บันทึกเบื้องหลังหนังสือ #เน็ตเมื่อวานซืน

ว่าจะเขียนถึงหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ที่ได้วางแผงอย่างเป็นทางการในงานหนังสือที่ผ่านมา แต่ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่พาให้เขียนอะไรไม่ออก (ถ้าเอาอันนี้เป็นข้ออ้างจะบาปไหม …บาป) จนบัดนี้สิ้นสุดงานหนังสือลงแล้ว ถามว่าช้าไปไหมที่จะมาเขียนเอาตอนนี้ ในทางการขายของถือว่าช้าไปครับ

แต่ในแง่ความประทับใจนั้นไม่มีอะไรสาย …มึงจะคมทำไม

ผมคงไม่เล่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้มากนะครับ ถ้าสนใจ ลองกดไปอ่านตัวอย่างฟรีและสั่งซื้อออนไลน์ได้เลย (#ขายของ) หรืออ่านบทความเกี่ยวกับที่มาที่ไปของหนังสือเล่มนี้ก่อนได้ หรือหนักข้อกว่านั้นก็ไปอ่านฟีดแบ็ก (เฉพาะจากทวิตเตอร์นะครับ ไม่ได้เก็บจากแหล่งอื่นๆ) ที่พูดถึงเน็ตเมื่อวานซืนคร่าวๆ ได้ในนี้: รวมทวีตเกี่ยวกับหนังสือเน็ตเมื่อวานซืน

ส่วนบล็อกนี้จะขอเก็บบันทึกเรื่องราวที่ตัวเองในฐานะผู้แต่งเรื่องและวาดภาพรู้สึกว่า เออ เก็บความประทับใจไว้หน่อย เดี๋ยวผ่านไปนานๆ แล้วลืม (ถ้าอ่านแล้วไม่อินไม่เก็ตก็ ก็ช่างละกันครับ 555)

แน่นอนครับ ยาว…

เน็ตเมื่อวานซืน

1.
‘เน็ตเมื่อวานซืน’ เป็นโปรเจกต์ร่วมระหว่างผมกับเว็บพันทิป.คอม (ที่จริงตรงนี้จะต้องทำลิงก์ไปที่เว็บปลายทางด้วย แต่อันนี้ไม่ต้องก็ได้มั้ง หวังว่าคงรู้จักกันนะ) เอาเข้าจริงว่ากันตรงๆ พันทิปเขามีอีเวนต์ฉลองครบรอบ 20 ปีของเว็บ หนึ่งในการฉลองนั้น เขาตั้งใจทำพงศาวดารออกมาเป็นรูปเล่มจับต้องได้ โดยไม่รู้น้าๆ แกคิดอะไรอยู่ ถึงได้ตั้งใจจะนำเสนอเป็นการ์ตูนเว้ย

2.
ตัดภาพมาที่ผมซึ่งยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในข้อ 1.ข้างบน พักหลังๆ มานี้ผมประกาศตัวชัดว่ากูขี้เกียจเขียนหนังสือจังเลยว่ะ ถึงมันจะเป็นงานที่สนุกมาก และประทับใจมากทุกครั้งที่เห็นหนังสือตัวเองงอกออกมา แต่ในขณะเดียวกัน มันดันใช้เวลาและพลังงานชีวิตสูงมาก ยิ่งกับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ สองคน ที่ต้องการความเอาใจใส่อย่างแรงตลอด 24 ชั่วโมงต่อวันแบบนี้ การปลีกวิเวกฉีกตัวเองไปจำศีล นั่งเขียนหนังสือคนเดียวนานๆ นั้น มันให้ความรู้สึกผิดฐานกัดกินความสัมพันธ์ของครอบครัวอย่างร้ายกาจ ผมเลยประกาศตัวว่าขอยังไม่เขียนอะไรไปพักใหญ่

3.
จนวันหนึ่ง อีกายผู้หายไปนานก็ติดต่อมาทางกล่องข้อความ บอกว่า (…ขออนุญาตแคปจอมาเลยละกัน)
เน็ตเมื่อวานซืน
เนี่ยครับ บทจะโดนมันก็โดนภายใน 3 นาทีแบบนี้เลย

4.
และแล้วโปรเจ็กต์เน็ตเมื่อวานซืน (ซึ่งตอนแรกยังไม่มีชื่อนี้ แต่เป็นที่รู้กันและเรียกขานกันตอนทำงานไปคิดชื่อเรื่องไปว่า ‘หนังสือพันทิป’) ก็เริ่มต้นขึ้น โดยเป็นลักษณะของงานร่วมกันสร้างระหว่างพันทิป (ที่เป็นเจ้าของตังค์ เปรียบเสมือนเสี่ยเจียง) กับอีกาย (ผู้เป็นดั่งโปรดิวเซอร์) และผม (กูเป็นพี่ตูนละกัน) คือถ้าจะนับว่านี่เป็นผลงานที่ผมทำกับแซลมอน นี่ก็เป็นเล่มที่ 5 แล้ว นับรวม ‘เฟลออฟเดอะสองเยียร์ส‘ (ที่ออกในนามเฟลาธิการ),​ ‘คือปะป๊าครองพิภพ‘, ‘Sloth Machine‘, ‘ศิลป์ซิตี้’ (เล่มนี้เสียดายมาก มัวทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ไม่ยอมมาเขียนบล็อก), และเล่มล่าสุด ‘เน็ตเมื่อวานซืน’ นี้ ไม่ได้ออกในนามแซลมอนบุ๊คส์นะ แต่เป็น Pantip.com เลย ประสบการณ์แปลกใหม่สุด

5.
วันที่ไปประชุมบรีฟงานกับพันทิปนั้น ผมไปสายครับ สายแบบ 15 นาทีเลย ซึ่งถือว่าบัดซบมากอย่างไม่น่าให้อภัยไม่ว่าจะเป็นการนัดกับลูกค้าหรือนัดกับแฟนก็ตาม นี่คือภาพบรรยากาศขณะที่ห้องประชุมนั่งรอไอ้บ้านี่


พอไปถึงปั๊บ ก็เริ่มคุยกัน (เขาคุยกันมาแป๊บนึงแล้วแหละ) ว่าทิศทางของหนังสือจะไปทางไหน ซึ่งผมเหวอมากที่ทางบอสใหญ่บอกว่า อยากได้เป็นแบบการ์ตูน ลายเส้นเราเลย เอาแบบที่เราวาดเลย แล้วเล่าเรื่องความเป็นมาของโลกออนไลน์ในประเทศไทย โดยไม่ต้องมาเล่าเรื่องพันทิปทั้งเล่มนะ เดี๋ยวจะน่าเบื่อไป (ซึ่งอันนี้ถือว่าเฮ้ยมาก เพิ่งเคยเจอลูกค้าที่พูดเองแบบนี้เลยวุ้ย) ก็เป็นการคุยงานที่เปลี่ยนความคิดที่ผมมีต่อเว็บเก๋ากึ้กขนาดนี้ไปโดยสิ้นเชิง คือพี่วัยรุ่นมาก มากกว่าวัยรุ่นที่ผมเคยดีลงานด้วยเยอะเลย

6.
ระหว่างที่คุยกันก็จะมีคำถามเกี่ยวกับเกร็ดต่างๆ ของเว็บที่ทีมงานแซลมอนและผมคอนตะล่อมหลอกถามเผื่อเป็นข้อมูลในหนังสือ บางอย่างก็เป็นความอยากรู้ของอีแบงค์เอง ก็จดๆ ใส่สมุดไว้ (ขอไม่เอามาเล่าในนี้ทั้งหมดเนอะ) มีหลายประเด็นที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มาก เพราะคนเบื้องหลังพันทิปแต่ละท่านนั้นได้เป็นเจ้าของตำนานมากมายแบบที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน เช่น การส่งสแปมเมลครั้งแรกของไทยนั้นเกิดจากทั่นผู้บริหารสูงสุด การรับทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตครั้งแรกน่าจะเป็นที่นี่ มีเกรียนคีย์บอร์ดเกิดขึ้นครั้งแรกก็ที่นี่ แถมการตบเกรียนครั้งแรกก็ที่นี่เช่นกัน! ฯลฯ (คือถ้ามีเวลานั่งสัมภาษณ์สักสามวันน่าจะได้รวมเล่มว่าด้วยการบุกเบิกต่างๆ อีกเล่มแน่นอน)

