ยูจะไลก์หรือไม่ไลก์ ไอก็กลับมาแล้ว

ตั้งแต่ช่วงก่อนปีใหม่ อยู่ดีๆ ก็นึกสนุก เขียนบล็อกลุยๆๆ ตูมๆๆ เกือบทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แต่กลับมาอ่านแล้วก็ไม่เสียดายที่ยังเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากเขียน (ซึ่งต่างจากการเขียนเพื่อให้คนอ่าน)

แต่แล้ว มรสุมแซลมอนก็พรากเวลาว่างในชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวไป 1 เดือนกว่าๆ เรียกได้ว่ากระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย ตารางงานแน่นเอี้ยด จนคนรอบกายแซะกันว่า ไหนล่ะความเป็นมนุษย์ชิลของมึง

ถึงกระนั้น เมื่อพายุงานที่ถ่าโถมได้พัดผ่านไป ตอนนี้ฟ้าใสแล้วครับ ถึงจะสีออกเหลืองหน่อยๆ ก็เถอะ แต่แอนกลับมาแล้ว เป็นนิวแอน ที่จะมาหัดวาดภาพสีน้ำ จะมาเขียนการ์ตูนปัญญาอ่อนเล่น จะมานอนอ่านการ์ตูน จะไปปั่นจักรยานเล่น จะไปขูดหินปูน

และที่สำคัญ จะได้กลับมาอยู่กับลูกเมียเหมือนเคย (ให้นึกภาพว่าช่วงกลางกุมภาฯ เป็นต้นมา เมียผมหอบลูกไปอยู่บ้านตายายมากกว่าอยู่บ้านตัวเอง ที่ทำแบบนี้เพื่อหลีกทางให้ตัวพ่อทำงานได้สะดวก ซึ่งนี่มันบาปมาก พรากลูกเมียของคนอื่นน่ะ มันบาป!)

แล้วทุกอย่างก็จบลง เมื่อคืนนี้เอง

แน่นอนว่าลูกเมียอยู่บ้านตายายเหมือนเดิม ส่วนเราแวะไปสำนักพิมพ์ หอบคอมไปด้วย และจัดการทุกอย่างให้สะเด็ดน้ำในตีสาม จึงขับรถกลับถึงบ้านภายใน 20 นาที (ปกติการฝ่ารถติดไปสำนักพิมพ์นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็ชั่วโมงกว่า) แล้วอาบน้ำนอนอย่างสบายใจ

ตื่นมาก็ช่วยเมียทำงานเหมือนเดิม คือกิจการครอบครัวน่ะยังเต็มมือและเต็มเวลาเหมือนเดิม แต่เป็นตารางเวลาชีวิตปกติ ไม่ได้สวิงอย่างเปรตเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว ตาแม่งบวมสลับซ้ายขวาทุกครั้งที่โต้รุ่งเลยครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้เลยทำให้ผมนึกสนุก อยากเขียนเล่าเรื่องเบื้องหลังของหนังสือตัวเองที่เคยทำมากับสำนักพิมพ์นี้ ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้ตัวเองลืมซะเอง …เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะทยอยเล่าทีละเล่มละกัน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้มะรืนนี้ ถ้าไม่ลืมน่ะนะ เคนะ

.

ป.ล.
ทีแรกว่าจะเขียนบ่นเรื่องข่าวคราวรกสมองประจำวันที่ลามไปทั่วโซเชียล แต่ไม่ไหวจริงๆ เพราะพอตัวเองจดจ่อกับการทำงาน เลยมารู้ข่าวเอาทีหลังชาวบ้านเสมอ ตั้งแต่อีคุกกี้ เพจพยาธิดูดคลิปมาหากิน ฯลฯ (รวมถึงน้องอลิซด้วย แต่คนนี้เราดูแค่พอหื่น ไม่ได้ตามเท่าน้องมุกกี้ แต่พูดก็พูดเถอะ น้องจินเจ๋งสุด) (นี่ไงล่ะสาเหตุที่แท้จริงของการโดนเมียหอบลูกหนี) แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดถึงสั้นๆ ละกันว่ากูเหนื่อยจะตามพวกมึงแล้วโว้ย แม่งไม่เกี่ยวห่าอะไรกับชีวิตเลย แต่ต้องตามเพื่อให้มีเรื่องพูดกับคนอื่นว่ากูก็ทันข่าวเหมือนมึงนะ อีห่า เนื้อยเหนื่อย จะลาออกจากโซเชียลก็ยังกิเลสหนาเกินไป ก็บ่นไปแบบไร้คุณค่าทางโภชนาการใดๆ งี้ไปละกัน

.

