เราไม่ใช่คนทันสมัยอีกต่อไปแล้ว

ช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ตรงกับช่วงหนึ่งของยุคสมัยที่เทคโนโลยียังไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่เป็นคนที่เจอมันก่อน มีโอกาส และเข้าถึงเท่านั้น

เราเป็นหนึ่งในคนแบบนั้น ถึงที่บ้านจะไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่ดี แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของพ่อ ที่บังคับไปเรียน Lotus , D-Base, DBFORM ที่โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์และบัญชีใกล้บ้าน (โรงเรียนคอมพิวเตอร์ท้องถิ่นนะเว้ย) ตอน ป.6 และซื้อคอมพิวเตอร์ 486 DX-II แรม 4MB มาให้หัดเล่นหัดแงะตั้งแต่ ม.1 ด้วยแกเห็นอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นอนาคตที่เด็กเนิร์ดอย่างเราอาจจะคว้าไว้ได้

และเราก็คว้าไว้ ล้วงแคะแกะเกาอย่างสนุกจัดๆ หัดโน่นซนนี่ เท่าที่เทคโนโลยีจะอำนวย แงะเกม โมรอม (ในยุค 90s) ทำเว็บ (ในยุคที่บังมีเน็ตให้เล่นอยู่ที่เดียวในจังหวัดคือราชภัฏ) ไม่นับพวกงานประกอบคอมพ์ ซึ่งเป็นสูตรมาตรฐานของคนประเภทนี้ ที่ทำจนสร้างรายได้จากเหล่าเพื่อนพ่อที่โดนเราหลอกพามาเดินพันธุ์ทิพย์เพื่ออัปเดตว่ากรุงเทพฯ เขาไปถึงไหนกันแล้ว

ในยุคก่อนอินเทอร์เน็ตนั้น การเรียนรู้ระบบไอทีอะไรที่เข้าถึงได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ก็น่าจะเล่นมาจนปรุ

แต่แบบเสียเงิน เช่นเรียนเขียนโปรแกรม PASCAL ตอน ม.3 ที่ต้องจ่ายเพิ่มเทอมละ 400 บาท ไม่กล้าขอเงินพ่อแม่ไปเรียน นี่เป็นสิ่งที่นึกย้อนไปแล้วเสียดายจนทุกวันนี้ ถ้ารากฐานตอนนั้นดี มันคงเปลี่ยนเราไปจากนี้เยอะเลย แต่ช่างมัน

ชีวิตในวัยมัธยมของเราจึงโคตรฟินกับอะไรใหม่ๆ กระโดดขึ้นรถไฟขบวนแรกอยู่เสมอ ถึงจะเป็นรถไฟต่างจังหวัดที่เป็นเพียงกะลาเล็กๆ สู้เด็กในเมืองไม่ได้หรอก แต่มันก็ถูกพิสูจน์ชัดตอนเข้ามหาลัย

เราเข้าเรียนคณะสายออกแบบ อีคณะนี้เรียกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่เราถนัดเลย แต่นั่นเลยกลายเป็นคนนอกระบบการศึกษาด้านเทคโนโลยี ที่ดันต้องแถกไถหาวิธีเล่นเอง มันเลยกลายเป็นสายประยุกต์ที่น่าสนุกดีนะ อย่างพวกวิชากราฟิก วิชาทำฟอนต์ ทำเว็บ วิชาแฟลช (ภูมิใจมาก แต่ตอนนี้ลืมหมดแล้ว) แล้วก็ SketchUp (ที่น่าจะเคลมได้ว่าหัดเองเป็นคนแรกๆ ของประเทศเรา เพราะโหลดเถื่อนตรงจากเว็บฝรั่ง แล้วเอามาสอนอาจารย์ที่คณะอีกที แถมเอามาทำ Thesis คนแรกของไทย 5555)

ที่อวดเก่งมาทั้งหมดนี่เพียงเพื่อจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ในอดีตของคนที่เคยมั่นใจในความนำสมัยของตัวเองว่า ถึงจะด้อยโอกาสอยู่หน่อยๆ แต่เรื่องสู้ชีวิตเพื่อให้ได้เป็นโปรยูสเซอร์นี่ เราก็ไม่แพ้ใครนะ