7.
ไหนๆ ก็ขอลงรายละเอียดขั้นตอนการทำงานอีกหน่อยละกัน สเต็ปใหญ่ๆ จะเป็น 1.คิดโครงเรื่องและวิธีการเล่าเรื่อง 2.เปลี่ยนจากโครงเรื่องเป็นลายเส้นแบบร่าง 3.วาดภาพจริง โดยทุกขั้นตอนเมื่อคิดเสร็จแล้วผมจะเอามาคุยกับคุณผู้ดูแล (นึกภาพกองบอกอจั๊มป์นั่นแหละ) ว่าไปในแนวทางนี้เวิร์กไหม ถ้าเวิร์กก็ไปต่อ ถ้าไม่เวิร์กก็แก้ใหม่ ถ้าไม่เวิร์กเลยก็ขยำทิ้ง แล้วเริ่มใหม่หมด พอเกลาเสร็จแล้วก็เอาไปให้เสี่ยเจียงอ่านและพิจารณา

เน็ตเมื่อวานซืน

8.
ซึ่งฟีดแบ็กที่ได้รับมานั้นดันเวิร์กหมด (อะ ไม่หมดก็ได้ แต่สอบผ่านประมาณ 99.72% บริสุทธิ์กว่าทองคำแท่งเยาวราชอีก) ผมนี่งงมาก เฮ้ย นี่พี่ได้อ่านแบบร่างที่ผมเขียนให้หรือเปล่าครับ หรือว่าพี่งานยุ่งกัน หรือยังไง อะไร บอกหน่อยสิ ไม่ใช่มาโอเคทั้งหมดง่ายๆ แบบนี้ (มารู้ทีหลังตอนที่เจอทั่นบอสใหญ่ แกบอกว่ามันโอเคหมดเลยจริงๆ) นั่นทำให้การทำงานหนังสือเล่มนี้ทั้งส่วนงานเนื้อเรื่องและงานภาพผ่านฉลุยตั้งแต่เริ่มจนจบ

9.
ขั้นตอนการค้นคว้าหาข้อมูลของเล่มนี้สนุกมาก และดักแก่มากๆ ในทุกวิถีทาง ได้รู้ประโยชน์ของการบ้าสะสมนิตยสารคอมพิวเตอร์เก่าๆ และการเซฟ การจดบันทึกนั่นนี่เก็บไว้ (บล็อกอายุสิบกว่าปีนี้ก็เช่นกัน!) รวมถึงการได้ไปเดินห้างพันธุ์ทิพย์อีกครั้งในรอบเท่าไหร่วะ เป็นสิบปีได้มั้ง ตั้งแต่สมัยมหาลัยที่เด็กเนิร์ด(จนด้วย แต่ดันใฝ่ทางนี้)คนนึงชอบนั่งรถเมล์ไปเดินตากแอร์ อัปเดตราคาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และถือโบชัวร์กลับหอทีละเยอะๆ ไม่รู้จะสะสมไปทำไม

10.
แล้วนึกย้อนไปถึงสมัย ม.1 ที่พ่อผมผู้เป็นข้าราชการก็จริง แต่ดันมีวิสัยทัศน์อะไรไม่รู้ กัดก้อนเกลือซื้อคอมพ์มาให้เครื่องนึง เป็นรุ่นที่มีฮาร์ดดิสก์ด้วย! แล้วส่งพี่ผมไปเรียนจนผมได้อานิสงส์เป็นโปรโมชันแถมฟรี ด้วยการไปนั่งเรียนโปรแกรม Lotus 1-2-3, dBase, DB Form สามตัว ซึ่งดีมากๆ และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ทุ้ย ที่ไหนล่ะ ไม่เคยใช้เลย แล้วทำให้รู้จักกับ ‘พวกเล่นคอมพ์’ (หมายถึงพวกแกะเครื่องซ่อมเครื่องประกอบเครื่องเป็นทุกอย่าง ลงโปรแกรม แก้นั่นขยำนี่เขียนนู่นสารพัด) แบบตัวเป็นๆ แลกเปลี่ยนวิชาทั้งซอฟต์แวร์ฮาร์ดแวร์ ทั้งเกมเกิมกันสนุกสนาน ในสมัยนั้นยังไม่มีเน็ตใช้เนอะ แต่ว่าหลายๆ คนก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมเลยไม่แปลกใจที่พอมาถึงยุคที่ตัวเองทำเว็บฟอนต์.คอม แล้วมีน้องคนนึงที่ทำฟอนต์ได้ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ (แถมยังเป็นคนวางรากฐานระบบภาษาไทยให้กับฟอนต์ส่วนใหญ่ในเว็บด้วย!) ก็นั่นแหละครับ ถ้าให้เล่าก็ยาว เอาเป็นว่าประสบการณ์ใน ‘ยุคออฟไลน์’ ของหนังสือเล่มนี้ มันก็กูนี่แหละ แต่โกงอายุไปห้าปีเท่านั้นเอง

11.
การดำเนินเรื่องในเน็ตเมื่อวานซืนนั้นถูกเล่าผ่านตัวละคนสามวัย (อายุ 40 / 30 / 20) ซึ่งแต่ละคนรับรู้ประสบการณ์ผ่านโลกออนไลน์มาต่างยุคต่างสมัยกัน ทีแรกกะว่าจะวาดให้น้องอายุ 20 เป็นสาวแว่น (เป็นตัณหาส่วนตัวมากๆ) แต่พอวาดจริงก็พบว่าพอใส่แว่นแล้วมันระบายสีให้ดูเป็นสาวน่ารักลำบาก โอเคคนอื่นที่วาดเก่งๆ อาจจะไม่ลำบากหรอกครับ แต่กูนี่แหละลำบาก มีปัญญาแค่นี้
เน็ตเมื่อวานซืน
ส่วนทรงผมของน้องก็ลองนั่งๆ ส่องเด็กสาวมหาลัย (ด้วยใจบริสุทธิ์นะ…) แล้วพบว่าทรงแบบในเรื่องมันน่ารักดี ชอบเป็นการส่วนตัวด้วย เอามาผูกผมให้ลูกสาวแล้ววาดแบบตาม ก็เออ ดี เอานิสัยกวนตีนของลูกสาวมาใช้ด้วย (ซึ่งลูกสาวอายุ 4 ขวบ)
ทั้งนี้เนือ้หาที่หยิบนำมาเล่านั้นก็ based on สังคมออนไลน์ไทยเนอะ จะเป็นภาพรวมแบบ overall อันไหนที่แตะเยอะๆ ได้ก็จะแตะ อันไหนที่บวกลบดูแล้วจะพาเนื้อเรื่องหลุดออกไปไกลก็จะตัดออกด้วยความเสียดาย แต่บางเรื่องเราก็ขอไม่เล่าละกัน อย่างเช่นดราม่าเว็บพันทิปเงี้ยะ แกจะให้เล่าจริงๆ เหรอ! รวมถึงบอร์ดประมูล หลุดโลก ซังกะบ๊วย ฯลฯ ที่เป็นส่วนหนึ่งของตำนานเหมือนกัน แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มแหละ เดี๋ยวพาไถลออกไปเยอะเกิน 5555 (เว็บเฟลก็ไม่ได้เล่านะ!)

12.
อุปสรรคใหญ่หลวงในการทำงานเล่มนี้คือ มือเน่าครับ นิ้วพังเพราะภูมิแพ้ มีบางช่วงที่ร่างต้นฉบับไปก็ต้องพันนิ้วไปแบบนี้
เน็ตเมื่อวานซืน
ซึ่งทรมานมาก ข้างใต้กระดาษทิชชู่คือหนองเยิ้มๆ ทั้งสองนิ้ว พังมาก ถามหมออิม หมออิมบอกว่ายุ่นต้องนอนแต่หัวค่ำนะ ซึ่งยุ่นบอก กูทำไม่ได้ (จนถึงบัดนี้เสร็จงานหนังสือแล้ว ยุ่นเพิ่งเริ่มหัดนอนก่อนเที่ยงคืนอยู่เนี่ย)

13.
เล่มนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆ แล้วคำว่าคอม ต้องสะกดว่า ‘คอมพ์’ ซึ่งนำความไม่ชินอย่างแรงมาสู่ตัวเอง แน่นอนว่าทุกๆ เล่มที่ได้เขียนหนังสือ ก็จะได้ความรู้ด้านการสะกดแบบนี้เพิ่มขึ้นฉบับละคำสองคำ นับเป็นกำไรชีวิตอย่างมากที่ได้ความรู้ใหม่ในวัยที่น้ำเริ่มเต็มแก้วแบบนี้ แต่ส่วนมากเราเห็นดีเห็นงามกับน้องภัทรผู้เป็นพิสูจน์อักษรในตำนานของแซลมอนมาตลอดเลยนะ ด้วยความที่เป็นมนุษย์ที่รักการพิสูจน์อักษรเหมือนกัน (ถึงกูจะผิมพิดบ่อยมากก็ตาม) (และน้องภัทรจะติ่งนวพลจนยอมให้หนังสือของบักตี๋นั่นเขียนตัวโตๆ บนปกเป็นชื่อหนังสือที่ผิดหลักแบบมึงยอมได้ยังไงวะภัทร ว่า ‘เวิร์ค แอนด์ ทราเวล’)

