สตาร์ วอร์ส

starwars

คิดได้ก่อนเที่ยงคืนนิดนึงว่าเดือนธันวาคม (ที่กำลังจะผ่านไป) นั้นเราแทบไม่ได้เขียนบล็อกเลย เลยเขียนก่อนจะหมดปี …เผากระทั่งบล็อกตัวเอง

พูดถึงสตาร์ วอร์ส ละกัน ผมไม่เคยดูหนังภาคต้น (4-5-6) มาก่อน แต่อ่านเรื่องย่อมาก่อนที่จะไปดูภาค 1 ในโรง

ตอนนั้นอยู่ปี 1 และค่อนข้างไม่มีตังค์ การเก็บตังค์ไปดูหนังเรื่องนี้จึงเป็นความตั้งใจอย่างยิ่ง และก็ได้ผล คือตื่นตาตื่นใจกับงานดีไซน์ในหนังเอามากๆ เจ๋งดี เหมือนรวมคนเก่งๆ ด้านสถาปัตยกรรมมาร่วมกันแสดงงานในหนัง รู้สึกว่าพอหนังจบตอนนั้นก็ไปหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานออกแบบอีกพอสมควร ให้สมเป็นเด็กเนิร์ด

แต่เนื้อเรื่องนั้นแทบจำไม่ได้ คือมันไม่อิน อินแค่ว่าเจ้าหญิงอามิดาล่าน่ารักฉิบหาย (ต่อมาจึงจำชื่อดาราคนนั้นได้ และทุกวันนี้นาตาลี พอร์ตแมน ก็ยังเป็นดาราหญิงที่ข้าพเจ้าว่าน่ารักที่สุดในโลก)

ถึงไหนแล้วนะ อ้อ ภาคแรก เนื้อเรื่องเป็นไงไม่รู้ แต่สรุปได้ว่า อีเด็กหัวเห็ดนี่โตขึ้นมันจะเป็นตัวโกงในภาค 4

ต่อมา ไปดูภาค 2 ในโรงกับแฟน จำได้แค่ว่า นาตาลีน่ารักฉิบหายเหมือนเดิม แต่เนื้อเรื่องก็น่าเบื่อขนาดที่ว่าหลับกลางเรื่อง มาตื่นเอาตอนที่เห็นคำว่า จอร์จ ลูคัส ซึ่งเป็นเครดิตท้ายเรื่อง

ภาคสามก็ไปดูกับแฟนเหมือนกัน (เอาจริงๆ ตั้งแต่มีแฟนมาก็ไม่เคยดูหนังคนเดียวอีกเลย จนกระทั่งปีนี้เองที่แฟนเลี้ยงลูก เลยได้ไปดูกับเพื่อนบ้าง กับน้องบ้าง นับได้ 2-3 ครั้งในชีวิต) พบว่าภาคสามนั้นสนุกดี เพราะมันมีสเกลที่ตูมตามกว่าเดิม และพาไปสู่บทสรุปที่เห็นในโปสเตอร์ของภาคแรก ที่เป็นอีเด็กหัวเห็ดยืนตากแดด ฉายเงาเป็นคุณลุงใส่หมวกกันน็อกทรงติ่งหู

สรุปว่า ถึงจะดูมาแล้วสามภาค แต่ถ้าไม่นับเรื่องความประทับใจในงานออกแบบ และนางเอกของเรื่อง ผมก็ไม่ได้อินอะไรกับเรื่องนี้เลย ในขณะที่เพื่อนหลายคนสถาปนาตัวเองเป็นสาวกของหนังเรื่องนี้ และเจอเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโดดมาทำงานวงการไอที (คือเนิร์ดหนังเรื่องนี้เยอะมาก)

ตัดภาพมายุคปัจจุบัน อยู่ดีๆ ทุกคนแม่งก็พูดกันถึงหนังเรื่องนี้ ว่ามันโอเคนะ ผู้กำกับก็เก่งนะ สามารถเย็บเอาความทรงจำในวัยเยาว์ของแฟนๆ มาผูกกับเนื้อเรื่องที่ “เดินไปข้างหน้า” ได้ ผมเลยตั้งใจจะดู

