ขอบคุณหมอกอล์ฟ และยินดีกับเรื่องนั้นด้วยนะะะะ
Tag: health
ได้แต่มองเธอข้างเดียว
ที่ได้แต่มองเธอข้างเดียวนี่ ไม่ใช่อะไร เพราะฉันตาบอดไปข้างนึง
เหตุการณ์ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ หลังจากตาบวมไปข้างนึงก็พบว่ามันอักเสบ อีอาการอักเสบแบบนี้เราสรุปง่ายๆ และให้ภาพลักษณ์ออกมาอย่างน่าอับอายว่า “เป็นตากุ้งยิง”
ขอโทษนะ ที่จริงกุ้งไม่ได้ยิงหรอก ลูกสาวกูนี่แหละยิง เต็มเบ้าตาเลย
แต่พออ่านเพิ่มเติมก็พบว่าเมื่อตามันโดนทำร้ายจนอ่อนแอแล้วมึงไม่รู้จักพักผ่อน เอาเวลามาเปิดคอม ตอบเมลลูกค้า รวมทั้งเขียนบล็อก (อุ้ย) และเขียนต้นฉบับสนองนี้ดคุณ บ.ก.ที่เริ่มทวงยิกๆ แล้ว (อุ้ยยยย) นั่นเอง
สายตาจึงอ่อนล้าหนักขึ้น จนพ่ายแพ้แก่แบคทีเรียที่เหิมเกริมสำแดงพลังบุกยึดอาณาเขตบริเวณต่อมน้ำตาพอดี ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่าไปแอบดูน้องนางแบบจริงๆ ด้วย
เมื่อบอกเมียไปดังนั้น เมียผู้แสนดีก็เลยออกไปร้านขายยา และจัดสำรับใหญ่มาให้ มีทั้งยาหยอดตา ขี้ผึ้งป้ายตา ยากินแก้ปวดลดไข้ และยาปฏิชีวนะอีกสองแผง จัดเต็มแบบต้องมานั่งท่องกำหนดการประจำวันกันเลยว่าอันไหนกินตอนไหน ก่อนอาหารหรือหลังอาหาร
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีอุปกรณ์ปิดตามาให้ด้วยหนึ่งปึก หน้าตาเหมือนพลาสเตอร์ปิดแผลตราเสือ แต่ตัดแต่งเล็มขอบมาขนาดพอดีเบ้าตา คือเป็นพลาสเตอร์เวอร์ชันตา พอแปะปั๊บ ส่องกระจกดู อย่างเหี้ยครับ (ภาพวาดด้านบนนั่นคือที่เห็นในกระจกนะครับ เพราะผมเองไม่เคยเห็นหน้าตัวเองจริงๆ เห็นแต่ในกระจก เลยวาดออกมาสลับข้างกับความเป็นจริง)
วันนี้เลยเป็นวันที่โดนเมียสั่งว่า จงนอน เปิดคอมให้น้อยที่สุด แต่ลูกค้าก็ต้องตอบนะ เช็กตังค์ร้านโอนเข้าโอนออกก็ต้องเช็กนะ ทำแบบให้ลูกค้าก็ต้องทำนะ แต่ต้องนอนนะ เปิดคอมให้น้อยที่สุดนะ แต่งานก็ต้องทำนะ…
นี่เมียไม่รู้อย่างเดียวว่ามีแอบเขียนบล็อกด้วย ไม่งั้นโดนด่าแน่
ความสนุกมันเริ่มขึ้นก็ตอนที่ปิดตาข้างนึงนี่แหละครับ วันนี้ทั้งวันเลยใช้ชีวิตอยู่ด้วยทัศนวิสัย 50% มาตลอด
ก็เลยได้เรียนรู้ว่า การปิดตาขวานั้นไม่ใช่แค่ทำให้ฝั่งขวามองไม่เห็นอะไรเท่านั้น แต่ยังทำให้ “การรับรู้มิติ” สูญเสียไปโดยสิ้นเชิง
