ต้มไข่ด้วยเตาไมโครเวฟ

เคยได้ยินมานานว่า “ห้ามต้มไข่ในเตาไมโครเวฟ เพราะมันจะระเบิด”

ด้วยความไม่เคยต้องสงสัยอะไร ก็เลยไม่ต้ม เอาจริงๆ คือไม่ได้ชอบกินไข่ต้มเป็นพิเศษอยู่แล้ว ตอกดิบๆ ใส่ใส่มาม่า แล้วโยนลงไปในเตายังจะถนัดกว่า ประสาคนขี้เกียจแม้แต่จะจุดเตาแก๊ส

แต่วันนี้ลูกสาวบอกว่าอยากกิน (พ่อทำไข่น้ำให้เอาไหม — ไม่เอา ทานจะกินไข่ต้ม)

ส่วนเมียก็ยุ่งอยู่ชั้นบน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า #พ่อบ้านใจกล้า จากทั่วโลกคงเคยเจอสถานการณ์บีบบังคับนี้มาบ้างแหละ ก็เลยเปิดตู้เย็น และปรึกษากูเกิล ได้คำตอบมาประมาณนี้

  1. อย่านะครับ ของผมนี่ระเบิดตูม ฝาหน้าไมโครเวฟหลุดกระจายมาแล้ว
  2. ไม่ได้ยากอะไรหรอก แต่ต้องจ้องดีๆ ถ้ามันทำท่าจะระเบิด ให้รีบกดปิดทันที (แม่งใครจะไปกล้าจ้องวะ)
  3. ของเราใส่น้ำให้ท่วมไข่ แต่พอทำออกมาแล้วตอกดู มันมาระเบิดข้างนอก เต็มหน้าเลย ร้อนมาก
  4. เคยมีเคสที่ต่างประเทศ การระเบิดของไข่นี่แหละทำให้คนที่ทำเกือบตาบอด เพราะเปลือกไข่ร้อนๆ ที่พุ่งเข้ามาแรงๆ มันคือสะเก็ดระเบิดดีๆ นี่เอง
  5. ฯลฯ

เหี้ยแล้วไหมล่ะ กำลังใจแต่ละอย่างมาเต็ม

แต่กระนั้นก็ต้องมีคนที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ผมเลยทำเป็นลืมข้อมูลเชิงลบจากพวกนู้บข้างบน แล้วหาข้อมูลจนสรุปออกมาได้วิธีการดังนี้

  1. เทน้ำใส่ถ้วยในปริมาณเยอะพอที่จะท่วมเหนือไข่สัก 1 นิ้ว (ไข่ไก่นะไม่ใช่อัณฑะ …ถ้าอัณฑะนี่ สูงขึ้นมา 1 นิ้วก็คงอยู่กลางดงหมอย) เอาไปต้มให้ร้อนก่อน นี่ถามจริงๆ ว่าแกจะให้ต้มทำไมในเมื่อนี่คือหลักสูตรการใช้ไมโครเวฟ งี้ถ้ารักจะต้มกิน แค่เอาไข่โยนลงไปด้วยก็จบแล้วเนอะ อีบ้า (ดังนั้นผมเลยเอาน้ำเปล่าไปเวฟ 1.30 นาที ได้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อน
  2. โยนไข่ลงไปแล้วตรวจสภาพ ต้องแน่ใจว่าน้ำท่วมไข่นะ ถ้าไข่ลอยห้ามดื้อดึงทำต่อ ระเบิดแน่ คือต้องจมน้ำเท่านั้น (แนะนำแบบคนที่ไม่เคยทำอ่านแล้วเสียวมาก) แช่ไว้ประมาณ 2 นาที (ทำไมนาน)
  3. เสร็จแล้วลากทุกอย่างไปเข้าเตาไมโครเวฟ เลือกความร้อนสูงสุด 5 นาทีสำหรับไข่ยางมะตูม และ 7 นาทีสำหรับไข่สุก
  4. เมื่อได้ยินเสียงติ๊ด (บางบ้านก็ปี๊บ บางบ้านก็นิ้งหน่อง แต่นั่นใช่เรื่องที่จะใส่ใจไหม ก็ไม่นะ) ให้เอาออกมาแช่น้ำเย็นด้วย ไม่งั้นระเบิดใส่หน้า (มีการขู่ปิดท้ายอีก สัสเอ๊ย)

