สตาร์ วอร์ส

starwars

คิดได้ก่อนเที่ยงคืนนิดนึงว่าเดือนธันวาคม (ที่กำลังจะผ่านไป) นั้นเราแทบไม่ได้เขียนบล็อกเลย เลยเขียนก่อนจะหมดปี …เผากระทั่งบล็อกตัวเอง

พูดถึงสตาร์ วอร์ส ละกัน ผมไม่เคยดูหนังภาคต้น (4-5-6) มาก่อน แต่อ่านเรื่องย่อมาก่อนที่จะไปดูภาค 1 ในโรง

ตอนนั้นอยู่ปี 1 และค่อนข้างไม่มีตังค์ การเก็บตังค์ไปดูหนังเรื่องนี้จึงเป็นความตั้งใจอย่างยิ่ง และก็ได้ผล คือตื่นตาตื่นใจกับงานดีไซน์ในหนังเอามากๆ เจ๋งดี เหมือนรวมคนเก่งๆ ด้านสถาปัตยกรรมมาร่วมกันแสดงงานในหนัง รู้สึกว่าพอหนังจบตอนนั้นก็ไปหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานออกแบบอีกพอสมควร ให้สมเป็นเด็กเนิร์ด

แต่เนื้อเรื่องนั้นแทบจำไม่ได้ คือมันไม่อิน อินแค่ว่าเจ้าหญิงอามิดาล่าน่ารักฉิบหาย (ต่อมาจึงจำชื่อดาราคนนั้นได้ และทุกวันนี้นาตาลี พอร์ตแมน ก็ยังเป็นดาราหญิงที่ข้าพเจ้าว่าน่ารักที่สุดในโลก)

ถึงไหนแล้วนะ อ้อ ภาคแรก เนื้อเรื่องเป็นไงไม่รู้ แต่สรุปได้ว่า อีเด็กหัวเห็ดนี่โตขึ้นมันจะเป็นตัวโกงในภาค 4

ต่อมา ไปดูภาค 2 ในโรงกับแฟน จำได้แค่ว่า นาตาลีน่ารักฉิบหายเหมือนเดิม แต่เนื้อเรื่องก็น่าเบื่อขนาดที่ว่าหลับกลางเรื่อง มาตื่นเอาตอนที่เห็นคำว่า จอร์จ ลูคัส ซึ่งเป็นเครดิตท้ายเรื่อง

ภาคสามก็ไปดูกับแฟนเหมือนกัน (เอาจริงๆ ตั้งแต่มีแฟนมาก็ไม่เคยดูหนังคนเดียวอีกเลย จนกระทั่งปีนี้เองที่แฟนเลี้ยงลูก เลยได้ไปดูกับเพื่อนบ้าง กับน้องบ้าง นับได้ 2-3 ครั้งในชีวิต) พบว่าภาคสามนั้นสนุกดี เพราะมันมีสเกลที่ตูมตามกว่าเดิม และพาไปสู่บทสรุปที่เห็นในโปสเตอร์ของภาคแรก ที่เป็นอีเด็กหัวเห็ดยืนตากแดด ฉายเงาเป็นคุณลุงใส่หมวกกันน็อกทรงติ่งหู

สรุปว่า ถึงจะดูมาแล้วสามภาค แต่ถ้าไม่นับเรื่องความประทับใจในงานออกแบบ และนางเอกของเรื่อง ผมก็ไม่ได้อินอะไรกับเรื่องนี้เลย ในขณะที่เพื่อนหลายคนสถาปนาตัวเองเป็นสาวกของหนังเรื่องนี้ และเจอเยอะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโดดมาทำงานวงการไอที (คือเนิร์ดหนังเรื่องนี้เยอะมาก)

ตัดภาพมายุคปัจจุบัน อยู่ดีๆ ทุกคนแม่งก็พูดกันถึงหนังเรื่องนี้ ว่ามันโอเคนะ ผู้กำกับก็เก่งนะ สามารถเย็บเอาความทรงจำในวัยเยาว์ของแฟนๆ มาผูกกับเนื้อเรื่องที่ “เดินไปข้างหน้า” ได้ ผมเลยตั้งใจจะดู

เชี่ย อีก 7 นาทีจะเที่ยงคืน รีบพิมพ์ๆๆ

ก็เลยนัดน้อง (โมนาและมาเฟีย) มาเข้าค่าย เพื่อตะบี้ตะบันดู ทำความรู้จักหนังเรื่องนี้กันใหม่เลย โดยบรีฟกับตัวเอง และน้องๆ ว่า จงดูโดยคิดว่าเราอยู่ในยุคนั้น ดังนั้นพวกสเปเชียลเอฟเฟกต์ต่างๆ ที่เป็นงานทำมือ ที่มันไม่เนียน ดูก๊องแก๊งหรืออะไรที่เรากำลังจะเจอ (ในยุคที่วงการมายาเขาสร้างโลกทั้งใบจากคอมพิวเตอร์ได้เนียนกว่าของจริงมานานแล้ว) นั้น คือความเท่ ให้ดูด้วยไม้บรรทัดของคนในยุค 30 ปีก่อน โอเคนะ ตามนี้ เริ่มเลย

แผนการดูคือใช้สูตรเรียงภาคตาที่หลายคนแนะนำมาว่าให้ไล่จาก 4-5-1-2-3-6 แล้วมะรืนนี้เราจะไปดู 7 กันในโรง!

