บล็อกนี้ตั้งใจจะเขียนสดุดีการ์ตูนเรื่อง Bambino! ของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ครับ
เป็นการ์ตูนที่เห็ฯหน้าปกแล้วก็ไม่ได้คิดจะอ่าน เพราะผมเฉยๆ กับการ์ตูนทำอาหาร
แต่ทำไมใครๆ รอบกายก็ต่างยุให้อ่านให้ได้ และมัน “มีค่าพอจะซื้อเก็บสะสม” เลยล่ะ
ก็เลยไปสอยมาจากงานหนังสือที่ผ่านมา (ขนาดคนขายที่บูทเองยังคิดว่าอยู่ค่ายอื่นเลยคิดดู)
ที่จริง Bambino! (ใช้เป็นสแลง หมายถึงเด็กอ่อนหัด หรือกาก อะไรแบบนี้) เขียนมาแล้วสองภาค
ภาคสองเพิ่งถึงเล่มสี่ และภาคหนึ่งก็มีคนเอาไปทำซีรี่ส์ออกทีวีเรียบร้อยแล้ว ใครไม่อ่านการ์ตูนก็หามาดูได้
ผมเพิ่งอ่านภาคแรกไปได้แค่หกเล่ม แต่ก็คิดว่าต้องเขียนแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวลืมประเด็นที่มันแว้บขึ้นมาฉิบ
การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนแนวสู้เพื่อฝันครับ แต่ไม่ได้เฉิ่มๆ เหมือนหลายๆ เรื่องนะ คือเรื่องนี้ไร้ปาฏิหาริย์ใดๆ
ไม่มีความแฟนตาซี พระเอกไม่มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือมีพรสวรรค์แบบที่เรารู้สึกว่าเป็นเรื่องเฉพาะ ไกลตัว
แบบ Bakuman ที่พระเอกทั้งคู่ก็เก่ง หรือ BECK ที่พระเอกก็มีพวงสวรรค์อยู่ไม่น้อย
ไอ้ความที่พระเอกมันไม่ได้เก่งกาจชาตินักรบมาจากไหนนี่แหละ เหมือนคนเขียนตั้งใจบอกว่า มึงน่ะก็ทำได้
ขอแค่ ขอแค่อะไรสักอย่าง ต้องไปอ่านเอาเองจากในการ์ตูน เดี๋ยวเล่าแล้วจะไม่หนุกฉิบ
ถึงเนื้อหาจะว่าด้วยการเข้าไปทำงานในร้านอาหารอิตาลี ซึ่งโคตรจะไกลตัวเราเลย
แต่จะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ย่อยง่ายมาก และอ่านสบายอยู่กึ่งกลางระหว่าง BECK กับ Bakuman ครับ
ดังนั้นถ้าใครรู้สึกว่าเฮ้ย ชีวิตกูหมดไฟ หรือใครเพิ่งเรียนจบ (พระเอกในเรื่องเริ่มต้นตอนอยู่มหาลัยปี 3)
จงหามาอ่าน แล้วน่าจะจูนทิศทางชีวิตของตัวเองได้เลย
ผมนั้นนับถือการ์ตูนเสมอ ไม่ว่ามันจะไร้สาระหรือปัญญาอ่อนสักแค่ไหน ไม่เคยมองมันเป็นขยะเลย
ตราบใดที่คนเขียนใส่ใจกับเนื้องาน มันดูออกนะ (คือในบ้านเรามันมีแนวๆ ตีหัวเข้าบ้านอยู่ก็ไม่น้อย)
.. อ้อมไปไกลตามเคย ลูกร้องแล้ว เข้าเรื่องได้
ในเล่มแรกๆ นั้นพระเอกต้องรับภาระเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในการทำอาหารมือใหม่สุดๆ เลย
แล้วอีพ่อครัวนี่แม่งทำงานเร็วมาก เซียนมาก เก๋ามาก แต่เหยียดหยามพระเอกฉิบหายเลย เพราะมันกากไง
ถึงจะเจ็บใจ แต่ไอ้พระเอกมันก็อยากเก่งแบบนั้น อยากไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นมั่งไง แต่ทำไงก็ไวไม่เท่าสักที
จนแม่ครัวสาวในร้านก็หันมาเตือนว่า “หร่อนน่ะเคลื่อนไหวแบบไร้ประโยชน์มากเกินไป”
ฉึก!