เป็นแค่ในตอนนั้น

ถัดมาแค่สิบปี พอเราอิ่มตัวจัดๆ และหมดไฟในการใช้ชีวิตในเมืองกรุง ถึงขั้นตัดสินใจเด็ดขาดว่าขอลาออกจากกรุงเทพฯ แม้จะเป็นการเปลี่ยนงานเปลี่ยนอาชีพ โดดลงจากรถไฟสายเทคโนโลยีที่รู้ดีว่ามันเร็ว และไม่มีทางหยุด

แต่กูเหนื่อยไง

พอโจทย์ในชีวิตเปลี่ยน มันก็เหมือนสับสวิตช์ปิดฉับเลย วางมือจากทุกงานที่เกี่ยวกับงานออกแบบสร้างสรรค์หรือดิจิทัลเอเจนซีใดๆ ที่ใช้เทคโนโลยีเป็นพาหนะ หันมาคุยกับต้นไม้ คุยกับแมว ถ่ายรูป ช่วยเมียขายเสื้อผ้า ฯลฯ

แล้วก็ได้พบว่าอีกเพียงไม่นานหลังจากนั้น สิ่งที่เราโม้ เราภูมิใจที่ผ่านมาทั้งหมด มันเป็นขยะ

โอเค เราสามารถอวดได้แหละว่าพี่มาก่อน พี่ทำก่อน พี่รู้ก่อน แต่มันยังไงต่อนะ เพราะทุกวันนี้ไอ้ทักษะที่เราอวด มันคือสิ่งปกติสามัญธรรมดามากๆ ประเภทที่เด็กประถมก็เกิดมากับการทำเป็นกันหมดแล้ว

วิทยาการมันพัฒนาไปจนคลื่นลูกที่ตามมามันทับถมตะกอนทราย เป็นพื้นฐานและต่อยอดทบทับขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่รอ และแน่นอน ไม่หยุด

เราจึงเป็นเพียงเศษซากความภูมิใจในอดีต ที่จดไว้ฟินเองในบันทึกส่วนตัวเท่านั้น ตอนนี้จะตัดคลิปติ๊กต็อกแบบที่เขาเล่นกันท้ายตลาด ยังทำไม่เป็นเลย

และทั้งหมดนี้ไม่ได้รู้สึกว่าเสียใจหรือชอกช้ำระกำทรวงอะไรนะ แต่รู้สึกว่ามันเป็นภาพใกล้เคียงกับที่จินตนาการไว้ตอนโดดลงจากรถไฟ ว่ายังไงถ้าทุกปัจจัยมันลงตัวพอดี ไอ้สิ่งที่เราเคยเบ่งบารมีว่าเคยทำ ทุกคนก็ต้องทำได้เป็นปกติ และดีกว่า

เราจึงแฮปปี้ที่ได้อยู่ในโลกที่เทคโนโลยี (ซึ่งเป็นสิ่งที่เราชอบ) มันดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ตัวเองจะชราลงทุกวัน และตกยุคหล่นสมัยไปแล้ว

แต่ก็จะพยายามไม่ให้ตกไปไกลมากนะ เดี๋ยวคุยสคิบิดี้ซิกมากับเจนอัลฟาที่บ้านไม่รู้เรื่อง

คอมเมนต์

ยืมหนังสือดีๆ มาอ่านฟรีจากห้องสมุดออนไลน์ โครงการอ่านเปลี่ยนโลก

ผมดูรายการสัมภาษณ์คุณช่อสักรายการ จำไม่ได้แล้ว ตอนจบรายการ คุณช่อโฆษณาโครงการนึงของคณะก้าวหน้า ชื่อว่า Reading Revolution อ่านเปลี่ยนโลก

ใจความของโครงการที่ทำให้สนใจก็คือ เขาเป็นห้องสมุดออนไลน์ที่คัดหนังสือดีน่าอ่านมาให้เราได้ อันฟรีถึงบ้านเพียงกดยืมในเว็บให้เวลาอ่านหลายวันมากด้วยนะเสร็จปั๊บก็ส่งคืนทางไปรษณีย์ไทยซึ่งเขาแนบซองติดแสตมป์มาให้ด้วยเท่ากับเราอ่านฟรีไม่ต้องเสียตังค์อะไรเลยสักบาทเดียว

