เพิ่งไปเชียงคานมากับเพื่อนมัธยม ถ้ารวมลูกเมียของผมด้วยก็เป็น 10 ชีวิตพอดี
เป็น 10 ชีวิตที่กำลังพอดี พอดีในความหมายที่แปลว่า “พอดี” คือไปกับเพื่อนมัธยม (ไม่ใช่เพื่อนเก่า แต่เป็น “เพื่อนปัจจุบัน” ที่บอกไม่ได้เก่าเพราะว่าไม่ได้ขาดการติดต่อกันขนาดต้องนัดพบปะสังสรรค์กันแบบนานๆ ที แต่กลุ่มนี้คือเจอกันบ่อย จนเป็นเพื่อนปัจจุบัน) ที่คุ้นเคยกัน ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจอะไรกันนัก ถึงในช่วงหน้าโลว์ซีซัน ที่นักท่องเที่ยวสลิ่มจากกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมี จะมีก็แค่เรา กับคนอื่นๆ ที่มาไม่ตรงกับฤดูท่องเที่ยวสุดฮิต เหมือนเป็นสลิ่มหลงฤดู
หลงขนาดที่ว่าพอหันไปถามอีบิ๊ก หัวหน้าทริปนี้ แม่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชียงคานอยู่ตรงไหนของประเทศ และต้องนั่งรถนานขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งการสั่งเพื่อนให้ลางานวันจันทร์หนึ่งวัน เพื่อมาเที่ยว แต่ก็ไม่รู้ว่ามาแล้วจะได้เห็นอะไร หรือมีที่เที่ยวอะไร (คำตอบคือไม่มีไง)
ส่วนผมไม่ซีเรียสอะไรเลยสักอย่าง เพราะเชียงคานเป็นสถานที่ที่มาก็ได้ ไม่มาก็ได้ คิดภาพไว้ว่าคงเป็นอารมณ์เหมือนปาย ที่น่าจะมีอะไรๆ คล้ายเมืองเดิมที่มันน่ารักอยู่แล้ว แต่โดนคณะสลิ่มเมืองกรุงมาถล่มจนมันกลายเป็นจริตแบบกรุงเทพๆ ไป จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ภูมิต้านทานของสถานที่ว่ารับมือไหวแค่ไหนกับกรเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมเคยเขียนเรื่องปายเอาไว้ในบล็อกนี้ (แต่ระบบเคยพังจนข้อมูลหายหมดแล้ว ช่างมัน) คราวนี้ก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากเดิม ที่คิดว่าถ้าเรามีสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ แนวชิวๆ แบบนี้ เราจะไม่อยากบอกใครเท่าไหร่ ไม่งั้นเกิดมันแมสขึ้นมา แบบปาย แบบอัมพวา แบบเชียงคาน หรือแม้แต่แบบสวนผึ้ง แบบดำเนินสะดวก แบบหัวหิน ฯลฯ
รับรองว่าเราจะไม่ได้เห็นบรรยากาศที่เราเคยหลงรักมัน แต่จะกลายเป็นบรรยากาศจำลองให้ชาวกรุงเทพฯ ที่มาเสพบรรยากาศประดิษฐ์แบบใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้กลายเป็นอัตลักษณ์เฟกๆ เหมือนๆ กันไปหมดทุกที่
เชียงคานก็คงเป็นแบบนั้น… ผมคิดไว้ตั้งแต่อ่านข่าวเห็นนักท่องเที่ยวเมืองกรุงมาถล่มที่นี่ในหน้าหนาวเมื่อสองสามปีก่อน
พอคาดหวังไว้ต่ำมาก การที่รถตู้ไปจอดลงตรงหน้าที่พัก และเราเดินไปถึงชานระเบียงที่พัก ซึ่งอยู่ติดฝั่งโขงพอดี จึงเป็นความรู้สึกที่ เออ เหนือความคาดหมาย