เชี่ย อีก 7 นาทีจะเที่ยงคืน รีบพิมพ์ๆๆ

ก็เลยนัดน้อง (โมนาและมาเฟีย) มาเข้าค่าย เพื่อตะบี้ตะบันดู ทำความรู้จักหนังเรื่องนี้กันใหม่เลย โดยบรีฟกับตัวเอง และน้องๆ ว่า จงดูโดยคิดว่าเราอยู่ในยุคนั้น ดังนั้นพวกสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่เป็นงานทำมือ ที่มันไม่เนียน ดูก๊องแก๊งหรืออะไรที่เรากำลังจะเจอ (ในยุคที่วงการมายาเขาสร้างโลกทั้งใบจากคอมพิวเตอร์ได้เนียนกว่าของจริงมานานแล้ว) นั้น คือความเท่ ให้ดูด้วยไม้บรรทัดของคนในยุค 30 ปีก่อน โอเคนะ ตามนี้ เริ่มเลย

แผนการดูคือใช้สูตรเรียงภาคตาที่หลายคนแนะนำมาว่าให้ไล่จาก 4-5-1-2-3-6 แล้วมะรืนนี้เราจะไปดู 7 กันในโรง!

สรุปสั้นๆ ได้ดังนี้:

  • 4 – เปิดเรื่อง เนื้อเรื่องมีพอประมาณ ไม่ได้ประทับใจอะไร ในขณะที่ทำใจเตรียมไว้แล้วว่าเราจะได้ดูหนังที่ผ่านกาลเวลามานาน แต่ก็ยังสงสัยในความง่ายของบทมัน ว่าทำไมมึงเจอจุดหักเหแล้วตัดสินใจอะไรๆ กันง่ายจังวะ แต่ก็นะ สมัยนั้นหนังมันก็ไม่ได้ต้องเนี้ยบเรื่องความคิดความอ่านเหมือนยุคนี้ พอดูจบก็หันมาเสวนากันว่าทำไมมันง่วงยังงี้ แต่ในไทม์ไลน์เขาว่ากันว่า มึงอย่าตัดสินแค่ภาค 4 ขอให้ดู 5-6 ก่อน ความเจ๋งมันอยู่ตรงนั้น เราเลยโอเค ขอดูต่อ
  • 5 – เนื้อเรื่องเดินทางต่อไป แต่เดินทางแบบไม่มีอะไรเลย (ความรู้สึกเดียวกับตอนที่ดู 2 ในโรง) ภาคนี้เลยง่วงมากๆ และหลับๆ ตื่นๆ กันทั้งสามคน มาถึงตอนนี้เราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า หนังเรื่องนี้มันจะตรงจริตเราจริงไหม คนเขาตื่นเต้นกันเพราะความสดใหม่ในยุคนั้น แต่เรามาดูกันช้าไปอย่างที่เขาว่าหรือไม่
  • 1 – โดดมาภาค 1 ตามสูตร แล้วก็พบว่างานสร้างที่มันสวยขึ้นตามยุคสมัยนั้นทำให้ดูสบายตาขึ้น แต่ก็อย่างว่า ว่ามันก็ยังเฉยๆ
  • 2 – น่าเบื่อ เนื้อเรื่องไม่เดิน เลยหลับกันทุกคน แต่พอโตขึ้นแล้วพบว่านางเอก (นาตาลี) น่ารักกว่าที่เคยดูในสมัยก่อนมากๆ ดูไปหื่นไป
  • 3 – ภาคนี้แหละที่ได้เนื้อได้หนังที่สุด เก็บอรรถรสจากหนังได้เยอะ ยอมรับว่าสนุก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแบบ เหี้ย สนุกสัสๆ กูจะขอสมัครเป็นสาวกของเรื่องนี้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อะไรงี้ คือสนุก แต่ก็สนุกแบบ อืม ดีเหมือนกันนะ
  • 6 – ปิดไตรภาคที่สองด้วยความเบื่อ เพราะประเด็นขัดแย้งและเนื้อเรื่องในภาคนี้มันมีอะไรให้เถียงเต็มไปหมด หลักๆ คือ นี่มันหนังอวกาศหรือว่าซิตคอมครอบครัววะเนี่ย งงมาก จะเล่นสเกลเล็กหรือใหญ่เอาให้แน่ก่อนไหม คือดูจนจบแล้วก็ผิดหวังกับคำท้าของประชาชนที่บอกว่าให้ดูให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน นี่คือดูจบแล้ว และทิ้งความคาดหวังไปแล้ว