14.
อ้อ ระบบการทำงานในฉบับนี้พัฒนาเป็นเวอร์ชันนี้ครับ
– ก่อนอื่นร่างในกระดาษ (บทกลางๆ พอเริ่มนิ้วพัง ก็เปลี่ยนมาร่างในคอมพ์แทน)
– เก็บไฟล์แยกโฟลเดอร์ 1.บรีฟ 2.ร่าง 3.เอาจริง(PSD)
– ซึ่งก็มีเวอร์ชันย่อยแบ่งเป็น v1,v2,v3 ไปเรื่อยๆ (ไม่มีคำว่าไฟนอล)
ทุกอย่างซิงก์สดๆ ไว้บนกูเกิลไดรฟ์ วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาการดองงานและการอู้ได้อย่างชะงัด เพราะบอกอจะเห็นความคืบหน้าแบบเรียลไทม์ ต่างจากฉบับที่ผ่านๆ มา ที่เราสามารถหมกเม็ดได้ คือเล่มนี้เราเองก็อยากทำให้เสร็จด้วย เพราะทำไปแล้วรู้สึกว่ากูต้องมืออาชีพหน่อยเพราะมีคนจ้างมา ไม่เหมือนเล่มก่อนๆ ที่จะเอ้อระเหยยังไงก็ได้ เห็นเดดไลน์งานหนังสืออยู่ก็เท่านั้น แต่เล่มนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ ลูกค้าด่าตายห่า งี้
ดังนั้นนี่จึงเป็นหนังสือไม่กี่เล่มที่ไม่ค่อยเห็นอีกายทวงงานผมในโซเชียลต่างๆ! เออ ดีจริง (หรือไม่ดีวะ เพราะมันทวงจนเป็นยี่ห้อไปแล้ว พอไม่ทวงเลยรู้สึกเหงาๆ หว่องๆ หน่อย)
เน็ตเมื่อวานซืน
อันนี้ภาพร้านกาแฟที่ออกแบบไว้เป็นฉากในหนังสือ (เพิ่งมาทำเอาทีหลัง ไม่งั้นได้เขียนฉากเล่นทั้งเล่มแน่)

15.
wallpaper
อันนี้วอลเปเปอร์ช่วงที่รู้สึกว่าต้องเร่งละ เลยเอา schedule มาทำเป็นพื้นหลังคอมพ์ซะเลย (ขอเบลอไว้นิดนึงเผื่อเซ้นสิทีฟ) ส่วนช่วงหลังสุดก่อนส่งงานไฟนอลปิดเล่ม ผมเปลี่ยนเป็นอันที่โหดกว่าคือ The Final Countdown (ทำแจกด้วยเหอะ)

16.
ความงึดในบางอารมณ์ของการผลิตงานก็คือ บอกอของเราอายุเพียงเบญจเพส หรือยังไม่ถึงก็ไม่รู้ ซึ่งแน่นอน มันห่างจากเราเป็นสิบปี ถึงมันจะเป็นคนทันสมัย แต่ประสบการณ์การเจอนั่นนี่มาก็ต่างจากเรา แล้วแต่ละวันต้องเสียน้ำตาให้กับการอธิบายความแก่ของเราให้มันฟังบ่อยๆ เช่น มันไม่รู้ว่าห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ เป็นแหล่งพระเครื่อง, มันไม่เข้าใจว่าโลกยุคก่อนซีดีเอ็มพีสามประเทืองนี่มีจริงด้วยเหรอ (ถ้าถามเด็กยุคนี้คือ ประเทืองคืออะไร ไม่สิ เผลอๆ ยุคอนาคตอันใกล้อาจจะถามว่าซีดีคืออะไร) หรือคอมพ์ยุคเรามันไม่มีไดรฟ์ซีดีเหรอ แล้วอยู่กันได้ยังไง (เช่นเดียวกัน เด็กยุคนี้เกิดมาก็ไม่เจออีไดรฟ์ที่ว่านี่แล้ว อย่าว่าไปถึงพวกฟล็อปปี้ดิสก์อะไรนั่นเลย อันนั้นชินแล้ว) เออใช่ เลยนึกได้ ณ ตอนนี้ว่ายุค 2016 กับยุค 1996 อาจจะเหมือนกันตรงที่ซื้อคอมพ์มาแล้วไม่มีไดรฟ์ซีดีเหมือนกันก็เป็นได้

17.
ที่จริงอยากจะเขียนกิตติกรรมประกาศให้กับเมีย แต่เล่มก่อนก็เขียนไปแล้วทีนึง คืออย่างที่บอกแหละครับว่าการเขียนงานทีนึงเนี่ยมันใช้พลังงาน สมาธิ และเวลามากๆ เราต้องการสมาธิเป็นก้อน เวลาเป็นก้อน และพลังงานเป็นก้อน ไม่ใช่ทำ 30 นาที เมียเรียกไปเก็บผ้า กลับมาทำต่อ หรือลูกมาร้องไห้ระหว่างทำงาน สิ่งเหล่านี้คนที่เก่งๆ เขาอาจจะสามารถรับมือได้ แต่ผมไม่ใช่น่ะสิ ผมต้องการทำงานแบบเงียบๆ (เปิดพอดแคสต์ฟังไปด้วยนี่โอเคมาก) และใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่คนเดียว จนผลิตงานเสร็จได้ด้วยดี สิ่งเหล่านี้ผมหันไปถามเมียตั้งแต่แรก (ถ้าเป็นข้างบนก็ประมาณข้อ 2-3) แล้วว่าโอเคไหม เมียบอกว่าโอเค อยากเห็นเตงเขียนหนังสือ พอออกมาเป็นเล่มแล้วเจ๋งดี รู้สึกว่าผัวเท่ อะไรแบบนี้
แน่นอนว่าระหว่างทางมันไม่ได้ง่าย หลายครั้งเกือบมีปากเสียงกัน แต่พอหันไปมองหน้าเมีย ผมก็จะเป็นฝ่ายยอมแพ้ เพราะผมนั้นเขียนหนังสือคนเดียว ทำงานคนเดียวเพื่อให้ได้งานมาสนองความอยากของตัวเอง (อันนี้พูดยากมากเพราะค่าตัวค่าแรงอะไรนี่ผมเฉยๆ เป็นคนเฉยๆ กับเงิน (แต่เอานะไม่ใช่ไม่เอา) แต่ความภูมิใจเมื่องานเสร็จออกมาเป็นอันๆ นั้นสำคัญกว่ากัน 38 ล้านเท่า) ในขณะที่เมียนั้นต้องรับภาระทุกอย่างที่เคยช่วยกัน โดยเฉพาะลูกสองคนที่อยู่ในวัยที่ต้องการความดูแลจากพ่อแม่แบบสุดๆ ซึ่งช่วงที่ทำงานนั้นผมให้ไม่ได้ บอกเลยเป็นพ่อที่แย่จนบางทีก็นึกเสียใจ แต่ แม่งไม่ได้ว่ะ ต้องสะบัดหัวแล้วสวมวิญญาณซามูไร หันกลับมาปั่นงานต่อ เพราะถ้าเสร็จก่อนกำหนดการ นั่นหมายถึงเราจะมีเวลาเล่นกับลูกได้นานขึ้น เหี้ย แฟมิลี่แมนยังไงวะ
เน็ตเมื่อวานซืน
มีอยู่วันหนึ่งที่ผมนอนเกือบเช้าเพื่อปิดงานให้จบบท พอตื่นมาบ่ายๆ ก็พบว่าลูกเมียหอบข้าวของหนีไปแล้ว ไปอยู่บ้านตายาย และทิ้งโน้ตใบนี้ไว้ให้พร้อมของกินเล่นแก้ง่วงตามภาพ ผมนี่แม่ง … พูดไม่ออก รู้แต่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจนอยากจะตีลังกากราบแล้วซักผ้าล้างจานให้ตลอดชีวิต (แต่รอดเว้ย นิ้วเน่า เป็นภูมิแพ้ หมออิมบอกว่าห้ามล้างจาน)