อีกแหล่งข้อมูลนึงบอกว่า ไม่เห็นยากเลย ใส่เกลือลงไปในน้ำ 1 ช้อนชา (ไม่ได้บอกปริมาตรน้ำ) แล้วเวฟตามปกติ โซเดียมในเกลือจะทำให้การสั่นเทิ้มของแอมปลิจูดส้มตำอะไรสักอย่างที่เป็นภาษาวิชาการสารประกอบทางเคมี อันนี้ผมอ่านข้ามไปอย่างไม่ไยดี สรุปว่ามึงใส่เกลือก็พอ

ด้วยความเป็นมือใหม่ เลยเอาสองวิธีมาปนกันแม่งเลย และไหนๆ ก็ขอทดลองทีเดียว 3 ฟองดังนี้

20150419_154540

ขอแนะนำตัวละครทั้งสาม: ไพโรจน์ผู้เป็นไข่เบอร์ 0 ส่วนฉวีวรรณและอุไรรัตน์ เธอเป็นไข่เบอร์ 4 ที่ซื้อมาหลังสงกรานต์จากแผงหน้าร้าน CP (เขาลดราคาเธอทั้งสองเหลือแค่กระบะละ 69 บาท ก็ตกฟองละ 2 บาทนิดๆ เอง)

ทีแรกจะลองแค่ 2 ฟอง คือไพโรจน์กับฉวีวรรณ แต่พอแช่น้ำร้อนไปได้สัก 30 วินาที ก็สังเกตพบปัญหาคือ ฉวีวรรณเธอมีฟองพรายผุดออกมา เอ๊ะ ไข่รั่ว หรือมีรอยร้าว หรือเธอต้องการเรียกร้องความสนใจกันแน่ ผมเลยไปเปิดตู้เย็น เรียกอุไรรัตน์ลงมาออนเซ็นอีกฟอง

20150419_154258

ก็นั่นแหละครับ ด้วยความป๊อด ผมเลยทำทุกวิธีทางที่กูรูแนะนำมา คือใส่เกลือด้วย ต้มน้ำร้อนก่อนด้วย แล้วค่อยเอาไปเวฟด้วยใจระทึก ระหว่างนี้ก็บอกลูกสาวให้ไปหลบหลังบังเกอร์ แล้วอีพ่อมาเกาะดูห่างๆ อย่างห่วงๆ เหงื่อเริ่มซึมตามง่ามนิ้วมือ อ้อ ผมตั้งเวลาไว้ 4 นาทีเท่านั้นเอง กะว่าถ้าระเบิดตูมขึ้นมา ลูกจะได้ปลอดภัย พรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียนวันแรกด้วย (อีพ่อก็คาดว่าอีหวีวรรณมึงตูมแน่ แววมึงมาตั้งแต่แช่นำ้แล้ว)

หลังจากนาฬิกาเดินผ่านไปอย่างเยือกเย็น ในที่สุดก็ครบ 4 นาทีแห่งความทรมาน ผมเชิญทั้ง 3 ออกมาจากห้องเซาน่า แล้วตรวจดูสภาพ

20150419_154421

นั่นไง อีหวี ปริเชียวนะแก นี่แกเตรียมเปลี่ยนเป็นร่างสามแล้วสิ!