นี่พิมพ์ด้วยเสียง ลูกสาวได้ยินเข้าเลยหันมาถามว่า “แล้วเขาจะมีรายได้ยังไง”

คำตอบคือเขาเปิดรับบริจาคจากประชาชนทั่วไปแล้วมีสปอนเซอร์ใหญ่ที่ให้ทุนเยอะก็คือโก๋แก่ (ลูกถามว่าคือใครเหรอ) — เป็นขนมถั่วๆ น่ะ หนูเคยเห็นไหมที่เคยขายในเซเว่นน่ะ / ใช่ที่เป็นรูปลุงมีผมยาวๆ ปะ / ใช่ๆ (นี่ประทับใจเลยขอชื่นชมเขาหน่อย)

ผมไม่แน่ใจว่าโครงการนี้มีที่มาที่ไปยังไงเพราะไม่ได้ติดตามมาก่อน แต่พอรู้ว่ามีหนังสือดีๆ ให้อ่านฟรี เรามันชอบของฟรี ก็เลยกดเข้าไปดูในเว็บทันทีที่คุณช่อพูดว่า เอ่อ

ปรากฏว่าหนังสือที่ลิสต์ไว้ในหน้าเว็บ มีแต่หนังสือที่น่าอ่านทั้งนั้นเลยจริงๆ ด้วย! (ตัวอย่างหนังสือดี 21 เล่ม) ก็เลยลองจิ้มๆ จัดมาก่อน 1 เล่มโดยการกรอกแบบฟอร์มในเว็บ

สักพักก็มีอีเมลมายืนยัน แล้วไม่นานก็มีหนังสือมาส่งถึงบ้านจริงๆ!

แน่นอนว่ามีซองและแสตมป์แถมมาให้ด้วย แถมยังมีโปสการ์ดแถมมาอีกแผ่น

ประทับใจจนอยากบอกต่อ มายืมหนังสือกับโครงการนี้กันครับ!

ส่วนข้างล่างนี้ก๊อปมาจาก description ยูทูบข้างบน :

“อ่านเปลี่ยนโลก” (Reading Revolution) คือ โครงการส่งต่อหนังสือ ขยายพรมแดนความรู้ เปิดจินตนาการความเป็นไปได้ใหม่ๆ ผ่านการอ่านของ Common School โดย คณะก้าวหน้า

เราคัดเลือกหนังสือที่กระตุ้นให้เกิดจินตนาการถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ เพื่อนำมาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านในรูปแบบการยืมและส่งต่อ (Book Sharing) หลังจากนั้น จะมีการจัดวงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน (Reading Group)

การเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่สามารถอาศัยกำลังทางกายภาพและจำนวนปริมาณเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความคิดชี้นำเพื่อไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ การทำงานทางความคิดจึงเป็นขบวนการสำคัญ ดังที่ Lenin กล่าวไว้ว่า “หากปราศจากทฤษฎีปฏิวัติ ย่อมไม่มีขบวนการปฏิวัติ” หากความคิดความเชื่อแบบเดิมยังคงดำรงอยู่ การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การต่อสู้แย่งชิงเพื่อแตกหักกับความเชื่อเดิม สร้างความคิดความเชื่อใหม่จึงจำเป็น

การอ่าน คือ วิธีการเข้าถึงความรู้ วิธีการบ่มเพาะความคิดความเชื่อ ดังนั้น ความคิดใหม่จะเกิดขึ้นได้ ย่อมขึ้นกับว่าเราอ่านอะไร อ่านกับใคร และเข้าถึงการอ่านได้อย่างไร

ยืมหนังสือฟรี! pgmf.in.th/https://progressivemovement.in.th/article/common-school/3350/reading-revolution/

—–

สนับสนุนการทำงานของ Common School ได้ทางบัญชีธนาคารกรุงศรี ชื่อบัญชีมูลนิธิคณะก้าวหน้า เลขที่บัญชี 493-1-08675-7

