มีลูกดีไหม : คำถามสุดฮิตของคนวัยทำงาน

เวลาอัดเสาเสาเสาเสร็จ จะมีเวลาที่เหล่าผู้จัดรายการยังคงออนซูมคุยนั่นคุยนี่กันอีกนานเป็นชั่วโมง บางทีก็นานกว่านั้น กินนั่นกินนี่หรือทำงานไปด้วย จนดึกดื่นมากๆ นั่นแหละถึงได้แยกย้าย ในแต่ละครั้งจะมีประเด็นสนทนาที่ซีเรียสบ้าง เรื่อยเปื่อยบ้าง ลามกจกเปรตบ้าง ซึ่งปกติแล้วเราจะเป็นคนฟังอย่างเดียว และทำงานหรือวาดรูปไปด้วย ไม่ค่อยได้ออกความเห็นอะไร คือชอบเป็นคนฟังมากกว่า

แต่สำหรับเมื่อคืน ซึ่งเป็นคืนที่เราทำงานกระหน่ำมาก (เตรียมอาร์ตเวิร์กสกรีนเสื้อที่ออเดอร์ทะลักอยู่ตอนนี้) มีอยู่ช่วงหนึ่งที่น้องมันคุยกันเรื่องชีวิตของแต่ละคน จนถึงเรื่องแต่งงานและการมีลูก

แน่นอนว่าบทสนทนาร่วมของคนอายุ 30 กว่าๆ มาถึง 40 มันจะไม่ใช่วัยที่แซวกันว่าคนนั้นเป็นแฟนคนนี้ คนนี้ได้กับคนนั้นแล้ว แต่มันจะเป็นประมาณว่า เออเราไปกินข้าวกับเพื่อนครั้งล่าสุด เพื่อนคนนั้นก็อุ้มลูก คนนี้ก็แต่งงานคนนู้นก็เลิกกัน

แล้วก็จะต้องเข้าสู่คำถามสุดฮิตของคนวัยเรา

คือ มีลูกดีไหม

ซึ่งสังคมเมื่อก่อนเราจะสงสัยเรื่องนี้กันตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้เป็นสิบๆ ปี คือเดี๋ยวนี้แม่งชอบมีลูกกันตอนอายุเยอะๆ บางคนก็ไม่มีเลย บางคนอยากมีแต่ก็ไม่มี บางคนยังไม่ได้ทันนึกเลยว่าควรมีหรือไม่มีดีหนอ แต่ก็มีเอง

บางคนพ่อแม่ยังไม่รู้เลยว่ามีแฟน มาถึงก็อุ้มลูกเลย แบบนี้เรียกว่าลั่น สมัยวัยรุ่นจะเจอบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว

.

ต้องขอเกริ่นไว้ให้นิดนึง ให้ตัวเองตอนที่ย้อนกลับมาอ่านบล็อกในหลายๆ ปีหลังจากนี้

ตอนนี้สถานการณ์ประชากรในประเทศไทยโดยรวมก็คือ เส้นกราฟจำนวนคนตายมากกว่าจำนวนคนเกิดแล้ว นั่นแปลว่าเด็กเกิดน้อยลงเรื่อยๆ เรากำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ แล้วอะไรล่ะคือสาเหตุ

เอาแค่เรื่องแต่งงาน หลายๆ คนอายุ 30 – 40 ปี ถ้านับคนที่มีแฟนแล้วก็มีจำนวนมากที่ตัดสินใจไม่แต่งงานเพราะเสียเวลา ยุ่งยาก เปลือง ก็แค่ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ง่ายจะตาย ซึ่งไอเดียนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ในหมู่มิตรสหาย เราจะคุ้นชินกันมาหลัก 10-20 ปีแล้ว

แต่พอสเต็ปถัดไปเรื่องการมีลูก บทสนทนามันจะมาถึงทางแยก โดยเฉพาะในการมีตติ้งสังสรรค์กับเพื่อนมหาลัยหรือเพื่อนมัธยมอะไรแบบนี้

คนที่ไม่มีลูกก็จะให้เหตุผลว่าไม่อยากมีหรอก แม่งเปลือง หรือไม่พร้อม ไม่มีตังค์ กลัวลูกโตมาเจอสังคมเหี้ย หรือไม่ชอบเด็กหรืออะไรก็ว่าไป

แต่กับคนที่มีลูกน่ารักสามขวบแก้มยุ้ยอุ้มมานั่งคุยกับเพื่อน คนนั้นมันจะกลายเป็นชาวลัทธิชนิดหนึ่ง ที่พยายามจะเชียร์ให้เพื่อนว่ามึงมีลูกเถอะ ดีนั่นนี่ แฮปปี้ลันล้า มีเถอะมึง

แล้วสองทีมนี้ก็จะไม่เข้าใจกัน เกิดเป็นสงครามเย็นระหว่าง 2 ค่ายความคิด

ตามความเห็นของเรา บอกเลยว่า บทสนทนานี้มันก็มาถึงทางตัน เพราะคนที่ไม่มี หรือไม่อยากมี ก็จะไม่เก็ตจริงๆ *ไม่มีทางเลย*

เอาจริงๆ การมีลูกเนี่ย ใครๆ ก็จะพอรู้กันว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต อันนี้้เบสิกพื้นฐานเนอะ แต่พอฟังแล้วก็จะยังนึกไม่ออกว่ามันจะทำให้เห็นภาพยังไง

เราเคยเขียนไว้ในหนังสือคือปะป๊าครองพิภพ (สำนักพิมพ์แซลมอน ทุกวันนี้ยังมีขายอยู่ตามกระบะหนังสือลดราคา 50 บาท) ด้วยความคิดสมัยเกือบ 10 ปีที่แล้วที่เพิ่งมีลูกคนแรกตอนอายุไม่ถึงขวบ และกำลังเห่อมาก ว่า ชีวิตเรามันคงเหมือนการเดินขึ้นบันได เราจะเลือกเดินขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ขึ้นแล้วขึ้นเลย คนที่อยู่ขั้นบนก็จะได้พบทัศนียภาพแบบใหม่ และในขณะเดียวกันคนที่อยู่ข้างล่างก็จะนึกไม่ออกหรอกว่าวิวข้างบนเป็นยังไง

ถ้าลองนึกดู ขั้นบันไดชีวิตเหล่านี้ น่าจะเกิดขึ้นตอนเรียนจบ แต่งงาน จนกระทั่งมีลูก

ฟังดูแล้วสะเหล่อนิดนึง แต่นั่นแหละ มันเป็นสำนวนที่เอาไว้เขียนหนังสือเมื่อนานมาแล้ว

ถ้าตอนนี้ย้อนไปเขียนเพิ่มได้ เราจะบอกว่า อีขั้นบันไดพวกนี้มันขึ้นแล้วขึ้นเลย ขึ้นแล้วลงไม่ได้ด้วยนะ

ถ้าโฟกัสเฉพาะเรื่องการมีลูก เราไม่สามารถทดลองเลือกว่าโอเค กูขออยู่ค่ายมีลูกละกัน พอมีลูกปุ๊บ แล้วตื่นมาอีกวันหนึ่งจะบอกว่า เชี่ยแม่ง ไม่เวิร์ก ขอย้ายไปทีมไม่มีลูก แบบนี้ไม่ได้นะ

คือการมีลูกมันเป็นชอยส์ ทุกคนมีเหตุผลที่ดี (หรืออาจไม่ดีก็ได้) ตามประสบการณ์ชีวิต และทัศนคติของตัวเองกับคู่ ดังนั้นจะขิงกันเพื่ออะไร

การเถียงกันเรื่องดีหรือไม่มีลูกดีหว่า จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อคู่ถกเถียงไม่ใช่แค่เพื่อนที่เจอกันตามงานเลี้ยงมีตติ้ง แต่เป็นคู่ชีวิตตัวเอง

มีเพื่อนหลายคนที่คิดไม่เหมือนกันกะแฟน คนนึงอยากมีลูก แต่อีกคนไม่อยากมี …

คำถามว่ามีลูกดีไหม จึงไม่ใช่แค่การเอามาขิงกันเล่นๆ แต่หลายๆครอบครัวก็ประสบปัญหากันแบบนี้จริงๆ บางทีบ้านแตกเลยก็มี

ดราม่าแบบใน Fast and Feel Love จึงเป็นสิ่งที่ valid ในโลกจริง ในสังคมบ้านเรา อ้าวยังไม่ได้ดูเหรอ เดี๋ยวรอลง นฟ ละกันนะ

สำหรับเราที่ถูกตั้งคำถามแบบนี้เป็นระยะๆ เพราะตัวเองเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในกลุ่มเพื่อนที่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนกลุ่มไหนก็ตาม

พอถูกถามแบบกระชั้นชิด คนที่ชอบนั่งฟังเพื่อนคุยกันแต่ไม่ค่อยพูดอะไรอย่างเรา ก็นึกคำตอบให้แบบด่วนๆ ไม่ออกจริงๆ

ก็ได้แต่บอกติดตลกเอาตัวรอดไปว่า เราแม่งมีลูกแล้วไง จะให้ย้อนกลับไปเป็นทีมไม่มีลูกก็ไม่ได้แล้ว ดังนั้นคำตอบของเรามันคือคำตอบลำเอียงของคนที่มีลูกแล้วเท่านั้น มึงจะฟังเหรอ

หลายครั้งที่คุยกันว่ามีลูกจะเหมือนเลี้ยงหมาไหม

อีเหี้ย นี่ลูก เป็นคน ไม่ใช่หมา

ด้วยความเคารพลัทธิเลี้ยงหมาเป็นลูก มันไม่เหมือนกันจริงๆ ถึงบ้านเราจะเลี้ยงหมาเป็นหมา (และเลี้ยงแมวเป็นลูก) แต่ก็ยังมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายก็ได้มั้ง ว่ามันต่างกัน

ถึงจะมีจุดร่วมกันคือเลี้ยงแล้วเปลืองตังค์ชิบหายก็เถอะ

มีลูกเองกับเลี้ยงหลาน ก็ต่างกัน

บางคนบอกว่าเลี้ยงเด็กที่เป็นลูกของพี่ หลานของน้า แล้วชอบ (บางคนก็ไม่ชอบ) ก็จะตอบอีกว่าการถือครองลูกของคนอื่น มันเป็นประสบการณ์ชั่วคราว

แต่การมีลูกเองมันเป็นประสบการณ์ถาวร ถาวรแบบอยู่กันไปจนตายไปข้างนึงน่ะ

บางคนที่อยู่ในลัทธิมีลูก ก็จะให้เหตุผลแบบคนแก่ว่าพอมีลูกแล้ว
จะได้เอาไว้ดูแลตอนแก่ หรือเอาไว้ทดแทนคุณ หรืออะไรก็แล้วแต่

บอกตามตรงจากในมุมมองของเรา ณ ตอนนี้ เราไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ไม่ได้ตอบหล่อๆ แต่คงเพราะยังจินตนาการไม่ถึง หรือด้วยวัยวุฒิที่ยังนึกไม่ออกว่า ไอ้เด็กสองคนที่นั่งเล่นมือถือแคะขี้มูกอยู่ตรงโซฟานี้มันจะมาดูแลอะไรเราได้วะ แค่แปรงฟันเองยังไม่สะอาดเลย

ที่จริง เรื่องการขึ้นบันไดที่พูดไปข้างบน ตรงหน้าสุดท้ายของหนังสือ (สปอยล์เลยละกัน) เราลองทำนายไว้ว่ามันน่าจะมีจากนั้นอีกหลายขั้น

ลูกเข้าโรงเรียน ลูกเริ่มเป็นวัยรุ่น ลูกมีแฟน ลูกมีผัว ฯลฯ

อ้าว วนลูปนี่

ใช่แล้ว วนลูป และมนุษยชาติก็อยู่ในลูปแบบนี้มาไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปีแล้ว

คนที่ชื่นชอบการชมวิวอย่างเรา ก็จะขอใช้คำว่า มันเป็นความสุขในการเฝ้าดูละกัน

ไม่เก็ตใช่ไหม แน่นอน ไม่แปลกใจ 555555

เอาแค่คนที่มีลูกเหมือนกัน แต่ลูกยังเล็กๆ วัยป้อนนม ก็จะไม่มีทางเก็ตหรอกว่าพอลูกโตจนเดินเองได้พูดได้จะเป็นยังไง

หรือคนที่มีลูกโตเดินเองได้และพูดได้ ก็นึกไม่ออกหรอกว่าเวลาเด็กมันเข้าโรงเรียนแล้วจะยุ่งยากวุ่นวายหรือมีอะไรสนุกตื่นเต้นขนาดไหน

หรือแม้แต่คนที่มีลูกโตขึ้นมาแล้ว แต่มี 1 คนก็จะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าพอมีอีกคนปุ๊บ ชีวิตของลูกและเรา จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง

ทั้งหมดมันเป็นเรื่องการสัมผัสประสบการณ์ของชีวิต ซึ่งแต่ละคนมีลู่วิ่งเป็นของตัวเอง คุณจะขึ้นหรือไม่ขึ้นบันไดก็ได้ และเอาจริงอย่างที่บอกว่าคุณจะเลือกเดินสู่สเต็ปถัดไปหรือไม่ก็ได้ การขึ้นบันไดมันก็ไม่ได้มีเส้นเดียว ไม่งั้นน่าเบื่อแย่