สรุปสั้นๆ ได้ดังนี้:

  • 4 – เปิดเรื่อง เนื้อเรื่องมีพอประมาณ ไม่ได้ประทับใจอะไร ในขณะที่ทำใจเตรียมไว้แล้วว่าเราจะได้ดูหนังที่ผ่านกาลเวลามานาน แต่ก็ยังสงสัยในความง่ายของบทมัน ว่าทำไมมึงเจอจุดหักเหแล้วตัดสินใจอะไรๆ กันง่ายจังวะ แต่ก็นะ สมัยนั้นหนังมันก็ไม่ได้ต้องเนี้ยบเรื่องความคิดความอ่านเหมือนยุคนี้ พอดูจบก็หันมาเสวนากันว่าทำไมมันง่วงยังงี้ แต่ในไทม์ไลน์เขาว่ากันว่า มึงอย่าตัดสินแค่ภาค 4 ขอให้ดู 5-6 ก่อน ความเจ๋งมันอยู่ตรงนั้น เราเลยโอเค ขอดูต่อ
  • 5 – เนื้อเรื่องเดินทางต่อไป แต่เดินทางแบบไม่มีอะไรเลย (ความรู้สึกเดียวกับตอนที่ดู 2 ในโรง) ภาคนี้เลยง่วงมากๆ และหลับๆ ตื่นๆ กันทั้งสามคน มาถึงตอนนี้เราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่า หนังเรื่องนี้มันจะตรงจริตเราจริงไหม คนเขาตื่นเต้นกันเพราะความสดใหม่ในยุคนั้น แต่เรามาดูกันช้าไปอย่างที่เขาว่าหรือไม่
  • 1 – โดดมาภาค 1 ตามสูตร แล้วก็พบว่างานสร้างที่มันสวยขึ้นตามยุคสมัยนั้นทำให้ดูสบายตาขึ้น แต่ก็อย่างว่า ว่ามันก็ยังเฉยๆ
  • 2 – น่าเบื่อ เนื้อเรื่องไม่เดิน เลยหลับกันทุกคน แต่พอโตขึ้นแล้วพบว่านางเอก (นาตาลี) น่ารักกว่าที่เคยดูในสมัยก่อนมากๆ ดูไปหื่นไป
  • 3 – ภาคนี้แหละที่ได้เนื้อได้หนังที่สุด เก็บอรรถรสจากหนังได้เยอะ ยอมรับว่าสนุก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นแบบ เหี้ย สนุกสัสๆ กูจะขอสมัครเป็นสาวกของเรื่องนี้นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อะไรงี้ คือสนุก แต่ก็สนุกแบบ อืม ดีเหมือนกันนะ
  • 6 – ปิดไตรภาคที่สองด้วยความเบื่อ เพราะประเด็นขัดแย้งและเนื้อเรื่องในภาคนี้มันมีอะไรให้เถียงเต็มไปหมด หลักๆ คือ นี่มันหนังอวกาศหรือว่าซิตคอมครอบครัววะเนี่ย งงมาก จะเล่นสเกลเล็กหรือใหญ่เอาให้แน่ก่อนไหม คือดูจนจบแล้วก็ผิดหวังกับคำท้าของประชาชนที่บอกว่าให้ดูให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน นี่คือดูจบแล้ว และทิ้งความคาดหวังไปแล้ว

มีหนึ่งประเด็นที่มีคนบอกว่าถ้าจะดูให้สนุกต้องดูตอนเด็กๆ เลย คือดูร่วมสมัย ในขณะที่มันนำสมัย นั่นถึงจะอิน โตมาดูตอนนี้มันก็ไม่ใช่แล้ว เพราะหนังมันผ่านกาลเวลาของมันไปแล้ว แต่ผมนึกเปรียบเทียบกับการ์ตูนบางเรื่องที่เสพมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าโคตรโอเคอยู่ อย่างดราก้อนบอล หรือโดราเอมอน หรือคอบร้า (ซึ่งเรื่องนี้แม่งดูก็รู้ว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากสตาร์วอร์สเต็มๆ อ้อ มีเจมส์บอนด์ด้วย เอ๊ะมีอินทรีแดงด้วยไหม) มาอ่านตอนนี้ก็ยังรู้สึกสนุกอยู่เสมอ

ก็นะ รสนิยมคนมันมีหลายแบบ เราก็เป็นแบบหนึ่ง เผอิญว่าอาจจะไม่ได้ชอบหนังแบบเดียวกับที่แฟนๆ ทั่วโลกชอบกัน (โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่อง “พลัง” หรือปมประเด็นการสืบสายเลือด ฯลฯ) แต่ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้แหละมั้ง

และแล้วในที่สุดวันต่อมาก็ไปดูภาค 7 ในโรงกันเลย เพื่อจะได้ปิดคดีว่าสรุปแล้วเราโอเคกับคำอวยที่ไหลหลั่งมาจากทั่วสารทิศไหม