18.
พอเนื้องานใกล้เสร็จ เหลือแค่ตัดเส้นลงสี เราก็มาคุยกันเรื่องการตั้งชื่อเรื่อง ซึ่งเหมือนเป็นประเพณีอันโคตรสนุกและเป็นรางวัลโบนัสสำหรับการเขียนหนังสือแต่ละเล่ม ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่ผมจะคิดชื่อหนังสือขึ้นมาเอง คือถ้าแว้บมาเป็นชื่อปั๊บ ทีนี้แหละคาแรกเตอร์ของหนังสือมันจะมาอย่างเด่นชัด แต่กับบางเล่มที่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะตั้งชื่อยังไงดีให้มัน ‘ใช่’ ที่สุด เช่นศิลป์ซิตี้ ที่คิดกันนานมาก สรุปว่ามาเคาะเอาในคืนที่มานั่งทำปกกันที่แซลมอนเลยมั้ง ซึ่งสรุปมติองค์ประชุม (ไม่ได้เป็นโต๊ะเต๊อะอะไรหรอก ยืนคุยกันธรรมดาแต่พลังงานพวยพุ่ง)ในครั้งนั้น คนที่คิอชื่อนี้คืออีกาย เอ๊ะหรืออีแบงค์วะ เออนั่นแหละสักคน) คือมันเป็นศาสตร์และศิลป์-และการตลาดด้วยเอ้า-ที่ยากมากเลยนะ แต่ยากแล้วสนุกไง เป็นบทสนทนาที่นึกกี่ทีก็ขำ บางชื่อก็ไม่สามารถออกอากาศได้จริงๆ
สำหรับชื่อที่ส่งเข้าประกวดก่อนที่จะออกมาเป็นเน็ตเมื่อวานซืนนั้นมีเยอะมาก ที่พอนึกออกก็ได้แก่
– ชีวิตดีขึ้นทุกด้าน ด้วยการต่อเน็ตเพียงครั้งเดียว
– ชาวเน็ตจวกยับ (ใครจะเอามึงวะชื่อนี้)
– เกมออฟไลน์ (ทีแรกว่าจะล้อเกมออฟโทรน แต่แม่งเก็ตยากไป๊)
– คหสต.
– หนังสือนี้ถูกระงับเพื่อรักษาบรรยากาศในการสนทนา
– Pantip first class
– เข้ามาดู
– โลกสวยมายี่สิบปีแล้ว (ชื่อนี้ลูกค้ามาเห็นได้ริบเงินคืนแน่) (แต่ก็บันทึกไว้นะ)
– 20 ปีแห่งการปูเสื่อรอ
– Internet Explorer
– 20th century boys (แปลกใหม่มากๆ)
– โซเชี่ยวเน็ตเวิร์ก
– วัตถุ Wi-Fi (เฮ้ย ซ้ำกะของคันฉัตร)
– Back to the future park
– โซเดมาคอมพ์
– แบไต๋โซเชียล (อีกายคิดนะอันนี้ ผมเปล่า…)
– คอมพิวเตอร์เยสเทอร์เดย์
– เจาะเวลาหาไออี
– 56K แห่งความหลัง
– เน็ตเมื่อวานซืน (อีกายพิมพ์มาในสงครามชื่อ แล้วผมว่าแม่งโคตรใช่ ก็เลยเบรกมัน เอาอันนี้เลย!)
– 20 Years Ago Kilo Bit
ฯลฯ
เน็ตเมื่อวานซืน
ก็นั่นแหละครับ พอมันใช่ปั๊บ มันก็โคตรใช่ แล้วเน็ตเมื่อวานซืนก็กลายเป็นชื่อจริง พร้อมปกทื่ไหลมาทันทีในหัว วาดปาดๆ ให้ดูทันที (แน่นอนว่าส่งให้พันทิปดู ดันผ่านอีก!)

19.
ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปิดเล่ม ผมขอความช่วยเหลือจากทวิตเตอร์ (ที่จริงก็เด้งไปในเฟซบุ๊กด้วยแหละ เพิ่งมาเห็นทีหลังจากส่งงานไปแล้ว ขออภัยที่ให้เครดิตแต่ทวิตเตอร์น้า) ให้ช่วยกันนึกชื่อเว็บไทยยุคก่อนเฟซบุ๊กให้หน่อย และก็ได้มาร้อยกว่าชื่อ! เนี่ยแค่เข้าไปอ่านก็เพลินแล้ว มีคุณค่ามากๆ ขอบคุณครับ!


ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกบรรจุลงในหน้านึงของหนังสือหน้าเดียวนะ เลยต้องคัดเอาเฉพาะเว็บบางประเภท แน่นอนว่าพวกเว็บเรื่องเสียวนี่ไม่ได้ลง เพราะหนังสือเขาจะเอาไปบริจาคห้องสมุดให้เด็กอ่านด้วยเว้ย มันเลยต้องเรต PG นะ

20.
เน็ตเมื่อวานซืน
และแล้วก็เสร็จออกมาเป็นเล่มก่อนงานหนังสือประมาณ 10 วัน (ทันกำหนดการที่พันทิปเขามีงานครบรอบเว็บในวันที่ 7 ตุลาคม) พอถึงงานหนังสือก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากมิตรรักนักอ่านและชุมชนชาวทวิตเตอร์ที่ขยันหาอะไรมาแซว คือคราวนี้ยอมรับเลยว่ากระแสแม่งมาเยอะมากจนแท็ก #เน็ตเมื่อวานซืน ไปติดเทรนด์ตอนไหนนี่แหละ 55555 งงเหมือนกัน แต่ก็ดี มีคนบอกว่าเป็นการตลาดที่น่าสนใจ การตลาดห่าอะไรล่ะ 555555


พอถึงงานหนังสือ ผมไปนั่งประจำอยู่ที่แซลมอน 2-3 วัน ก็มีคุณผู้อ่านที่ทักทายเข้ามาอย่างอบอุ่น และต่างประกวดมุกการเอาหนังสือพี่ไปทำนั่นนี่ให้เจ็บช้ำอุรานัก (เอาเถอะ ถึงขนาดผสมอาหารหมาหรือเอาไปเผาให้ความอบอุ่นก็เล่นมาแล้ว) ที่น่าสนใจคือมีบูทพันทิป(ที่มีหนังสือของเราเล่มเดียว) ด้วย!!! มีแถล่งข่งแถลงข่าวบนเวทีใหญ่ในงานหนังสือด้วย! ต้องใส่สูทด้วย! (เครียดมาก ไม่ได้เครียดเรื่องการขึ้นเวทีอะไรนะ แต่เครียดเรื่องใส่สูท นี่เลยต้องยืมของแบงค์มา แบงค์ก็ส่งค้นท้องผู้เป็นเมีย เอาสูทมายื่นให้กันความอุจาด อ้อ มีการต้องแต่งตัวส่งให้เฟิร์นพีอาร์ เพื่อตรวจเช็กด้วยว่าชุดผ่านไหม ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ได้ขึ้นเวทีงี้…)

แต่ดีใจมากๆ ที่พอมีคนอ่าน (แบบอ่านจริงๆ ไม่ได้เอาไว้รองขาโต๊ะรองเมาส์อย่างเดียว) แล้วติดกับ ตกเป็นเหยื่อของการโหยหาอดีต ละล่ำละลักเกี่ยวกับเน็ตเมื่อวานซืนอันเป็นประสบการณ์ของตัวเอง ผมไปส่องไทม์ไลน์ของแต่ละคนแล้วก็ยิ้ม ว่าเออ เราก็ต่างผ่านโลกในยุคดิจิทัลโรแมนติกมาด้วยกันทั้งนั้นเลยเนอะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเน็ตเมื่อวานซืนในอีก 20 ปีข้างหน้ามันจะเป็นแบบไหน เผลอๆ ถ้ามีคนเขียนมาแล้วรำลึกถึงทวิตเตอร์เฟซบุ๊ก (ที่ตายไปแล้ว) ก็น่าจะน่าสนุกมากๆ และผมขอพรีออเดอร์เลยเล่มนึง!

ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ร่วมหกเดือนที่สนุกมากๆ ขอบคุณทุกคนเหลือเกิน ทั้งที่โดนเมนชัน และไม่โดน ทั้งที่มีส่วนร่วมและไม่มี แต่ก็นึกออกตลอดแหละ ขอบคุณครับ!

