ปกติเราไม่ชอบเขียนเป็นลิสต์ๆ เพราะดูมันลวกๆ และไม่ได้ฝึกการเขียนเชื่อมประโยค แต่วันนี้จะเขียนลวกๆ สักครั้ง
พอดีมีคนถามบ่อยว่าหลังจากลาออกแล้วนี่มึงทำอะไรบ้าง นอกจากเลี้ยงลูกและเป็นลูกจ้างเมีย งั้นจะเขียนเล่าว่าวันนี้ผมทำอะไรบ้าง เอาเป็นลิสต์ๆ ละกันนะ
- ตื่นเจ็ดโมงครึ่ง เมื่อคืนนอนหัวค่ำเพราะเพิ่งเคลียร์งานเว็บตัวนึงเสร็จ เลยเพลีย และกะว่าวันนี้จะได้ทำนั่นนี่มากมาย งั้นตัดสินใจนอนก่อน
- พอตื่นมา ก็ปลุกน้องเมียทั้งสองคน (โมนาและมาเฟีย มานอนที่บ้านเพราะปิดเทอม) ให้ลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟัน วันนี้เรามีงานใหญ่ นั่นคือย้ายที่นอนจากชั้นสามห้องขาวไปห้องเทา และที่ใหญ่กว่านั้นคือย้ายที่นอนยางพาราหนัก 38 ตัน จากชั้นสองไปชั้นสาม
- อ้อ เพราะก่อนหน้านี้สองสามวัน บ้านเรามีสภาพเหมือนถูกซอมบี้บุก เพราะช่างมารื้อบันไดลามิเนตกากๆ ของอารียา ที่อยู่มาแค่ไม่กี่ปี แม่งกรอบแกรบเป็นกระดาษยุ่ย เลยให้ผู้รับเหมารายเดิมที่สนิทกันมานาน มาช่วยรื้อ และเปลี่ยนเป็นปูนดิบ นั่นรวมถึงสวนหลังบ้าน (เรียกว่าสวนก็กระดากใจ มันคือที่ตากผ้ากว้างยาวไม่เกิน 8 ตารางเมตร) และพื้นชั้นสองทั้งชั้น
- หลังจากสมุนทั้งสองคนตื่น ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จ และพร้อมออกศึกแล้ว เราก็เริ่มรื้อของในห้องนอนชั้นสาม (ห้องสีขาว) เลย ปกติห้องนั้นจะเรียกว่าห้องยายยาย หรือห้องตั๊กถั่ว หรือห้องนอนแขก หรือห้องเก็บของ แล้วแต่จะเรียกตามใจ แต่ต่อไปนี้มันจะกลายเป็นห้องนอนหลักของเราสามคนพ่อแม่ลูก ส่วนห้องนอนแขกและฟังก์ชันเก็บของของบ้านเรา ก็ย้ายไปห้องข้างๆ ที่ทาสีผนังเป็นสีเทาด้วยความอินดี้ ไม่รู้ทาทำไม
- เริ่มจากย้ายตู้ ชั้นวาง ยุบเปลเด็กเตรียมเอาไปส่งมอบให้ผัวเมียเมืองทองที่ท้องแก่กำลังจะคลอด เลยรับช่วงต่อเปลจากเรา
- แล้วขนข้าวของ ตุ๊กตามากมาย สมบัติบ้าและไม่บ้า ของเรา และของยายยายที่มียาอะไรไม่รู้ด้วยเยอะแยะ อะไรไม่รู้จักก็โยนทิ้งให้หมด จังหวะนี้สนุกมาก
- พี่แอ๋วมาตอนเก้าโมง ที่จริงช่างต้องมาวันนี้ด้วย แต่โทรถามเฮีย เฮียบอกว่าเข้าพรุ่งนี้นะ วันนี้เลื่อยไม้รอไว้ก่อน