สรุปคือภาค 7 มันสนุกจริงๆ ครับ สนุกระดับเดียวกับภาค 3 เลย

เพราะเนื้อเรื่องมัน “เดินไปข้างหน้า” ในแบบที่ภาค 2 กับ 5 ทำไม่ได้นั่นแหละ พอดูจบก็เลยยังรู้สึกว่ามีอะไรติดหัวให้พูดคุยกันต่อหลังหนังจบอีกหน่อย (หนังเรื่องไหนไม่ว่าจะเหี้ยยังไง ถ้ามันมีอะไรให้พูดหลังออกจากโรง นั่นผมถือว่าเป็นหนังที่มีคุณค่านะ อย่างอะเวนเจอร์สนี่แทบไม่มีเลย ยกเว้นจะมาอ๊อดโชว์ภูมิใส่กันว่ามีลูกเล่นไอ้นั่นแอบอยู่ตรงนี้ตรงนั้น)

คือจนตกเย็น ผ่านไปถึงตอนเช้า ก็พบว่ายังมีกลิ่นของเนื้อเรื่องรวมๆ วนอยู่ในหัว (ก็เล่นดูมา 7 ภาครวดขนาดนี้ 5555555) เลยรู้สึกว่า เออ มันก็โจมตีความทรงจำของเราได้เหมือนกัน เช่นพอไปเดินโรบินสันเห็นโซนของเล่นที่ขายของเกี่ยวกับหนังพวกนี้ เราก็เก็ตแล้วว่าอ๋อ ยานนี้มันมีบทบาทตรงนั้น ตัวละครตัวนี้มันนิสัยยังงี้ เป็นต้น

รวมถึงการนึกย้อนไปในวัยเด็กที่มีเหล่าญาติโยมเคยหยิบหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มาฟันกัน บอกว่าเป็นไลต์เซเบอร์ ไอ้เราก็งงๆ เพราะตอนนั้นอินการปล่อยพลังมากกว่างี้

ก็นึกขอบคุณคนที่จินตนาการอะไรๆ ออกมาได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะภาคที่สร้างสรรค์ออกมาล้ำอวกาศในโลกภาพยนตร์สมัยก่อน ถือเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ชม รวมไปถึงคนทำงานสร้างสรรค์หลายๆ วงการได้นำจินตนาการนั้นๆ มาสานต่อ เป็นโลกอีกหลายใบ ให้คนอีกหลายล้านคนได้ต่อยอดไปอีกครั้ง (อย่างการ์ตูนคอบร้าก็น่าจะนับเป็นหนึ่งในนั้น ที่เอามาจากสตาร์วอร์ส แต่ปรุงรสได้ถูกจริตเรามั้กๆ)

แต่นาตาลีน่ารักสุดยอดเลยล่ะ อันนี้สรุป

สวัสดีปีใหม่ครับ (อ้าว)

คอมเมนต์

กระป๋องโค้กใส่เม็ดถั่วเขียว

mascot

มีจดหมายแนบมากับกระเป๋าเป้ของนิทานว่า วันศุกร์ที่จะถึงนี้เป็นวันกีฬาสีของโรงเรียน

เพื่อความครื้นเครงและการมีส่วนร่วมของครอบครัว ทางโรงเรียนจึงขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง ให้ช่วยนำเศษวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์เชียร์ (อ่านถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้ม เสร็จตูล่ะ งานประดิษฐ์แบบนี้ของถนัดเลย)

แต่เดี๋ยวก่อน… ในจดหมายมีระบุไว้ว่า จงทำแบบนี้

  1. ใช้กระป๋องโค้ก 2 กระป๋อง (ระบุยี่ห้อเรียบร้อย เข้าใจว่าบริษัทโค้กอาจมีเอี่ยวกับธุรกิจกีฬาสีของโรงเรียนอนุบาลที่มีมูลค่านับพันล้านบาทด้วยไม่มากก็น้อย)
  2. ใส่เมล็ดถั่วเขียวลงไป
  3. ปิดทับด้วยกระดาษสีชมพูซึ่งเป็นสีของลูกหลานท่าน

โอเค ฟังดูไม่ยาก ทีนี้ปัญหาคือ

  1. บ้านเราไม่มีใครดื่มน้ำอัดลม ไอ้ครั้นจะใช้กระป๋องเบียร์แทนก็ยิ่งยากใหญ่เลยเพราะไม่มีใครดื่มเบียร์แน่ ก็เลยต้องไปซื้อในแม็กซ์แวลู่ข้างบ้าน เสียตังค์อีก (ถือว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ให้ใช้เศษวัสดุเหลือใช้ละ)
  2. บ้านเราไม่มีใครทำอาหาร ไอ้ครั้นจะหาถั่วเขียว… เอาเถอะ ตอนไปแม็กซ์แวลู่เลยแวะดูชั้นวางถั่วเขียวด้วย ก็มีแต่แบบออร์แกนิก อีห่า ถุงละ 74 บาท…
  3. กระดาษสีชมพู (และกาว) อันนี้เดี๋ยวไปซื้อ ต้องซื้ออยู่แล้วแหละเนอะ