คอมเมนต์

ยิ้มสู้

ยิ้มสู้
ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ


โลกจะสุขสบายนั้นเป็นได้หลายทาง
ต้องหลบสิ่งกีดขวางหนทางให้พ้นไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
สุขและทุกข์อย่างไรเพราะใจตนเอง

ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ
โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง
ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง
ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้

คนเป็นคนจะจนหรือมี
ร้ายหรือดีคงมีหวังอยู่
ยามปวงมารมาพาลลบหลู่
ยิ้มละไมใจสู้หมู่มวลเภทภัย

ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา
สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน

คืนวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนคงมีวิธีรับมือ หรือไม่รับมือ กับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศเราจ่างๆ กันออกไป ส่วนผมเลือกฟังเพลงนี้วนเวียนหลายครั้ง หลายครั้งมากๆ

‘ยิ้มสู้’ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่ผมเองก็จำเนื้อร้องไม่ได้ (ที่แปะไว้ข้างบนก็มาจากกูเกิล) แต่จำทำนองได้ดี ที่คุ้นๆ คือเนื้อเพลงจะให้ความหมายคล้ายๆ ‘แสงสุดท้าย’ ที่พี่ตูนร้อง หรือ ‘ฤดูที่แตกต่าง’ ของพี่บอย … อ้อ ถ้าจะให้ตรงเป๊ะๆ กับอารมณ์ตัวเองขณะนั้น ก็น่าจะเป็นเพลง ‘โลกยังสวย’ ของเฉลียง (แต่ผมชอบเวอร์ชันทีโบน)

แต่จะขอเปลี่ยนเรื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตามสไตล์บล็อกนี้ — คือ ช่วง 3-4 วันที่ผ่านมานี้ ผมผ่านการยิ้มสู้มาเหมือนกันครับ

20161010_184616

12 ตุลาคม 2559

เราตื่นกันทั้งบ้านตั้งแต่เช้ามืด ตัวเล็กฝากยายไว้ ส่วนตัวใหญ่ตื่นมาดูการ์ตูน และกินอะไรรองท้องก่อนที่จะถึงกำหนดการที่หมอสั่งว่า “ห้ามกินอาหารก่อนผ่านตัด 6 ชั่วโมง”

ขับรถไปถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เจ็ดโมง เพื่อจัดแจงธุระต่างๆ เกี่ยวกับการผ่าตัดและพักฟื้นให้ลูก

ถึงมันจะเป็นการผ่าตัดเล็กๆ อย่างผ่าต่อมทอนซิล (ที่มันเสียไปแล้ว และกลายเป็นตัวที่ทำให้ร่างกายแย่ ไม่มีดีกว่ามี) ออก แต่สำหรับเด็กสี่ขวบ การผ่าจะอะไร เล็กหรือใหญ่ มันก็เรื่องใหญ่ทั้งนั้นแหละ

หลังจากการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตลอดสองปีที่ผ่านมา นิทานกลายเป็นเด็กอนุบาลที่ขาดเรียนถึงหนึ่งในสามของทุกเทอมตั้งแต่ อ.หนึ่งยัน อ.สอง แน่นแนว่าส่งผลโดยตรงกับพัฒนาการของลูก ทั้งด้านการเรียนรู้ (ไม่ใช่แค่เรียนหนังสือนะ – เราใช้คำว่าการเรียนรู้) พัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ฯลฯ ของเด็กช่วงปฐมวัย ที่ใครๆ ก็รู้กันว่ามันสำคัญมากเนอะ

เคยอ่านมาว่าการที่เด็กป่วยนั้น ตัวเด็กน่ะโอเค เพราะไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องใดๆ ที่เป็นอนาคตของตัวเอง ถึงขนาดที่มีเด็กเป็นมะเร็งร้ายในเคสหายากที่รักษาไม่หาย และนับถอยหลังชีวิตไปอีกแค่ไม่กี่วัน แต่พอถามว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร หนูก็ตอบว่าอยากเป็นเชฟทำอาหาร พ่อแม่เลยจับส่งไปเรียน(ฟรี) กับอาจารย์สอนทำอาหารที่โด่งดัง (อาจารย์สอนให้ฟรีด้วย) ก่อนที่แสงเทียนของน้องจะดับวูบลง น้องก็แฮปปี้ที่สุดแล้ว

แต่เฮ้ย ลูกเราไม่ได้เป็นอะไรหนักขนาดนั้น นี่แค่ทอนซิลพังเองงงง

ถึงกระนั้น ความวิตกกังวลก็ได้ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ กับเมียผม พออาการป่วยมันเริ่มบ่งชี้ชัดว่าแบบนี้ไม่ค่อยไหวแฮะ และนับวันก็ยิ่งหนักหนาขึ้นๆ จนแทบจะกลายเป็นมนุษย์แม่คนหนึ่งที่เราเห็นกันทั่วไปบนโลกออนไลน์ นั่นคือวิตกจริตกับทุกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูก ไอทีนึงก็สะดุ้ง ร้องทีนึงก็นอนไม่หลับ ได้แต่นับถอยหลังถึงเกณฑ์อันตราย

ไม่คิดว่าพอมาเป็นพ่อคนแม่คน เราจะได้มองโลกและมองลูกด้วยสายตาคนเป็นพ่อและแม่ ตัวพ่อน่ะโอเค เป็นมนุษย์เหตุผลอยู่แล้ว แต่กับแม่นั้นหนักหนาสาหัส คือนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้งจะให้กินยา ฉีดยา ดมยา รักษาตัวยังไงก็ได้ ปรึกษาหมอสารพัดทั้งหมอเด็ก หมอภูมิแพ้ เพื่อนหมอ พี่สาวเพื่อนที่เป็นหมอ คนโน้นคนนี้ที่เป็นหมอ ทำทุกทางเพื่อหวังว่าจะได้รับคำตอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ “ต้องผ่าตัด”

แต่การไปหาหมอเพื่อรักษาอาการแต่ละครั้งก็ยิ่งบีบรีดให้ได้คำตอบออกมาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น “ต้องผ่าตัด”

ผมเองเคยผ่าฟันคุด และรักษารากฟันมาแล้วหลายซี่ จนเรียกได้ว่าในปากนี่อมเงินหลักแสนอยู่นะ โคตรเข้าใจสถานการณ์นี้เลย คืออวัยวะบางอย่างของเราเนี่ย ถ้าอะไรที่ผุพัง ที่เก็บเอาไว้มีแต่เสีย ก็ไปเอาออกซะก็สิ้นเรื่อง

แต่กับแม่ของเด็ก ไอ้คำว่าเอาออกซะก็สิ้นเรื่องเนี่ยแม่งยากสัสๆ แล้ว

คนเป็นพ่อจึงต้องเป็นแผนกถ่วงน้ำหนัก ดึงสติกลับมานะทุกคน ลูกเป็นคนป่วย แม่เป็นคนให้กำลังใจคนป่วย ส่วนพ่อคือผู้ให้กำลังใจผู้ให้กำลังใจคนป่วยอีกที

พอ 11 โมง ลูกก็หลับไปในมือหมอ ตื่นมาอีกที ก็กลายเป็นเด็กที่ไม่มีอีต่อมเน่าที่ว่านี้แล้ว แน่นอนว่าร้องไห้แหกปากแบบเจ็บๆ จนต้องปลอบเบอร์แรงสุด และหลอกไว้ว่าถ้าไม่โก่งคอร้องไห้แบบนี้ คอหนูจะหายเร็วนะ

คืนวันแรกผ่านไปอย่างยากลำบาก แม้จะโล่งใจ (นี่พูดถึงแม่) แต่ก็ยังไม่เคลียร์ ยังรอดูอาการของลูกอย่างใกล้ชิดแบบนาทีต่อนาที

เย็นวันนั้น เราได้รับข่าวลือแปลกๆ ไม่สิ ไม่ใช่ข่าวลือสิ จดหมายอย่างเป็นทางการแบบไม่ต้องตีความอะไรเลยจากทีมแพทย์ที่ถวายการรักษาในหลวงอยู่ในอีกโรงพยาบาล

เรารู้ เชื่อแหละว่าทุกคนรู้ แต่เราอยู่ในประเทศที่ห้ามพูดสิ่งที่อยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็นความกังวล หรือพูดให้เรารับมือกับแรงกระแทกที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ห้ามพูด

13 ตุลาคม 2559

ลูกสาวดูการ์ตูนทั้งวัน ในชีวิตนี้จะมีก็ไม่กี่ครั้งหรอกที่ยอมเปิดการ์ตูนให้ดูเยอะๆ แบบนี้ ด้วยหวังจะเปลี่ยนสภาพจิตใจและอารมณ์ของลูกให้เป็นบวก ซึ่งคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่นอนโรงพยาบาล วันรุ่งขึ้นพ่อและแม่มีงานที่เลี่ยงไม่ได้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า อีกเดี๋ยวทุกอย่างจะประเดประดังเข้ามาอย่างใหญ่หลวง