ที่นี้มาสู่คำถามสำคัญว่า มีลูกแล้วคุ้มไหม

ขอใช้คำว่า “คุ้ม” เป็นคำถามทางเศรษฐศาสตร์เลย แบบไม่ต้องโรแมนติก

สำหรับเรา ซึ่งให้คำตอบแทนใครไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดต่างกันไป อันนี้ไม่ต้องพูดเยอะนะ มันเป็นสิ่งที่คนโตๆ จะเข้าใจกันปกติ

ซึ่งคำตอบของเราคือคุ้ม

ถามอีกทีก็บอกว่าคุ้ม ไม่ได้ชักจูงให้ใครคิดตาม แต่กูคุ้ม จะให้กูพูดใช่ไหม นี่ไง ฟังกูดิ กูบอกว่าคุ้ม

ไม่ใช่แค่เรื่องเงินทอง (ที่ถ้ามองแบบนี้ไม่คุ้มแน่ กินเปลืองบัดซบ) แต่มันก็ยังคุ้ม แม้ต้องแลกอิสระในการใช้ชีวิตของเราและเมีย

แลกแบบแลกเยอะมากเลยนะ เคยมีไลฟ์สไตล์ยังไงตอนวัยรุ่น พอมีลูกปั๊บ มันเปลี่ยนเลย เปลี่ยนไปตลอดกาลด้วย ไม่ใช่แป๊บๆ

บางครั้งก็คิดถึงการได้ออกไปเดินทางท่องเที่ยวง่ายๆ คล่องตัว เมียอยากไปสวิส ไปญี่ปุ่น ฯลฯ แต่พอมีภาระอยู่ที่บ้านปั๊บ มันไปไม่ได้แล้วไงล่ะ ถ้าไปปุ๊บ ภาระแม่งนอนจมกองขี้อยู่บ้านแน่ๆ …ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่เกิดก็ได้กับหลายครอบครัวที่มีคนช่วยดูแลลูก

เห็นไหมว่าเหตุปัจจัยในแต่ละบ้านไม่เหมือนกันจริงๆ

ซึ่งเราเข้าใจมากๆ อิสระเสรีภาพในการใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่มีมูลค่าในทางเศรษฐศาสตร์สูงที่สุดแล้ว บางคนไม่อยากแลก ตรงนี้ก็ควรเข้าใจเขา ไม่ใช่ไปล็อบบี้กดดันกัน

แต่แลกมาขนาดนั้น แล้วอะไรล่ะที่เรียกว่าคุ้ม

ตอนนี้ลูกเราคนโตคือ 10 ขวบ อยู่ ป.5 ฮอร์โมนวัยรุ่นกำลังมา สิวเริ่มขึ้น เพื่อนในห้องเริ่มมีเมนส์ ส่วนคนเล็ก 7 ขวบ อยู่ ป.2 กำลังสนุกกับการได้ไปเรียน on-site และเล่นตามประสาเด็กกับเพื่อนๆ

นี่คือบันไดชีวิตขั้นที่เรายืนอยู่

เราไม่ได้โรแมนติกอะไร ปัญหาชีวิตก็มีสารพัดอย่างที่น่าจะมี แถมยังไปในอนาคตไม่ได้ บันไดขั้นที่สูงกว่านี้เหรอ ไม่เห็นและไม่มีทางรู้หรอก นึกไม่ออกจริงๆ ว่าลูกเราโตไปจะโอเคไหม เด็กมันจะรอดไหม จะเข้า ม.1 โรงเรียนไหน เพื่อนจะบูลลี่หรือไปบูลลี่เพื่อนไหม และจะต้องเติบโตในสังคมที่ไม่รู้จะเหี้ยต่อไปอีกนานไหม

เนี่ย วิวตอนนี้

แต่พอมองย้อนลงไปยังขั้นที่เราก้าวผ่านมา ความคิดของเรา ณ ตอนนี้ก็ยังมั่นใจ

เราแฮปปี้กับการเฝ้ารอดูการเติบโตของชีวิตเล็กๆ ที่เกิดขึ้น
มันลุ้น เหมือนปลูกต้นไม้… (มึงเปรียบเทียบเห็นภาพยากกว่าเลี้ยงหมาอีก)

เอางี้ก็ได้ มันเหมือนเราได้เล่นเกมที่ไม่มีวันจบ แต่ละวันก็ค่อยๆ เก็บเวลไป ได้ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น ตีบอสตัวใหม่ๆ ที่ขยันอัปแพตช์ อีห่า แค่บอสโควิดนี่กูกระอักเลือดจริง แทบไม่เงินให้เติมแล้ว มีเควสต์ใหญ่เควสต์ย่อยเกิดขึ้นให้ฝ่าฟันไป เจอบั๊กนิดหน่อย มีปัญหาเกิดขึ้นมากบ้างน้อยบ้าง

แลกมากับ reward ที่พอแทนค่ากลับแล้ว มันคือรางวัลของชีวิต ไม่ใช่แค่ชีวิตเรา

แต่เป็นชีวิตของลูกเองด้วย

เป็นความรู้สึกว่าการอยู่ในสังคมนี้มันยังพอไหว ไม่ได้โหดร้ายบัดซบต่อชีวิตจนไม่อยากอยู่ต่อ แต่เอาวะ แก้ปัญหานี้ได้ก็สนุกดีว่ะ … งั้นกูแตกงอกใหม่เป็นถือไพ่อีกมือเลยละกัน แล้วส่งต่อสิ่งที่เรามี ไปให้ชีวิตใหม่ แล้วเฝ้าดู

มันคุ้มนะ กับการที่ได้เห็นความงอกงาม และงดงามของชีวิตเล็กๆ ที่บัดนี้โตจนไม่ต้องล้างตูดให้แล้ว

แต่เปลี่ยนเป็นทุกวันกลับมาบ้าน สวัสดีค่ะ เออ ไปเลย ไปอาบน้ำก่อน ถุงเท้าถอดยัง ไปล้างมือ ทำการบ้านก่อน อย่าเพิ่งเล่นเกม กินข้าวอะไรดีเย็นนี้ หยิบมือถือแม่ให้หน่อย อย่าแกล้งน้อง เออสึกมายากลตอนใหม่มาแล้วนะ อย่าเพิ่งกวนพ่อทำงานอยู่ แล้วเพื่อนหนูว่าไง เฮ้ยดึกแล้วไปนอน แปรงฟันสะอาดไหมเนี่ย ใครทิ้งผ้าเช็ดตัวไว้ พรุ่งนี้งดโควตาเล่นเกม 10 นาทีนะ เออตกลงโรบินนี่มีพลังอะไรนะ เฮ้ยหัวเหม็นมาก อย่าแกล้งมารุ! กินน้ำส้มไหม ใครตด!! ฯลฯ

จนจบแต่ละคืนด้วยการเล่านิทานก่อนนอนส่งเดช ให้หลับไป

ง่ายๆ แบบนี้นี่แหละ ชีวิตที่บันไดขั้นนี้

วิวโคตรแจ่มเลยน้องงง

ภาพจาก คือปะป๊าครองพิภพ สนพ.แซลมอน ที่ลูกเอาไปอ่านจนทำเปียกบวมขาดเละ
คอมเมนต์

อำนาจในร่างทรง

ก่อนอื่น

  • สปอยล์แน่นอนครับ
  • ถ้ารู้จักกัน จะรู้ว่าหนังเรื่องไหนที่ทำให้เสียงของผู้ชมแตกเป็นสองฝั่ง เราเนี่ยจะชอบนัก คืออยากไปดูว่า แทนที่เขาจะทำให้เป็นหนังที่ทุกคนรัก (แบบดิสนีย์) แต่กลับตั้งใจเลือกเดินเลี้ยวออกจากเซฟโซน ไปเป็นทางที่เสี่ยงแทน แล้วเราล่ะ จะอยู่ฝ่ายที่ชอบหรือเกลียดผลของการตัดสินใจนั้น
  • ปรากฏว่าเราเป็นฝ่ายชอบมากจนไปดูเป็นรอบที่สอง ด้วยเหตุผลคือ :
    1. เพื่อเคลียร์ข้อสงสัยบางอย่างในสองนาทีสุดท้ายของหนัง ที่ฮุกเราอย่างแรง จนถลกหนังทั้งเรื่องที่ผ่านมาให้กลายเป็นอีกโทนไปเลย คือมึงออกแบบวิธีการมาแบบนี้เพื่อตั้งใจล่อให้เราไปตามเก็บอีกทีด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปใช่ไหม …ได้จ้า
    2. เพื่อหาเหตุผลมาหักล้างให้กับบางฉากที่เราไม่ชอบ (ชาวเน็ตหลายท่านก็บ่นคล้ายกัน) พอมีคนพูดถึงเรื่องทางแยกของคนทำหนัง ก็เลยสนใจ ดูจบและออกจากโรงมาด้วยความเคลียร์ ปลอดโปร่ง
    3. เพื่อเก็บรายละเอียด สัญลักษณ์บางอย่าง ที่ไม่แน่ใจว่าหนังใส่มาอย่างจงใจ หรือเราคิดไปเอง ซึ่งบล็อกนี้จะว่าด้วยเรื่องนี้ล้วนๆ
  • ขอออกตัวว่านี่ไม่ใช่ความเห็นจากปากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้จะอวยหนัง (ถ้าอวยนางเอกล่ะใช่) อ้อ ถ้าว่าด้วยเรื่องชอบไม่ชอบนี่ เราเคยอวยตอนดูครั้งแรกไปแล้ว ดังนั้น คราวนี้จะขอเขียนถึงเฉพาะ “เศษขนมปัง” ที่หนังตั้งใจหรือไม่ตั้งใจไม่รู้ แต่พี่โปรยมาเกลื่อนตลอดทาง เนี่ยว่าจะระบายตั้งแต่ตอนออกมาจากโรง แต่ไม่ว่างสักที จนราจะขึ้นแล้ว ถ้าอ่านไม่ปะติดปะต่อก็ขออภัย

เริ่มเลยนะ

1. ศาสนาผี

หนังเริ่มฉากแรกด้วยการบอกว่า คนไทยนับถือผีกันมาแต่โบราณ

เรารู้กันดีเนอะว่าภาษาคือตัวบ่งบอกถึงวัฒนธรรม เลยอยากให้สังเกตคำว่า “นับถือ” ครับ คำนี้เป็นคำที่แสดงลำดับชั้นอย่างชัดเจน เป็นหลักฐานว่าเราอยู่ในวัฒนธรรมอำนาจ ผ่านการมีอยู่ดาษดื่นของคำคำนี้นี่แหละ หันไปทางไหนก็เจอกติกาการปลูกฝังให้นับถือนั่น ไหว้นี่ กราบโน่น หมอบนู่น

พอมีหนังที่เป็นตัวแทนฉายภาพสังคมไทยในรูปแบบหนึ่งขึ้นมา ให้เห็นว่าเราเป็นแบบนี้ ถูกหล่อหลอมกระบวนการคิดด้วยลำดับชั้นแบบนี้ อยู่ภายใต้ระบบจารีตประเพณีที่แสดงออกถึงความไม่เท่ากันของคนแบบนี้ มาตั้งแต่โบราณ ในขณะที่คอนเซปต์ “คนเท่ากัน” ก็เพิ่งมีมาแค่ไม่กี่สิบปีนี้เอง จนแม้กระทั่งนาทีที่พิมพ์อยู่นี่ ก็เพิ่งมีผลการตัดสินคดีความที่ยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่าสิ่งที่เรียกร้องกันมาน่ะ มันเป็นแค่ฝุ่นผง ไม่สิ ยิ่งกว่าฝุ่นผงซะอีก แม้กระทั่งจะคุยกับฝุ่น ฝุ่นยังไม่ให้คุย

กลับมาๆๆๆ…

// ถ้าอ่านอะไรแบบนี้มาเยอะจนเบื่อแล้ว ก็ผ่านย่อหน้านี้ไปได้เลยครับ //
ไม่ใช่แค่ในหนัง แต่ในโลกแห่งความจริง จนถึงวันนี้เราก็ยังนับถือผีกันเป็นหลัก แต่มาในนามของศาสนาพุทธครับ อยากให้ลองจินตนาการ โดยถอดข้อมูลที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ออกไปแป๊บนึง ก็จะพบว่าทุกวันนี้ แม้แต่พระ(พุทธรูป)ที่เราไหว้นั้น นอกจากจะเป็นสิ่งแปลกปลอมที่พระพุทธองค์ไม่เคยเห็น ไม่รู้จัก และไม่คิดมาก่อนว่าวันนึง คนจากประเทศที่บอกว่าตัวเองเป็นเมืองพุทธ จะจริงจังกับการไหว้รูปเคารพกันขนาดนี้

ลองนึกตามช้าๆ นะครับ เวลาเราไหว้พระเนี่ย เอาจริงแล้วเราตั้งใจระลึกถึงอะไร คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า? สุวิสุทธสันดานแบบเพียวๆ เหรอ? ก็ไม่… แต่ความจริง เราๆ ดันไปคิดว่ารูปปั้นรูปหล่อพระเหลืองๆ ตรงหน้าเนี่ย มันคือ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ครับ เราได้รับการปลูกถ่ายจินตนาการฝังหัวลงไปว่าสิ่งนั้น นั่นคือหลวงพ่อซัมติง หรือถ้าหนักหน่อย(แต่แมสมาก) …นั่นคือวิญญาณของพระพุทธเจ้า ที่มาอาศัยอยู่ในภาชนะสีทองอร่ามตรงหน้า (ซึ่งตัวจริงนิพพานไปแล้ว) ไหนจะการบูชากราบไหว้ศาลเจ้า ศาลพระภูมิ ต้นไม้ จอมปลวก วิญญาณบรรพบุรุษ วิญญาณบรรพชน วิญญาณบูรพกษัตริย์ เทพทั้งหลายตามที่แยกราชประสงค์ ที่ทั้งหลายทั้งปวงแสดงให้เห็นว่าความเชื่อนี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเรื่องของคนต่างจังหวัดบ้านนอกคอกนาขี่ช้างเลี้ยงควายเท่านั้น แต่ชาวกรุงอยู่คอนโดขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานและใช้ไอโฟนโปรแม็กซ์เอง ก็ยังมีความเชื่อนี้ฝังหัวอยู่ไม่ต่างกัน