ป.ล. รู้สึกว่าพิธีกรจะถามคุณช่อว่า “ถ้าหนังสือหาย ชำรุด หรือคนที่ยืมไปแล้วไม่คืนล่ะจะทำยังไง” คุณช่อตอบว่า “ก็ต้องช่วยๆ กัน…”

คอมเมนต์

ฝันว่ากอดแม่

สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเคลียร์งานงานหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการทำ แล้วดันมีอยู่คือหนึ่งที่ฝันถึงแม่

ตื่นมาจำได้แม่น ประทับใจมาก อยากวาดเล่าเรื่องฝันนี้มาก แต่ด้วยภาระท่วมตัวที่ยังปั่นงานไม่เสร็จสักที เลยวาดทิ้งไว้ก่อนตอนพักกินก๋วยเตี๋ยว ผ่านมาสามสี่วันพองานเสร็จเลยวาดต่อจนจบ โดยที่ทั้งภาพและเริ่องราวในฝันยังคงจำได้ชัดเจน

พอวาดจบแล้วก็มานึกได้ว่า เออ ใครมันจะไปเข้าใจกูวะ…

คอมเมนต์

วิธีเตรียมตัวสอบเข้าสาธิตธรรมศาสตร์

ช่วงนี้เป็นช่วงที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำลังรับสมัครนักเรียนใหม่ชั้น ม.1 และ ม.4 พอดี

เรามองย้อนไปปีที่แล้ว ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของนิทาน ที่เป็นเด็ก ป.6 และต้องหาที่เรียนมัธยม เราก็ไม่ต่างจากผู้ปกครองบ้านอื่นๆ ที่ถ้าเป็นไปได้ ก็จะหาโรงเรียนที่ดีที่สุด (เท่าที่จ่ายไหว) ที่ถูกใจทั้งเด็กเอง และพ่อแม่

หลังจากไปดูมาหลายที่ ก็พบว่าโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี่เอง ก็เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจของบ้านเรา

พอถึงช่วงสอบเข้า เราก็พอรู้มาว่าโรงเรียนนี้ไม่ได้สอบแบบวิชาการแบบที่เราคุ้ยเคย แต่เป็นระบบยื่นพอร์ตโฟลิโอ เลยลองเสาะหาและถามไถ่รุ่นพี่ ผู้ปกครองบ้านอื่นๆ หรือคุณครูที่รู้จักโรงเรียนนี้ ขอคำปรึกษา และเอามาปรับใช้ จนสามารถสอบเข้าได้สำเร็จ

เราคุยกับลูกไว้ว่า อยากคืนกำไร–เรียกแบบนี้ได้ไหม งั้นเอาเป็นเรียกว่าขอบคุณแทนละกัน–ขอบคุณความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาจากรุ่นพี่ๆ ด้วยการเป็นรุ่นพี่คนนั้นให้รุ่นน้อง

เราพ่อแม่ลูก (ท้ายคลิปมีเพื่อนลูกด้วย) จึงมาช่วยกันเล่าว่าการจะเตรียมสอบเข้าสาธิตธรรมศาสตร์นั้นต่างจากที่อื่นยังไง อะไรบ้างที่ควรรู้ ต้องเตรียมตัวยังไง และทำไงให้สอบติด

ทำเสร็จแล้วก็โล่งใจ จึงฝากส่งต่อเรื่องราวให้น้องๆ ได้รู้กันต่อไปจ้ะ

(เสียงเบาไปนิดนึง ใช้มือถือถ่าย แล้วลืมว่ามีไมค์ติดเสื้อ ต้องขออภัยครับ)

คอมเมนต์

Viltrox AF 28mm F4.5 FE Chips-Size Ultra-Thin Lens

กดมาจาก Indiegogo ในราคาไม่ถึงสามพัน ($89) รวมภาษีแล้วก็ตีกลมๆ ไปสามพันละกัน

คำโฆษณาที่ได้เราไป ก็คือมันเป็นเลนส์ราคาถูก ขนาด 28mm ที่ขนาดเล็กและบางเบามาก เบาขนาดที่ว่าดูผ่านๆ เหมือนกับเป็นฝาปิดกล้องเลย