พระเอกหันไปดูอีพ่อครัวคนนั้น หันมาทีจับกระทะ หันไปหยอดเห็ดงี้ มันขยับตัวทุกอย่างแบบมีคุณค่าหมดเลย
เลยเกิดปัญญาขึ้นมา และพยายามพัฒนาตัวเองตาม
…
แต่ประเด็นคือ ผมดันไปชอบประโยคที่บอกว่าเป็ฯการขยับตัวที่ไม่มีประโยชน์นั่นจังเลยครับ
เห็นตัวเองเลยว่าก่อนหน้านี้หลายๆ ปี เราขยับตัวแบบไร้ประโยชน์มานานมากๆ
เอาเวลาไปทำนั่นนี่ที่ เออ ทำไปทำไมวะ ทำแล้วได้อะไรวะ มัน “ได้อะไรกลับมาบ้าง” วะ
ที่จริงก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะวัยรุ่นที่ไหนก็ทำกัน เวลาว่างเหลือมากมาย ตังค์ถึงมีน้อยหน่อยแต่ก็ไม่ได้รีบ
เพราะพ่อแม่ก็มีให้เกาะแดก คือชีวิตไม่ได้ต้องต่อสู้อะไรนักไง ยังไมได้ข้ามมาสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มๆ ตัว
แล้วก็นึกย้อนไปถึงเรื่องบันไดสามขั้น (อีกแล้ว) .. เรียนจบ / แต่งงาน / มีลูก นี่ผมมาถึงขั้นที่สามแล้ว
ทำให้พบคำตอบที่เมื่อก่อนสงสัยมานาน หลายๆ เรื่อง ที่วัยรุ่นไม่เคยเข้าใจ พอมาถึงตรงนี้แล้วมันเก็ตเองนะ
สิ่งเหล่านั้นผมเรียกเหมาๆ รวมๆ (อาจจะไม่ครอบคลุมแต่นึกได้ตอนนี้) ว่ามันคือผลประโยชน์
มันคือโลกของความเห็นแก่ตัว การทำอะไรแล้วจะต้องไม่สูญเปล่า หรืออย่างน้อยก็ต้องหวังอะไรกลับมา
ขนาดเป็นงานฟรี งานขำๆ สนุกๆ แต่ในหัวมันก็จะคิดแล้วว่าเสร็จงานนี้จะมีอะไร “คืนมา” สู่เราบ้าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก่อนหน้านี้เราไม่เคยมี ไม่เคยเป็นมาก่อน
อย่างเช่นถ้าจะทำฟอนต์เล่นๆ ขึ้นมาอีกหลายๆ ตัว คือเราอยากมากเลยนะ เป็นความอยากที่อัดอั้นมากๆ
แต่ข้ออ้างก็มีมากมาย เช่นถ้ามีอะไรที่ทำแล้วได้ตังค์ (หรือได้หน้าตา) กว่า เราก็พร้อมจะทิ้งสิ่งที่รักนี้ไป
โดนกระบี่กลืนกินจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ..
แต่ก็รู้ตัวนะ และไม่ได้ขึงขังว่าจะต้องฝืนต่อต้านหรือโอนอ่อน
ตราบใดที่เราก็ยังเป็นเราอยู่อย่างนี้ มันจะมีเส้นบางๆ ที่เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นคนที่เหี้ยไง
เพราะเราเคยเจอผู้ใหญ่ที่เหี้ยมากๆ มา แล้วเราคันมาก คันตีนมากๆ และตั้งใจว่ากูจะไม่เป็นอย่างมึงเด็ดขาด
แต่ทั้งนี้เราก็ยังนึกประคับประคองการเคลื่อนไหวของตัวเอง
ให้ไม่มีประโยชน์เสียบ้าง —- จะพูดให้ชัดว่านั้นก็คือ จะเคลื่อนไหวแบบไม่มีผลประโยชน์เสียบ้าง
เขียนปักหมุดไว้เพื่อคุยกับตัวเอง ผมให้เวลากับตัวเองไว้ระยะหนึ่ง ตอนนี้ความอึดอัดนั้นยังแค่ปริ่มๆ
ตั้งใจว่าถ้ามันเกินเส้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาเคลื่อนไหวแบบไร้ผลประโยชน์ ..แต่โคตรมีความสุขอีกครั้ง