ป.อ.
หนังสือเล่มที่เพิ่งส่งทุกอย่างเสร็จไปนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหา’ลัยศิลปะแห่งหนึ่งย่านท่าช้าง ที่ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนและพบความเปรตมา (ตามหลักแล้ว คำว่ามหาลัยต้องมีเครื่องหมายอะโพ้ดโซฟี่ด้วยนะ ต่อไปจะหัดเขียนให้ถูกถึงจะไม่ชินเองก็เถอะ) ซึ่งเล่มนี้วาดเป็นการ์ตูน และตอนทำก็ชอบมากที่ส… เฮ้ยพอๆ เดี๋ยวค่อยเขียนเต็มๆ แต่ดูทีเซอร์ก่อนที่โพสต์นี้ของสำนักพิมพ์นะ

.

ป.ฮ.
แด่เพื่อนนักเขียนทุกท่านทั้งร่วมค่ายและต่างค่ายที่ยังปิดเล่มไม่เสร็จ


ข้อความด้านหลังนั่นตัดมาจากหนังสือเล่มนี้นะ ไม่ใช่อีกายพูดเอง แต่จริงๆ มันก็คือคำพูดจากใจของอีกายนั่นแหละ

แค่พูดว่า

theboykee-full

แนะนำให้เปิดทำนองแล้วอ่านเนื้อตาม ร้องเสียงบีบๆ ตามแบบบอยตรัยนะครับ

.

ฉันนั่งอยู่ตรงที่เดิม เวลานี้
ทุกอย่างก็ยังดูคล้ายๆ เดิม แต่ไม่ดี

ในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างไน
มีใครมารออยู่ท่าทาง
จะราดแล้ว เคาะรัวโป้งป้าง
ประตูกั้นกลางระหว่างเธอและฉัน
รอเพียงเวลาเท่านั้น
ราวกับความฝันที่มันอ้างว้าง

แค่พูดว่ารอก่อน ทำไมยากอย่างนี้
อยากบอกเธอว่าเดี๋ยวสิ แค่นี้ยังพูดไม่ไหว
เพิ่งโดนส้มตำปู นี่กูก็เพิ่งอุ๊จไม่เท่าไหร่
ต่อให้เจ็บก็ต้องฝืน ไม่มีทางอื่นใช่ไหม
แค่รอคิวเดียว จะเบ่งให้ส้วมกระจุยกระจาย
แต่มึงต้องรอก่อน

ใกล้แต่ทำไมเหมือนหัวใจช่างห่างไกล
เหมือนเพลงที่รอเพียงให้ถึงท่อนสุดท้าย

ในห้องน้ำ ฉันอยู่ข้างใน
รู้ไหม เข้าใจเธอทุกอย่าง
เธอก็นะ เห็นใจฉันบ้าง
ยิ่งโครมยิ่งคราง
แต่พอเธอรัวแล้วฉัน ขี้หดหมดเลยซะงั้น
ราวกับกดดันให้มันอ่างอ๊าง

แค่พูดว่ารอก่อน ทำไมยากอย่างนี้
อยากบอกเธอว่าชั้นสี่ ก็มีนะห้องน้ำชาย
ห้องนี้ขอกูก่อน จะทุบห้องแบบนี้ถึงเมื่อไหร่

ต่อให้ขี้แตกก็ต้องฝืน ได้ดูคนยืนขี้ไหล
แค่คิวคิวเดียว มึงอยากจะเร่งก็ทำต่อไป

แค่คำคำเดียว แต่ก็ไม่กล้าพูดมันออกไป
แค่คำว่ากูก่อน

เอาซะหน่อย

ที่มาของภาพจากข่าวนี้ครับ: ‘ประยุทธ์’สวมชุดข้าราชการครั้งแรก

.

.

เป็นภาคต่อจากอันนี้นะ

ถ้าไม่รอดยังไงก็เตรียมพบ iannnnn.com V2 ครับ

ฉันมันไม่มีวาดสนา

จากบล็อกที่แล้วที่พร่ำบ่นว่าอยากหัดวดรูปและระบายสีน้ำ

อันนั้นยังไม่ได้เล่าย้ำอีกทีว่าที่ผมชอบวาดการ์ตูนนั่นนี่ คือวาดแบบการ์ตูนที่เป็นการ์ตูนจริงๆ ว่ากันตรงๆ คือขาดทักษะพื้นฐาน แต่มาถึงก็วาดเลย อันนี้หลายคนก็เป็น

โอเค ของผมอาจจะเอามาทำมาหากินได้ตังค์จากการวาดมาพอสมควร แต่คนจ้างน่าจะไม่รู้หรอกว่าแกเผลอมาจ้างคนที่วาดไม่เป็นกระทั่งรูปผู้หญิง รูปคน (แบบที่เป็นคนจริงๆ) รูปรถ รูปต้นไม้ หรือแม้กระทั่งรูปบ้าน!