นี่แหละครับ ลัทธิบูชาผี

ไม่ต้องเขินอะไร เพราะเราก็นับถือกันมาแบบนี้แต่ไหนแต่ไรจริงๆ เป็นผีในนามของศาสนาพุทธเวอร์ชันไทยแบบออฟิเชียลเลยด้วย …ซึ่งในหนังร่างทรง กลับจงใจที่จะไม่พูดเรื่องศาสนาพุทธเลยนะ แต่กลับว่าด้วยศาสนาผี คือเอากันตรงๆ เลย เรามาคุยเรื่องสังคมแห่งการบูชาผีกัน

หนังแสดงให้เห็นภาพแทนจากชุมชนแห่งหนึ่งในอีสาน สมมติให้เป็นเมืองจำลองสักแห่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ท่ามกลางหุบเขาและม่านหมอก โดยเปิดมาก็ปูพื้นเลยว่าชาวบ้านที่นี่เชื่อและศรัทธาผีแบบยำรวมกับศาสนาอื่นๆ มีทั้งศาลเจ้าที่ ศาลเพียงตา โบสถ์คริสต์ ปลัดขิก แขวนเสื้อแดง ฯลฯ โดยไม่ได้กีดกันคนที่นับถือความเชื่อรูปแบบอื่นๆ เรายังเห็นพระสงฆ์เดินในโรงพยาบาล เห็นภาพวัดพุทธนิกายต่างๆ หรือศาสนจักรอื่นๆ หรือแม้แต่โหมดบูชาผี เราก็เห็นคนทรงเจ้าหลากหลายสไตล์ ทั้งมีสำนัก และแบบที่รวมทีมอเวนเจอร์สในงานคนทรงเฟสติวัล

โดยทุกคนในชุมชนไม่ว่าจะอยู่มานานหรือย้ายเข้ามา (ยะสันเทียะ เป็นนามสกุลถิ่นโคราช ก็คงจะแต่งเข้ามากับเจ้าสาวที่นี่) ก็อาศัยร่มบุญญาบารมีของผีย่าบาหยันในการปกปักรักษา ว่าเป็นผีที่มีคลาสสำหรับชาวบ้านอยู่ไม่น้อย สังเกตว่าเราจะเห็นรูปเคารพของย่าบาหยันอยู่ในถ้ำบนภูเขาสูง กว่าจะได้ใกล้ชิดคือต้องปีนป่ายขึ้นไป เฟรมภาพในหนังเป็นภาพมุมเงยเสมอเวลาตัวละครมองรูปปั้นย่า

และสถานที่จริงที่ใช้ถ่ายทำในฉากนั้นเป็นโถงถ้ำตามธรรมชาติที่ชื่อว่า ท้องพระโรง

ในขณะที่การเปิดตัวตัวละครที่เป็นคน ก็เปิดมาเฉยๆ เลย ไม่ได้มีพิธีอะไร (ตัวละครมีบทไปสักพักแล้วค่อยมาขึ้นไตเติลแนะนำตัวตอนสัมภาษณ์) นั่นแสดงให้เห็นไปเลยว่าใครใหญ่กว่ากัน

เช่นเดียวกับพฤติกรรมของตากล้อง (ที่คนดูไม่ชอบเท่าไหร่) เปิดมาตอนแรกดูเอาอยู่เนอะ แต่อยู่ๆ ไปก็ตัวหดลงเรื่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่งจากมือโปรดักชันชาวกรุงตอนต้นเรื่อง พอกลางๆ เรื่อง เจอพลังของผี ก็ค่อยๆ ตัวหดเล็กลง แถมเปลี่ยนสภาพตัวเองกลายเป็นหนึ่งในชาวบ้าน สยบต่ออำนาจไปแล้วตั้งแต่เชื่อว่าผีมีจริง

และเช่นเดียวกับมิ้ง

2. ระบบที่เจือจาง

การออกแบบชุมชนอีสานในเรื่อง ต่างจากภาพจำของภาคอีสานในหนังหรือละครอื่นๆ ที่เราคุ้นตาจากภาพผลิตซ้ำว่าช่างร้อนแล้ง แช่แข็ง มีแต่ที่ราบ ทุ่งนาเขียวสุดลูกหูลูกตา มีชาวบ้านยิ้มเกรียมแดดนั่งจกข้าวเหนียวปลาร้าในเถียงนาข้างๆ ควายคู่ใจ

คือบรรยากาศที่ว่านี่ก็มีอยู่ แต่หนังเลือกใช้บรรยากาศอีกธีมหนึ่งที่ดูมีความเป็นชุมชนขึ้นมาหน่อย เลยดูร่วมสมัย เป็นปัจจุบันจริงๆ ถึงจะเป็นหมู่บ้านห่างไกล แต่ก็ยังมีเสาสัญญาณ 5G ได้ บ้านช่อง ตลาดเทศบาล ถนนหนทาง การโดยสารคมนาคมสาธารณะ ไลฟ์สไตล์แบบที่เป็นต่างจังหวัดจริงๆ (รวมถึงการพูดสำเนียงภาคกลางของเหล่าวัยรุ่น หรือแม้แต่ป้านิ่มเองที่พูดกลางได้กลางเป๊ะ ไม่มีกลิ่นอีสานติดจมูก นั่นก็ใช่) อันนี้เป็นเซ็ตติ้งของหนังที่บอกว่านี่เราอยู่ในยุคปัจจุบันนะ เราจึงได้เห็นความใหม่และเก่าของต่างจังหวัดที่ผสมปนเปกัน แบบเดียวกับที่เขียนไปแล้วเรื่องการผสมผสานความเชื่อต่างๆ

ส่วนระบบระเบียบต่างๆ ก็ดำเนินตามทางของมันไปในอีกเลน โดยที่หนังแสดงให้เห็นว่ามี แต่ไม่ได้ไปแตะต้องนัก เราจึงได้เห็นหลายฉากที่แสดงว่ากลไกทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชนยังทำงานได้ตามปกติ แต่เป็นเพียงพื้นหลัง เห็นสถานีตำรวจ (มีกลไกของกระบวนการยุติธรรม รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกหลายฉากอยู่นะ แค่ไม่มีบทพูด) เห็นศูนย์จัดหางาน เห็นหน่วยกู้ภัย เห็นวัด (ทั้งพระทั้งบาทหลวงเดินผ่านกล้องอยู่ไม่น้อย) เห็นโรงพยาบาล ที่มีทั้งห้องพิเศษ (สำหรับน้องมิ้งที่บ้านดูไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน) ห้องรวมแบบที่ไปนอนเตียงรวมตรงโถงทางเดิน และห้องจ่ายยา

หนังเรื่องนี้มีฉากโรงพยาบาลบ่อยนะ ไม่แน่ใจว่าผู้สร้างตั้งใจจะทำให้เราเห็นหรือเปล่าว่าชาวบ้านที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าจะงมงายจนปฏิเสธการมีอยู่ของระบบการแพทย์สมัยใหม่ ยิ่งบทพูดของตัวละครก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เอาจริงๆ ระบบก็ยังดำเนินต่อไปได้อยู่ตามปกติ (ถ้าเป็นมะเร็งก็ให้ไปหาหมอ) แต่ถ้าอะไรที่อยู่นอกระบบ (โดนผีทำ) ให้มาหาเรา แล้วจะช่วยปัดเป่าให้

นั่นคือระบบปกติน่ะมี ดูผ่านๆ ชุมชนนี้ก็ทันสมัยเหมือนสากลโลก

แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังแอบมีอีกเลเยอร์ของระบอบ เอ๊ยระบบ ที่ทาบซ้อนอยู่อีกที

มีคนดูแล้วสงสัยว่าเอ๊ะ นี่อาการที่มิ้งเป็นมันอาจเป็นโรคทางจิตเวชก็ได้ ทำไมไม่พาไปหาหมอ (ด้วยเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่รักษาอาการบาดเจ็บจากการพยายามฆ่าตัวตาย หรือซีดเพราะหายไปจากบ้านนานๆ) เราเลยได้รู้ว่าพอจวนตัวเมื่อไหร่ แทนที่ตัวละคนจะเลือกทำตามระบบที่มีอยู่แล้ว (โรงพยาบาล, ตำรวจ) แต่กลับเลือกพึ่งพาอำนาจนอกระบบแทน

3. อำนาจ 2 แบบ

ตลอดทั้งเรื่อง เราจะเห็นการปะทะกันระหว่างอำนาจ 2 แบบ

แบบแรกคือ Soft Power ที่กำลังเป็นคำฮิตในช่วงนี้ หันไปทางไหนก็ได้ยิน มันเป็นอำนาจที่มองไม่เห็น แต่มีพลังบังคับให้คนทำตามที่ต้องการอย่างได้ผล โดยไม่ต้องใช้ตำรวจทหาร หรือคำสั่งศาลใดๆ

Soft Power ที่ทรงอำนาจที่สุดตั้งแต่โบราณก็คือศาสนา ถ้าตัดเรื่องสเกลระดับโลกออกไป ย่อเหลือแค่ในหนัง เราได้เห็นการทำงานของศาสนาผีในครั้งแรกตอนเปิดเรื่องเลย ไล่มาตั้งแต่ฉากงานศพ ฉากป้านิ่ม ฉากงานแห่ดาว ฯลฯ ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีใครบังคับใครให้ทำอะไรเลย แต่ทุกคนปฏิบัติเป็นปกติในวิถีชีวิตอย่างว่านอนสอนง่าย ไม่รวมเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาอีก เช่นระบบราชการที่ปรากฏในตอนต้น

แสดงให้เห็นภาพจำลองของสังคมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีอำนาจบางอย่างที่ถูกเซ็ตระบบไว้ และดำเนินต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมทัศนคติ กระบวนการคิด วิถีชีวิตทุกอย่างของประชาชนให้ดำเนินตามอย่างสงบ ว่าง่าย และไม่มีข้อสงสัยอะไร

กับอีกแบบนึงคือ Hard Power ที่ไม่ได้ซับซ้อนเลย แค่แสดงออกอย่างแข็งกร้าว จนเห็นแต่ไกลก็รู้แล้วว่าคือการใช้กำลังเพื่อเอาชนะ มีฝ่ายนึงเป็นผู้บังคับ และอีกฝ่ายที่ยอมศิโรราบก็ถูกจูงให้ทำตามสั่ง ไม่ว่าจะด้วยอาวุธหรือกฎหมาย เราได้เห็นอำนาจนี้โผล่มาตลอดเรื่อง ตั้งแต่การเผาตึก จูงหมา (หรือทำอย่างอื่นกับหมา) จูงควาย (หรือทำอย่างอื่นกับควาย) การกักขังมิ้งที่เป็นภาชนะของผี(อำนาจฝ่ายตรงข้าม)ไว้ในห้อง ตลอดจนการกระทำในช่วงท้ายของหนังที่ชัดเจนที่สุด

ช่วงแรกของหนังยังซอฟต์ๆ เรื่อยๆ พอดำเนินไปกลางทาง เราจะเห็นการเปลี่ยนโหมดของอำนาจที่ ค่อยๆ คืบคลาน แผ่ขยายอาณาเขตของมันมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนในที่สุดก็ระเบิดออกมาจนราพณาสูร

พอทุกอย่างพังทลายลง หนังจึงค่อยเฉลยให้เห็นสาเหตุว่าที่แท้ การมีอยู่ของตระกูลที่รับพลังจากย่าบาหยัน ไม่ได้เป็นต้นตอของความพินาศสักหน่อย แต่เป็นบรรพบุรุษฝั่งพ่อมิ้งต่างหาก ที่ถูกพลังสาปแช่งและสารพัดผีร้ายมากระทำ ถึงจะเรียกพวกมาสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ใช่ว่าจะได้ผล เพราะพลังสาปแช่งและสัมภเวสี เจ้ากรรมนายเวรนั้นโหดกว่ามาก

ที่เด็ดกว่านั้นคือตอนจบจริงๆ หนังก็พาย้อนเวลากลับไปคุยกับป้านิ่ม พอป้าพูดจบปั๊บ เกมพลิก แล้วดันตัดจบ ขึ้นชื่อผู้กำกับและเครดิตทีมงานทันที เป็นสองนาทีสุดท้ายอันโคตรทรงพลัง ดูแล้วเย็ดเข้ๆๆๆ กูต้องมาซ้ำใช่ไหมเนี่ย

ผมมาทราบตอนอ่านความเห็นชาวเน็ตจำนวนมากที่อุทานเหมือนกัน แต่อุทานว่าอ้าว จบแล้วเหรอ แต่นั่นแหละที่เป็นความต้องการของผู้กำกับที่อยากให้ดูจบแล้วมาเถียงกัน เห็นว่าต่อยกันก็มี …เนี่ยทั้ง soft ทั้ง hard เลย