แล้วก็นึกได้ว่าที่บ้านเรามีอุปกรณ์ส่งเสียงอยู่เยอะแยะเลยนี่หว่า ทั้งกลองบองโก้ กลองคาฮอง คาซู่ นิ้งหน่อง ระนาดเล็ก 2 ราง ไข่เขย่า ขลุ่ยอีก 3 เลา นี่ยังไม่นับขวดเหลือๆ ที่เอามาทำเสียงก๊องแก๊งๆ ได้สารพัด ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถใช้เศษผ้ามาพันเป็นสีชมพูได้ (ผมมีผ้าสามสีประจำตัวอยู่ด้วย)

เลยคิดว่าปีนี้ขอดูลาดเลาไปก่อน ปีหน้าพอรู้แนวทางแล้วจะฝืนคำสั่งครู ลองทำอย่างที่เราคิดว่าโอเคกว่าคำสั่ง คสช.ดู

อ้อ พอดีครูประจำชั้นขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองที่ว่างงานไปเชียร์บุตรหลานของท่านด้วย เมียก็เลยดำริว่าเราจะไปเช่าชุดมาสคอตจากร้านใกล้ๆ บ้าน (เป็นรูปช้างสีชมพู) ไปช่วยเขาถ่ายรูปและเชียร์ลูกด้วย 555555 เออ เอาวะ ลองดู ถึงจะแพงกว่าถั่วและน้ำอัดลมสองกระป๋องรวมกันหลายเท่า แต่ก็บันเทิงแบบเซอร์ไพรส์ดี

ส่วนถั่วเขียวออร์แกนิก เดี๋ยวจะเปลี่ยนเป็นเก็บก้อนกรวดข้างบ้านมาใส่แทนคงได้เนอะ

คอมเมนต์

ไม่ได้เขียนมาเดือนนึง!

นอกจากนี้แล้ว
– อย่าว่าแต่หนังสือกองพะเนินเลย การ์ตูนก็ไม่ค่อยได้อ่าน
– หนังก็ไม่ค่อยได้ดู (เมียตกลงเข้าโครงการ “ต่อไปนี้จะดูหนังทุกวัน”)
– เที่ยวเหรอ เออเที่ยวว่ะ เที่ยวบ่อยมาก

สรุปง่ายๆ ได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่ต้องแบ่งเวลาชีวิตเกือบทั้งหมดไปกับลูก 2 คน (ที่ต้องการให้ชีวิตของพ่อและแม่กลายเป็นของเขาแบบคนละ 100% ทั้งคู่) ที่เหลือคือประคับประคองหน้าที่การงานของตัวเอง จนไม่มีเวลามาทำสิ่งอดิเรกใดๆ เลย

ก็ถือเป็นอีกครั้งที่พอรู้สึกว่าบาลานซ์เสีย ธรรมชาติของความเฉื่อยในตัวมันจะสะกิดแรงๆ แล้วบอกว่าต้องปรับอะไรสักอย่างแล้ว

ซึ่งก็ไม่สามารถหักดิบได้เพราะติดเงื่อนไขด้านบน ตอนนี้รอเวลาอย่างเดียว ให้ลูกโตกว่านี้อีกนิด (ไม่ใช่หลักปี แต่เป็นหลักไม่กี่เดือนต่อจากนี้) เราก็น่าจะว่างมานั่งเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยๆ ได้เหมือนเดิม

สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนขู่ให้รู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่มีลูกแล้วมาอ่านเข้า คงกลัว และตัดสินใจไม่มีลูกไปเลยเพราะกลัวจะสูญเสียเวลาอันมีค่าของตัวเองไป ก็อยากจะบอกว่าเชิญเถอะครับ วิถีใครวิถีมัน ไม่โน้มน้าวละกัน

แต่ถ้าถามว่าถ้าให้ย้อนกลับไปได้จะมีไหม เฮ้ย ไอ้บ้า มีสิ

มันไม่ใช่แค่คุ้มแบบได้อย่างเสียอย่างนะ แต่นี่เสียแค่อย่าง แต่ได้มาสามร้อยล้านอย่าง โคตรคุ้มเลย

แต่อธิบายไปก็ไม่เข้าใจหรอก

คอมเมนต์

ขี้แตกจนเก็บไปฝัน

คำเตือน: ใครกินแกงกะหรี่อยู่ขอให้ปิดเสียตั้งแต่ตอนนี้ครับ

คือผมเพิ่งไปกินเอ็มเคโกลด์มา พอกลับถึงบ้านดึกดื่น ตื่นนอนมาตอนเช้าก็สงสัยว่าทำไมมึนๆ เหมือนจะอ้วก และอ่อนระโหยโรยแรงผิดปกติ พอขี้ตอนเช้าก็ไหลพรวดๆๆ เป็นน้ำ อลังการมาก รอบเดียวไม่พอ นี่เบิ้ลเป็น 2-3 รอบ

ทีแรกก็คิดว่า “ร่างกาย เป็นอะไรของมึง แค่กูนอนดึกตื่นเช้านี่เล่นกูงี้เลยเหรอ” (ทำเสียงเหมือนยุ่น) คือคิดว่าเป็นเพราะนอนน้อย

แล้วก็ปั่นจักรยานไป ม.เกษตรเพื่อไปทำธุระที่ธนาคาร เสร็จแล้วก็รู้สึกอ่อนเพลียมาก นั่งงงอยู่ตรงอาคารจอดรถ