เอ้า ย้ายลงไปแช่น้ำก๊อกธรรมดา (นี่ก็เพราะความป๊อด เขาบอกอะไรมานิดๆ หน่อยๆ ก็เชื่อหมด อารมณ์คนมีญาติเป็นมะเร็งแล้วโดนหมอผีหลอกให้กินยาหม้อ) เสร็จแล้วจัดการใช้มีดผ่าออกมาดูผลการทดลองเลยทั้งสามฟอง

20150419_154846

ไพโรจน์: สุกสนิท แบบนี้เหมือนไข่ต้มเซเว่น ซึ่งโอเค นั่นแสดงว่าการแช่น้ำร้อน 2 นาทีแรก ทำให้แกสุกจนเวลดัน

20150419_155007

อุไรรัตน์: เป็นไข่ยางมะตูมพอดี!!! ยูเรก้า!!! นิทานชอบกินเยิ้มๆ แบบนี้เลย แล้วเซเว่นนะ แม่งขายแพงมาก ทั้งที่ทำเองได้ แค่เสี่ยงระเบิดนิดเดียวเอง งั้นนิทานรอพ่อแป๊บนะ ขอถ่ายมาโซเชียลก่อน

20150419_155255

ขอดูอุไรรัตน์อีกมุมนึง อื้อหือ เซ็กซี่สุดๆ!

ส่วนฉวีวรรณที่น่าเป็นห่วง ผมเอามาเคาะๆ ถอดเสื้อผ้าดู ก็พบว่ามีความสุกประมาณไพโรจน์ (เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อนเหมือนกัน) ซึ่งแสดงว่าการที่ไข่มีฟองอากาศตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้มีผลอะไรนัก สบายใจ ไม่ใช่ไข่เน่าอย่างที่คิด (เพราะมันจมน้ำด้วยแหละ)

แต่ไม่ทันได้ถ่าย เพราะนิทานทนหิวไม่ไหว เลยคว้าไปกิน …ก็พ่อมัวแต่เล่นอยู่ได้

.

สรุปผลการทดลอง: โลกโซเชียลทำให้เสียเวลาทำมาหากิน

[คุยกันท้ายเล่ม] แซลมอนบุ๊คส์กับข้าพเจ้า

งานหนังสือผ่านไปครึ่งทางแล้ว ยังไม่ได้เขียนถึง “ศิลป์ซิตี้” เลย ถ้าเป็นคนรู้จักวางแผนและขายของเก่งๆ มึงควรเขียนให้เสร็จตั้งแต่ก่อนงานนะ 5555

พอดีเรื่องเล่ามันเยอะจนตัดสินใจไม่ลงว่าจะหยิบเม็ดไหนมาพูดถึงก่อนดี แต่ไหนๆ พอเขียนช้าแล้ว ก็ตั้งใจเขียนไปเลยละกัน จึงขอใช้ย่อหน้าถัดจากนี้ไป เล่าย้อนถึงชีวิตตัวเองที่ได้มีโอกาสโคจรเข้ามาเจอสำนักพิมพ์แซลมอน (ที่กดลิงก์เว็บหลักตอนนี้เจอแต่รายการหนังสือระลอกก่อน ส่วนของใหม่คงพร้อมโชว์หลังงานฯ) และได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน (พูดแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้กับ บ.ก.) แต่ยาวนะ บอกไว้ก่อนเลย เอาเลยนะ โอเคนะ

salmonbooks / iannnnn

นับถึงตอนนี้ผมทำหนังสือร่วมกับสำนักพิมพ์แซลมอนมา 3+1 เล่มแล้วครับ (+1 คือเล่มเหลืองๆ ข้างบนที่ออกในนามเฟลาธิการ ส่วนเล่มอื่นใช้ชื่อ iannnnn) โดยสามารถไล่เรียงไทม์ไลน์ และเล่าเรื่องที่หลังเล่มที่ผ่านมาในมุมมองของคนเขียนได้ดังนี้…