เพราะปกติเวลาเรามองอะไรจากสองตา ภาพที่เห็นจะมีการเหลื่อมกันเล็กน้อยทำให้สมองกะความตื้นลึก และระยะทางได้ แต่เราไม่ต้องไปรู้มันหรอกครับ เอาเป็นว่าตั้งแต่เกิดมามีสองตาเนี่ย เราก็ไม่ได้โง่ไปเดินชนอะไรบ่อยๆ
แต่พอเหลือตาเดียว โลกทั้งโลกก็แบนราบ ทุกอย่างเป็นเพียงภาพที่เห็นจากจอทีวี 2 มิติ คือไม่เหลือความลึกให้สมองได้รับรู้
อย่างยุงบินมานี่ จ้างร้อยนึงก็ตบไม่ถูก เพราะเราไม่รู้ไงว่ามันอยู่ห่างจากเราแค่ไหน จะอาศัยการกะระยะทางจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ยังไม่ช่วยให้ตบโดน แค้นมาก รู้สึกแพ้มาก เห็นยุงผ่านหน้าทีไรเหมือนมันเย้ยหยันแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เราทุกครั้ง (หรือจะเป็นสัญชาตญาณที่ได้มาแบกกับการสูญเสียการมองเห็นวะ)
หรือตอนที่เมียใช้ให้หยิบนั่นนี่บนโต๊ะกินข้าวส่งให้นี่ก็แขนเหวี่ยงไปชนนั่นนี่ ล้มต่อเนื่องกันถึง 3 ครั้ง คือเหวี่ยงโดน หล่น เก็บขึ้นมาวาง แล้วเหวี่ยงอีก หล่นอีก เก็บอีก เหวี่ยงอีก หล่นอีก จนเมียสงสัยว่ามึงประชดหรือเปล่า
ที่น่ากลัวที่สุดคือการขับรถ อ่านเจอคำเตือนจากหมอสารพัดเลยครับว่าห้ามเลยนะ อีพวกตาเดียวเนี่ย มึงนั่งเฉยๆ เลยนะ อันตรายมากๆ เพราะนี่ไม่ใช่แค่มองรถหรืออะไรที่โผล่มาจากฝั่งขวาไม่เห็นเท่านั้น แต่การที่มีตาเดียวแล้วกะระยะไม่ถูกนั่นแหละที่อันตรายจนห้ามขับ ห้ามขี่ ถ้ามีแฟนคลับก็ให้แฟนขับไป
ฉะนั้นการออกไปกินข้าวเย็นและซื้อของที่บิ๊กซีวันนี้ ก็เลยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบปีได้มั้ง ที่ผมนั่งอยู่เฉยๆ เล่นกับลูก และดูเมียขับรถ (ซึ่งเจ๊ก็ขับโหดเหมือนเดิม จนอยากรีบๆ หายซะเดี๋ยวนี้เลย เสียวได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง)
ถ้านับรวมถึงการได้นอนไปเมื่อตอนบ่ายหน่อยนึงด้วยข้ออ้างที่ว่าร่างกายกำลังอ่อนแอ ควรฟื้นะลัง นี่ก็พอสรุปได้ว่าการไม่สบายมันก็สบายดีนะ เพียงแค่อย่าบ่อย อย่านานเท่านั้นเอง เข้าใจคนมีปัญหาด้านการมองเห็นแล้วครับว่าการใช้ชีวิตของคุณยากไม่เบาเลย
นี่ก็เพิ่งป้ายตาไปอีกปื้ด หวังว่ากุ้งมันจะหายยิงเร็วๆ
หายแล้วจะได้ปั่นต้นฉบับให้ บ.ก. ไง
ป.ล.