อยู่ดีๆ ข้าศึกก็ประกาศสงคราม บุกเข้าตีเมืองอย่างจัง! เลยไปฝากรอยรักเอาไว้ใน ม.เกษตรก่อนกลับบ้าน แล้วพอนึกสงสัยก็เลยค้นในมือถือดู

ก็นั่นแหละครับ สรุปว่าอาการทุกอย่างชี้เป้ามาที่ “อาหารเป็นพิษ” และต้องปั่นจักรยานกลับบ้านอีก 7 กิโล (เป็นรถพับคันเล็กๆ เลยเหนื่อยกว่าคันใหญ่ไซส์มาตรฐานที่นักปั่นเขาปั่นกันประมาณ 3 เท่า) ปั่นไปก็มึนไป คือเพิ่งสำเหนียกว่ามันคืออาการเพลียจากการเสียน้ำมากเกินไป จะเป็นลม นึกอะไรไม่ออกเห็นรถเข็นขายสับปะรดเลยแวะซื้อ ช่วยได้นิดนึง แล้วปั่นเซๆ ถึงบ้าน นอนมันทั้งเหงื่อท่วมนั่นแหละ

แล้วก็ตื่นมาขี้ๆๆๆๆๆๆ ขี้ๆๆๆๆ เป็นน้ำ ไม่ต้องเบ่งอะไรเลย ทุกอย่างราบรื่นเกินไป เหมือนร่างกายตัวเองเป็นลูกโป่งที่เติมน้ำจากก๊อกจนเต็มแน่นบวมเป่ง พอเปิดรูนิดนึง น้ำก็พุ่งทะลักออกมา ต้องเอานิ้วคีบไว้ พอคลายนิ้วก็พุ่งออกมาอีก พรวดดดดดดดดดด

พอปรึกษาอาการกับเพื่อนหมอมันก็หัวเราะเยาะ (เกลียดดดด) แล้วสั่งจ่ายยามาแก้ขี้แตก สรุปว่าเมื่อวานนี้ทั้งวันเลยไม่ต้องทำอะไรเลยครับ ขับรถมาบ้านแม่ยายก็ให้เมียขับให้ (สบาย) แถมพอนอนก็เป็นไข้สูงปรี๊ด

ทีนี้มันสนุกตรงที่เก็บไปฝันว่าผมได้ไปงานสัมมนาสักแห่งแถวๆ นครปฐมกับคนไม่รู้จักทั้งขบวน (เหมือนงานเสวนาที่เอาคนมาจากหลายๆ แห่ง) แล้วปวดขี้ไง เลยไปขี้

ปรากฏว่าพอเบ่งออกมา มันดันก้อนใหญ่มาก สีเหลืองอมน้ำตาลกำลังพอดี กลมๆ แบบแอปเปิลเลย (ไม่รู้ออกมาได้ไง แข็งเป๊กเลยนะ) แล้วมันใหญ่จนยังไงก็ไม่มีทางกดให้ผ่านรูคอห่านชักโครกลงไปได้

ooj

กดไปกดมาก็ค้างอยู่ในรู ค้างคอขวดอยู่ครึ่งก้อนนั่นแหละ ทีนี้พอกดอีกที น้ำก็เริ่มเอ่อขึ้นมาเรื่อยๆ จนจะท่วมออกมานอกโถ ซึ่งจังหวะนี้อันตรายมาก ผมก็เหงื่อแตกอยู่ในส้วมแล้วนึกวิธีแก้ปัญหาอยู่นาน

รอให้น้ำลด แล้วเดินออกมานอกส้วม เผอิญเห็นไม้ที่เป็นตัวปั๊มท่อน่ะ ก็เอามาปั๊มๆๆ กดปล่อยๆ อีก้อนนั้นจึงหลุด บั๊วะ! ออกมาจากคอห่าน ในสภาพสมบูรณ์สวยงา่ม กลมดิ๊กๆ เหมือนเดิม

เอาไงดี เลยเดินออกมามองซ้ายมองขวา …เห็นช้อนตกอยู่ เลยเอาช้อนไปค่อยๆ บิออก หั่นแบ่งอุ๊จให้ขนาดของชิ้นเนื้อเล็กลงมาหน่อย (ในฝันได้ความรู้สึกว่านุ้มนุ่ม) ค่อยๆ ออกแรงกดตัดเป็นส่วนๆ ให้พอดีคำ แล้วก็กดให้มันลงไปอีกครั้ง ทุกอย่างจึงแฮปปี้

หลังจากตื่นมาจากฝันสู่โลกแห่งความจริง ข้าพเจ้าก็ขี้แตกพุ่งเป็นน้ำเหมือนเดิม…

คอมเมนต์

“พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร”