Continue reading [คุยกันท้ายเล่ม] แซลมอนบุ๊คส์กับข้าพเจ้า

ยูจะไลก์หรือไม่ไลก์ ไอก็กลับมาแล้ว

ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ อยู่ดีๆ ก็นึกสนุก เขียนบล็อกลุยๆๆ ตูมๆๆ เกือบทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่กลับมาอ่านแล้วก็ไม่เสียดายที่ยังเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากเขียน (ซึ่งต่างจากการเขียนเพื่อให้คนอ่าน)

แต่แล้ว มรสุมแซลมอนก็พรากเวลาว่างในชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวไป 1 เดือนกว่าๆ เรียกได้ว่ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ตารางงานแน่นเอี้ยด จนคนรอบกายแซะกันว่า ไหนล่ะความเป็นมนุษย์ชิลของมึง

ถึงกระนั้น เมื่อพายุงานที่ถ่าโถมได้พัดผ่านไป ตอนนี้ฟ้าใสแล้วครับ ถึงจะสีออกเหลืองหน่อยๆ ก็เถอะ แต่แอนกลับมาแล้ว เป็นนิวแอน ที่จะมาหัดวาดภาพสีน้ำ จะมาเขียนการ์ตูนปัญญาอ่อนเล่น จะมานอนอ่านการ์ตูน จะไปปั่นจักรยานเล่น จะไปขูดหินปูน

และที่สำคัญ จะได้กลับมาอยู่กับลูกเมียเหมือนเคย (ให้นึกภาพว่าช่วงกลางกุมภาฯ เป็นต้นมา เมียผมหอบลูกไปอยู่บ้านตายายมากกว่าอยู่บ้านตัวเอง ที่ทำแบบนี้เพื่อหลีกทางให้ตัวพ่อทำงานได้สะดวก ซึ่งนี่มันบาปมาก พรากลูกเมียของคนอื่นน่ะ มันบาป!)

แล้วทุกอย่างก็จบลง เมื่อคืนนี้เอง

แน่นอนว่าลูกเมียอยู่บ้านตายายเหมือนเดิม ส่วนเราแวะไปสำนักพิมพ์ หอบคอมไปด้วย และจัดการทุกอย่างให้สะเด็ดน้ำในตีสาม จึงขับรถกลับถึงบ้านภายใน 20 นาที (ปกติการฝ่ารถติดไปสำนักพิมพ์นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ชั่วโมงกว่า) แล้วอาบน้ำนอนอย่างสบายใจ

ตื่นมาก็ช่วยเมียทำงานเหมือนเดิม คือกิจการครอบครัวน่ะยังเต็มมือและเต็มเวลาเหมือนเดิม แต่เป็นตารางเวลาชีวิตปกติ ไม่ได้สวิงอย่างเปรตเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว ตาแม่งบวมสลับซ้ายขวาทุกครั้งที่โต้รุ่งเลยครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้เลยทำให้ผมนึกสนุก อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังของหนังสือตัวเองที่เคยทำมากับสำนักพิมพ์นี้ ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้ตัวเองลืมซะเอง …เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะทยอยเล่าทีละเล่มละกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ลืมน่ะนะ เคนะ

.

ป.ล.
ทีแรกว่าจะเขียนบ่นเรื่องข่าวคราวรกสมองประจำวันที่ลามไปทั่วโซเชียล แต่ไม่ไหวจริงๆ เพราะพอตัวเองจดจ่อกับการทำงาน เลยมารู้ข่าวเอาทีหลังชาวบ้านเสมอ ตั้งแต่อีคุกกี้ เพจพยาธิดูดคลิปมาหากิน ฯลฯ (รวมถึงน้องอลิซด้วย แต่คนนี้เราดูแค่พอหื่น ไม่ได้ตามเท่าน้องมุกกี้ แต่พูดก็พูดเถอะ น้องจินเจ๋งสุด) (นี่ไงล่ะสาเหตุที่แท้จริงของการโดนเมียหอบลูกหนี) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดถึงสั้นๆ ละกันว่ากูเหนื่อยจะตามพวกมึงแล้วโว้ย แม่งไม่เกี่ยวห่าอะไรกับชีวิตเลย แต่ต้องตามเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่นว่ากูก็ทันข่าวเหมือนมึงนะ อีห่า เนื้อยเหนื่อย จะลาออกจากโซเชียลก็ยังกิเลสหนาเกินไป ก็บ่นไปแบบไร้คุณค่าทางโภชนาการใดๆ งี้ไปละกัน

.