- ย้ายที่นอนจากห้องขาวมาห้องเทา แล้วพักเหนื่อย
- ย้ายชั้นวางของจากห้องขาวมาห้องเทา แล้วถูพื้นรัวๆ
- เคลียร์พื้นที่ชั้นสอง เอาคอกเด็กออก ไฮไลต์ที่โหดหินที่สุดของวันนี้คือที่นอนยางพาราน้ำหนัก 79 ตัน (เอ๊ะตะกี้บอกกี่ตันนะ ไม่ได้จำ) ขึ้นกระไดไปไว้ชั้นสามเป็นการถาวร
- พี่แอ๋ว แอน โมนา และมาเฟีย รวมสี่คน ช่วยกันแบก ลาก กลิ้ง ที่นอนที่หนักเหี้ยๆ ขึ้นไปอย่างทุลักทุเล และสงสัยว่าตอนสองผัวเมียที่เป็นเจ้าของร้านขายที่นอนนี้เอามาส่งบ้านเรา เขายกกันได้ไงแค่สองคน เขากินอะไรเป็นอาหาร หรือเขาหมั่นฝึกฝนในการยกที่นอนนี้มากว่า 30 ปี
- หิวมาก ไปกินพืซซ่าที่ยูเนี่ยนมอลล์กัน ว่าแล้วก็ออกเดินทางทันที (ที่จริงที่เลือกไปยูเนี่ยนเพราะ 1.เราต้องไปทำธุระที่ร้านพันธมิตรในวงการสกรีนเสื้อ 2.นารายณ์พิซเซอเรียมันมีโปรลดอะไรสักอย่าง เหมาะกับเด็กสองคนที่มีพลังสวสาปามสูงมาก)
- ไปถึงยูเนี่ยนตอนห้างเปิดพอดี ไม่เคยคิดว่าจะได้จอดรถง่ายแบบนี้มาก่อน
- แดก
- ระหว่างรอสั่งอาหารก็รีบไปทำธุระเรื่องเสื้อ ธุระท่ว่านี่คือ เครื่องสกรีนของร้านเราดันมาเสียเอาช่วงนี้พอดี เลยขนเสื้อไปให้เขาสกรีนให้หนึ่งกอง เพิ่งเคยทำแบบนี้เหมือนกัน แปลกดีเวลาเห็นคนอื่นสกรีนเสื้อของร้านเรา 555
- รีบลงมาแดกต่อ แดกๆๆๆ
- ที่รีบเพราะว่าโทรนัดศูนย์ซัมซุงเอาไว้ บ่ายโมงจะไปเปลี่ยนกรอบของโน้ตสองที่เคยทำตกและเป็นรอตรงมุมค่อนข้างยับเยิน แล้วผมมีโครงการจะขายเครื่องนี้เพื่อซื้อโน้ตสามแทน (เมียเซ็นอนุมัติแล้ว) ถ้าขายในสภาพเดิมคงได้สัก 300 บาท เลยตัดสินใจทำให้มันดีๆ ปิ๊งๆ ดีกว่า
- นัดบ่ายโมง ออกจากยูเนี่ยนเที่ยงครึ่ง ขึ้นรถเมล์เบอร์อะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ ไปต่อบีทีเอสที่หมอชิต ได้นั่งด้วย
- ไปถึงศูนย์ซัมซุงมาบุญครองตอนเที่ยงห้าสิบเก้านาที ขอบคุณพี่ยามสำหรับการบอกทางอย่างตั้งใจ
- เข้าใจพนักงานที่ศูนย์รับซ่อมละว่าทำไมหน้าเหวี่ยงตลอดเวลา ทั้งที่ตัวจริงอาจจะไม่ได้เหวี่ยงโดยกำเนิดก็ได้ ก็เพราะขนาดผมนั่งรอคิวไม่นาน ก็มีทั้งอีป้า และไอ้ลุง ที่เนียนขอ “โทษนะครับ ผมไม่ได้กดบัตรคิว แต่แค่จะถามว่า…” แล้วไอ้แค่ของท่านๆ น่ะ มันก็คือเรื่องที่จะต้องกดบัตรคิวเพื่อสอบถาม ปรึกษาอาการ ฯลฯ ทั้งสิ้น