ถึง Soft Power นี้จะแสนดูดี เป็นมิตร ฉาบหน้าด้วยรอยยิ้มและทำเพื่อประชาชนมาตลอด แต่พอมาเฉลยว่าอำนาจที่เราเชื่อถือกันมานมนานนั้นที่แท้คือความกลวงเปล่า ทีนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว การเสียชีวิตของป้านิ่มที่เหมือนรถยนต์ที่เครื่องยนต์ข้างในพังไปแล้วตลอดกาล จึงเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณ

4. การทำงานของอำนาจ

หนังเรื่องนี้ต้องดูในโรงจริงๆ เพราะตอนอยู่บ้าน เราเดินไปฉี่ ไปเปิดตู้เย็น หรือนั่งขี้ระหว่างดู หรือตอนรอหนังเริ่มได้ แต่ในโรงหนัง เราทำแบบนั้นไม่ได้

เรายินดีจ่ายเงินเข้าไปเพื่อเสพความหฤหรรษ์ เสพความทรมานบันเทิงที่หนังประเคนให้ แต่ระหว่างนั้น เราจำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาของโรงหนัง ให้มันกดเราไว้กับเก้าอี้ และกำหนดว่าถ้านั่งลงแล้ว ก่อนหนังเริ่ม มึงจะต้องทนดูโฆษณา! ทั้งสินค้าของผู้สนับสนุน โฆษณาหนังเรื่องอื่น และโฆษณาเรื่องอื่นๆ…

ตั้งแต่หนังยังไม่ฉายด้วยซ้ำ แต่จังหวะนี้แหละ ที่แกนหลักของหนังได้เริ่มต้นทำงานแล้ว

ช่วงที่มีเพลงขึ้น เราจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบข้างที่มีความกระอักกระอ่วนใจบางอย่าง แว้บนึง แว้บเดียวจริงๆ ไม่เกินสองสามนาที ซึ่งถ้าเป็นโรงในกรุงเทพฯ (รอบแรกที่ดู) ก็จะสบายใจหน่อยตรงที่แทบทุกคนต่างนั่งกันเงียบๆ รู้สึกปลอดภัย ไม่มีใครมาทำอะไรใครแบบที่หลายปีก่อนเคยมีคนโดน หนักมากหนักน้อยก็แล้วแต่ แต่ก็โดนในแบบที่ไม่สมควรจะโดน มันเป็นสิทธิแบบที่ พ.ศ.นี้ไม่ต้องมาถกกันอีกแล้ว (ถึงจะหลายปีก่อนก็ไม่ควรถกปะล่ะ)

แต่โรงต่างจังหวัดนั้นต่างกันออกไป ช่วงที่มีข้อความเชิญชวนปรากฏขึ้นมาบนจอ ความเอ๊อะอ๊ะ ตัดสินใจว่าจะเอาไงดี มันจะเข้มข้นกว่าในเมืองใหญ่ เหมือนเป็นการช่วงชิงจังหวะ หยั่งพลังดูก่อนว่าเก้าอี้ใกล้ๆ จะยืนหรือนั่ง ถ้าไม่ยืนแล้วจะโดนอะไรแบบที่เคยมีคนโดนไหม เอ๊ะ

ไม่เกี่ยวกับหนังเลยใช่ไหม? เกี่ยวสิครับ

“ความไม่ไว้วางใจในบรรยากาศ” ที่มิ้งเจออยู่ตลอดเวลาในช่วงต้นเรื่อง มันคือแบบนี้เป๊ะเลย สิ่งที่มิ้งสงสัยมาตั้งแต่ทีมสารคดีจะเข้าไปถ่ายทำ คือตกลงกูเห็นหรือเปล่าวะ พี่เห็นเหมือนที่หนูเห็นไหม ตกลงแล้วที่ที่เราใช้ชีวิตอยู่เนี่ยมันปลอดภัยจริงไหม

ยิ่งพื้นหลังเป็นฉากในพื้นที่ที่ชาวบ้านมีชุดความเชื่อฝังหัวแบบหนึ่งอย่างแข็งแรงแล้วด้วย การเป็นคนอย่างมิ้ง ซึ่งก็คือวัยรุ่นสมัยใหม่ธรรมดาๆ ที่เราพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งออกตัวแรงว่าไม่เชื่อ เพ้อเจ้อ ไร้สาระ แถมมีไลฟ์สไตล์ที่เหมือนวัยรุ่นสก๊อยหัวสมัยใหม่หน่อยๆ จึงดูห่างไกลจากความเป็นเด็กดีในโอวาทของพ่อแม่ กลายเป็นขบถไป (แต่ก็อยู่กันได้นะ)

พออาการโดนของแสดงออกมาชัด จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่รู้จะถอยยังไง มันติดขัดอัดอึดไปหมด และรู้ด้วยว่าถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปกูตายแน่ๆ

เหมือนแมลงเม่าปีกเปียกที่ขยับตัวไม่ได้และรอการช่วยเหลือ ไม่ก็รอวันตายบนโต๊ะสเตนเลสนั่นไง

5. การส่งผ่านอำนาจ

นอกจากเรื่องภาระการแบกทุกอย่างที่ตกอยู่แต่ในเพศหญิง (ที่มีคนพูดไปเยอะแล้ว) หัวข้อนี้จะพูดแค่เรื่องการส่งต่อทางสายเลือดครับ

อย่างที่บอกว่านี่เป็นการเซ็ตระบบไว้เป็นอย่างดีมาแต่โบราณ ให้มีเพียงตระกูลเดียวที่กุมฐานันดร รวมถึงความจริง(?)ของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไว้ มีการส่งต่ออำนาจนี้ทางสายเลือด ได้รับบทบาทให้เป็นตัวแทน เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน

ในขณะที่เราๆ เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา แต่เดือดร้อนเมื่อไหร่ค่อยมาขอพึ่งบารมี

ที่น่าสนใจคือ ยังอุตส่าห์มีคนในตระกูลที่ไม่แฮปปี้กับการสืบทอดฐานันดรที่ว่าด้วยล่ะ

แม่น้อย แกเลือกตัดช่องน้อย พาตัวเองออกไปจากระบบ ด้วยการย้ายไปนับถือศาสนาคริสต์ (อาจเปรียบได้กับการแต่งงานกับคนต่างชาติเพื่อปลดตัวเองออกจากฐานันดร) แต่ถึงกระนั้น สุดท้ายก็ต้องกลับมาพัวพันกับช่วงเปลี่ยนผ่านอยู่ดี อาจเป็นเพราะสายเลือดของตระกูลที่เจ้มจ้นจัด จนเลี่ยงความจริงไม่ได้ว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในกงเกวียนนี้ ถึงจะออกไปแล้ว แต่พริวิลเลจบางอย่างก็ยังคงอยู่ …และยินดีจะใช้ประโยชน์จากมัน

และที่น่าสนใจไปกว่านั้นอีกคือ ถ้าหากมีการสมสู่ผิดผีกันในหมู่วงศาคณาญาติ (อย่างมิ้งและแมค) แล้วดั๊น มีทายาทถือกำเนิดออกมาจริงๆ ล่ะ คนที่มาสืบต่อจะได้ตำแหน่งร่างทรงในเจนถัดไปด้วยไหม? อันนี้คิดไปเองว่าลุงมานิตที่ภาพลักษณ์และพฤติกรรมที่ส่อไปในทางหื่นกามอยู่ แกอาจจะเคยไปไข่ทิ้งข้างแจกไว้ที่ไหนมาเยอะแยะก็ได้ ยิ่งจากฉากมิ้งแปลงร่าง ยิ่งทำให้เกิดคำถามใหม่ตามมาว่า อีลุงมึงเคยทำอะไรน้องด้วยหรือเปล่า

เป็นถึงตระกูลที่มีเกียรติแบบนี้ แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความฉาวโฉ่…

ในขณะที่ตระกูลฝ่ายแม่มีเชื้อมีมูลเป็นตระกูลซูเปอร์ฮีโร่ ผู้คนนับหน้าถือตา แต่ตระกูลฝ่ายพ่อกลับตรงกันข้าม คือมีอดีตเป็นจอมโหด เคยประหัตประหารคนอื่นจนเลือดนองพื้น อันปรากฏในความฝันของมิ้ง รวมถึงการเผาโรงงานอันเป็นต้นเหตุให้ทุกอย่างพินาศ

ตะปูที่ปักลงในตุ๊กตาสาปแช่งในตอนจบนั้น เมนชันถึง “ยะสันเทียะ” แบบตรงๆ เลย ทำให้เห็นว่าระบบการสืบต่อพลัง(มืด)ที่เข้มแข็งรุนแรง มันก็ผูกเข้ากับสายเลือดอีกที

ถ้าในอดีต ตระกูลของคุณเคยไปทำเวรกรรมอะไรเอาไว้จนสร้างความโกรธแค้น อยากให้รู้ว่าพลังของคำสาปแช่งจากความอาฆาตพยาบาทนั้นมีอยู่จริง และแรงจริง พยายามแก้เคล็ดอย่างไรก็สู้ไม่ไหวอยู่ดี ถึงจะออกดอกออกผลช้าหน่อย แต่ก็มาแน่ คอยดู (ขึ้นทำไมเนี่ยกู)

อ้อ ถ้ามีภาค What if? เราอาจได้เห็นป้านิ่มรีบจูงมือพามิ้งไปอำเภอเพื่อเปลี่ยนนามสกุลก็ได้นะ เผื่อจะรอด

6. ด้านมืดของอำนาจ

หนังแสดงความสยองขวัญให้เห็นทั้งภาคกลางวันและกลางคืน นี่จึงไม่ใช่หนังผีที่ตอนกลางวันเราจะรู้สึกโล่งใจว่าเป็นช่วงพักผ่อน แต่ก็ยังคงความอึดอัดไว้ไม่น้อย แถมพอตกกลางคืนนี่แหละยิ่งนรกแตกเข้าไปใหญ่ พี่จะไม่ให้ผมพักหายใจหายคอเลยใช่ไหม

ขี้เกียจเรียงย่อหน้าละ ลิสต์หัวข้อเกี่ยวกับความดาร์กเท่าที่นึกออกตามนี้ละกันนะ

6.0 การแอบถ่าย

ตากล้องสารคดีเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากรู้อยากเห็น พูดง่ายๆ ว่าเสือก แต่เป็นการเสือกที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจ สารคดีเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ที่เราต้องซุ่มดูสิงโตกินควายป่าอย่างเงียบๆ ห้ามขยับตัวหรือเข้าไปขัดขวาง ถึงแม้ทีมงานจะเผลอทำผิดผีด้วยการโดดเข้าไปช่วยซับเจกต์ (ฉากที่มิ้งเมนส์ทะลักรัวๆ ในสำนักงาน หรือฉากอื่นๆ หลังจากเหตุการณ์มันลุกลาม) แต่ดูรู้เลยว่าในใจมันต้องมีบ้างแหละที่รู้สึกว่าไอ้เหี้ย มีฉากเด็ดมากในสารคดีกู ยิ่งเจอการหักเลี้ยวมากเท่าไหร่ นั่นแหละเป็นว้าวแฟกเตอร์อย่างแรง การได้เห็นซับเจกต์ทำอะไรโหดๆ คอขาดบาดตายได้ยิ่งเหมือนได้รางวัล

ถ้าคิดแทนตากล้องพวกนี้ ผลงานที่ได้มันก็จะพอลบล้างการผิดจรรยาบรรณไปได้แหละมั้ง แอบถ่ายห้องน้ำหญิงแม่ง แอบติดกล้องในบ้านแม่ง

ถึงจะทำเรื่องขออนุญาตตามติดชีวิตครอบครัวร่างทรงมาตั้งแต่แรก แต่การไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนบุคคลเขาขนาดนั้น มองจากคนดูอย่างเราแม่งก็ไม่สมควร แต่(อีกที)พอได้เห็นผลงานปรากฏเป็นพฤติกรรมของปีศาจร้ายมาโผล่จะจะในจอภาพเขียวๆ ของกล้องวงจรปิด ก็เชื่อแล้วว่าพวกเจ้าสร้างความว้าวกับโปรดักชันได้จริงๆ …ถือว่าพวกนายแทงหวยถูก

ถูกอะไร ถูกแดกน่ะสิอีลัคกี้

6.1 ชะตากรรมของหมาผู้จงรักภักดี

ลัคกี้เป็นตัวแทนภาพจำของหมาพุดเดิ้ลปากเปราะสไตล์สุดฮิตที่ไม่ได้ตัดขน แต่ปล่อยให้ฟูฟูอยู่อย่างนั้น พบได้ทั่วไปตามบ้านของเจ้าของที่เป็นแม่ค้าสไตล์ป้าน้อย คือเลี้ยงไว้เป็นตุ๊กตามีชีวิต ให้กินให้นอนอยู่ในบ้าน ระวังไม่ให้หลุดออกไปข้างนอก ถ้าไปข้างนอกก็ต้องจูงออกไป ขี้เสร็จก็พากลับบ้าน

บ้านที่ขายเนื้อหมานี่แหละ

ฉากกล้องวงจรปิดในตำนาน ที่เจ้าลัคกี้ผู้ใสซื่อและภักดี กว่าจะรู้ว่าเจ้านายเหนือหัวที่มีอำนาจสั่งให้ตนอยู่บ้าน กิน นอน ขับถ่าย พาไปเดินเล่นอยู่เป็นประจำทุกวัน ทำไมวันนี้ดูแปลกไปไม่เหมือนเดิม ก็สายไปเสียแล้ว ความไว้ใจนั้นทำให้ลัคกี้ละเลยสัญชาตญาณการป้องกันตัวที่ควรจะแฝงมาในยีน พอโดนจับได้ ลัคกี้ก็กลายเป็นชาบูไป