ลูกนอนดูการ์ตูนอยู่บนเตียง แม่นั่งทำงานสลับกับนั่งอ่านนิยายเช่าในห้อง ส่วนพ่อที่เพิ่งกลับจากจตุจักร (โรงพยาบาลมันอยู่ใกล้ เลยได้ไปเดินตลาดต้นไม้มาจนขาลากและผิวไหม้) พอมาถึงก็เปิดไทม์ไลน์ดู เฟซบุ๊กปกติดีอย่างที่พอจะนึกออก ส่วนทวิตเตอร์(ที่ได้ชื่อว่าไวต่อบรรยากาศแปลกๆ)นั้นเป็นคนละเรื่อง

ตามข่าวที่ไม่อยากให้เกิด จนทุกอย่างบ่งชี้ว่าใช่

จนใช่…

แล้วทุกอย่างในโลกก็ทลายลง

ผมถ่ายคลิป “แสงสุดท้าย” ของเย็นถึงค่ำวันนั้นเอาไว้ (เป็น time-lapse) ทีแรกก็สงสัยว่าทำไมถ่ายอกมาแล้วมันดูไม่ค่อยชัดเหมือนเป็นหมอกๆ อ้อ ที่ไหนได้ เป็นหมอกในตำนานที่ใครหลายคนก็ได้เห็นและร่ำลือกัน

คืนนั้นนอนดึกมาก เอาจริงๆ คือนอนเกือบไม่หลับเลยแหละ ภาพที่เห็นผ่านจอมือถือ เริ่มเปลี่ยนจากภาพสีเป็นภาพขาวดำ มีบทสนทนา มีคำถาม มีการแสดงความคิดเห็นมากมายชนิดที่ @icez บอกว่า log ของทวิตเตอร์เมืองไทยถูกถล่มด้วยก้อนข้อมูลก้อนยักษณ์ระดับปรากฏการณ์

บรรทัดนี้ผมไม่รู้จะเขียนอะไรจริงๆ ทีแรกมีอะไรจะเขียนเยอะแยะไปหมด แต่พอเอาเข้าจริงกลับรู้สึกว่าเราเรียบเรียงความคิดตัวเองไม่จบจริงๆ

อ่านสิ่งที่เกิดขึ้น ณ​ วันนี้จากทุกๆ คนเถอะ ทุกคนได้เขียนบันทึกประวัติศาสตร์หน้านี้ของประเทศเราไว้ให้หมดแล้ว

ตื่นมาพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป

14 ตุลาคม 2559

เช้านี้แหละ เป็นเช้าที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด หนังสือพิมพ์ ทีวี สารพัดเว็บไซต์ต่างนำเสนอทุกรายละเอียด โดยเฉพาะบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกอันทรงพลังนั้นได้แผ่ขยายปกคลุมไปทั้งประเทศ

นิทานออกจากโรงพยาบาล เห็นว่าอาการเจ็บแผลไม่น่าห่วงนัก ที่เหลือก็แค่การประคับประคองจิตใจกัน ไม่ต่างจากใครๆ ในประเทศเราตอนนี้ ที่ต้องผลัดกันประคับประคองกันและกันทั้งนั้น

เมียผมปรับตัวอย่างรวดเร็ว เข้าสู่โหมดทำงานทำการและโหมดแม่ของลูกอย่างจริงจังอีกครั้ง ส่วนผมพอทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ก็ผละออกมางานสัปดาห์หนังสือ ซึ่งวันนี้มีนัดพบปะผู้อ่าน และเซ็นชื่อลงในหนังสือ #เน็ตเมื่อวานซืน

ระหว่างเดินทางก็ได้พบกับบรรยากาศแห่งความอาลัยจากทุกคนรอบกาย เนื่องจากบ่ายวันนี้มีพระราชพิธีเคลื่อนพระบรมศพฯ ไง ดังนั้นหลายๆ คนบนรถไฟฟ้าที่เห็น ก็ต่างเดินทางไปสถานีปลายทางเพื่อต่อรถต่อเรือกันตามสะดวก เพื่อไปร่วมพิธีฯ

พอเสร็จจากงานหนังสือ ก็มานึกได้ว่าวันนี้เป็นวันที่เราไม่ตลกเลย (ปกติก็ไม่ตลกนะครับ ผมเดินทางสายเท่มาตลอด)

กลับถึงบ้านก็ดึกดื่น ลูกเมียหลับแล้ว เหนื่อยและเพลียกันมากๆ ทั้งคู่

15 ตุลาคม 2559

สังเกตว่าพอถึงวันนี้ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ หลายๆ คนเริ่มทำใจได้ และกลับมาทะเลาะกันเหมือนที่เคยเป็นมา (เวรแท้ๆ)

บรรยากาศความหน่วงรอบๆ ตัว ยังทำ ‘หน้าที่’ ของมันได้อย่างแข็งขัน แล้วทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้

ยิ้มสู้และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปให้ดี ก็เท่านี้เอง

คอมเมนต์

#ปิดเล่มแล้วจะเขียนอะไรก็ได้ ตอน The Final Countdown

ดูสิ กะว่าปิดเล่มเสร็จแล้วจะเขียนบล็อกถี่ๆ วันละตอนให้ได้เลย แต่พอเอาเข้าจริง ดันมีงานนู่นนี่ที่อั้นไว้ตอนยังเขียนต้นฉบับไม่เสร็จ จนต้องผัดงานนู้นงานนี้ไปต่อท้าย

แล้วกรรมก็สนองออกมาเป็นความไม่ว่างอย่างแรงด้วยงานที่พอกไว้อีกหลายวันต่อเนื่อง โครงการเขียนบล็อกวันละตอนก็เลยเป็นหมันไป

ช่างมัน เอาเป็นว่าคราวนี้ขอเขียนสั้นๆ เช่นเคย (เคยตอนไหนวะ) ว่าตอนใกล้ปิดเล่มนั้น ผมพบว่าวิธีการทำงานให้มีสมาธิและเพลิดเพลินมากๆ นั่นคือการเปิดอะไรฟังไปเป็นเพื่อนด้วย รับรองว่าอยู่ได้ทั้งคืนไม่มีง่วง และ พ.ศ.นี้ “อะไร” ที่ว่านั้น หวยมาออกที่พอดแคสต์ครับ… ซึ่งเรื่องพอดแคสต์นี่มีอะไรจะเล่าเยอะมาก ขอยกยอดไปครั้งถัดไป เดี๋ยวยาว

และอีกอย่างที่ทำให้ไม่เถลไถลไม่แวะไปนั่งทวีตเล่นหรือนั่งอ่านนู่นอ่านนี่ให้เสียเวลา นั่นคือการเปลี่ยนวอลเปเปอร์แบบโหดๆ ให้ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง หรือสลับหน้าจอโปรแกรม ต้องเห็นภาพบาดตานี้

ทีแรกผมใช้เป็นภาพตารางเวลา ปฏิทินเส้นตายที่ได้มาจากบอกอกาย กะว่านี่โหดแล้ว เปิดมาทีไรก็เห็นเดดไลน์ต่อหน้าต่อตา

แล้วก็พบว่า เฮ้ย มันยิบไปว่ะ มันไม่ตูมใส่สมองในเสี้ยววินาทีแรกที่เห็น

จน 2-3 วันสุดท้ายที่ตั้งเวลาไว้กับตัวเองว่ากูต้องทำต้นฉบับให้เสร็จให้ได้ ก็เลยต้องผลิตนวัตกรรมอีกแบบขึ้นมา และมันได้ผลว่ะ

นั่นคือวอลเปเปอร์อันนี้

final-countdown

เท่านั้นยังไม่พอ ในหน้าโฮมของโครม อันเป็นโปรแกรมที่พาเราเข้าสู่โลกแห่งความเถลไถล ผมเปลี่ยนให้เป็นลิงก์คลิปยูทูบนี่

เปิดมาให้เล่นเพลงเลยครับ! คือเพลงนี้แม่งเป็นเพลงที่เคยใช้เปิดวนทั้งคืนเพื่อปลุกใจสมัยทำธีสิสตอนเรียนในช่วงท้ายๆ ดังนั้นจึงผูกพันกับมัน และเป็นเพลงที่ฟังยังไงก็ไม่เบื่อ ไม่เอียน หลอนอยู่ในหัวเท่าไหร่ก็ไม่เอียน แต่กลับกระตุ้นว่าเฮ้ย มึง ชีวิตมงอีกแค่นิดเดียวก็จะผ่านมันไปได้แล้วนะ!