เขียนมาทั้งหมดนี่เพื่อเป็นข้ออ้างสำหรับบรรทัดสุดท้าย
_______
เขียนเพิ่ม หมอเถื่อนเพื่อนผมบอกว่า
– มันเป็นต่อมไขมันนะไม่ใช่ต่อมน้ำตา
– ตากุ้งยิงไม่ต้องปิดตานะ ใช้ประคบร้อนเอา
วันที่ฉันเสียน้ำตา
วันนี้น้ำตาไหลตั้งแต่เช้า
ไม่ได้เสียใจอะไร ตั้งชื่อบล็อกดักไว้งั้นแหละ ที่จริงคือใช้สายตาหนักมาก เพราะนั่งแต่งภาพตอนกลางคืนแบบเกือบโต้รุ่งมาสองคืนติดๆ (จนไม่ได้เขียนบล็อกเลยไงล่ะ #ข้ออ้าง) ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าทำเพื่อปากท้องตัวเองและลูกเมีย จึงยอมบั่นทอนสุขภาพของตัวเองลงหน่อยนึง
แต่ก็แลกมาด้วยอาการเจ็บตาขวาตรงเปลือกตา จนถ้าส่องกระจกดีๆ จะเห็นว่ามันบวมออกมาหน่อยๆ เลยนะ
ที่จริงผู้ต้องสงสัยก็คือเจ้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมนั่งจ้องมันติดๆ กันหลายชั่วโมง และจ้องมากกว่าปกติเพราะเป็นงานแต่งภาพ ต้องใช้สายตาหนักมากกว่างานออกแบบหรือการใช้งานเรื่อยเปื่อยทั่วไปอยู่แล้ว เพราะมันต้องเพ่งที่ภาพถ่ายหลายร้อยภาพเพื่อปรับสี ปรับแสง ลบตำหนิ ฯลฯ
ที่ดีหน่อยก็คือมันเป็นการถ่ายแบบ นั่งจ้องน้องจินทั้งวันทั้งคืนก็เพลินตาดีอยู่ (เมียตบ) แต่จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ตอนนั่งเร่งทำงานให้เสร็จก็ยังมิวายสงสัย ว่าทำไมที่ผ่านๆ มาไม่เห็นจะเคยปวดตาขนาดนี้เลยวะ
หรือเราเผลอให้ความสำคัญกับเงินและคำสั่งเมียไปมากกว่าการดูแลสุขภาพของตัวเอง ที่ระยะหลังๆ จะเริ่มออกอาการเป๋ให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆ
แถมปณิธานประจำปี 2558 นี้ก็ไม่มีบรรทัดไหนเลยที่พูดเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ…
สัญญาณแบบนี้ไม่ดีแน่! ต่อไปนี้จะต้องปรับปรุง จะต้องเริ่มจากไอ้นั่น หันมาทำไอ้นี่ ทำงานไปก็คิดพะวงไป (แต่สายตาที่ปวดร้าวก็ยังไม่เลิกจ้องขาอ่อนนางแบบนะ)
จนตีสามผ่านไป ก็เพิ่งมานึกได้ว่า ที่แท้ที่ปวดตานี่ ไม่ได้เป็นเพราะทำงานนี่หว่า
แต่เพราะคืนก่อนหน้า (ที่ทำงานดึกเหมือนกัน) พอเดินเข้าห้องนอนที่ปิดไฟอยู่ แล้วเสือกตัวพรืดขึ้นไปบนเตียง เพื่อเตรียมนอน
คุณนิทานอายุ 2 ขวบ 8 เดือน ก็ต้อนรับด้วยการดิ้นและกวาดขา 180 องศา ทิ้งส้นตีนลงมา โป้ง! กลางเบ้าตาผู้เป็นบุพการีพอดี
ลูกเมียนอนหลับปุ๋ยสบาย ส่วนอีพ่อนอนกุมเบ้าตาด้วยความปวดร้าว แล้วก็หลับ ตื่นมาก็ลืม
แล้วก็บวม
เริ่มเริม
ผมเป็นเริมครับ
เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ ตอนนั้นใช้ชีวิตกินนอนอยู่ที่คณะซะมากกว่าหอพักของตัวเอง ที่มีไว้แค่เก็บของและเสื้อผ้า เวลาอยู่คณะก็ทำตัวสกปรกซกมกแบบเด็กถาปัดที่บ้านจนทั่วไปนี่แหละครับ ทำงานจนถึงตีสี่ตีห้า ตื่นมาก็ออกไปกินข้าวท่าช้าง ท่าพระจันทร์ตามเรื่องตามราว เวลาง่วงก็ล้มตัวลงนอนบนโต๊ะบ้าง ใต้โต๊ะบ้าง (พื้นสตูปูกระเบื้องเชียวนะ) ไม่เคยซีเรียสเลย เพราะใครๆ ในยุคนั้นเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น และรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็สุขสบายดี จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนมีสิวขึ้นมาเม็ดนึงตรงมุมปากล่างด้านขวา
ตอนนั้นก็เฉยๆ เพราะตัวเองเป็นสิวเต็มหน้าอยู่แล้ว (คือเป็นคนสกปรกน่ะครับ เจ๋งปะล่ะ) แต่ที่ต่างออกไปคือสิวนี่มันไม่ขุ่นแฮะ มันใส เหมือนตุ่มน้ำ และแสบแปลกๆ เหมือนเป็นแผลอยู่ ยิ่งสงสัยก็ยิ่งบีบ พอบีบมันก็แตกหน่อ กระจายตัวเป็นพุ่มไสว กินพื้นที่กว้างยาวประมาณเล็บนิ้วก้อย
คุณหมอที่อาศัยอยู่ในกูเกิลบอกผมว่า นี่แหละเริม
เอ้า เหี้ยแล้วไหมล่ะ เริมเลยเรอะ เริมเลยเรอะะะะะะ
ผมนึกภาพตามบอร์ดให้ความรู้ด้านสาธารณสุขตามโรงพยาบาล ที่ให้เกียรติจัดโรคเริมให้อยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คล้ายๆ หนองใน ซิฟิลิส หูดหงอนไก่อะไรเทือกนั้น พร้อมภาพประกอบสุดสยอง ที่เป็นกระเจี๊ยวมนุษย์ที่เป็นเริมระยะร้ายแรง หนุบหนับหยุบหยับฝีหนองพุพองแดงเถือกไปทั่วทั้งอวัยวะเพศ ใครนึกภาพไม่ออกผมว่าแค่ค้นกูเกิลอิมเมจด้วยคะว่าเริม รับรองภาพสุดคัลต์ที่ว่าน่าจะปรากฏให้เห็นนับร้อยพัน ดูไปกินข้าวไปรับรองอรรถรสมาเต็ม
อะไรทำให้เริมกลายเป็นโรคติดต่อที่น่ารังเกียจขนาดนี้กันนะ ในเมื่อคนที่เป็นเริมนั้นถือเป็นเหยื่อนะ คือโดนกระทำนะ ไม่ใช่เป็นโจรหรือซอมบี้นะ 囧
ไอ้ครั้นจะไปตั้งเพจทวงคืนสิทธิมนุษยเริม ก็มั่นใจว่าคนไทยหกสิบล้านคนแม่งไม่มีใครอยากจะไปกดไล้ให้มีชื่อตัวเองปรากฏอยู่ในนั้นเป็นแน่
แล้วใครล่ะที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติและช่วยปรับทัศนคตินี้ออกไปเสียที
ท่ามกลางความสิ้นหวังและแสงสปอตไลต์ที่ส่องลงมาเพียงลำพัง ผมก็ไปเจอป้ายข้อมูลจากโรงพยาบาลเอกชนที่จัดอาร์ตเวิร์กสะอาดๆ ไม่ดูอี๋แหวะ คงเพราะเขามองคนไข้ว่าเป็นลูกค้า และไม่ได้มาอย่างอนาถาอย่างที่พวกโครงการรณรงค์ต้านเอดส์แบบราชการๆ เขามองกัน
ทำให้สบายใจขึ้นมากครับ ว่าที่จริงแล้วเริมมันก็แค่คล้ายๆ โรคหวัดเหมือนกันนี่หว่า (ตรงไหน) ที่ใครเป็นก็ควรจะเสียเซ้วแค่นิดหน่อยกับร่างกายที่แสดงอาการป่วยออกมา รีบดูแลรักษาตัวเองให้หาย แล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข ไม่ใช่ถูกสังคมคว่ำบาตรเพียงเพราะการถูกประทับยี่ห้อ “โรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ” และพ่วงด้วยแท็กอัปมงคลมากมายให้หดหู่และเป็นปมด้อยในชีวิตเล่นๆ