เมื่อมองในมุมของเจ้าของหมา การที่มีลูกน้องที่น่ารักและแสนจงรักภักดีนั้นมันช่างสะดวกเสียนี่กระไร ตอนมีประโยชน์ก็ใช้งานได้สบายมือ แต่วันหนึ่งเกิดไม่ถูกใจขึ้นมา ก็แค่ลบออกไป จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอดไหมล่ะ

เช่นเดียวกับเหล่าสาวกชุดขาว ที่มาทำพิธีเพราะเป็นลูกศิษย์อาจารย์เจ้าพิธี (ที่มีบุคลิกคล้ายผู้นำบางประเทศคือคุยอะไรก็ต้องเสียงดังไว้ก่อน จะถามเอาสาระความรู้ก็ไม่มีให้ ที่สำคัญคือยิ่งแก้ยิ่งเจ๊ง แต่คนที่ฝากความหวังก็ฝากนะ) เหล่าสาวกเหล่านี้เป็นเหมือนอะไรบางอย่าง ที่ใส่เครื่องแบบเหมือนกันหมด สั่งหันซ้ายก็ซ้าย หันขวาก็ขวา สั่งยิงประชาชนก็ยิง ช่างเปรียบเปรยได้ฉลาดมากจริงๆ ห้ามออกจากที่ประกอบพิธีก็เต็มใจ สุดท้ายเป็นไง โดดลงเหวไปด้วยกันให้หมด

นั่นคือผลของการเชื่อฟังแบบเชื่องๆ ยอมสยบต่อระบบอำนาจที่ดูยังไงก็ไม่โอเค สุดท้ายก็ต้องพัง

6.2 ผีหมา

ที่จริงต้องพูดภถึงสัมภเวสี ผีเร่ร่อนต่างๆ ที่สิงสู่ในรถเสียบกุญแจอย่างมิ้งด้วย ถ้าเอาตามความเชื่อก็คือ มิ้งเปิดโหมด pair bluetooth อัตโนมัติไว้ ใครมาถึงก็ต่อได้เลย ยิ่งเป็นผีที่มีพลัง หรือมีความเคียดแค้นเป็นทุนเดิมหน่อย ก็มาพร้อมกับภาชนะที่เป็นเหล่าของต่ำ ของอัปมงคลทั้งหลายที่มิ้งไปไล่เก็บมาไว้ในห้อง ใครจะรู้ว่าในบ้านนี้จะซุกอะไรไว้ขนาดไหนอีก (ซุกเก่งขนาดว่าห้องแมคเองยังมีความลับมานานขนาดนั้น)

ผีหมาก็เช่นกัน การที่แม่น้อยทำอาชีพนี้มานมนาน เหล่าน้องๆ ที่กลายเป็นเนื้อสวรรค์ก็คงมีหลงเหลือความแค้นอยู่บ้างแหละ ฤทธิ์เดชของเหล่าเจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ ทีแรกก็ซอฟต์ๆ แต่นานวันเข้าก็แผลงฤทธิ์เดชรุนแรงขึ้นจนระเบิดในวันแปลงร่าง ยิ่งพอตอนท้ายเรื่อง เหล่าผีหมาจึงได้แสดงออกมาเป็นรูปเป็นร่างผ่านการเข้าสิงเหล่าชายชุดขาว กลายเป็นแก๊งหมาบ้าไป จนผู้ชมบางส่วนคิดว่ามันคือผีซอมบี้เกาหลี ฮ่วย

นอกเรื่อง : แต่ซีนนี้ในหนังที่ดูรอบสองมาจึงได้คำตอบครับว่าทำไมแต่ละตัวละครมันถึงตัดสินใจโง่กันแบบนั้น ทำไมไม่นั่น ทำไมไม่นี่ พอนึกดูก็เข้าใจ ว่าเออ ที่จริงจังหวะในหนังมันเร็วมากจริงๆ ถ้าเราเป็นตัวละครในนั้น อยู่ดีๆ เกิดมีเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เช่นอยู่ดีๆ อาจารย์เจ้าพิธีโดดลงไปตาย เราจะใช้เวลาช็อกกี่วินาทีกันนะ ที่รอบแรกยังไม่เข้าใจเพราะตอนนั้นเราในฐานะคนดูเนี่ยถูกวางตัวให้ขยับออกมานอกจอ ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับตัวละครเหมือนช่วงต้นเรื่องแล้ว แต่เขาออกแบบการนำเสนอให้เราเปลี่ยนมาสวมสายตาของพระเจ้า ที่นั่งกระดิกตีนดูดน้ำอัดลมดูในห้องแอร์เย็นฉ่ำและปลอดภัยแทน เปรียบได้กับเด็กเกาะหลังเบาะคนเล่นเกมตามเน็ตคาเฟ่ หรือคนดูเกมโชว์ ว่าทำไมดารามันโง่จัง ปริศนาฟ้าแลบง่ายๆ ก็ตอบไม่ได้… คือเก่งนอกเกมมันก็เก่งกันทุกคนแหละ แต่ถ้าในเกม ด้วยช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ณ ตอนนั้น ไม่เข่าอ่อนล้มลงไปกองจนขี้แตกราดน่องก็บุญเท่าไหร่แล้ว ซึ่งในหนังพอไปเก็บรายละเอียดอีกที ตากล้องที่หนีไม่ไหวแล้วมันก็มีอยู่ในนั้นแหละ แสดงให้เห็นกันตรงๆ เลยว่าทรุดอยู่ แต่สัญชาตญาณมันทำให้เอาไฟหัวกล้องส่องไปที่เหล่าภัยพาลตรงหน้า สมองมันทำงานอัตโนมัติน่ะครับ ส่วนภาพที่ได้มาในกล้องก็คือผลพลอยได้จากไฟฉาย เนี่ยที่บอกตอนต้นบล็อกว่าเราดูอีกทีจนเคลียร์ละ (ยกเว้นอีฉากผีอีมิ้งยืมกล้องไปถ่ายนี่ยังไงเราก็ไม่ซื้อ)

// เขียนเพิ่ม มีคุณ @TonklaHB อธิบายเรื่องจุดจบของตากล้องและผีอีมิ้งไว้สั้นๆ แต่เฉียบมาก กดอ่านทวีตนี้ครับ

กลับมาๆๆๆๆ – ผมเคยสัมภาษณ์น้องคนนึงที่กินหมามาตั้งแต่เด็ก ก็มีประสบการณ์ลึกลับแบบนี้อยู่เหมือนกัน น่าสนใจดีครับ

การดีไซน์ผีในเรื่องนี้ เราไม่ได้เห็นออกมาแฮ่เป็นตัวๆ แต่จะมาในรูปของการเข้าสิงแทน เหมือนเป็นปรสิต คือต้องมีโฮสต์ให้อาศัย พอสิงแล้วก็สูบวิญญาณ สูบเลือดสูบเนื้อจนร่างพัง แบบเดียวกับความเชื่อเรื่องปอบ

ยิ่งปรสิตมาเป็นครอบครัวแบบนี้แล้ว คนที่โดนก็ไม่มีอะไรเหลือ

6.3 แมค

อันนี้ด้านมืดจริง พี่ชายที่ดูรักกันดี จู่ๆ ก็ตายปริศนา มีการเบี่ยงประเด็นให้คนนอกครอบครัวเข้าใจอย่างหนึ่ง แต่ความจริงคืออะไรก็รู้กันแค่ในบ้าน แถมห้องปิดตายมายาวนาน ไม่มีใครกล้าพูดถึง …ขอพูดเท่านี้พอ

6.4 คลิป

สิ่งที่มิ้งกระทำในสำนักงาน ปรากฏออกมาในรูปของคลิปวิดีโอ ถึงหนังจะไม่ได้เล่าเคลียร์ๆ ว่าทำมานานแล้วหรือยัง ทำเพราะผีเข้าหรือเปล่า (ส่วนตัวคิดว่าทำเป็นนิสัยอยู่แล้ว) ถ้าไม่มีใครเห็น ความลับนี้ก็จะเป็นความลับ ที่ประชาชน เอ๊ย เพื่อนร่วมงานได้แต่ซุบซิบนินทากันต่อไป

ในหนังยังใช้กล้องในการสื่อสารประเด็นเดียวกันนี้อีกตลอดทั้งเรื่อง ผู้กำกับเลือกใช้วิธีนำเสนอผ่านภาพจากกล้องของทีมสารคดีจนชีวาวาย ถ้าไม่นับฉากท้ายเรื่องที่ผีเป็นฝ่ายถือกล้อง (ที่ดูยังไงก็ไม่ชอบ มันเน้นความสยองอย่างเดียวเลยหลุดจากหนังทั้งเรื่องเลย เสียดาย) จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีภาพจากกล้องเหล่านี้ เนื้อหาของหนังทั้งเรื่องก็จะไม่มีใครรู้เห็นเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นอำนาจของการบันทึกและเผยแพร่ จากใครก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นมาในไม่กี่ปีนี้เอง

มันเปลี่ยนวิธีมองอำนาจของหน่วยงานรัฐเวลาเกิดเรื่องอะไรเลวๆ แล้วกล้องเสียอยู่เสมอ จากความรู้สึกว่าช่วยไม่ได้ กลายเป็นสะกิดไหล่ เมิงๆ รู้กัน เพราะกูก็ถ่าย มึงก็ถ่าย ใครๆ ก็ถ่าย แต่กล้องของสถานีตำรวจทำไมถึงไม่มีหลักฐานถึงมือปืนวะ (อ้าว ออกนอกเรื่อง กลับมาๆๆ)

6.5 ตัวตลก

ป้านิ่มพามิ้งเดินผ่านคณะคนทรงสารพัดรูปแบบ เพื่อไปสู่ปลายเส้นทางคือสันติ ที่เป็นหมอผี(หมอธรรม หรืออะไรประมาณนี้) พอเจอหน้า แกก็ถอนหายใจแล้วถามสันติว่า ยังคบกับพวกตัวตลกเหล่านี้อยู่อีกเหรอ (แสดงว่ามีการเกื้อประโยชน์กันมานานแล้ว)

สันติไม่ปฏิเสธ แล้วให้เหตุผลว่ามันต้องกินต้องใช้ …ใช่แล้ว การเกี้ยเซียะกับเหล่าตัวตลกเหล่านี้ มันทำให้อาชีพของแกอยู่ได้ แกอาจจะเป็นจอมขมังเวทตัวจริงเสียงจริง แต่ในภาคหนึ่ง ถ้าแกเดินทางคนเดียวโดดๆ ก็คงอยู่ได้ไม่นาน จึงจำเป็นจะต้องอยู่เป็น ด้วยการดึงเอาเหล่านี้มาเป็นพวกในพรรค

ถึงตัวตลกเหล่านี้จะดูโง่ แต่ความจริงไม่ได้โง่ เราเห็นการขโมยซีนพิธีกรและคู่ดีเบตกลางรายการอยู่บ่อยครั้ง ล่าสุดลุงที่รอดคดีปลดสมาชิกภาพ ก็ยังเถียงกับ ส.ส.สามกีบแบบเห็นแล้วอยากแชร์ต่อให้ฮากันทั่วๆ แต่นั่นแหละ เขาเหล่านั้นได้แอร์ไทม์เสมอ ประโยคของพวกเขากลายเป็นมีมเอาไว้ล้อเลียนกันในโลกโซเชียลเสมอ นั่นเป็นความบังเอิญเหรอ? ไม่หรอก :)

ไอ้จอมขมังเวทนั่นก็ยิ่งไม่ได้โง่ ภายใต้ท่าทีขึงขังและเล่นใหญ่เวอร์ แกก็เอาอยู่ในการบริหารองค์กรนะ …แต่นั่นแหละที่สุดท้ายพลังของแกก็เสื่อม ไม่ได้แกร่งพอจะต่อกรกับปีศาจวัยรุ่นได้อีกต่อไป

7. การเสื่อมอำนาจ

ฟัง อ.ตุล (เชฟหมี) กล่าวถึงการนับถือพุทธแบบเถรวาทในบ้านเราว่าต่างจากมหายานตรงที่ มหายานเขามองพุทธะเป็นสภาวะ ดังนั้นสภาวะนี้จะเกิดที่ไหนก็ได้ ที่แมวก็ได้ (เราเลยเห็นกาชารูปพระแมว) ในขณะที่พุทธไทยเรามองพุทธเป็นตัวบุคคลอันศักดิ์สิทธิ์ เราบูชาบุคคล (เราเลยมีสำนักพวย ที่คอยฟ้องคนที่ทำกาชารูปพระแมว) เนี่ย ความเคารพนับถือของเราเป็นแบบนี้ คือคีปเมนมากกว่าคีปวง

สถาบันใดๆ ที่ออกแบบระบบองค์กรมาไม่สอดรับกับปัจจุบัน พอวันนึงพอเปลี่ยนเจน เปลี่ยนคน เปลี่ยนถ่ายอำนาจ แล้วคนใหม่ดันบริหารไม่เป็น ความเสื่อมก็จะตามมา

มิ้งนับถือคริสต์ตามแม่ ไม่ได้เพิ่งมานับถือ แต่น่าจะเป็นมานานจนได้สวมมงในขบวนแห่ดาว ก็คือหน้าตาดีด้วย เลยได้เป็นอินฟลูเอนเซอร์ #beautyprivilege

ย้ำอีกทีว่ามิ้งก็คือวัยรุ่นทั่วไป มีมุมมองด้านความเชื่อด้านศาสนาก็นับถือส่งๆ เข้าโบสถ์แบบส่งๆ ไม่ได้อินอะไรเลย เกิดมาเห็นแม่ไหว้ก็ไหว้ ไม่ได้ต่างจากเราๆ ท่านๆ ที่บัตรประชาชนบอกว่าเป็นพุทธศาสนิก แต่ก็เป็นเพราะไม่ได้คิดจะเปลี่ยนอะไร ที่บ้านเป็นมางี้ก็แค่กรอกให้จบๆ ไป สมัยเด็กๆ ก็ต้องมีภาพจำคือโดนผู้ปกครองหรือตายายลากเข้าวัด พอพระเริ่มสวดก็หลบไปวิ่งเล่น

ต่างกันสุดขั้วกับป้านิ่ม ที่ทีแรกก็ไม่อินกับการเป็นร่างทรงหรอก แต่พอได้มาเป็น แกก็เออ สบายดีแฮะ สุขสบาย มีกินมีใช้ มีคนนับหน้าถือตา ได้เสพสถานะทางสังคมอันเกิดจากการพึ่งพาย่าบาหยัน เรียกว่าชีวิตแฮปปี้ขึ้นเยอะ ถือเป็นพริวิเลจอีกแบบ เลยแสดงออกว่าแกศรัทธาย่าบาหยันมากๆ

แต่จากวิกฤติใหญ่ที่เจอ และจากการตั้งคำถามของป้าน้อย ที่เป็นอีกแกนสำคัญของหนัง ว่าชะตากรรมในการเกป็นร่างทรงนี้ ใครหนอเป็นผู้กำหนด

พระเจ้าเหรอ พระพุทธเจ้าเหรอ?

