงแก่ๆ คนนึงที่ชื่ออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
แม้ว่าปัจจุบันนี้ประโยคดังกล่าวจะโดนยืมมาพูดเพื่อเสริมความเท่ให้กับผู้กล่าวก็เหอะ
แต่ขณะที่บังคับวิถีกระสุนอยู่นั้น ผมก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา… Continue reading 070 | เยี่ยวข้ามโลก