ดีเหลือเกินที่เรามาในช่วงเวลาที่ไม่ตรงเวลากับใคร เพราะตอนนี้กรุงเทพฯ ฝนตกทุกวัน แต่ที่นั่นไม่ (ที่จริงก็ฟ้าครึ้มๆ ทั้งวัน) ดังนั้นเชียงคานในส่วนถนนคนเดินที่ร่ำลือกัน เลยเงียบ สงบ และเหมือนเมืองท่องเที่ยวที่แต่ละบ้านแต่ละร้านก็ปิด ปรับปรุงซ่อมแซมต่อเติม (หรือประกาศขาย) ใเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูกาลถัดไป
เคยเจอบรรยากาศแบบที่ว่านี้มาแล้ว ตอนที่ไปเกาะลันตาเมื่อสักสิบปีก่อน เกาะลันตานั้นเงียบ สงบ เรียกว่าสงัดจะถูกกว่า โซนท่องเที่ยวที่มีแต่ภาษาอังกฤษนั้นปิดตาย เพราะเป็นหน้าโลว์ มีเพียงกลิ่นของสถานที่ท่องเที่ยวสุดคึกคักที่รอวันเปิดทำการอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน และถุงพลาสติกปลิวไปบนถนนนานๆ ครั้งเมื่อต้องลม
บรรยากาศในคืนวันอาทิตย์ที่เชียงคานในวันที่ผมเพิ่งไปมาแม่งเป็นแบบที่ว่าเลย เพียงแต่เปลี่ยนจากเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจฝรั่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจคนกรุงเทพฯ
แต่ได้บรรยากาศของความสงัดเหมือนกัน
โอเค เชียงคาน นายก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด ขอโทษที่มองนายเสื่อมไป อย่างอนนะ
ป.ล.
ที่พักผมมีดาดฟ้าชั้นสาม ที่ขึ้นไปยืนมองแม่น้ำโขงได้แบบพาโนรามมา มีช่วงค่ำๆ ขณะที่ลูกเมียหลับแล้ว ผมไปยืนเกาะระเบียงมองผืนน้ำและทิวทัศน์ฝั่งลาวยามราตรี (ที่ไร้แสงไฟและโคตรมืด) อยู่นิ่งๆ คนเดียว หันมามองนาฬิกาในโทรศัพท์ ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เออ ชิวสัส
ป.อ. (ยาวหน่อย) (มีรูปด้วย)
ยังรู้สึกชอบการแวะดูนั่นนี่ระหว่างทางเหมือนเดิม ถึงจะมีข้อจำกัดนิดนึงคือคนอื่นไม่ได้ชอบด้วย และเรามีลูก แต่ยังไม่ลืมภาพบรรยาากาศของสถานที่เจ๋งๆ ที่เคยค้นพบโดยบังเอิญ เช่นตอนปี 2549 ที่สุพรรณบุรี เคยไปงานแต่ง ขากลับเจอกองทัพเป็ดไล่ทุ่ง (ดูภาพ) จนต้องวิ่งลงไปกรี๊ด แหวกว่ายๆ และถ่ายคลิป (สมัยนั้นกล้องมันถ่ายได้ดีสุดแค่ 240p นะ) หรืออีกครั้งที่ไปเที่ยวสวนผึ้ง ขากลับหันไปเห็นลำธารข้างทาง สวยดี เลยจอดลงไปเดินดูกับภรรยา (ดูภาพ) ปรากฏว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศสุดเจ๋ง เจ๋งจนขออย่าให้มีใครมาเห็นและเอาไปทำรีสอร์ตเลยนะๆๆ ปล่อยให้มันอันซีนอยู่แบบนี้แหละ ชอบ รักเลย
ป.ฮ.
หยุดเที่ยวมาสองเดือนเพราะไปวุ่นกะอะไรอยู่ไม่รู้ ต่อไปนี้จะค่อยๆ เที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามปณิธานที่วางเอาไว้ รอก่อนนะ กาญจนบุรี ชัยนาท กำแพงเพชร อุดรธานี สกลนคร ชุมพร สุราษฎร์ และยะลา (อันสุดท้ายนี่เป็นโครงการยาวๆ รอให้เมียอนุญาตก่อน)