เราเลยได้เห็นเฉลยในตอนจบของหนังว่า ที่แท้ป้านิ่มแกก็เก็บความสงสัย และตั้งคำถามเกี่ยวกับศรัทธาของตัวเองเหมือนกันว่าแท้จริงแล้วเราเชื่อจากใจ หรือเราแค่อิงแอบ ตักตวงผลประโยชน์จากอำนาจเท่านั้นกันหนอ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป้าสงสัยมานานแล้ว หรือเพิ่งมาเอ๊ะตอนที่เกิดเรื่อง

ถ้าอยากเห็นแววตาของป้า ให้ตีตั๋วเข้าไปดูตั้งแต่แรกอีกรอบเหมือนผม 5555555

ส่วนอีลุงสันติเจ้าพิธีน่ะ แกไม่ได้อยู่อันเดอร์ย่าบาหยันนะ คือแกก็มีของ มีพลังอำนาจ มีกองทัพของแกเอง และที่สำคัญคือแกมีความมั่นใจสูงลิบ จนไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องพึ่งพาอำนาจของใคร แต่แค่อาศัยโหน เอ๊ยยืมมือย่ามาช่วยพิฆาตศัตรูเฉยๆ

ตัดภาพมาที่ย่าบาหยัน ย่าอาจเก่งจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง หรือกลับกัน แกอาจไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าแค่ผีบรรพบุรุษ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ ที่เผอิญชาวบ้านให้ราคาไว้สูง แต่ตัวจริงไม่ได้มีพลังอำนาจอะไรพิเศษเลย …คือถ้าย่าเก่งจริง ทำไมย่าจึงหลบอยู่ข้างหลังตลอดล่ะ ไม่เปิดหน้าสู้ล่ะ หรือที่ผ่านมาย่าไม่เคยมีตัวตนอยู่จริง แต่เป็นเพียงรูปปั้นที่คนโบราณเซ็ตอัปไว้เฉยๆ

จึงชวนให้คิดต่อว่า งั้นแล้วที่ผ่านมา เรากราบใคร?

ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว แต่ย่ายังคงเป็นย่าเหมือนเดิม การบูชาย่ายังใช้วิถีประเพณีเดิม บทสวดเดิมๆ อยู่ แล้วต้องอยู่บนนั้นเพื่อรักษาสถานะตัวเองว่าเราเป็นสัญลักษณ์ เป็นมิ่งขวัญของชาวบ้าน เป็นรูปปั้นที่แข็งแกร่งไม่มีวันสั่นคลอน

พอเจอผีเด็กพลังสูง ที่มาเพื่อทำลายระบบเดิมให้ราบคาบ ย่าแก่ๆ ที่ยังร้องเพลงเดิมๆ หรือจะมาสู้ไหว

วันหนึ่งพอย่าบาหยันได้ถูกตัดหัวไป โดยใคร หรืออะไรก็ไม่รู้ อาจจะเป็นประชาชนที่โกรธแค้น (หนังฉลาดมากที่ไม่เล่าตรงนี้ นี่เป็นอีกเหตุผลนึงที่ต้องเล่าด้วยเทคนิคการถ่ายสารคดี เพราะไม่งั้นการไม่เฉลยประเด็นนี้อาจเป็นความผิดบาปต่อคนดู) หรืออาจจะเป็นผีห่าอำนาจมืดอะไรอีกก็ไม่รู้ได้ ซึ่งนี่เองเป็นหนึ่งจุดตัดที่ทำให้เรารู้ว่า อำนาจสูงสุดใดๆ ก็ไม่อาจอยู่ยงคงกระพันค้ำฟ้าเสมอไป

และพอป้านิ่มบุกบั่นปีนเขาขึ้นไปพบว่ารูปเคารพของตนเศียรขาดไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ป้ายึดถือมาก็ล่มสลาย และดับวูบลงตลอดกาล…

และเชื่อว่าหลังจากเหตุการณ์ในหนัง (ที่ไม่เหลือใครเป็นตัวบุคคลศักดิ์สิทธิ์ให้นับถือแทนระบอบอีกต่อไปแล้ว) อำนาจที่มีวันเสื่อมก็แสดงออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ศรัทธาของชาวบ้านทั้งชุมชนที่มีต่อระบอบดั้งเดิมนี้ ก็จะค่อยๆ สูญสลายลง พร้อมกับคนเก่าคนแก่ที่ค่อยๆ ล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา

ขอเพียงเวลา…


// นึกขึ้นได้เลยขอเขียนเพิ่มเติมครับ​ : มีประเด็นถกเถียงอีกอย่างในหนัง คือช่วงสุดท้ายที่ย่าบาหยันออกจากป้านิ่ม แล้วย้ายมาเทียมป้าน้อย เราได้เห็นการรวบรวมเศษหม้อที่ถูกทำลายไปแล้ว กลับมาประกอบใหม่ ทำพิธีภิเษกสถาปนาตน นี่เป็นการผลัดเปลี่ยนของอำนาจมาสู่คนใหม่ ช็อตนี้ทุกคนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กว่าแล้วยังไงต่อดีวะ ย่าบาหยันคนใหม่จะเป็นที่พึ่งของพวกเราได้เหมือนกับคนก่อนไหม

แล้วไงล่ะ ตายห่าหมด ไม่เพียงเหล่าสาวกผู้เชื่อเท่านั้น แต่ขนาดลุงมานิตย์ที่แม้แกจะไม่ได้มองด้วยความศรัทธา แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน สุดท้ายก็ต้องพบจุดจบเช่นกัน
เป็นคำถามที่หนังไม่ได้เฉลยว่าตกลงแล้วพลังอำนาจนั้นเป็นวิญญาณดีจริงๆ ใช่ไหม หรือถ้าพลังมันจบลงตั้งแต่ป้านิ่มตาย และผีที่มาเทียมในตำแหน่งสูงสุดไม่ใช่ย่าบาหยันที่คนศรัทธา แต่เป็นผีห่าตนใดก็มิทราบ ทุกอย่างจึงล่มสลาย และแสงไฟก็ดับวูบลง

เหลือแต่เพียงปีศาจเด็กรุ่นใหม่เท่านั้นที่เดินฝ่าฝูงหมา (เดี๋ยว) จากพื้นดิน ขึ้นมาต่อกรบนชั้นสูงสุด …ผีมิ้งจุดไฟขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วเผาป้าน้อยจนวอดวาย

คอมเมนต์

อวดบ้านครับ

คือยังงี้ครับ

เมื่อ 2 เดือนก่อน Facebook Messenger ของผมก็มีโนติฯ เด้งขึ้นมา กดดูชื่อ เป็นผู้ชาย (ตัดทิ้ง #ผิด) ทักมาด้วยความสุภาพ

ผมเป็นนักศึกษาปีสองมาจากสถาปัตย์ลาดกระบังนะครับ พอดีผมได้รับโปรเจคจากอาจารย์มาให้ออกแบบบ้านพักอาศัยสองชั้น โดยมีuserเป็นครอบครัวนึง แล้วพี่แอนตรงกับโจทย์พอดี ผมจึงขอพี่แอนเป็น userในเป็นโปรเจคนี้ พี่แอนพอจะสะดวกเป็นผู้ใช้งานในโปรเจคผมมั้ยครับ

โอ้ว! จริงดิ

ผมถึงกับลุกขึ้น นึกขึ้นได้เลยนั่งลงอีกครั้ง แล้วกดน้ำ (รู้เลยว่าขี้อยู่) ตั้งใจอ่านอีกที… น้องเขาเอาจริงแฮะ

ผมตอบตกลง น้องเขาเลยส่งแบบสอบถามมาให้กรอก อ่านดูแล้วเป็นสำนวนของน้องเองที่สอบถาม requirements ต่างๆ ที่บ่งบอกว่าเจ้านั้นใส่ใจกระบวนการเก็บข้อมูลของผู้อยู่อาศัยได้ดีมาก โอเคเลย ถ้าเป็นแบบนี้ข้าถือว่าน่าสนุกนัก และขอร่วมงานกับเจ้าด้วยความยินดี

อันนี้คือเปิดหัวแบบสอบถาม ซึ่งเป็นตัวบอกวัตถุประสงค์ของโปรเจกต์นี้ ลองอ่านดูครับ

โครงการบ้านพักอาศัยในฝัน
บ้านหรือที่อยู่อาศัย คือ ปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิตของเรา เป็นที่สำหรับการพักผ่อนและการอยู่ร่วมกันของคนในครอบครัว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาในอดีตชีวิตที่เร่งรีบส่งผลให้ในระหว่างวันเราต้องเดินทางออกไปทำงานนอกบ้าน เราจึงได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้านแค่ในช่วงเวลาหลังเลิกงานหรือวันหยุดสุดสัปดาห์

แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 บ้านนอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยและที่พักผ่อนแล้ว บ้านยังเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เป็นสถานที่สำหรับการสร้างสรรค์งานและคุณค่าแห่งตัวตนของผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตในเวลา 24 ชั่วโมงของแต่ละวันได้อย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตสูงสุดและปลอดภัย

ผมนึกย้อนกลับไปสมัยตัวเองเรียนสร้างบ้านเหมือนกัน (แต่นั่นมันยี่สิบกว่าปีมาแล้ว…) ตอนปีหนึ่งปีสอง ก็มีโปรเจกต์ประมาณนี้เช่นกันครับ คือเป็นโปรเจกต์สร้างบ้านโดยมีโจทย์กำกับ เช่น บอกบุคลิก รสนิยม ลักษณะเฉพาะ หรือความต้องการของเจ้าของบ้าน เสร็จแล้วให้นึกศึกษาจับเอาข้อมูลเหล่านั้นมาประเมิน เพื่อออกแบบมาเป็นบ้านที่สมบูรณ์ และเทลเลอร์เมดสุดๆ สำหรับเจ้าของบ้าน

ผ่านไปยี่สิบปีนิดๆ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องมโนเองแล้ว อยากทำบ้านให้ใคร ก็ทักเขาไปเลย เออดี! สนุก!