ป.อ.
หนังสือเล่มที่เพิ่งส่งทุกอย่างเสร็จไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหา’ลัยศิลปะแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง ที่ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนและพบความเปรตมา (ตามหลักแล้ว คำว่ามหาลัยต้องมีเครื่องหมายอะโพ้ดโซฟี่ด้วยนะ ต่อไปจะหัดเขียนให้ถูกถึงจะไม่ชินเองก็เถอะ) ซึ่งเล่มนี้วาดเป็นการ์ตูน และตอนทำก็ชอบมากที่ส… เฮ้ยพอๆ เดี๋ยวค่อยเขียนเต็มๆ แต่ดูทีเซอร์ก่อนที่โพสต์นี้ของสำนักพิมพ์นะ

.

ป.ฮ.
แด่เพื่อนนักเขียนทุกท่านทั้งร่วมค่ายและต่างค่ายที่ยังปิดเล่มไม่เสร็จ


ข้อความด้านหลังนั่นตัดมาจากหนังสือเล่มนี้นะ ไม่ใช่อีกายพูดเอง แต่จริงๆ มันก็คือคำพูดจากใจของอีกายนั่นแหละ

แค่พูดว่า

theboykee-full

แนะนำให้เปิดทำนองแล้วอ่านเนื้อตาม ร้องเสียงบีบๆ ตามแบบบอยตรัยนะครับ

.

ฉันนั่งอยู่ตรงที่เดิม เวลานี้
ทุกอย่างก็ยังดูคล้ายๆ เดิม แต่ไม่ดี

ในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างไน
มีใครมารออยู่ท่าทาง
จะราดแล้ว เคาะรัวโป้งป้าง
ประตูกั้นกลางระหว่างเธอและฉัน
รอเพียงเวลาเท่านั้น
ราวกับความฝันที่มันอ้างว้าง

แค่พูดว่ารอก่อน ทำไมยากอย่างนี้
อยากบอกเธอว่าเดี๋ยวสิ แค่นี้ยังพูดไม่ไหว
เพิ่งโดนส้มตำปู นี่กูก็เพิ่งอุ๊จไม่เท่าไหร่
ต่อให้เจ็บก็ต้องฝืน ไม่มีทางอื่นใช่ไหม
แค่รอคิวเดียว จะเบ่งให้ส้วมกระจุยกระจาย
แต่มึงต้องรอก่อน

ใกล้แต่ทำไมเหมือนหัวใจช่างห่างไกล
เหมือนเพลงที่รอเพียงให้ถึงท่อนสุดท้าย

ในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างใน
รู้ไหม เข้าใจเธอทุกอย่าง
เธอก็นะ เห็นใจฉันบ้าง
ยิ่งโครมยิ่งคราง
แต่พอเธอรัวแล้วฉัน ขี้หดหมดเลยซะงั้น
ราวกับกดดันให้มันอ่างอ๊าง

แค่พูดว่ารอก่อน ทำไมยากอย่างนี้
อยากบอกเธอว่าชั้นสี่ ก็มีนะห้องน้ำชาย
ห้องนี้ขอกูก่อน จะทุบห้องแบบนี้ถึงเมื่อไหร่

ต่อให้ขี้แตกก็ต้องฝืน ได้ดูคนยืนขี้ไหล
แค่คิวคิวเดียว มึงอยากจะเร่งก็ทำต่อไป

แค่คำคำเดียว แต่ก็ไม่กล้าพูดมันออกไป
แค่คำว่ากูก่อน