มีหนึ่งประเด็นที่มีคนบอกว่าถ้าจะดูให้สนุกต้องดูตอนเด็กๆ เลย คือดูร่วมสมัย ในขณะที่มันนำสมัย นั่นถึงจะอิน โตมาดูตอนนี้มันก็ไม่ใช่แล้ว เพราะหนังมันผ่านกาลเวลาของมันไปแล้ว แต่ผมนึกเปรียบเทียบกับการ์ตูนบางเรื่องที่เสพมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าโคตรโอเคอยู่ อย่างดราก้อนบอล หรือโดราเอมอน หรือคอบร้า (ซึ่งเรื่องนี้แม่งดูก็รู้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากสตาร์วอร์สเต็มๆ อ้อ มีเจมส์บอนด์ด้วย เอ๊ะมีอินทรีแดงด้วยไหม) มาอ่านตอนนี้ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่เสมอ

ก็นะ รสนิยมคนมันมีหลายแบบ เราก็เป็นแบบหนึ่ง เผอิญว่าอาจจะไม่ได้ชอบหนังแบบเดียวกับที่แฟนๆ ทั่วโลกชอบกัน (โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่อง “พลัง” หรือปมประเด็นการสืบสายเลือด ฯลฯ) แต่ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้แหละมั้ง

และแล้วในที่สุดวันต่อมาก็ไปดูภาค 7 ในโรงกันเลย เพื่อจะได้ปิดคดีว่าสรุปแล้วเราโอเคกับคำอวยที่ไหลหลั่งมาจากทั่วสารทิศไหม

สรุปคือภาค 7 มันสนุกจริงๆ ครับ สนุกระดับเดียวกับภาค 3 เลย

เพราะเนื้อเรื่องมัน “เดินไปข้างหน้า” ในแบบที่ภาค 2 กับ 5 ทำไม่ได้นั่นแหละ พอดูจบก็เลยยังรู้สึกว่ามีอะไรติดหัวให้พูดคุยกันต่อหลังหนังจบอีกหน่อย (หนังเรื่องไหนไม่ว่าจะเหี้ยยังไง ถ้ามันมีอะไรให้พูดหลังออกจากโรง นั่นผมถือว่าเป็นหนังที่มีคุณค่านะ อย่างอะเวนเจอร์สนี่แทบไม่มีเลย ยกเว้นจะมาอ๊อดโชว์ภูมิใส่กันว่ามีลูกเล่นไอ้นั่นแอบอยู่ตรงนี้ตรงนั้น)

คือจนตกเย็น ผ่านไปถึงตอนเช้า ก็พบว่ายังมีกลิ่นของเนื้อเรื่องรวมๆ วนอยู่ในหัว (ก็เล่นดูมา 7 ภาครวดขนาดนี้ 5555555) เลยรู้สึกว่า เออ มันก็โจมตีความทรงจำของเราได้เหมือนกัน เช่นพอไปเดินโรบินสันเห็นโซนของเล่นที่ขายของเกี่ยวกับหนังพวกนี้ เราก็เก็ตแล้วว่าอ๋อ ยานนี้มันมีบทบาทตรงนั้น ตัวละครตัวนี้มันนิสัยยังงี้ เป็นต้น

รวมถึงการนึกย้อนไปในวัยเด็กที่มีเหล่าญาติโยมเคยหยิบหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มาฟันกัน บอกว่าเป็นไลต์เซเบอร์ ไอ้เราก็งงๆ เพราะตอนนั้นอินการปล่อยพลังมากกว่างี้

ก็นึกขอบคุณคนที่จินตนาการอะไรๆ ออกมาได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะภาคที่สร้างสรรค์ออกมาล้ำอวกาศในโลกภาพยนตร์สมัยก่อน ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม รวมไปถึงคนทำงานสร้างสรรค์หลายๆ วงการได้นำจินตนาการนั้นๆ มาสานต่อ เป็นโลกอีกหลายใบ ให้คนอีกหลายล้านคนได้ต่อยอดไปอีกครั้ง (อย่างการ์ตูนคอบร้าก็น่าจะนับเป็นหนึ่งในนั้น ที่เอามาจากสตาร์วอร์ส แต่ปรุงรสได้ถูกจริตเรามั้กๆ)

แต่นาตาลีน่ารักสุดยอดเลยล่ะ อันนี้สรุป

สวัสดีปีใหม่ครับ (อ้าว)

คอมเมนต์