ต้องบอกก่อนนะครับว่า ตอนนี้ผมก็มีบ้าน มีรถ มีลูกเมีย มีหนี้สินอยู่แล้วไม่น้อย ตัวบ้านนั้นผมออกแบบแค่คร่าวๆ และงานที่เหลือนอกนั้นจ้างเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันนี่แหละทำให้ 5555555 เพราะผมไม่เก่ง เดี๋ยวทำแล้วพังขึ้นมาจะว่ายังไงดีล่ะ

ทีนี้พอเป็นบ้านของตัวเอง ก็เลยต้องกำหนดไปอย่างเต็มที่ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อะไรที่เป็นเรา อะไรที่ไม่ใช่ ซึ่งบักเต้ย (สถาปนิก) ก็มาบอกทีหลังว่างานบ้านมึงนี่เป็นงานที่ทำง่ายมากเลยนะ เพราะเจ้าของบ้านสรุปมาให้แล้ว ออกแบบเองอีกครึ่งนึง หน้าที่กูคือจบแบบแล้วรับเงินอย่างเดียว … เออว่ะ รู้สึกเสียเปรียบ นี่ไปเสียเวลาเรียนทำไมวะตั้งห้าปี (ก็เรียนเพื่อเอาไว้คุยกับมึงรู้เรื่องไง)

เนื่องจากรู้ว่าตัวเองมีรสนิยมด้านสถาปัตยกรรมค่อนข้างเฉพาะ ไม่เหมือนผู้คนทั่วไปนัก (คือไม่เอาลอฟต์ ไม่เอามินิมัล ไม่เอาเกาหีล ไม่เอาคลีน ไม่เอาโมเดิร์น ฯลฯ แต่เอาอยู่สบายนะ ฯลฯลฯลฯ) สุดท้ายก็ออกมาเป็นบ้านที่ลงตัวที่สุดทั้งด้านดีไซน์ ฟังก์ชัน และงบประมาณ (สำคัญมาก) เท่าที่ตัวเองจะสามารถกินขี้ปี้นอนได้ทุกคืนวันแล้วครับ

อ้ะ แปะลิงก์ เผื่อใครจะจ้างมัน เชิญดูที่นี่จ้ะ

กลับมาที่งานของน้อง

คำถามทีลิสต์มานี่น่าสนใจนะครับ ใครคิดจะมีบ้าน หรือสร้างบ้านเป็นของตัวเอง ลองหยิบลิสต์นี้เอาไว้เป็นโจทย์พื้นฐานในการสรุปงานออกแบบก็ได้ น้องเขาลิสต์แพ็กเริ่มต้นจากการสัมภาษณ์พูดคุยกันผ่านแชตไว้ให้ดังนี้ :

พื้นที่ใช้สอยหลัก
(หากพี่แอนต้องการปรับเปลี่ยน สามารถพิมบอกได้เลยนะครับ)

  • ห้องนอนสำหรับผู้ใช้อาคารหลัก มีส่วนแต่งตัวและห้องน้ำส่วนตัว
  • ห้องนอนสำรอง มีส่วนแต่งตัว ห้องน้ำส่วนตัว เตรียมเผื่อไว้สำหรับทายาท หรือญาติมาเยี่ยมเยียน
  • ห้องน้ำรวม ห้องน้ำส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน
  • ส่วนพักผ่อนสำหรับครอบครัว ห้องสำคัญที่ทุกคนในครอบครัวมักลงมาทำกิจกรรมร่วมกันเสมอ
    ทั้งในวันธรรมดา และในวันหยุดสุดสัปดาห์
  • พื้นที่หรือห้อง สำหรับความเชื่อหรือความศรัทธาทางศาสนา หรือความเชื่ออื่น ๆ (สามารถปรับเป็นห้องอื่นๆได้ครับ)
  • ส่วนทำงานของเจ้าของบ้าน เป็นส่วนสำคัญที่เจ้าของบ้านต้องการแยกออกมาเป็นสัดส่วน และ
    สอดคล้องกับอาชีพของผู้ใช้อาคาร เน้นการออกแบบที่คำนึงถึงบรรยากาศที่ดีที่ตอบสนองการทำงาน
    ได้ตลอดเวลา
  • ส่วนรับประทานอาหาร ต้องการโต๊ะที่สามารถรองรับได้ขนาด 4-6 ที่นั่ง และมีพื้นที่สำหรับเก็บ
    ภาชนะสำหรับรับประทานอาหารอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
  • ห้องครัว เนื่องจากต้องทำอาหารสำหรับสมาชิกทุกคน จึงต้องการครัวไทยที่สามารถทำอาหารได้
    หลากหลาย และมีการระบายอากาศที่ดี
  • บริเวณซักผ้าและรีดผ้า ประกอบด้วยเครื่องซักผ้า ที่เก็บเสื้อผ้าที่รอรีด และราวแขวนผ้าที่รีดแล้ว
    รวมถึงพื้นที่ตากผ้าและรีดผ้า
  • ห้องเก็บของภายในบ้าน สำหรับเก็บของใช้ภายในบ้าน
  • ห้องเก็บของภายนอกบ้าน สำหรับเก็บของใช้ภายนอกบ้าน
  • ที่จอดรถ

เนี่ย พอมีจุดเริ่มปั๊บ สเต็ปที่จะไปต่อได้ก็คือ อันไหนเอา อันไหนไม่เอา ก็มาขีดมาคุยกันต่อได้เลย

หลังจากนั้นก็เป็นแบบสอบถามครับ เป็นชุดคำถามที่แงะรสนิยม หรือทัศนคติของเจ้าของบ้านออกมา เช่น (ผมลิสต์มาบางคำถามพอ เดี๋ยวยาว แต่ก็ยาวแหละ ปีนึงจะเขียนบล็อกที) :

  • บ้านในความหมายของพี่แอน (จำไม่ได้ว่าตอบอะไร ต้องมีคำว่าขี้และนอนแน่ๆ)
  • นิยามความเป็นตัวเอง (กูจะตอบยังไง)
  • อยากให้มีห้องสำหรับทำงานภายในบ้านเป็นสัดเป็นส่วนหรือไม่ (มีจ้า)
  • [น้องลิสต์รายชื่อห้องมาเพียบ แล้วถามว่า] อยากได้ห้องอะไรเพิ่มอีกเป็นพิเศษ อาจจะเป็นห้องจัด podcast หรือ ห้องเลี้ยงแมว เป็นต้นครับ (อ่านถึงตรงนี้ก็คิดว่า เออ ดีนะไม่ต้องจ่ายตังค์จริง น้องเลยกดมาให้เต็มสูบ)
  • เป็นคนที่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศมั้ยครับ (เออ อันนี้พิเศษ บ้านจริงๆ ปัจจุบันของเรา ผู้อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืนนั้น ไม่ต้องเปิดแอร์เลย! ดีจัง ลมธรรมชาติจงเจริญ!)
  • ปกติแล้วใช้เวลากับส่วนไหนของในบ้านมากที่สุด (น่าจะห้องหนังสือ ตอนที่เขียนบล็อกนี้ก็ใช่)
  • สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจภายในบ้าน อาทิเช่น การนับถือศาสนา ของสะสม งานอดิเรก กิจกรรมที่ชอบ เป็นต้น (ไม่เอาห้องพระ แต่เอาห้องการ์ตูน)
  • ปัญหาที่เจอในบ้านที่อาศัยอยู่ปัจจุบัน ที่อยากแก้ไข เช่น พื้นที่ส่วนตัวน้อยไป เพื่อนบ้านเสียงดัง เป็นต้น (อันนี้เป็นข้อที่เราไม่ค่อยนึกถึง แต่สำคัญ แต่ละคนจะมีเพนพอยต์ไม่เหมือนกัน ถ้าคุยประเด็นนี้ก็ยาว ได้เสาเสาเสา 10 อีพีเต็ม)
  • ทำอาหารกินเองไหม
  • เมียทำงานอะไร
  • อะไรที่ชอบเหมือนกันกับเมีย (นั่นแน่)
  • ขับขี่รถอะไรบ้างไหม
  • ลูกแยกนอนยัง
  • มีแขกหรือญาติมา(นอน)บ่อยไหม
  • ชอบวัสดุอะไรเป็นพิเศษไหม เช่น ไม้ เหล็ก ปูน หิน เป็นต้น (ข้อนี้ดี ขอชม)
  • สไตล์งานสถาปัตย์ที่ชอบเป็นพิเศษ อาทิเช่น โมเดิร์น โมเดิร์นวินเทจ มินิมัล ลอฟต์ เนเชอรัล หรืออื่นๆ (ฉันยังรู้จักไม่ครบทุกคำเลย)
  • นอกบ้านนอกจากต้นไม้และหญ้าแล้วจะเอาอะไรอีกไหม (สวน จำไม่ได้ว่าตอบอะไร รู้สึกจะสวนอังกฤษรกๆ ซึ่งตอนนี้ก็ทำอยู่ แต่ไปทำที่คาเฟ่นั้นน่ะ ที่ลูกค้ามาดราม่าบ่อยๆ น่ะ)

ประมาณนี้ครับ เห็นไหม ดีเนอะ น้องใส่ใจเรา เนี่ยปลื้มเลย จากคนที่ขาดการดูแลเอาใจใส่…

หลังจากน้องหายไป 1 เดือนเศษๆ เสียงโนติก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง (เขียนบรรยายไปงั้นแหละ ที่จริงคือเปิดสั่น)

สวัสดีครับพี่แอน
พอดีว่าผมทำเสร็จแล้วครับพี่แอน ไหนๆ ก็เสร็จแล้ว อยากให้ user ได้เห็นงานไฟนอล
ไม่รู้ว่าจะตรงกับที่พี่แอนคิดรึเปล่า ผมรู้สึกว่าแอบใส่ความเป็นตัวเองไปเยอะเลยครับ 5555

ไหนๆๆๆๆๆ หูผึ่ง อยากเห็น ขอดูๆๆๆ

แล้วน้องก็ส่งลิงก์นี้มา (กดดูเต็มๆ ที่นี่ มีหลายมุม)

เย็ดเข้เท่จริงๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้มีบ้านที่มีสไลเดอร์บนหลังคา อ้าวไม่ใช่เหรอ แต่ใช่ละกัน

เนี่ยดูดิๆๆๆๆๆ เห็นต้นไม้ใหญ่รอบบ้านแล้วชอบเลย โอ้โห นั่นทางเดินรอบบ้าน นั่นผนังอิฐเปิดช่องลม จ๊าฟอย่างนี้ ฉันจะไม่เปิดแอร์ไปตลอดชีวิต!

แล้วน้องก็ส่งคลิปมา เฮ้ย บ้านเสร็จแล้ว สร้างจริงๆ แล้วด้วย!

ถึงจะเป็นการเก็บข้อมูลเจ้าของบ้านเพียงครั้งเดียว (ถ้าโลกแห่งความจริงคงต้องเก็บประมาณ 37 ครั้ง) แต่น้องก็ยังรีดเอาความต้องการของเจ้าของบ้าน ไปบวกกับความอยากได้อยากมีของตัวเอง 5555555555555 ใส่เข้ามาอย่างไม่ยั้ง ออกมาสวยเลย ลงตัวเลย ส่งให้เมียดู เมียชอบมาก อยากมี ขอเลยได้ไหมหลังนี้

ที่สำคัญคืองานปีสองนั้นยังเป็นโปรเจกต์ในจินตนาการอยู่ จึงไม่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ อันเป็นข้อจำกัดสำคัญในโลกแห่งความจริง 55555555

โอ๊ย การได้เห็นตัวเองรวยนี่มันเท่จังโว้ย

ที่ชอบจนต้องจดไว้คือการมีคอร์ดกลางบ้าน และห้องเวิร์กช็อป (ที่ในชีวิตจริงตอนนี้ยังไม่มี แต่ถ้าวันนึงแก่ตัวลงไป ลูกมีผัวหมดแล้ว จะแยกไปสร้างบ้านอยู่กันสองตายายที่ต่างจังหวัด คิดว่าน่าจะมีไว้สักหน่อย) (ส่วนห้องหนังสือตอนนี้มีแล้ว แต่มีเท่าไหร่ก็ไม่พอเหอะ)

สุดท้าย พอขอให้น้องไปเขียนสรุปโปรเจกต์หน่อย อยากเห็น text หรือ process งานว่าหลังจากที่เราคุยกันแล้ว งานมันพัฒนาไปอย่างไรบ้าง อยากรู้กระบวนการคิด กระบวนการออกแบบ น้องตอบตกลง สักพักก็ส่งมาเป็นลิงก์นี้ครับ

บ้านพักอาศัยของครอบครัวคุณแอน สมาชิกรุ่นใหญ่ของรายการ Podcast ชื่อดัง เสาเสาเสา สามโคกเรดิโอ สมาชิกในบ้านประกอบไปด้วย คุณแอน ภรรยา และลูกสาววัยเด็กทั้งสองคน
.
บ้านที่มีพื้นที่สำหรับเด็กๆ ในบ้านได้วิ่งเล่นสบายๆ มีเฉลียงไม้ไว้นั่งเล่นพักผ่อน ห้องเก็บหนังสือที่เป็นงานอดิเรกของคุณแอน
.
แผงฟาซาดเหล็กสนิมขนาดใหญ่สะดุดตาบริเวณหน้าบ้าน บ้านทรงตัว U เพื่อให้สามารถรับลมธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ คอร์ดกลางบ้านมีต้นไม้ที่ให้ร่มเงาและความร่มรื่นกับบ้าน ทุกส่วนของบ้านสามารถมีประติสัมพันธ์กับคอร์ดกลางบ้านได้ทั้งหมด
.
พร้อมกับจุดเด่นของหลังคา Greenroof ที่มีทางลาดเชื่อมจากหลังคาชั้น 1 ไปยังหลังคาชั้น 2 นอกจากสร้างจุดเด่นให้กับบ้านแล้วยังช่วยบังความร้อนที่เข้าสู่ตัวอาคาร เปลี่ยนพื้นที่ของหลังคาจากที่โล่งๆ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยสามารถขึ้นไปทำกิจกรรมได้หลากหลายอย่าง และบริเวณขอบของ Greenroof ยังสามารถปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อนำมาประกอบอาหารได้อีกด้วย

Location : Lat Krabang Bangkok
Design : Pongsuriya Sagonpuwarug
User : Prachya Ann Singhto

ขอแซวอีกนิด ถ้าจะปลูกกะเพรากินเอง ไม่ต้องเอาไว้บนหลังคาบ้านหรอก เอาตังค์ส่วนนั้นไปซื้อในตลาดได้ชาตินึงเลย!

แล้วเป็นอะไรมากไหม ปีนหลังคาขึ้นไปนั่งฟินกลางแดดเนี่ย แดดลาดกระบังนะครับ!