- อีห่า ลองเมียกูเป็นพนักงานล่ะก็ ได้ตะเพิดกลับบ้านแล้วลาออกทันที ไม่แคร์ ผจก.ไปแล้ว
- พนักงาน (ที่หน้าเหวี่ยงๆ) บอกว่าอีกชั่วโมงนึงมารับเครื่องนะคะ ผมถือใบซ่อมออกมาจากศูนย์ แล้วเดินงงๆ ในมาบุญครอง มีเวลาตั้งชั่วโมง
- ไปหอศิลป์ดีกว่า (เป็นมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์ในความสลิ่มของห้างย่านสยามไม่เป็นโดยสิ้นเชิง)
- เดินดูงานตั้งแต่ชั้นสามที่เป็นสะพานเชื่อมกะมาบุญครอง ไล่ไปเรื่อยๆ จนชั้นห้า นึกอะไรได้อย่างนึง เลยไปแวะขี้ซะเลย
- เสร็จแล้วเดินกลับมาที่ศูนย์ซัมซุงอีกครั้ง รับเครื่อง จ่ายตังค์ (ค่าอะไหล่ ค่าแรง ค่าภาษี รวมๆ พันนึงได้)
- เดินไปถามตู้รับซื้อ ว่ารับกี่บาท อีร้านแรกติดป้ายว่าให้ราคาสูงปี๊ด มันบอก แปดพัน! ปรี๊ดพ่องเรอะแปดพันเนี่ย
- เลยไลน์ไปถามเจ๊เพ็ญผู้เชี่ยวชาญด้านการขายมือถือ เจ๊เพ็ญแนะนำมาอีกร้าน เลยเดินไป เฮ้ย ได้ตั้ง 11,000 แน่ะ!
- ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน โดยผ่านห้างสยามอะไรไม่รู้ จำชื่อไม่ได้ แต่ที่มันทำใหม่ทาสีดำๆ น่ะ พบว่าเสื้อผ้าหน้าผมของเราไม่เหมาะกับการมาเดินผ่านที่นี่เลย (แค่เดินผ่านก็ผิดแล้ว)
- บนรถไฟฟ้าสงบดี เอาหนังสือมาเล่มนึง ก็เลยยืนอ่านไปจนถึงหมอชิต เพื่อจะพบว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้ากันแล้ว ทุกคนมีแต่คนกดมือถือ กับคนที่แอบดูคนใกล้ๆ กดมือถือ
- ลงหมอชิต นั่งสายอะไรไม่รู้ที่เป็นสีแดงๆ (6.50 บาท) ไปลงยูเนี่ยน ขึ้นไปรับเสื้อที่สกรีนเสร็จแล้วลงมาต่อรถเมล์ (8 บาท) ต่อกระป๊อ (7 บาท) ถึงวัดลาดปลาเค้า
- เดินเข้าบ้าน เหงื่อแตก อาบน้ำเสร็จ ลงมาพิมพ์ข้อความ ถึงบรรทัดนี้.
กำหนดการคืนนี้
- กินข้าวเย็นกับลูกเมียและน้องเมียทั้งสองพี่น้อง
- กลับบ้านมาเพื่อกดซื้อ FontLab ซะที จะได้หมดห่วงปัญหาที่คาใจมานาน ว่ามึงทำฟอนต์ด้วยโปรแกรมเถื่อนเนี่ยนะ?
- พอดีมีงานจ้างอันนึงให้ทำฟอนต์ด่วนๆ เลยเริ่มมันคืนนี้ซะเลย!
จบ
ป.ล.
ภาพข้างบนถ่ายจากแยกปทุมวัน ตอนรอขบวนเสด็จผ่าน เขาเลยกั้นคนไม่ให้ข้าม / วาดแล้วอัปไว้ที่ อตก
คอมเมนต์