ถาม: แล้วมึงเรียนจบสถาปัตย์มาได้ยังไง
ตอบ: จบได้ครับ เพียงคบเพื่อนเก่งๆ ไว้ แล้วตลกแดกเนียนเป็นคนออกแบบพรีเซนเทชันตอนทำงานกลุ่มด้วยกันไงล่ะ พอปีท้ายๆ ที่มีงานกลุ่มเยอะกว่างานเดียว เกรดก็เลยสูงเอาๆ ยังกะเด็กเรียน (คือนี่มองจากมุมผมนะ ได้ 2.50+ ก็เหมาว่าเป็นเด็กเรียนแล้ว เพราะปีแรกๆ นี่โฉบ 2.00 เป็นเรื่องธรรมดา 55555)

ทีนี้ตอนปีหนึ่งมันมีวิชา Architectural Presentation ทั้งเทอมต้นและเทอมปลาย โดยเทอมต้นเขาให้วาดและนำเสนอสถาปัตย์ด้วยดินสอ เทอมนั้นผมได้ D+ พร้อมผลงานที่โดนอาจารย์เอาไปหัวเราะเยอะ (ใช้คำนี้ถูกแล้ว) หน้าชั้นเรียนเกินครึ่งของผลงานทั้งหมดที่ส่งไป

ส่วนเทอมหลังเป็นภาคต่อวิชาที่ใช้ชื่อเดียวกัน ภาคนี้โทนี่สตาร์กเปลี่ยนมาใช้สีน้ำ ซึ่งความเหี้ยก็คือ ผมไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่เสี้ยวขนปลายหำหมา

ย้อนกลับไป ม.ต้นซึ่งเป็นวิชาศิลปะ (ผมเรียนสายวิทย์) จำได้ว่าทั้งเทอม “อาจารย์ไม่เข้าสอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว” …งงไหมครับ มาคิดดูทีหลังแม่งเหี้ยมาก แต่ตอนนั้นแฮปปี้มาก เพราะได้วิชาว่างมาหนึ่งคาบฟรีๆ แต่ก็นั่งอ่านการ์ตูน ยืมเกมเพื่อนมาเล่นในห้องจนหมดเวลานะ ไม่ได้ออกไปเสพยาบ้าหลังห้องน้ำ เพราะผมเป็นเด็กเนิร์ด แต่นั่นก็ทำให้มารู้ทีหลังว่าเราพลาดโอกาสหัดวาดรูปด้วยสีน้ำ ซึ่งต่อไปมึงจะต้องเอามาใช้ตอนเข้ามหาลัยปีหนึ่งเทอมสองนะโว้ย

ตัดภาพกลับมาที่ไอรอนแมนภาคสอง อาจารย์ให้โจทย์มา ผมหันไปมองเพื่อนๆ ที่นั่งวาดกัน เฮ้ย ทำไมมันคล่องกันจังวะ ตวัดพู่กันป๊าบ สวยเลย คนนี้ยิ่งเทพ คนนั้นมีเทคนิคเซียน เลยถามๆ ดู ก็ได้คำตอบว่า บางคนฝึกตอนมาติว (ผมมาจากบ้านนอก ไม่รู้ว่าโลกนี้มีการมีติวเข้าคณะนี้ด้วย) บางคนเรียนตอน ม.ปลาย บางคนหัดเอง (อันนี้น่านับถือ) ฯลฯ

ที่จริงผมไม่ควรจะมาบ่นโทษระบบการศึกษาหรอก เพราะคนหัดเองก็มี แล้วก็ทำได้ดีด้วย แต่มึงไม่พยายามเอง ทำมาย้อนอดีตโทษนั่นโทษนี่ ไอ้บ้าเอ๊ย 555