1.
ประโยคที่เอามาเป็นชื่อบล็อกคราวนี้ ผมจำไม่ได้ว่าที่จริงเป๊ะๆ พี่แกพูดว่าอะไร เป็นประโยคจากบทสัมภาษณ์คุณแหม่ม เจ้าของ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” นวนิยายซีไรต์ปีล่าสุด (2558) ซึ่งเพิ่งประกาศผลไม่กี่วันมานี้เอง แต่บทสัมภาษณ์นี้น่าจะหลายวันแล้ว พี่แกมาในฐานะตัวเก็งของปีนี้
ชื่อรายการที่สัมภาษณ์ชื่อ Radio Read เป็นรายการวิทยุออนไลน์ผ่าน SoundCloud เพิ่งมีตอนนี้เป็นตอนแรก (ไม่รวมตอนแนะนำรายการซึ่งก็สนุกเหมือนกัน) ถ้าสนใจจงสละเวลาอันมีค่าของท่านไปฟัง

2.
พอก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว (แน่ล่ะ นี่ผมก็อายุ 30 กว่าๆ จนชินกับการมีเลข 3 เป็นของตัวเองแล้ว) พบว่าแทบทุกคนจะมีเหตุผล หรือสิ่งยึดเหนี่ยว หรืออีโก้ หรืออัตตา หรืออะไรอีกล่ะ ที่มันอารมณ์ประมาณนี้ แต่สรุปได้ว่าเป็นสิ่งรองรับการกระทำของตัวเองว่า “กูคิดแบบนี้ มีอะไรไหม และนี่คือคำอธิบายชุดความคิดของกู”
ซึ่งสิ่งนี้แม้จะฟังดูงี่เงาแค่ไหนก็ตาม มันน่าสนใจว่ะ

3.
หนังสือที่ผมอ่านตอนขี้ในช่วงนี้คือ The Writer’s Secret เป็นบทสัมภาษณ์นักเขียน หรือนักอะไรต่างๆ ที่มีอาวุธคืองานเขียน (ยกตัวอย่างเช่นพี่เจ้ย และเจ้าของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) แน่นอนต้องรวมถึงนักเขียนรุ่นเก๋าแบบที่เอ่ยชื่อแล้วคนไม่อ่านหนังสือยังรู้จักอีกหลายท่าน
ความสนุกมันอยู่ที่เราพบอัตตา-เหตุผลดังที่ว่ามาอัดแน่นอยู่เต็มเล่ม บางทีอ่านไปก็เฮ้ย อะไรของลุงวะ แต่ก็นั่นแหละ มันน่าสนใจมาก

4.
คำว่า “น่าสนใจ” นั้นอาจเป็นคำของคนแก่ก็ได้นะ คือเราไม่จำเป็นว่าต้องเห็นด้วยหรือคล้อยตาม และเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องแสดงความรู้สึกขัดแย้ง แม้โคตรจะอยากแย้ง แต่มันคือความเคารพความคิด (หรือความคิดต่าง) ที่ก่อตัวขึ้นมาในช่วงที่สติเย็น ผมชอบความรู้สึกนี้ ผมเคารพความรู้สึกน่าสนใจนี้ เวลาเจอใครที่แม่ง ทำไมเหี้ยได้ขนาดนี้ หรือทำไมดีได้ขนาดนี้ หรือทำไมประหลาดขนาดนี้ แล้วมัน convert ออกมาเป็นคำว่า “น่าสนใจ” โดยอัตโนมัติ นั่นแหละจะเป็นตอนที่รู้สึกว่าเขาเป็นครูเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราเคารพเขา เราอยากเรียนรู้ความดีเหี้ยประหลาดนี้ของเขา ซึ่งดี

5.
ตอนนี้รอบตัวผมมีคนรู้จักต่างทยอยเดินก้าวข้ามแกรนด์ไลน์แห่งชีวิตกันมาทีละคนสองคน หันไปวงการไหนก็ต่างเดินก้าวตามๆ กันมา สำหรับผู้หญิงเราจะได้เห็นการบ่นแบบหนึ่ง (เหี้ย กูสามสิบแล้วยังไม่มีผัวเลย) กับผู้ชายก็มักได้ยินอีกแบบ (เฮ้ยกูสามสิบแล้วทำไมชีวิตยังไม่มีอะไรเลยวะ)

6.
แต่เสียงบ่นที่น่าสนใจนั้นลอยมาอีกฝั่ง จากกลุ่มคนที่ถูกแปะป้ายว่า “ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี” ซึ่ง นับนิ้วมือดูแล้วเกินว่ะ รอบตัวผมมีคนประเภทนี้เยอะอะ ที่น่าสนใจ (ใช้คำนี้่บ่อยเกินไปแล้ว แต่มันน่าสนใจจริงๆ ถ้าผมสื่อสารถึงความน่าสนใจออกมาไม่เคลียร์ อนุญาตให้ด่าได้นะครับ) ก็คือ แต่ละคนต่างโอดโอยกันเรื่อง “Mid-life Crisis” กันทั้งนั้น ผมหูผึ่งและตั้งใจฟังทุกครั้งที่ได้เห็นคนเหล่านี้บ่น