ขอเพียงกำลังใจให้มนุษย์เริมทุกท่านได้มีพื้นที่เล็กๆ ไว้ยืนหยัดในสังคม เท่านี้ก็พอครับ กระซิกๆ
เข้าสาระกันสักนิด…
เริมนั้นเป็นโรคติดต่อที่มีตัวการคือเชื้อไวรัสตัวนึงที่ชื่อเฮอร์ปิ๊ด อีไวรัสบ้านี่สำแดงเดชได้ที่ปากและอวัยวะเพศ สำหรับผมนั้นเป็นที่ปาก แน่นอนว่าติดต่อทางอื่นที่ไม่ใช่เพศสัมพันธ์แน่นอน (เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย) แต่จากสาเหตุอื่นๆ ก็คือภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนรักยมนั้นเกิดงอแงขึ้นมา เพราะเราดันเลี้ยงดูไม่ดี น้ำก็กดกินจากก๊อกแถวประตูมหาลัย (ติดสนามหลวง มีลุงป้าข้างนอกมาใช้บริการกันเยอะจนเดี๋ยวนี้เขาเอาออกไปแล้ว) แถมยังใช้ชีวิตได้ผิดสุขลักษณะอย่างสุดๆ ซะด้วย มันก็ต้องโดนเข้าสักโรคจนได้
ทีนี้อาการของโรคเริมที่ผมเจอก็คือ ระยะแรกปากจะเป็นตุ่มใส แสบ แล้วตุ่มนั้นก็จะเพิ่มดาวน์ไลน์ ขยายสาขาออกมาจนได้พื้นที่ประมาณนึง ถ้าทายารักษาเริม (มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ซื้อเลย ไม่ต้องอาย) ก็จะหายเร็ว แต่ถ้าไปบีบให้แตกก็จะเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล ชัดกว่าเดิม แสบกว่าเดิม จังไรชีวิตมาก
ผ่านไปสักสิบวัน อาการนี้ก็จะหายไป
แต่อย่าเพิ่งดีใจไปครับ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นไวรัสทั้งที แม่งไม่เคยหายขาดอยู่แล้ว อีเฮอร์ปิ๊ดนรกเนี่ยไม่ได้ตายนะครับ แต่แค่หนำใจแล้ว มันก็จะไปหลบซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ในเส้นประสาทปลายสมองสักมุมของเรา จำศีลอยู่อย่างนั้นจนกว่ากุมารทองในร่างกายจะอ่อนแอ มันถึงจะกลับมาสำแดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ที่เดิม สเต็ปเดิมเลย
ถ้ามองในแง่ไสยศาสตร์ การเป็นเริมนี่ก็เหมือนมิเตอร์บอกอาการดวงตกเลยครับ ช่วงไหนดวงตก แม่งมาละ ปากเป็นตุ่มละ งดจูบเมียหอมลูกไปสิบวัน และต้องกักขังคัดแยกตัวเองไม่ให้ใช้ภาชนะร่วมกัน มือก็ต้องล้างให้สะอาดตลอดเวลา ตาก็ห้ามขยี้ จนกว่าจะหายจากอาการในอีกสิบวันข้างหน้า
แม่งเป็นช่วงที่เสียเซ้วสุดๆ เลยครับ
แถมตอนนี้ป่วยด้วย เป็นหวัดคัดจมูก ไอ เจ็บคอ แถมยังนอนดึกอีกต่างหาก (นี่คือสาเหตุที่ทำให้รักยมในร่างกายอ่อนแอลง) เลยเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อบำบัดความเสียเซ้วของตัวเอง ว่าจงรู้ทันโรค และรู้ทันตัวเอง จะได้เตือนตัวเองและคนอื่นด้วย ว่าจงใส่ใจสุขภาพตัวเองให้ดี จะได้ไม่ต้องมาคอยอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจว่าโรคนี้มันไม่ได้เกิดจากการตีกะหรี่อย่างเดียวเว้ยสัส
ป.ล.