เอาเป็นว่าเทอมนั้นเกรดผมได้ C+ ทั้งๆ ที่งานเหี้ยกว่าเทอมแรกที่วาดด้วยดินสออีกนะ (ไม่รู้ทำไมเกรดดีกว่า) ซึ่งนั่นก็ทำให้บางคืนผมเก็บเอาไปฝันร้ายว่าอาจารย์ท่านเดียวกันนี้มาสั่งงานวาด เพื่อนๆ วาดกันสบายมาก และผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะผสมสีให้มันไม่เน่า

ฝันด้วยพล็อตแบบนี้ติดต่อกันมาสิบกว่าปี มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ

เกริ่นมาทั้งหมดเพื่อจะปูพื้นว่า ต่อไปนี้ผมจะกำจัดฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนนั้นด้วยตัวเอง ด้วยคาถา “อยากวาด ก็วาดสิวะ”

หลังจากบ่นไปคราวก่อนแล้วว่าอยาก ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสนองความอยากครับ พอดีวันนี้ได้เข้าเมืองไปซื้อหมึกสกรีนเสื้อไว้ทำมาหากิน ก็เลยแวะ B2S เพื่อซื้ออุปกรณ์สีน้ำมา ด้วยความงูปลา ก็เลยจัดชุดที่น่าจะไม่เด็กประถมเกินไป และไม่แพงสัส (ส่วนมากจะแพงสัสนะครับพวกเครื่องเขียนศิลปินเนี่ย สมุดห่าอะไรไม่รู้เล่มเท่ากระดาษทิชชู่ แม่งเล่มละสี่ห้าร้อย นี่เขียนผิดแล้วมีปุ่ม undo ใช่ไหม)

ก่อนวงเล็บจะเยอะเกินไป ขอกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง วันนี้ก็เลยได้ชุดนี้มา

watercolor-0

  • สีน้ำแบบก้อนของ REEVES (195 บาท)
    นี่เลือกเอาจากขนาดเลยนะ ดูมันพกง่ายดี เนื้อสียังไม่รู้ ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไงว่าดีหรือไม่ดีกว่าอะไร เพราะถ้าไม่นับสมัยเรียนที่ช่างมันเถอะแล้ว นี่ก็นับเป็นการซื้อสีน้ำด้วยความเต็มใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยความน่าจะพกง่ายกว่าซื้อแบบหลอดๆ ก็เลยเลือกแบบก้อนมา อยากใช้ก็เอาพู่กันเปียกไปยีๆๆ เดี๋ยวมันก็ละลายมาเอง ง่ายดี แถม(ขายพ่วง)พู่กันแหลมๆ มาด้วย ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้ตอนไหน เพราะเรามี…
  • พู่กันแบบแทงก์ DERWENT (307 บาท …แพงสัส นี่เมียยังไม่รู้นะ)
    นี่ฉันเลือกนายเพราะอ่านบล็อกของ @hackhq (ไปไล่ดูลิงก์ได้จากบล็อกตอนที่แล้ว) แล้วเห็นว่ามันเติมเต็มสิ่งที่ขาดดี คือไม่ต้องพกน้ำไปเยอะๆ แค่มีพู่กันที่บีบตูดแล้วน้ำมันจะเยิ้มออกมาชุ่มฝีแปรงตลอดเวลา เวลาล้างสีก็แค่บีบ แล้วเอาไปป้ายกระดาษทิชชู่แบบส่งเดช เท่านี้ก็สะอาดแล้ว // ในภาพด้านบนนี่คือเพิ่งแกห่อเลย อยากฮิปสเตอร์มากก็เลยเอามาเรียงแล้วถ่ายทันที หัวมันเลยบานๆ เพราะยังแห้งอยู่
  • ปากกาหัวเข็ม Artline 0.5mm (58 บาท)
    ไม่ถนัดปากกาเส้นเล็ก เพราะไม่ชอบเขียนแบบกดน้ำหนักลงไปแรงๆ ก็เลยใช้ขนาดที่ชิน ที่จริงเวลาใช้ปากกาปกติจะชินกับไซส์ 0.7-0.8 มากกว่า แต่อันนี้น่าจะเอามาวาดและเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นกว่าไง หวังว่านะ
  • สมุดสเก็ตช์ของศิลปากร (49 บาท)
    อันนี้ซื้อจากร้านสโมของศิลปากรตั้งแต่ช่วงวันพ่อ หนีเมียไปเดินเล่นกับหนุงหนิงมา โคตรถูกเลย ถูกจนอยากจะนั่งรถไปเหมามาตุนไว้อีก 30 เล่ม (ที่จริงมีถูกกว่านี้อีกคือเล่มละ 15 บาท แต่จะบางกว่า และการเข้าเล่มจะเป็นอีกแบบ) ดีใจมากเลยที่มีร้านสโม ถึงแม้เมื่อก่อนจะเกลียดเจ้ามากขนาดไหนก็เถอะ เพราะการเข้าไปแต่ละครั้งคือการซื้ออุปกรณ์เพื่อทำงานเรียนส่งครู แล้วงานผมเหี้ยซะ 97% เลยโทษสโม (เห็นมะ นิสัย) เอาเป็นว่าใครอยากซื้อเครื่องเขียนอะไรนี่ ยอมเสียเวลาเดินทางไปศิลปากรสักหน่อย แล้วคุณจะพบว่ามันคุ้มมาก เพราะสาวโบราณน่ารัก