ดูแล้วสรรพคุณน่าจะเอาไว้ใช้ถ่าย street photo หรือหันไปเห็นอะไรเจ๋งๆ แล้วหยิบมาถ่ายได้ทันที ซึ่งความสามารถนี้พวกกล้องใหญ่มันทำไม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่สะดวก ส่วนถ้าเป็นมือถือบางครั้งก็หงุดหงิดใจในคุณภาพของภาพ ซึ่งความหงุดหงิดนี้เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ

จริงๆ ภาพจากมือถือมันก็สวยแหละ (อย่างภาพบนนี้ก็ใช่) แต่ความโรคจิตของคนเป็นตากล้องมันต้องการอะไรมากกว่านั้นนิดนึง เช่นความละลายหลังที่เป็นของจริงจากกฎฟิสิกส์ ไม่ใช่จาก AI เอามาทำละลายเยิ้มๆ อะไรแบบนั้น โรคจิตไหมล่ะ

แต่ f4.5 ก็ไม่ได้ทำให้มันเวอร์วังอะไรมาก อ่านรีวิวป้ายยาก็รู้สึกว่ามันกลางๆ ไม่ได้ดีเด่นอะไร แถมถ่ายกลางคืนไม่น่าจะรอด

แต่ด้วยราคาของมัน ได้กู มึงได้กู

หลังจากสั่งไปเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผ่านมาไม่ถึงเดือนของก็มาส่งถึงบ้าน (พร้อมโดนภาษี)

ทั้งหมดมีแค่นี้จริงๆ แพ็คเกจง่ายๆ ดูแล้วรู้เลยว่าราคาไม่แพง แต่งานประกอบของชิ้นเลนส์ถือว่าโอเคนะ

ทีแรกกะว่าจะนอน แต่พอมีของเล่นตกมาถึงมือก็เลยลองซะหน่อย ก็เปลี่ยนกับเลนส์เดิมแล้วกดถ่ายมารุเลย ไม่มีการจัดอะไร

ก็ได้ผลออกมาน่าประทับใจกว่าที่คิด (คิดว่าจะไม่ประทับใจ)

ในห้องหนังสือ เป็นห้องสภาพแสงน้อยมาก แสงสีส้มด้วย ดัน ISO ไป 2,500 speed เท่าไหร่จำไม่ได้ น่าจะ 1/40 โฟกัสช้า บางครั้งก็โฟกัสแล้วแต่กดชัตเตอร์ไม่ลง นึกได้ว่าก่อนหน้านี้มีจดหมายมาจากบริษัทบอกว่าอาจมีปัญหาเรื่องการกดชัตเตอร์ auto focus ซึ่งจะเกิดในกรณีที่เราเปิดกล้องโดยไม่ได้เปิดหน้าเลนส์ไว้ก่อน คิดว่าใช้ไปก็คงชิน

อันนี้ครั้งแรกไม่เป็นไร อย่าให้มีครั้งที่ 2 ถ้ามีครั้งที่ 2 ก็อย่าให้มีครั้งที่ 3

แต่ที่แน่ๆ ภาพออกมาโอเคเลย! ไม่คิดว่ามันจะละลายหลังได้แต่ก็ละลาย คิดว่าสีมันจะออกมาแย่แต่ก็ไม่แย่

ที่สำคัญที่สุดคือขนาดมันเล็กและเบาเหมือนเป็นบอดี้กล้องเปล่าๆ ไม่ได้ใส่เลนส์ อันนี้เป็นจุดที่เป็นที่ตายถ้าใครผ่านมาอ่านแล้วคิดจะซื้อตาม

มันคือฝาปิดกล้องที่ถ่ายรูปได้!

เดี๋ยวไว้จะลองปั่นจักรยานเล่นแล้วพวกเจ้าตัวนี้ไปด้วยคิดว่าน่าจะได้ถ่ายอะไรข้างทางหมาแมวมาฝากด้วยเลนส์ตัวนี้จ้ะ

คอมเมนต์