ผมไม่ได้ติดตามชีวิตเขาเหล่านั้นตลอดเวลา (เป็นคนผิดของตัวเองที่เสือกไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก เป็นความผิดต่อโลก ต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ที่สิงอยู่ในนั้นเป็นหลัก) ดังนั้นการที่พอเข้าไปคุยกับลูกค้าแล้วเห็นเพื่อนที่ว่าโผล่มาบ่นเรื่องนี้ในไทม์ไลน์ให้เห็นกับตาบ่อยครั้ง จึงทึกทักตั้งข้อสังเกต เหมาเอาเองว่า กลุ่มคนที่ ปสคสรตตอยยมถ30ป. นี้ มันเคว้งว่ะ อาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองได้ขึ้นมาโดนสปอตไลต์ฉาบทับร่างกาย หรือโดนแปะฉลากว่าเป็นคนเจ๋ง หรือรู้สึกได้เอง หรืออะไรก็ตาม ตั้งแต่ยังอายุ 20 กว่าๆ และยิ่งอยู่ในสังคมยุคปัจจุบันที่เราแปะฉลากคนกันง่ายๆ ไม่แพ้การที่ผมกำลังทำอยู่ในย่อหน้านี้นั้น

มันกดดัน

7.
ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องนี้แล้วคุยกับเมียว่าเออ รอบตัวเรามีคนแบบนี้เยอะนะ เมียหันมาบอกว่า เตงก็เป็น ผมหันมามองตัวเอง (ก้มลงเอาคางติดร่องนม …ลองทำตูสิ #มองตัวเอง) …ยอมรับก็ได้ว่าผมก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น คือในช่วงวัย 20 กว่าปี ได้เคยทำอะไรๆ ที่มีคนพูดถึง มีผลงานออกสู่โลก ได้รับการยอมรับ ได้รับการคาดหวัง ฯลฯ หลายๆ อย่างจนตัวเองจำไม่ไหว* ถึงแม้จะเป็นแค่วงแคบๆ เท่าที่กะลาของผมจะกระดึบไปถึง แต่แคบๆ แบบนี้ก็เรียกได้แบบนั้นแล้ว

8.
แต่ทุกวันนี้ผมเรียกว่าแทบจะสลัดเชื้อแห่งนิวเจนฯ ทุกอย่างทิ้งไปทั้งหมด เป็นปริศนาที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม มานึกย้อนทีไรก็งง ยิ่งช่วงนี้ที่อยู่บ้านเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกและทำงานรับใช้เมียเพียงอย่างเดียว บางทีมันก็แว้บๆ ขึ้นมาเหมือนกันว่าเอ๊ะ เมื่อก่อนเราเป็นใคร เดี๋ยวนี้เราเป็นใคร — เราเป็นใครของใคร
คือรู้แหละว่าตอนนี้ชีวิตดีมาก แต่หาข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมจึงดี เป็นความโอเคแบบงงๆ ประมาณว่าถ้ามีคนถามก็จะอธิบายออกไปแบบโง่มาก ทั้งที่ตอนตัดสินใจทิ้งอะไรไปแต่ละอย่าง มันต้องอาศัยความหนักแน่นทั้งนั้น เพราะนั่นคือการเลือกแบบที่เลือกแล้วไม่อยู่ในเขตเซฟโซนสักอย่าง …ตกลงมึงทำอะไร ทำเพื่ออะไร

9.
(สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ เราแนะนำให้อ่านข้อ 9 นี่ก็พอ อ้าว บอกช้าไปไหม) จนกระทั่งได้ฟังรายการวิทยุข้างบนนู้น และได้ยินประโยคที่เอามาทำหัวเรื่องบนนู้นนนแหละครับ ถึงได้เข้าใจ
รู้สึกว่าพิธีกรจะถามคุณแหม่มเรื่องการประสบความสำเร็จ เมื่อมีคนรู้จัก มีคนติดต่อชื่นชมและติดตาม เป็นสาวก และคาดหวังถึงผลงานที่จะทำต่อไป ว่ากดดันไหม คำตอบ (ถ้าจำไม่ผิดคือตอบทันทีด้วยซ้ำ) คือ “ไม่ พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร” ซึ่งแม่ง เหี้ย โคตรใช่เลย ทุกอย่างที่ขมุกขมัวมาในร่างกายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี มันแตกเปรื่องในประโยคเดียว ยิ่งคุณแหม่มอธิบายว่า ปัจจัยภายนอกไม่ได้มีผลกับพี่ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับจากผู้คน ความคาดหวัง หรืออะไรต่อมิอะไรที่ว่ามาในข้อ 7. ทั้งหมดแม่งคือปัจจัยภายนอก สิ่งที่กำหนดตัวตนของพี่ได้คือลูกผัว และต้นกระบองเพชรที่ปลูกไว้เท่านั้นเอง

10.
มีอีกคำถามคืออยากได้ซีไรต์ไหม คำตอบคืออยาก อยากได้ตังค์!