watercolor-2

ที่จริงให้ดูใบเสร็จนี่ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาพิมพ์ยาวแล้ว นี่อีกายรู้เข้าเดี๋ยวก็ตามมาทวงต้นฉบับอีก หาว่าเอาเวลามาเขียนบล็อกงี้

watercolor-1

เติมน้ำลงไปในพู่กัน แล้วลองยีๆ กับสีก้อน เอามาระบายๆ ดูในภาพที่เขียนไว้ก่อนหน้าสัก 10 นาที (แต่ใช้ปากกาอีกด้ามนะ อันนั้นเป็น unipin 0.8 ที่ใช้เขียนสมุดบันทึกเป็นปกติ) พบว่าเส้นสีดำมันไม่เยิ้มเข้ามา คือเป็นหมึกกันน้ำ ส่วนกระดาษนั้นก็ไม่ซึมเปื้อน อันนี้ยังไม่ได้ทดสอบมาก เพราะแต้มสีลงไปหน่อยเดียวเท่าที่เห็น เดี๋ยวครั้งหน้าถ้าได้ระบายอะไรฉ่ำๆ (อยากหัดระบายให้มันฉ่ำมากๆ ทำไม่เป็น) อาจจะเห็นมันซึมก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน

ที่แน่ๆ ความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตที่เอาพู่กันจุ่มสีมาปาดลงบนกระดาษเองด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครบังคับนั้น มันดีมาก ดีมากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆ ถึงจะสีเน่าเหมือนเมื่อก่อนในยุคที่ตัวเองเกลียดสีน้ำที่สุดในโลกยังไงยังงั้น แต่ช่างหัวอุปสรรคในอนาคตมันปะไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้เราได้เริ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหัดวาด หัดระบาย และทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ในโหมดสนุกแบบนี้เลยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเบื่อขึ้นมาวันไหน แต่วันนี้ได้เริ่มแล้ว ก็ดีแล้ว

ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่การที่คนอายุเลยสามสิบมาพอสมควร มีลูกเต้าโตงเตงพันรอบเอวและเมียใช้ไปทำนู่นนี่ตลอดเวลาแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็เพิ่งมาหัด มามีความฝันอะไรสนุกๆ แบบเด็กๆ นี่มันโคตรดีเลยนะครับ

จะว่าไป นี่คงเพราะมีตังค์แล้วด้วยแหละ 5555 ถ้าย้อนไปสมัยเรียนนะ ของเล่นราคา 5-600 บาทนี่ อย่าแม้แต่จะคิด

มีความสุขจัง คืนนี้นอนตายตาหลับละ ส่วนต้นฉบับก็ผลัดไปพรุ่งนี้ งานหนังสืออีกตั้งนาน

Sloth Machine ตอนพิเศษมาแล้วจ้ะ เชิญอ่าน

sloth-machine

ลืมกล่าวขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนสร้างพลังใจให้กับข้าพเจ้าใจการอุตริกลับมาเข้าค่ายนักเขียนกับเขาในรอบปีสองปี จนได้คลอดหนังสือ ‘Sloth Machine‘ ดังที่ได้เขียนโฆษณาไว้ในตอนที่แล้วนู้น

ซึ่งตามธรรมเนียมของหนังสือจากสำนักพิมพ์ปลาขยันนี้ เขาได้มีโครงการยุยงให้ผู้อ่านได้ไปหาเศษหาเลยกับของแถมที่อยู่บนเว็บ และเรียกมันว่า ‘Extra’ ซึ่งใครอยากอ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ได้ แต่ถ้าอ่านแล้วคงเหมือนดูหนังฮีโร่มาร์เวลแล้วนั่งรอจนหมดเครดิตท้ายเรื่อง แล้วมันจะมีเนื้อหาที่(ส่วนใหญ่จะ)คุ้มค่ากับการอั้นเยี่ยว

