เมื่อวานนิทานวิ่งไปฟ้องแม่ว่าน้องไม่ยอมช่วยงาน พอถามก็ได้ความดังการ์ตูนต่อไปนี้
ป.ล.คนระบายสีสี่ช่องแรกคือนิทานนี่แหละ พอถึงช่องที่ห้าก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว ทำไมมันเยอะจัง พ่อทำเองละกัน
เมื่อวานนิทานวิ่งไปฟ้องแม่ว่าน้องไม่ยอมช่วยงาน พอถามก็ได้ความดังการ์ตูนต่อไปนี้
ป.ล.คนระบายสีสี่ช่องแรกคือนิทานนี่แหละ พอถึงช่องที่ห้าก็บอกว่าเหนื่อยแล้ว ทำไมมันเยอะจัง พ่อทำเองละกัน
ไปดูหนังกับแฟนมาครับ แน่นอนครับ โอกาสพิเศษแบบนี้ทั้งที เลยไปดูลิงยักษ์ถล่มโลกมา…
เรื่องรีวิวหนังไม่ใช่งานถนัดของผม เอาเป็นว่าดูแล้วก็เออ สนุกดีละกัน (ยังยึดมั่นตำราของ บ.ก.โชเน็นจั๊มป์เสมอ ที่บอกว่าการ์ตูนมันต้องสนุก — เท่านั้นแหละ เลยยึดถือเรื่อยมาเวลาใครถามว่าเรื่องนี้เป็นไง ดีไหม ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแฝงสัญญะแมวน้ำอะไรไหม เราก็จะเหลือปัญญามาตอบได้แค่สนุกหรือไม่สนุกเท่านั้นเอง จบ)
(อ้อ แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่าดูหนังตัวอย่างเลยเหอะ หรือพวกสกู๊ปอะไรๆ ก่อนไปดูจริง โดยเฉพาะพวกรีวิวสัตว์ประหลาดสุดโหด 5 อันดับที่จะมาปรากฏตัวในหนัง มึงเล่าอย่างละเอียดเลยอีเว้ร การรู้อะไรแบบนี้มันคงมีคนที่ชอบอยู่หรอก แต่กับผมแล้วมันทำให้หนังจืดมากอะ พอดูจริงแล้วจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับการรู้แค่คร่าวๆ หรือไม่รู้เลยยิ่งดี ความเซอร์ไพรส์มีมูลค่าของมันนะ จำไว้นะ Beauty and the Beast และ Wonder Woman … อ้อ Spider-man เวอร์ชันนู้นด้วย เบื่ออออ)
ทีนี้ พอดูจบเลยนึกถึงหนังแนวที่ตัวเองชอบ แล้วก็ลามเลียไปถึงยุคที่เคยเขียนบล็อกลง blogger.com (โอ้โห เก่าจนแทบจะบรรจุลง #เน็ตเมื่อวานซืน) ตอนนั้นหน้า bio เขาให้ระบุประเภทหนังที่ชอบ ก็นั่งนึกอยู่นานว่าชอบแนวไหน
จึงกรอกไปว่า หนังแมงมุมยักษ์ สัตว์ประหลาด จระเข้ยักษ์ อะไรแบบนี้
ลืมเขียนเรื่องมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกอย่าง…
ด้วยความสัตย์จริง เออผมก็ชอบดูนี่หว่า ไอ้อะไรที่ว่าเนี่ย แม่งสนุก ยิ่งถ้าเป็นหนังที่มีฉากอยู่ในเมือง หรือมันพอจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับตัวเองด้วย และยิ่งพล็อตเรื่องเป็นประมาณว่า กูอยู่ของกูดีๆ แล้วโดนไอ้พวกอสุรกายถล่มโลกนี่มารังควานจนต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน จับกลุ่มกับคนรอบข้างแล้วทุลักทุเลพากันหนี หนีอยู่ดีๆ ก็ทยอยตายกันทีละคน มีพระเอกลากนางเอกตึงๆ หน่อย พากันรอดไปจนจบเรื่องไรงี้ ยิ่งรู้สึกอินใหญ่ (มึงอินได้ยังไง)
นี่ถ้าให้นึกถึงหนังที่แว้บเข้ามาตอนพิมพ์บรรทัดนี้แล้วนึกได้ว่าชอบจัดๆ เลย ก็คงเป็น Cloverfield ครับ เรียกได้ว่ารวมฮิตเม็กกะแดนซ์ ครบทุกความกระสันที่ผมต้องการเลย นั่นจึงเป็นโคตรสุดยอดหนังสนุกในดวงใจที่ดูมาแล้วรอบเดียว (อ้าว) เออไว้เดี๋ยวจะหาโอกาสซ้ำอีกที