โอ๊ย อยากเขียนถึงเยอะๆ เลย แต่เมื่อยมือแล้ว ไม่ได้พิมพ์ยาวมานาน งั้นจบด้วยการบ่นเป็นคนแก่ดีกว่า

อิจฉาน้องๆ สถาปัตย์ในยุคนี้เหมือนกันนะครับ ที่ตอนนี้ไม่ต้องทำแบบสมัยลุง ที่ต้องมัวเสียเวลาต่อคิวยืมหนังสือหา ref จากห้องสมุด ที่มีอยู่อย่างจำกัดมากๆ หรือไม่ก็พอเพื่อนรวยๆ ไปซื้อหนังสือ หรือนิตยสารดีๆ ของฝรั่งมาดู ก็ต้องต่อคิวแย่งกันดู เสร็จแล้วงานมันก็งอกเงยออกไปได้ไม่มาก เพราะพรมแดนของจินตนาการมันถูกจำกัดไว้ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง

แต่พอเดี๋ยวนี้ มีตัวอย่าง แรงบันดาลใจ ข้อมูลเปรียบเทียบดีๆ ทั้งเทคนิค ดีไซน์ คอนเซปต์ ไปยันปรัชญาการออกแบบที่โคตรของโคตรมหาศาลจากโลกอินเทอร์เน็ต ทำให้เรียนสนุก ทำงานสนุกขึ้นเยอะเลย

ขอบใจเจ้ามากๆ นะน้องต้าร์ ขอฝากความหวังของสถาปนิกเลือดใหม่ไว้กับเจ้า ส่วนข้า (ที่ไปเรียนเสียเปล่ามา 5 ปี เพื่อมาจ้างเพื่อนออกแบบ) ก็ขออยู่บ้านที่มีสไลเดอร์บนหลังคา และขึ้นไปรับแดดบ่ายๆ แบบนี้แหละ อากาศดีจังโว้ย!

คอมเมนต์

ใช้กระดาษทรายซ่อมหนังสือ

ช่วง 1-2 ปีนี้ ผมซื้อการ์ตูนเก่าๆ มาสะสมเยอะเลยครับ…

เหมือนเป็นการปิดแผลที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ที่ได้แต่ยืมเพื่อนอ่านการ์ตูน ความเก็บกดนี้ทำให้พอหันไปอีกที ผนังด้านหลังห้องทำงานผมก็เต็มไปด้วยการ์ตูนเรียงเรื่องเรียงเลขกันอย่างแน่นขนัด จากพื้นถึงเพดาน แถมซ้อนสองชั้นอีก…

ในเมื่อการ์ตูนมันเกิดมาไว้อ่าน ช่วงหนึ่ง* ผมเลยหาซื้อแบบไม่ค่อยสนสภาพเท่าไหร่ (* ตอนนี้เริ่มสนแล้วเพราะรู้ว่ามันขายได้) ทำให้หลายๆ เรื่องอยู่ในสภาพที่กากเดนมาก แต่อ่านได้ก็โอเคแหละ

กระทั่งวันหนึ่งผมก็ไปติดตามร้านฟื้นฟูหนังสือ อันเป็นร้านหนังสือมือสองแถวๆ ท่าพระ ที่นอกจากจะมีการ์ตูนเก่าๆ เยอะ ขายครึ่งราคา เจ้าของร้านเป็นศิลปินมากแล้ว พี่แกยังเป็นนักซ่อมหนังสือ (ตามชื่อร้าน) ด้วย หลายครั้งแกทำคลิปวิธีการชุบชีวิตหนังสือเน่าให้กลับมามีสภาพสวยงามด้วยเครื่องมือต่างๆ ให้ว้าวเล่น

แล้วอยู่มาวันหนึ่งแกก็เปิดให้สั่งจองแท่นซ่อมหนังสือ แบบเดียวกับที่แกใช้ แต่นี่ทำใหม่เลย ผมก็หน้ามืดกดมา (ได้รันนัมเบอร์ 005 ด้วย ทีแรกจะเอา 024 แต่ไม่ว่าง เออทำไมเอา 005 วะ ลืมแล้ว)

ผ่านไปเดือนนึง พองานเสร็จ เจ้าแท่นซ่อมหนังสือนี้ก็ส่งมาถึงบ้าน พอประกอบเสร็จก็เอาไปโพสต์อวดนิดนึง แล้วก็หาซื้อกระดาษทราย พอดีช่วงนี้โควิด ขี้เกียจออกจากบ้าน เลยสั่งซื้อช้อปปี้ แล้วก็หน้ามืดไปกดแบบที่ติดกับหัวสว่านมา ปั่นกลมๆ น่าจะง่ายดี 5555 (สปอยล์ตรงนี้ไว้เลยว่าคิดผิด เอามาขัดเองกะมือเหอะ สวยกว่า)

ก็เลยมาสาธิตวิธีการซ่อมหนังสือการ์ตูนด้วยแท่น 005 นี้… เริ่ม!

ก่อนอื่น นี่คือหน้าตาของแท่นที่ว่า (ชื่อ ชุดฟื้นฟูหนังสือ FF.Book) ที่จริงเขาต้องทาสีย้อมเข้ม แต่ผมเอาแบบไม่ทาสีละกัน มาแบบไม้ยางนี่แหละ เข้ากะเก้าอี้ในภาพดี

หลักการของเครื่องนี้คือ เป็นแท่นที่มีน็อตเกลียว 4 มุม ขันให้ตัวหนีบบนล่าง บีบหนังสือที่จะซ่อมให้แน่นๆ ไม่ดิ้นดุ๊กดิ๊ก พอน้องนิ่งแล้วก็จะขัดจะทากาวอะไรก็ว่าไป ซึ่งคราวนี้ผมจะสาธิตเฉพาะการขัดกระดาษทราย เจียรขอบกระดาษเก่าที่เละๆ ให้ขาวละเอียดเหมือนหนังสือใหม่เท่านั้นนะครับ

ทีแรกยังไม่กล้าทำกับการ์ตูน ผมเลยเอาหนังสือเก่าๆ มาลองก่อน

เฮ้ย สวย!

มาๆ คราวนี้ไปหยิบเล่มการ์ตูนซ้ำที่เขาให้มาอีกที สภาพเช่า ปั๊มขอบเป็นชื่อร้าน ห่อปก แม็กใน บวมน้ำ ปกติดขอบกระดาษแดงเถือกใช้ได้ เดี๋ยวจะขัดให้ดูปิ๊งๆ หน่อย

หนีบให้ยื่นออกมานิดเดียว เวลาขัดเจียรออก เราก็แค่ตะไบบางๆ ไม่ต้องถึงขนาดเอาเป็นเอาตายนะ เดี๋ยวขนาดหนังสือเปลี่ยน เอาไปใส่ปกเจ็กเก็ตคืนแล้วปกมันจะยื่น

อะ ดูตอนขัด ให้เห็นเลยว่าเนื้อกระดาษที่ทำปฏิกิริยากับอากาศผ่านไปนานๆ แล้วมันจะแดง แต่พอเจียรส่วนที่แดงออกไป ข้างในมันก็ขาวแหละ รอยปั๊มจากร้านเช่าหายไป แถมเนื้อขอบยังลูบแล้วเนียนด้วย นี่ขนาดเลือกใช้วิธีที่ผิดนะ (คือควรใช้ไม้ขัด+กระดาษทรายเรียบๆ มากกว่ามั้ง ของเราใช้แบบติดหัวสว่าน มันไม่คราฟต์ แต่ไม่เหนื่อย 5555555)

อะ ขัดขอบข้างเสร็จแล้วก็หมุนหนังสือ หันมาขอบบนบ้าง ด้านนึงใช้เวลาขัดแป๊บเดียวครับ ประมาณ 30 วินาทีก็เปลี่ยนโฉมเป็นขาวหมวยแบบในภาพแล้ว

พอเอามาสวมปกเหมือนเดิม ก็เห็นเลยว่าหนังสือดูดีขึ้นมากแหละ

แถมภาพ before / after อีกที

ข้อจำกัดที่เจอมาตอนนี้คือ ถ้าหนังสือเป็นแบบปกพับ เกินเนื้อกระดาษออกมา เราจะหนีบลำบากอยู่ เพราะมันเจียรออกไม่ได้ไง เดี๋ยวมุมพับมันแหว่งหายไปด้วย คือถ้าถอดปกได้ก็คงถอดไปแล้ว แต่นอกนั้นก็โอเคนะ

// เพิ่มเติม: พี่ป้อมทำคลิปอธิบายวิธีการซ่อมหนังสือปกยื่นได้แล้ว! ซ่อมได้ทุกอย่างจริงๆ โหดจริงครับ 🤩

และถ้ายังไม่พอใจในความเก่าของกระดาษ (คือมันก็ต้องเก่าตามสภาพเปล่าวะ) ก็ให้ใช้ผ้าแตะๆ ไฮเตอร์พอหมาด เอามาขัดๆๆ ในแท่นหนีบนั่นแหละ กระดาษจะขาวขึ้นอย่างตอแหล แต่เราจะไม่เอามาสาธิตในที่นี้ เพราะขี้เกียจแล้ว

ต่อไปพอนึกครึ้มๆ คงหยิบหนังสือการ์ตูนที่อยากอนุรักษ์ไว้ มาลองขัดดูอีกครับ

คอมเมนต์

Google Drive Shortcut

ปกติเราจะด่าเฟซบุ๊กเวลามันปรับเปลี่ยนหน้าตา หรือฟีเจอร์อะไรสักอย่าง ที่ทำให้ใช้ยากขึ้น ไม่ใช่เพียงเพราะความคุ้นชินกับของเก่า นะ เราหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่ของใหม่มันกากจริงๆ

แต่คราวนี้ขอด่ากูเกิล

เราใช้ Google Drive แบบหนักหน่วงมาตลอด (เช่าใช้แบบ 2TB และเก็บข้อมูลทั้งชีวิตไว้บนนั้น) รวมถึงโปรแกรม Backup and Sync from Google ที่ลงไว้ในคอมพ์ทุกเครื่องที่ใช้ แล้วค่อยเลือกเปิดปิดให้ซิงก์เฉพาะบางโฟลเดอร์ที่ใช้ (เพราะตอนมันซิงก์ไฟล์เกือบล้านไฟล์ของเราเนี่ยทำให้เปิดเครื่องช้ามาก)

ปรากฏว่าปัญหาใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนฟีเจอร์ของมัน นั่นคือการแชร์ไฟล์กับคนอื่น เมื่อก่อนถ้าจะแชร์จากคนอื่นมาหาเรา จะจิ้มที่ไฟล์นั้น หรือเลือกทั้งโฟลเดอร์ แล้วเลือก ‘Add to my Drive’ มันจะแชร์สิทธิ์การเข้าถึงมาให้เรา รวมถึงสำเนา ‘ตัวไฟล์’ ด้วย (ดังนั้นถ้าเราซิงก์ลงเครื่อง มันก็จะโหลดไฟล์นั้นๆ ลงมาด้วย) เสร็จแล้วถ้าเราจะสำเนาให้สิทธิ์ของไฟล์นั้นเป็นของเราเอง (เผื่อเจ้าของเดิมลบหรือแก้ไข จะได้ไม่กระทบ) ก็ให้เลือก ‘Make a copy’

แต่ล่าสุดเมื่อต้นปีนี้เอง กูเกิลแม่งเปลี่ยน ‘Add to my Drive’ เป็น ‘Add Shortcut to my Drive’

นั่นคือ สิ่งที่จะแชร์ให้กับบัญชี Google Drive อื่น ไม่ได้แชร์ตัวไฟล์ไปให้ แต่แชร์แค่ชอร์ตคัต นั่นแปลว่าพอกดเข้าไป มันก็จะแค่ลิงก์ไปยังไฟล์ต้นทางที่ครอบครองโดยเจ้าของเดิม แน่นอนว่าใครที่ใช้โปรแกรมซิงก์ลงคอมพ์ตัวเอง มันก็จะมาแค่ไฟล์ .gshortcut เท่านั้น ทำแมวอะไรต่อไม่ได้

แล้วกรณีเราทำงานร่วมกับคนอื่นด้วยไฟล์เยอะๆ เช่นต้นฉบับภาพถ่ายมหาศาลหลายสิบ GB ต่อโฟลเดอร์ ก็อย่าหวังเลยว่าจะไป select all แล้วโหลดลงคอมพ์ รอไปชาตินึงเหอะ กว่าพ่อจะ zip ให้เสร็จ (กกด นั้นเป็นที่ขึ้นชื่อว่า zip ช้ามากกกกกก เอาแค่เลือก 2-3 ไฟล์แล้วสั่งให้โหลดลงเครื่องก็รอเงกแล้ว)

กูเกิลสร้างปัญหานี้ขึ้นมา จึงต้องมีทางแก้ …ด้วยกูเกิล

เจอกระทู้นี้ มีคนโวยเหมือนกันเด๊ะ แล้วหนึ่งในนั้นก็ให้คำตอบว่า

I had the same problem and shift+Z solved! Thank you very much.

User 16536751738069728914

ยังไงนะ กด Shift+Z เหรอ คือไรหว่า ลองเข้าไปดูใน Settings -> Keyboard Shortcut ก็เจอมันบอกว่าเป็นการแอ๊ดซีเล็กเต้ดไอเท่มส์ทูอะโฟลเดอร์…. ก็เลยลอง select all แล้ว Shift+Z ดู

แล้วก็พบคำตอบ โอ้พระเจ้า มันจบปัญหาจริงๆ ด้วย เลือกโฟลเดอร์ปลายทางที่จะก๊อปไปได้เลย ได้ ‘ตัวไฟล์’ มาจริงๆ แต่สิทธิ์ของไฟล์นั้นยังเป็นของเจ้าของเดิม (คนที่แชร์มา) อยู่นะ ต้องไปทำสำเนาอีกที เดี๋ยวโดนลบแล้วหายหมด

ก็ขอบคุณกูเกิล และขอด่ากูเกิลมา ณ ที่นี้

คอมเมนต์