Sloth Machine ของข้าพเจ้าก็เช่นกัน ตัวหนังสือเล่มจริงนั้นใช้เวลาหามรุ่งหามค่ำสร้างสรรค์มันขึ้นมาโดยการฟาดแส้ทุกครั้งจากบรรณาธิการ (อีกาย) ในระยะเวลา few เดือน แต่พองานเสร็จแล้ว หนังสือวางแผงเรียบร้อยแล้ว (แต่ค่าต้นฉบับยังไม่ออก) ปรากฏว่าตอนพิเศษที่เป็นสัญญาใจนี่ …มันไม่ทวงเว้ย คือไม่ได้กำหนดเดดไลน์เลยนะ อยากทำก็ทำไป

ซึ่งการไม่มีเดดไลน์นี่ถือเป็นสิ่งอันตรายมากสำหรับอีพวกเหลวไหลอย่าง… เออ อย่างกูนี่แหละ จนคนอ่านหลายท่านเขาบ่นแล้วบ่นอีกว่าเมื่อไหร่จะมีให้อ่านซะทีวะ กดเข้าไปยัง coming soon อยู่ได้

ถ้าจะให้หาเสียงแบบพวกผู้แทนหรือศิลปินประดิษฐ์ๆ ก็จะต้องกล่าวว่า เสียงจากผู้อ่านนั้นสำคัญเสมอ กระผมจึงได้รีดเค้นเวลาว่างทุกหยาดหยดที่เหลือจากการอ่านการ์ตูนและช่วยเมียเลี้ยงลูก 2 ตัว มาเขียนตอนแถมเป็นการ์ตูนตามคำเรียกร้อง ซึ่งเวลาว่างนี่โคตรจะน้อยเลยนะครับ เพราะตอนเขียนเล่มจริงนี่ผมขออนุญาตเมียให้ช่วยรับภาระเลี้ยงลูกอ่อนไปซะเยอะ คราวนี้จึงทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูก จนวันๆ มีสภาพไม่ต่างจากมนุษย์เกษียณจริงๆ

และด้วยความตั้งใจมาตั้งนาน (ตั้งกะอีกายยังทวงต้นฉบับอยู่ยิกๆ) ว่าจะเขียนภาคเสริมของหนังสือเล่มดังกล่าว เป็นเรื่องของผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในหนังสือ นั่นคือเมีย (อ้าวฉิบหาย สปอยล์ไปแล้ว)

การ์ตูนตอนพิเศษ ‘ร้อยมาลัยนี้มาบูชาเมีย’ จึงได้ไปปรากฏโฉมบนเว็บ min.ms/SLO ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (มันต้องใช้รหัส serial ท้ายเล่มนะ ใครขี้เกียจเสียตังค์ซื้อ แนะนำให้ไปแอบดูของเพื่อนหรือตามร้านหนังสือก็ได้ แล้วถ่ายไว้กรอกในเว็บ เอ๊ะนี่มึงจะแนะนำให้ชาวบ้านเขาอ่านเถื่อนกันทำไม)

ใครอ่านจบแล้วยังอารมณ์ค้าง เชิญเสพต่อได้ แต่ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน ก็ไปซื้อซะนะครับ (ไม่โฆษณาตอนนี้แล้วจะโฆษณาตอนไหน) ท่องไว้ Sloth Machine สำนักพิมพ์แซลมอน เล่มสีเขียวๆ ถ้าหาไม่เจอถามพนักงานดูได้ ถ้าพนักงานไม่รู้เรื่องก็บอกว่านิ้วกลมเขียนไง

ป.ล.
การมีลูก 2 คนนั้นไม่ใช่แค่ยุ่งขึ้น 2 เท่านะครับ นี่นับคร่าวๆ ได้ 5 เท่า

ป.อ.
ฟีดแบ็กจากผู้อ่านส่วนหนึ่งบอกกลับมาว่า มึงไปเอาดีทางเขียนการ์ตูนเถอะ ดังนั้นเนื้อหาตอนแถมเลยเขียนเป็นการ์ตูนซะเลยไงครับ

ป.ฮ.
และเผลอๆ เล่มถัดไป (ยังไม่เข็ด!) ก็ะเขียนการ์ตูนมากกว่าเดิมด้วย คอยติดตามนะครับ ขอบพระคุณครับ (ไหว้งึกงักๆ แบบสายัณห์สัญญา)