แล้ววันก่อนก็เพิ่งดูหนังเซอร์ไพรส์เรื่อง 10 Cloverfield Lane อันนี้ไม่บอกละกันว่ามันเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวยังไง เพราะแค่บอกก็ไม่สนุกแล้ว (ที่เพิ่งได้ดูก็เพราะตอนนั้นพลาดการดูในโรง แล้วดันไปอ่านนั่นนี่มาด้วยความที่หนังมันเก่งในด้านการขายแบบยุทธการไวรัสไง ให้เหล่าติ่งหยอดนั่นแปะนี่นิดๆ หน่อยๆ) (ขออีกวงเล็บละกัน ใครยังไม่ได้ดู อย่าดูหนังตัวอย่างเด็ดขาด!!!!!!! ไอ้สัส สปอยล์จนจบเรื่อง แบบเน้นๆ จะจะด้วยนะ อันนี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ดันไปอ่านสกู๊ปมาแล้วรู้ว่าคนทำหนังกับค่ายแม่งไม่ลงรอยกัน อีค่ายก็จะขาย คนทำหนังก็จะเก็บความลับ พอตัดตัวอย่างออกมาปั๊บ พัง เฉลยตอนจบในนั้น ฆ่าหนังได้ทั้งเรื่อง)
แต่ก็ต้องบอกว่า สนุกดีครับ
แล้วทั้งสองเรื่องก็เป็นเรื่องที่เมียผมไม่ชอบทั้งคู่ 55555555555555 อันแรกเพราะกล้องมันส่าย อันสองคือมันกดดัน 555555555
ตอนดู War of the World นั่นก็ชอบนะ ค่อนข้างลืมไปแล้วว่าตอนนั้นทำไมมีคนวิจารณ์ในทางลบเยอะอยู่ แต่แม่คุณเอ๋ย ฉากที่อีพระเอกหลบหูลู่ไม่ให้มนุษย์ต่างดาวทำร้ายนั่นแหละ คือฉากเดียวกับที่ผมฝันบ่อยๆ
ผมชอบฝันเรื่องหลบๆ หนีๆ ซ่อนๆ ไอ้พวกอสุรกายที่มันจะมาฆ่าเราแบบนี้ (คำว่า “ชอบ” นี่หมายถึงทั้ง like และ usualy)
เป็นความฝันที่ไม่รู้ต้องเตรียมสภาพร่างกายอยู่ในโหมดไหน ถึงจะได้นอนหลับและออกผจญภัยในจินตนาการได้ขนาดนั้น หลายครั้งพล็อตแม่งสนุกมากจนอยากตื่นมาเขียนการ์ตูนไว้กันลืม ยิ่งเป็นช่วงที่โตมาแล้วพานพบประสบการณ์ชีวิตที่มันซับซ้อนกว่าวัยเยาว์แล้วล่ะก็ ฝันแนวหนีตายแบบนี้ก็ดันยิ่งสนุก มีดราม่า มีการผูกเรื่อง
แต่ที่แน่ๆ ทุกครั้งที่ฝันจะมีจุดร่วมคล้ายๆ War of the World และ Cloverfield คือ กูอยู่ของกูดีๆ ก็ต้องมาหนีตาย
ตัดจบเท่านี้.
เรื่องน่าเศร้าก็คือ นี่เราแก่ป่านนี้แล้วยังจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตไม่ถูกเลย ไม่ได้เฉพาะเรื่องงาน แต่เป็น To-do list หลายๆ อย่างในชีวิต
เรียกว่าการบริหารเวลาส่วนตัวพังพินาศเลยก็คงไม่ผิด
ชั่วระยะเวลาที่ผ่านมาก็ลองนึกอยู่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็พอจะเดาได้ว่า ที่ผ่านมาเราเกลียดการทำอะไรแบบรูทีน (รวมถึงการใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน) ก็เลยหนีรูทีนมา พอหมดข้อจำกัดที่เคยมาฟาดแส้บังคับให้เราทำนั่นนี่ปั๊บ อิสระที่ได้มากลับทำให้วินัยพัง
ไม่ใช่แค่เรื่องงาน เพราะเรื่องงานไม่ค่อยซีเรียส เราห่วงเรื่องเล่นมากกว่า
ทั้งกองการ์ตูนที่วางพะเนิน รอให้เปิดอ่าน (ก่อนหน้านี้ไม่เคยเลยนะ การ์ตูนนี่เป็น priority แรกสุดเสมอไม่ว่าจะยังไงก็ตาม) ตอนนี้ซื้อมาตุนไว้เต็มมุมห้อง นี่ถ้าแอนตอนมัธยมหรือมหาลัยมาเห็นเข้าคงชี้หน้าด่าเหี้ยเลยนะ ถือเป็นปาราชิกขั้นสูงสุด
ขนาดการ์ตูนยังดอง นับประสาอะไรกับหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กเอย นิตยสารเอย ที่กะว่าเดี๋ยวนี้เราตั้งกฏเหล็ก งดซื้อเล่มที่พิจารณาว่าถ้าซื้อมาแล้วคงยังไม่ได้อ่านทันที (ว่างๆ ค่อยอ่าน ไรงี้) แต่สุดท้าย ทุกเล่มตอนนี้ก็ไปกองอยู่ในโซนว่างๆ ค่อยอ่านไรงี้ทั้งหมด