เขียนและวาดภาพประกอบบนรถตู้ กำลังไปเชียงคานกับเพื่อน (ถนนคอร์รัปชั่น รถสั่นมาก วาดได้เท่านี้ถือว่าสวรรค์โปรดแล้ว)
ป.อ.
อ่านหนึ่งบทความทางการแพทย์ ที่เขาบอกว่าเริมจะหายขาดถาวรตอนเราอายุ 35 คือไม่กลับมาหลอกหลอนอีกแล้ว ตอนนี้เลยเห็นข้อดีของการแก่เพิ่มขึ้นอีกข้อ
หมั่นคอยดูแล และรักษาไรฟัน
สิ่งที่เป็นอุปสรรคลำดับต้นๆ ในชีวิตของผมตลอดมา ก็คือฟันครับ
ผมเป็นคนที่มีสุขภาพฟันเหี้ยมาก ตั้งแต่เกิดมาก็ผ่านประสบการณ์ฟันผุ ฟันคุด หาหมอฟันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะสมัยเด็กๆ ที่ตอนนั้นตัวเองยังเป็นเด็กต่างจังหวัดมอมๆ คนหนึ่ง ที่ใส่ใจกับเรื่องอื่นๆ มากกว่าการดูแลสุขภาพของตัวเอง (ที่จริงเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่)
คือตอนนั้นเด็กไง ยังไม่ขึ้น ป.1 เลยมั้ง เลยยังไม่ได้คิดว่า ไอ้น้ำผสมฟลูออไรด์ที่โรงเรียนเขาแจกมาให้อมบ้วนปากก่อนนอนตอนบ่ายหลังแปรงฟันเสร็จแล้วนั้น ถ้ากินเข้าไปแล้วจะทำให้ฟันเราเป็นรอยด่างๆ ดวงๆ ไปตลอดชีวิต หรือการที่ไม่กี่ปีต่อมา เด็กชายแอนซึ่งมีฟันแท้ขึ้นแล้ว เกิดรำคาญฟันตัวเองที่ผุเต็มปาก แล้วนึกเปรี้ยวขึ้นมา เดินเข้าไปหาหมอฟันที่โรงพยาบาลประจำอำเภอเพื่อถอนฟันที่ผุทีเดียวสามสี่รวด โดยที่ไม่รู้ว่าการรักษาฟันผุเนี่ย มันมีวิธีอื่นด้วยนะ นอกจากการถอน.. แล้วแม่งฟันแท้ด้วยนะ แล้วคุณหมอก็จัดให้ทันทีโดยไม่ถามเรื่องสุขภาพสักคำเลยนะ..
ผลคือทุกวันนี้เลยเป็นช่วงชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ด้วยการต้องแวะไปหาหมอฟันแถวบ้านจนแทบจะทำบัตรสมาชิกแบบแพลตินัมได้แล้วเนี่ย เนื่องจากฟันของผมมันเรียงตัวกันได้นรกมาก ไอ้ส่วนที่พอจะดีก็ดันหลอเพราะถอนเล่นสมัยนั้น แถมฟันกรามที่เคยทยอยผุแค่นิดหน่อยตั้งแต่เด็กๆ ก็มาลุกลามเอาตอนโต
กลายเป็นวัยรุ่นที่ไม่มั่นใจในกลิ่นปากตัวเอง เวลาดูตลกถั่วแระเล่นมุกปากเหม็น เห็นคนอื่นเขาขำกัน แต่เราแม่งใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เชี่ย กูแม่งเป็นถั่วแระแน่ๆ อะ สุขภาพฟันไบโอฮาซาร์ดขนาดนี้
ผมเลยพลอยกลายเป็นวัยรุ่นเก็บกด ไม่กล้าหันหน้าเข้าหาหมอฟันอีกเลย
Continue reading หมั่นคอยดูแล และรักษาไรฟัน