ทั้งหมดนี้เลยเป็นอีกสูตรนึงที่ผมทำมาแล้วได้ผล เลยเอามาบอกต่อสำหรับคนที่อย่ในภาวะ Final Countdown เหมือนกันครับ

ทั้งนี้ขอแจกไฟล์วอลเปเปอร์นี้ขนาดเบิ้มๆ ไปให้ใช้กันด้วย เอ้าโหลด

อันนี้โฆษณา

อันนี้รีวิวจากผู้ใช้

อันนี้มีการดัดแปลงไปใช้ตามใจชอบ

ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นวิกฤตการณ์ Final Countdown ไปได้ด้วยดี
สวัสดี.

แต่เอ๊ะ มัวแต่มาอ่านบล็อก งานมึงจะเสร็จไหมล่ะ

// แถมๆๆ
เดี๋ยวพอเล่มจริงเสร็จแล้วจะมาอวดอีกที ที่นี่แหละ (เล่มศิลป์ซิตี้ลืมเขียนถึงเฉยเลย แง)

คอมเมนต์

#ปิดเล่มแล้วจะเขียนอะไรก็ได้ ตอน การซื้อหนังสือการ์ตูนไม่ใช่เรื่องแมสๆ อีกต่อไป

บอกไว้ก่อนว่านี่ก็เป็นการบ่นซ้ำๆ ในเรื่องที่เราก็รู้ๆ กันนั่นแหละ คือวงการหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นแบบที่เราคุ้นๆ กันมาหลายสิบปี มันกำลังหายใจรวยรินเต็มที

แต่ถึงรู้แบบนั้น จะบ่นซ้ำอีกก็คงไม่เป็นไรเนอะ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะไม่มีให้บ่นแล้ว สถานะของเรื่องที่บ่นอยู่นี่ก็จะเหลือไว้แค่เพรยงความทรงจำ ที่อีกพักนึงก็ลืม ผ่านไปห้าปีสิบปี กลับมาอ่านก็จะไม่เก็ต ซึ่งน่าเสียดายยิ่ง

ก็เลยบ่นละกันเนอะ

bookstore

ณ ชั่วโมงนี้ ร้านการ์ตูนประจำที่เคยแวะเวียนเป็นประจำมากกว่า 20 ร้าน ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด “เกือบทั้งหมด” ปิดกิจการลงในช่วง 1-3 ปีมานี้ ยังคงเหลือเจ้าที่ยังแวะเวียนอยู่บ่อยๆ แค่สามเจ้า คือ B-Books ข้างเมเจอร์รัชโยธิน, ร้านรัตนาภรณ์ ซอยเสนา และร้านบาร์ใหม่ ม.เกษตร

ในย่านซอยเสนาเคยมีร้านหนังสือทั้งแบบซื้อ แบบเช่า รวมกัน 6-7 ร้าน เอาเฉพาะร้านขายก็มี 3-4 ร้านได้เนอะ ตอนนี้ร้านที่ยังคงยืนหยัดขายหนังสือ นิตยสาร (และอุปกรณ์เครื่องเขียน + ลายแทงหวย) ก็คือรัตนาภรณ์

ร้านรัตนาภรณ์ (แผนที่) เป็นร้านที่ผมชอบมากที่สุดตลอดสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอาศัยอยู่แถวๆ นี้ แม้เดี๋ยวนี้พอย้ายบ้านออกมา ก็ยังหาโอกาสแวะเวียนไปฟังเสียงหวานๆ ของเจ๊แป้น สาวแว่นใจดีตัวเล็ก ที่จำผมได้ตั้งแต่สมัยนู้น จนเดี๋ยวนี้แม้จะห่างหายกันไปนาน เพราะผมย้ายบ้านออกมาอยู่ไกลจากแถวนั้น แต่เดือนสองเดือนพอแวะไปทีนึง แกก็ยังจำได้อยู่เสมอ

การจำลูกค้าได้ และทักทาย หรือบางทีไม่ทักทายก็ไม่เป็นไร แต่รู้นะว่าจำได้ ประสบการณ์นี้หาที่ร้านหนังสือตามห้างไม่ได้นะครับ

วันนี้ผมมีธุระแถวนั้น เลยขอวะสักหน่อย ก่อนแวะก็เช็กดูว่าเรื่องที่ติดตามอยู่มีออกเล่มใหม่หรือยัง (ผมใช้แอป miimai – มีไหม ซึ่งเวิร์กมากๆ ช่วยชีวิตคนที่เผลอพลาดซื้อการ์ตูนซ้ำเล่มได้ดีมากๆ) ก็โอเค ซื้อไซโคเมทเธอร์ เล่ม 13 แล้วก็พบว่า

แม่งขึ้นราคาเป็น 70 บาท

เหี้ย 70 บาท นี่กูยังจำได้อยู่เลยว่ามันเพิ่งขึ้นจาก 25 เป็น 30 บาทสมัยโคนันแรกๆ จนเลิกซื้อไป (มึงก็แก่ไป)

หนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นกับเด็กตอนนี้ก็เริ่มหาความเชื่อมโยงกันยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจำนวนเงิน 70 บาทนี่ถือว่าสูงมากๆ เข้าใจว่ามันติดบ่วงวงจรอุบาทว์ และงูกินหางตัวเองไปเรื่อย (ยอดขายน้อยลงมากๆ สวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น) ก็สรุปได้เลยว่าในระยะเวลาอันใกล้มากๆ นี้ วงการการ์ตูนญี่ปุ่นฉบับลิขสิทธิ์ที่ยังขายแบบเดิมๆ แบบที่เราค้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ ก็กำลังรอวันล่มสลายเนอะ

ไหนจะซีคิดส์ที่ฉบับนี้เป็นฉบับสุดท้าย ถามเจ๊แป้นแล้วแกบอกว่าเล่มนี้ดันขายดีเพราะมีคนซื้อเก็บ เนี่ย หมดร้านเลย เดี๋ยววันจันทร์(มะรืนนี้) จะไปรับมาใหม่ น้องมาอีกรอบนึงนะ

แม้แต่เจ้าแห่งนิตยสารขายดีอย่างคู่สร้างคู่สมเองก็บอกไว้สักแห่งว่าโดนผลกระทบไม่น้อยเลยเช่นกัน เพราะโฆณาน้อยลง ก็ต้องลดการผลิตลง เนื่องจากคนอ่าน “มีตัวเลือกอื่นๆ มากขึ้น” ไม่เห็นต้องอ่านนิตยสารเลย

เราเลยได้ลาก่อนเปรียว ลาก่อนสกุลไทย ลาก่อนพลอยแกมเพชร อินสไตล์ วอลุ่ม ไรต์เตอร์ คอสโม่ ลาก่อนวีว่า บูม ซีคิดส์ และลาก่อนการ์ตูนรวมเล่มดีๆ หลายสำนักพิมพ์ที่โดนลอยแพไปเพราะแบกรับต้นทุนไม่ไหว

จะว่าก็ว่าเถอะ นิตยสารหลายๆ หัวที่เจ๊งไป บางฉบับนั้นดี แต่บางเจ้ามันก็กากจริงๆ นะครับ เนื้อหาแบบเดียวกับที่อ่านได้ในเน็ตอยู่แล้ว แต่ซื้อแบบกระดาษมาก็ต้องมาสคิปข้ามโฆษณาไปค่อนเล่ม อีห่า ชุ่ยเกิน ตายไปเลยไป

แต่อีเหี้ย ที่ยังรับความจริงของโลกนี้ไม่ได้ก็คือ เม็ดเงินโฆษณาหลายๆ พันล้านในแต่ละปีที่ตอนนี้โยกจากสื่ออื่นไปออนไลน์กันมากขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย ดันไปหวยออกที่เหล่าแอดมินเพจเฟซบุ๊กจนแม่งรวยเอาๆ 5555 เห็นแล้วเหม็นยังไงก็ไม่รุ้ รู้สึกว่านี่มันเป็นสภาวะระบบนิเวศน์ที่บิดเบี้ยวผิดที่ผิดทางอยู่ ยังไม่ลงตัวลงล็อกบางอย่าง อารมณ์เหมือนมีคนปล่อยปลาซักเกอร์(เบิร์ก) ลงมาในแหล่งน้ำสาธารณะ แล้วตอนนี้แม่งขยายพันธุ์ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด มองเข้าไปทั้งจากสายตาชาวบ้าน และสายตากำนันผู้ใหญ่บ้านก็บอกเลยว่าไม่รู้จะทำยังไงดี ไม่รู้คนอื่นรู้สึกไหม หรือแฮปปี้กันดีวะ โอ๊ยพูดงี้เดี๋ยวโดนด่า 55555