ไหนจะสีน้ำที่อุปกรณ์พร้อม มิตรสหายร่วมอุดมการณ์ในกรุ๊ปไลน์ก็ขยันเอางานมาอวด
ไหนจะการลุกมาออกกำลังกายทุกวัน วันละนิดหน่อยก็ยังดี ที่ตั้งใจว่าจะเริ่มทันทีหลังจากหายปวดหลังครั้งใหญ่ที่ผ่านมา
ไหนจะการเขียนบล็อกทุกสัปดาห์ (เคยคุยกับพี่ปอง พี่ปองโยนมาประโยคนึง บอกว่าต้องลับสมองด้วยการเขียนซะบ้าง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี อะไรงี้แหละ จำเป๊ะๆ ไม่ได้ นี่ไง สมองไปแล้ว) ที่จริงประเด็นเขียนมีล้นไปหมด อยากเล่านั่นนี่ แบบที่ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนอ่านไหม (เป็นข้อดีของยุคที่แทบไม่มีใครอ่านบล็อกกันแล้ว) — เออ เสริมหน่อยว่า กะว่าจะเขียน Year in Review 2016 แล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม กะว่าจะเขียนอะไรเกี่ยวกับตัวเองในวินาทีแรกที่อายุ 35 แล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม กะว่าจะเขียนการ์ตูนที่ปิ๊งมุกแว้บขึ้นมาแล้วก็ปล่อยไว้นานจนลืม ฯลฯ
ไหนจะการขี่จักรยานเล่นไปเรื่อยๆ แบบร้อนก็ช่างแม่ง
ทั้งหมดนี้นับว่าเหลวสิ้นดี
กลายเป็นว่ากิจกัตรประจำวัน (ไม่นับงานรายวันนะ อันนั้นไม่อยู่ในโฟกัส) ที่ยังทำอย่างแข็งแรงมั่นคง คือตื่นเช้าเสมอ และไปส่งลูกเข้าโรงเรียนให้ทันมาตรฐานเวลาที่ตั้งใจไว้ แล้วก็การจัดรายการพอดแคสต์ที่ตรงเวลาเป๊ะๆ ทีแรกมียูธูปรายการเดียว นี่แม่งงอกเสาเสาเสามาอีกรายการ แล้วเสือกสนุกและมีแนวโน้มจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ก็น่าจะทำไปอีกนาน
นอกนั้นพังหมด เปิดฮาวทูของอดีตรัฐมนตรีท่านไหนก็ไม่ช่วย
ลองวิเคราะห์ดูว่าแต่ละวันเราใช้เวลาไปกับอะไร แน่นอน โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ เน้นไปทางการนั่งทำงาน สลับกับเปิดนั่นนี่ดู ต้องบอกไว้นิดนึงว่าถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในใจกลางโซเชียล แต่ไม่เสพติดโซเชียลเท่าไหร่ เสือกไปติดพวกการอ่านข้อมูลล้นเกินมากกว่า เนี่ย เวลาเหลือนิดหน่อยก็ถูกใช้ไปกับสิ่งเหล่านี้ รวมๆ แล้วก็เยอะนะ
จนกลายเป็นว่าวันอาทิตย์หรือวันจันทร์เช้าๆ ที่เคลียร์กองฟีดหมดแล้ว นั่นแหละเป็นเวลาที่เราได้ทำอะไรหลายอย่างที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่าเกิดมาคุ้มค่า ไม่ได้หายใจและขี้ไปวันๆ
แต่เมื่อเทียบกับการเสียเวลาไปอาศัยอยู่บนหน้าจอ ก็ทุเรศตัวเองอยู่ไม่น้อย
ตะกี้พิมพ์แล้วย้อนขึ้นไปอ่านตรงที่บอกว่าไม่เสพติดโซเชียล อันนี้มันแว้บขึ้นมาว่าที่จริงมึงติดนะ ไม่ติดแค่เฟซบุ๊กอย่างเดียว แต่หนักมากในทวิตเตอร์นะ สารภาพเลย เวลาว่างถูกถมไปกับการรูดจอดูคนอื่นเล่นมุก และหักห้ามใจไม่ให้ทวีตวันละเยอะๆ ให้ได้ แต่แม่ง ก็นะ
ไอ้การถมเวลานิดๆ หน่อยๆ ให้หมดไปกับการรูดจอเนี่ย แม่งจั๊งก์ฟู้ดในโลกของการบริหารเวลาเลย
สิ่งนี้ต้องแก้โดยไว และขอบันทึกไว้ตรงนี้.
วันนี้นิทานมาเห็นไมค์หน้าคอมพ์ของพ่อ (ที่ปกติเอาไว้อัดพอดแคสต์) เลยอยากเล่นบ้าง พ่อเลยจัดให้มานั่งเล่านิทานซะเลย แล้วก็เลยออกมาเป็นคลิปนี้ครับ