11.
ถึงผมจะไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่โตอะไร อาจจะเป็นคนขี้แพ้ด้วยซ้ำ แต่คำตอบของชีวิตที่ได้มาในวัย 30+ จากรายการวิทยุที่มีผู้ฟังถึงร้อยกว่าคน! (คลิปเสียงตอนที่ 2 นี่ 51 คน) นั้นมันช่างเคลียร์หมดจดสดใส บัดนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร และยิ่งตอกย้ำความมั่นใจที่ได้วางสิ่งนั้น ลาออกจากงานโน้น ปล่อยมือสิ่งนี้ ถอดหมวกใบนั้น ถอดหัวโขนนี้ออกหมด เปลือยจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินแกว่งไข่อยู่บ้านเงียบๆ แม่งตอนนี้เคลียร์แล้ว ใสยังกะตาตั๊กแตน

12.
บางทีคนเราก็แปลก เราไขว่คว้าหาคนที่พูดอะไรออกมาสักอย่างแล้วได้ความรู้สึกว่า “เฮ้ย นี่มันกูชัดๆ” คงเพราะแบบนี้มั้งที่เดี่ยวไมโครโฟนของโน้ตอุดมถึงขายดิบขายดี

13.
และยิ่ง พ.ศ.นี้ เสียงชื่นชม คำตำหนิ การกดไลก์ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรขึ้นมา มันยิ่งกลายเป็นเปลือกหนาหนัก

14.
นั่นแหละมั้งที่เป็นสาเหตุให้ผมไม่สามารถทำอะไรสม่ำเสมอได้ เช่นเพจเฟซบุ๊ก ที่อัลกอริทึมของเว็บมันบังคับให้เราต้อง “ทำอะไรออกมาอย่างสม่ำเสมอ” ไม่งั้นมึงก็จมหายไป ไม่มีวันโผล่ในไทม์ไลน์ของใครอีกเลยแม้ว่าจะตั้งใจขนาดไหน (จ่ายค่าโปรโมตโพสต์มาสิ!) ดังนั้นเพจที่ทำอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง ทำเองบ้าง แต่หือกับกฎดังกล่าว (คือโพสต์เดือนละครั้งซะเป็นส่วนใหญ่ และเป็นเรื่องที่เราสนใจจริงๆ) จึงร้างสนิท 55555 จนบางทีก็สงสัยพวกเพจคอนเซปต์ อะตัวอย่างก็เช่นพ่อบ้านใจกล้า หรือรบกวนตัดต่อภาพฯ เนี่ย แกเหนื่อยไหมวะ ที่ต้องสวมหัวโขนนี้อยู่ทุกวัน เอาน่ะถึงจะมีสปอนเซอร์เข้ามาเติมเงินให้เล่นมุกบ่อยๆ แต่การรักษาความสนุกของสิ่งที่สร้างมาจนถึงเฟสที่ต้องทำเป็นอาจิณ เพราะถ้าไม่ทำก็จะจมหายไปเนี่ย …มันยังสนุกอยู่จริงๆ ใช่ไหม

15.
สืบเนื่องจากดอกจันในข้อ 7 นั่นเป็นเหตุให้ผมเขียนบล็อกนี้ พอดีวันนี้ตื่นมาเห็นอีเมลเข้าฉบับนึง ซึ่งก็ควรจะเป็นเมลจากลูกค้าเสื้อธรรมดาๆ ที่มาสั่งสกรีนเสื้อ (โฆษณาร้านสกรีนเสื้อพร้อมแปะลิงก์) แล้วก็จากไป แต่ไม่ใช่
มันเป็นเมลอีกฉบับที่แยกออกมา และมีข้อความข้างในยาวเหยียด ผมว่าพิมพ์ใส่กระดาษ A4 คงได้สัก 3-4 หน้า และทุกบรรทัดทำให้ผมขนลุกเกรียว เจ้าของจดหมายบอกว่าผมติดตามพี่มานาน (จบครับ ผู้ชาย จบ) ขอบคุณมากๆ ที่พี่เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องเหล่านี้ที่พี่ทำ และเริ่มไล่เรียง “สิ่งที่พี่ทำ” ย้อนไปสมัยที่ผมทำอะไรสนุกๆ เนิร์ดๆ เห่อหมอยหน่อยๆ แต่ลงรายละเอียดทุกบรรทัด ทุกประโยค ร้อยเรียงกันบรรยายถึงสิ่งที่ผมเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งที่เราไม่เคยเจอกัน แต่เขารู้จักและติดตามผมผ่านตัวอักษรล้วนๆ (โดยที่ผมเองก็ไม่เคยรู้) จนเขาโตเป็นผู้เป็นคนถึงวันนี้ ซึ่ง… สารภาพเลยจริงๆ ว่า 98% ของจดหมายฉบับดังกล่าว ผมลืมไปแล้วว่ากูเคยทำไอ้ที่ว่ามาด้วยเหรอวะ (คือมันนานมาแล้วจริงๆ ตั้งแต่สมัยเว็บฟอนต์แรกๆ แหละ) ที่แน่ๆ เขาเขียนมาอย่างละเอียด ด้วยไมตรีจิต ปิดท้ายด้วยคำขอบคุณ และแจ้งโอนเงินค่าสกรีนเสื้อ…

16.
บางทีอะไรเซอร์ไพรส์แบบนี้ก็เจ๋งดีนะ ถึงจะเป็นเรื่องของอดีตก็เถอะ คนที่ไม่ชอบพูดเรื่องอดีตได้ฟังคงเซ็งๆ แต่กับผมที่เป็นพวกลืมอดีตไปหมดแล้ว 555555 ได้อ่านอะไรแบบนี้มันก็เมกมายเดย์อย่างอลังการเลยครับ ส่งให้เมียอ่านเมียก็ขนลุก

คอมเมนต์