ถาม: แล้วมึงเดือดร้อนอะไร อิจฉาเหรอ เดือดร้อนเหรอ เปล่าเลยนี่
ตอบ: เดือดร้อนสิครับ เรื่องอิจฉานั่นเรียกว่าหมั่นไส้ดีกว่า 55555 เอาแค่มันส่งผลกระทบต่อวงจรนิตยสารประจำที่ติดตามอยู่ทยอยปิดตัวลง แค่นี้ก็เดือดร้อนมากๆ แล้ว ไหนจะการ์ตูนขึ้นราคาขนาดนี้อีก นี่ไม่ได้มองวงกงวงการอะไรเลยนะ มองแค่ตัวเองที่หนังสือเล่มโปรดทยอยหายไป การ์ตูนดีๆ หลายเรื่องที่รอให้มันออกไลเซนส์ไทย แต่ไม่มีใครกล้าเอามาขายเพิ่มซะทีเนี่ย โอ๊ยเดือดร้อนจะตายชัก

ทางออกที่สำนักพิมพ์บางเจ้ากำลังดิ้นอยู่ก็คือ การแปลงตัวเองเป็นอีบุ๊ก อันไหนได้รับความนิยมหน่อยก็ค่อยทำออกมาเป็นเล่มจริงวางขาย ไม่รู้เหมือนกันว่าเวิร์กไหม แต่ก็ภาวนาพุทโธมากๆ ว่าจงอยู่รอดปลอดภัย และต่อสู้กับพวกแปลเถื่อนได้สักหน่อยเหอะ

แต่เอ้อ อยากจะบอกว่า เท่าที่ผ่านมา โมเดลการแปลงตัวเองจากสำนักพิมพ์กระดาษไปเป็นอีบุ๊ก อีแม็กกาซีน หรือแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่นๆ นี่ ดูมาหลายปีมากๆ ออกมากี่แพลตฟอร์ม เท่คูลแค่ไหร ก็ยังไม่เห็นเจ้าไหนอยู่รอดหรืออยู่ได้เลยครับ ก็อย่างที่รู้กันนะว่าเรามีทัศนคติกันว่าโลกออนไลน์มันต้องฟรี …แต่มึงเสียตังค์ซื้อสติกเกอร์ไลน์และเติมเงินในเกมกันนะ ก็ซื้ออะไรอ่านดูไหมล่ะ

ที่พูดนี่คือผมเองยังไม่ซื้อเลย 555555 ไม่ชอบหนังสือไฟฟ้าง่ะ ความรื่นรมย์มันต่างกันมากๆ

ก็ได้แต่ภาวนาว่าที่ผ่านมามันเป็นการมาก่อนกาลนะครับ ตอนนี้คุณกาลกรุณาพร้อมได้แล้ว เริ่มเห็นการปรับตัวของนิตยสารหลายๆ ฉบับ เช่น WAY เปลี่ยนตัวเองเป็นแนว bookgazine นานๆ ออกที แพงหน่อยแต่แน่นเปรี๊ยะ หรือบางฉบับเปลี่ยนเป็นฟรีก๊อปปี้ คนซื้อไม่ต้องซื้อ แต่อ่านหนังสือที่มีโฆษณาเยอะหน่อย แฮปปี้ดี แบบเดียวกับพวกแอปมือถือเลยที่คนชอบแอปฟรีแต่มีโฆษณามากกว่าแอปเสียเงิน

หรือแม้แต่บางฉบับที่ประกาศว่าฉันจะโกออนไลน์เต็มตัว ต่อไปจะเป็น content provider ให้คนอ่านอ่านฟรี พยายามกระตุ้นให้เกิดยอดวิวเยอะๆ แล้วเวลาขายโฆษณาก็ขายแพ็กพ่วง อวดการแชร์ อวดยอดวิวงั้นงี้ว่าไป เอาตังค์โฆษณามาเลี้ยงชีพ (ซึ่งอันนี้แหละคือโมเดลที่ดูโอเคมั้งใน พ.ศ.นี้ แต่ก็นะ พอตัวเลขพวกนี้มันชัดและชูโรง มันเลยไปทำอะไรที่ทุ่มเทลงทุนเจาะลึกมากไม่ได้ และก่อกำเนิดการพาดฉาบฉวยหัวล่อคลิกมากมาย ไม่เว้นแม้สำนักข่าวที่ดูมีมาตรฐานก็ยังทำหำๆ แบบนี้เลย) ทั้งหมดนี้ก็ขอเอาใจช่วยละกันครับ

แต่ก็นั่นแหละ อย่างไรก็ตามถ้ามองจากมุมคนอ่านการ์ตูน และสะสมการ์ตูนเต็มผนังบ้าน นี่คือความเศร้า แต่ถ้าถอยออกมามองจากสายตา (สายตาใครดีวะ พระเจ้างี้เหรอ จะจบหล่อๆ แต่นึกไม่ออก) มันก็คือกฎการคัดเลือกตามธรรมชาติธรรมดาๆ แค่นั้นเอง คนที่แพ้ก็ตายจากไป และเผ่าพันธุ์ที่ปรับตัวได้และแข็งแกร่งพอเท่านั้นที่จะอยู่รอด ออกลูกออกหลาน และวิวัฒนาการต่อไปได้

ก็ขอภาวนาพุทโธ

จบ

ป.ล.
ความเครียดคือ หาซื้อเอย์จิ (ภาค 2) เล่ม 11 ไม่ได้ คือจำไม่ได้ว่าซื้อมาแล้ว วางไว้ที่ไหนสักแห่งแต่ยังไม่ได้อ่าน เอ๊ะหรืออ่านแล้ววะ กะว่าจะปิดต้นฉบับให้เสร็จก่อนแล้วค่อยอ่าน พอเปิดเล่ม 12-13 แล้วงง เล่มก่อนเนื้อเรื่องมันไปถึงไหนแล้ววะ คือเรื่องมันต่อกัน มันอ่านข้ามไม่ได้ไง ทำไงดีวะ ทวีตถามก็ท่าจะไม่มีคนรู้เลย เพราะการซื้อการ์ตูนอ่านมันไม่ใช่กิจกรรมกระแสหลักมาพักใหญ่แล้ว ฟวยมาก

ป.อ.
ก็เลยต้องกูเกิลดู และได้รู้ว่ามีกระทู้สปอยล์ในพันทิปว่ะ เลยเข้าไปส่องๆ ดู เออ โอเค เล่ม 11 ยังไม่ได้อ่าน ถ้าหาไม่เจอจะซื้อใหม่ ถึงแม้ในแอป miimai เราลงไว้ชัดเจนว่าซื้อแล้วก็ตาม (เศร้าอยู่ดี)

ป.ฮ.
โอ๊ย คิดถึงการเขียนบล็อกเพ้อเจ้อไหลยาวไปเรื่อยๆ ไม่ได้ประเด็นแก่นสารไม่ต้องตรวจทานแบบนี้มาก ตอนปั่นต้นฉบับก็ว่าจะแวะมาเขียนแต่แม่งไม่ได้สักที งั้นตั้งชื่อหัวข้อว่างั้นละกัน เดี๋ยวจะมาต่ออีกหลายเรื่อง เรื่องยูธูปก็ยังไม่ได้เขียน อยากเล่าโว้ย

คอมเมนต์

นิทานก่อนนอน (13 ส.ค.59)

เมื่อคืนตอนนอน ลูกขอให้ผมเล่านิทานให้ฟัง

ปกติผมนอนดึก เมียเลยมีหน้าที่เป็นคนเล่า หลายเรื่องก็เล่าซ้ำจากหนังสือที่กองไว้ท่วมบ้าน แต่พอระยะหลังๆ ลูกคงเบื่อที่เรื่องซ้ำบ่อย จนแม่โบว์ต้องคิดเรื่อง ผูกเรื่องเองหลายครั้ง บางเรื่องก็เพลิดเพลิน บางเรื่องก็กริบ แล้วแต่อารมณ์คนเล่าตอนนั้นแหละมั้ง

แต่เมื่อคืนนี้เป็นคิวของผม พอปิดไฟคุยนั่นนี่จนหมดเรื่อง ได้เวลานอนแล้ว ก็เลยถามนิทานว่าคืนนี้จะส่งท้ายด้วยเรื่องอะไรดี ให้บอกชื่อเรื่องมาเดี๋ยวพ่อแต่งนิทานให้นิทานฟังเอง

จึงได้นิทานก่อนนอนเรื่องนี้มาครับ ทีนี้รู้สึกว่าพล็อตมันใช้ได้ กลัวว่าเดี๋ยวจะลืม เลยเอามาวาดเป็นการ์ตูนแปะบล็อกไว้ อีกสิบปีจะเรียกลูกมาดูใหม่

(ชื่อเรื่องอยู่ตอนท้าย)

เริ่มล่ะนะ

01 Continue reading นิทานก่อนนอน (13 ส.ค.59)

คอมเมนต์