นั่งเล่นนั่นนี่อยู่ดีๆ ก็นึกว่าควรสำรวจตัวเองก่อนที่โอกาสแห่งวันปีใหม่นี้จะหมดลง และวันที่ 2 มกราคมที่จะถึงนี้ก็กลายเป็นแค่วันธรรมดากากๆ วันนึงเช่นเดียวกับวันอื่นๆ ที่เหลือทั้งปี (ความเท่าเทียมกันไม่มีในปฏิทิน)
ปีนี้เราก็เริ่มก้าวเข้าสู่ ไม่สิ ไม่ก้าวแล้ว กูมาทั้งตัวแล้ว เข้าสู่วัยผู้ใหญ่นี่แหละ ที่แบกความอะไรไม่รู้ไว้มากมาย กับอีแค่คำว่า “ผู้ใหญ่” ที่มันบีบให้เราต้องอ๊ะ ต้องเฮอะ ต้องอุ๊ยกับอะไรหลายๆ อย่าง
คนอายุ 32 ปีนี่มันคือผ่านชีวิตมาเกินครึ่งแล้วนะ สมมติว่าเรากะว่าจะแก่และอ้วนตายหล่อๆ ตอน 60 แสดงว่านี่เกินครึ่งชีวิตมาสองปีแล้ว ต่อไปนี้คือการนับถอยหลังด้วยความมืดมนล้วนๆ
เรายังจำความรู้สึกแรกที่ฟังชื่ออัลบั้ม “ฉลองครบรอบ 30 ปี” ของพี่ป้างได้อยู่เลย ห่ามาก พี่ครับ พี่เอาอายุตัวเองมาประกาศว่าแก่เลยเหรอ (หัวเราะ)
คือตอนนั้นหัวเราะ แต่ตอนนี้ เหล่าคนอายุ 30 มันเรียกเราว่าพี่กันหมดแล้ว
เหมือนที่เราอยู่ประถมและมองพี่ๆ ป.6 ว่าเจ๋งมาก กร้านโลกสุด เช่นเดียวกันกับมัธยม (พี่ ม.6) และมหาลัย (พี่ปี 5) หรือแม้แต่จบมามองคนเป็นหัวหน้าคน เป็นเจ้าของบริษัท คนที่ทำอะไรประสบความสำเร็จอย่างน่าจดจำด้วยความความตาลุกวาว
เราผ่านความรู้สึกนั้นมาไม่ทันไร พอรู้สึกตัวอีกที ตัวเองก็ได้ยืนในจุดที่ว่ามาแล้วเกือบทั้งนั้น เป็นจุดที่เมื่อก่อนเคยรู้สึกว่ามันไกลและยิ่งใหญ่มากๆ แต่พอผ่านมันมาปั๊บ อ้าว ก็ธรรมดานี่หว่า
มองไปที่คนอื่นๆ เราก็พบว่าใครๆ ที่ก็ต่างมีภูเขาให้ปีนกันคนละลูก บางคนเริ่มก่อน บางคนเริ่มช้า บางคนปีนเก่ง บางคนล้มลุกคลุกคลาน บางคนเพิ่งปีนแต่แซงเราไปแล้ว (เป็นธรรมดาที่เอาเข้าจริงก็อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้นะ)
แต่พอก้มมองมาที่ซอกไข่ของตัวเอง ผ่านมากี่ปี กี่สถานะแล้ว ทำไมเรายังเหมือนเดิมเลยวะ ยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่ใหญ่แค่บางส่วน (หมายถึงร่างกาย) แต่ข้างในยังเด็กเหมือนเดิม (หมายถึงกระเจี๊ยว) (ไอ้บ้า หมายถึงสมอง)
บางทีรู้สึกว่าเราหยุดปีน แล้วนั่งอ่านการ์ตูนเล่นตรงเชิงเขา จะว่าเป็นความชิว บางครั้งก็ไม่ใช่ เพราะบางครั้งก็คือความขี้เกียจ เราเบื่อหน่ายกับอะไรหลายอย่างในสังคมของการปีนเขานี้ จนไม่อยากปีนแล้ว เราอยากหยุดตั้งแต่ตอน ม.ปลาย ที่ได้ยินบทสะกดจิตที่สลักไว้หลังคู่มือตำราระดับเทพของเพื่อน ที่ได้มาจากสถาบันสอนพิเศษแห่งนึง จำชื่อไม่ได้ บอกว่า “ขณะที่เธอกำลังเดิน อยากให้รู้ว่ามีคนก้าวเร็วกว่า และขณะที่เธอกำลังหยุดเดิน คนอื่นๆ ก็แซงเธอไปหมดแล้ว” (จำไม่ได้แต่ประมาณนี้แหละ)
ไอ้เหี้ยเอ๊ย
รู้สึกเลยว่านั่นเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนทางความคิดของเรามาจนถึงวันนี้ ว่าเฮ้ย กูไม่ไปแล้ว กูจะลง หรืออย่างน้อยกูขอไปตามทางของกูได้ไหม ในขณะที่เพื่อนคนนั้นที่เป็นเจ้าของตำราดังกล่าว มันเคารพนับถือและบูชาข้อความนั้นดั่งคาถาเรียกเกรด
เราจึงเลือกทางเดินเอง และเดินมาทางนั้นเรื่อยๆ อย่างราบรื่นบ้าง กระท่อนกระแท่นบ้าง ด้วยปัจจัยหลายอย่างที่มีจำกัด คือถ้าคนมันจะอยากแนวนี่ก่อนอื่นต้องมีเงินพอใช้นะ ซึ่งบังเอิญเราไม่ค่อยจะมี 5555
ผ่านมาหลายปี จนนี่คือปี 2557 แล้ว
มองย้อนกลับไป เรารู้สึกช่างแม่ง และขอบคุณกับหลายเรื่อง
มองซ้ายมองขวา เราเห็นปัจจุบันที่ดี เรามีครอบครัวที่ดี (ภูมิใจมาก) เรามีเพื่อนที่ดี (ไอ้ที่เลิกคบเราไปหมดแล้วก็ถือว่าไม่ดีละกันนะ) เรามีสังคมที่ดี (ไอ้ที่ตีๆ กันออกทีวีและเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ทั้งหลายนี่ก็ถือว่าดี คืออะไรก็ได้ที่มันยังขยับตัวเราว่าดีหมด)
มองไปข้างหน้า รู้สึกอุ่นใจที่อย่างน้อยยังรู้สึกว่ามีอะไรสนุกๆ และเติมพลังชีวิตแบบนี้ให้ทำอีกเยอะมากๆ
จึงตั้งใจอย่างยิ่งว่าเราขอถือหลักกิโลแห่งปี 2557 นี้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตครึ่งหลัง เราจะสวมชุดผู้ใหญ่อ้วนๆ ที่สามารถบรรจุเด็กไม่ยอมโต (ยกเว้นกระเจี๊ยว) เอาไว้หนึ่งหน่วย เด็กคนนี้สามารถทำอะไรเพ้อเจ้อ ผิดพลาด มุทะลุ ทำอะไรแบบที่โลกของผู้ใหญ่ไม่ค่อยอนุญาตให้ทำอยู่เสมอๆ แต่บางอย่างที่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่แย่ๆ เราก็จะสนับสนุนมันเช่นกัน เช่นความขี้เกียจที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำอะไรเพื่อคนอื่นน้อยลงเรื่อยๆ เห็นแก่ตัว(และครอบครัว)มากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้เราจะไม่พยายาม เพราะเราขี้เกียจ