นอนห้าตื่นหกแมนถือกำเนิดแล้ว~

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมนอนดึกและตื่นสายมาโดยตลอด
เป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย เข้าใจว่าคนอื่นก็เป็นกัน แต่บางคนที่มีวินัยทางการนอนคงไม่เป็น
พอดีพ่อผมชื่อวินัย (วินัยๆๆๆ) ก็เลยคิดว่าอย่างน้อยคงต้องทำอะไรกับชีวิตตัวเองบ้างแล้วล่ะ
เพราะตัวเองมีนิสัยที่พออยู่ดีๆ เกิดตระหนักขึ้นมาก็จะเลิกแบบหักดิบทันที เป็นแบบนี้มานานละ
ก่อนหน้านี้เคยมี “ปฏิญญากุมภาพันธ์” และเขียนสิ่งที่ต้องการหักดิบ พร้อมรายงานไว้ในบล็อกทุกวัน
(แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาซ่อมบล็อกตอนเก่าที่เน่าไปเหมียนเดิม ไม่งั้นจะทำลิงก์กลับไปซะหน่อย)

ล่าสุด พอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกินน้ำอัดลม และเฉาก๊วย​(!) มากไป ก็เลยลุกขึ้นมาเลิกแม่งซะเลย ง่ายๆ งี้แหละ
น้ำอัดลมยังพอว่า คือไม่ได้ติด แต่เวลายกพวกไปกินข้าวเที่ยงเห็นสั่งกันทุกวัน เลยกลัวตัวเองจะติด เลิกซะ
แต่อีเฉาก๊วยนี่สุดยอดครับ หน้าตึกจะมีเจ้านึง เอาเฉาก๊วยชากังราวมาใส่นมคาร์เนชั่น (แบบไม่ข้นนะ)
โอ้โห โคตรอภิมหามหึมาอลังการอร่อยถล่มโลกเลยครับ ผมงี้กินวันละแก้วจนหน้าจะเป็นเฉาก๊วยอยู่แล้ว
แถมยังไปซื้อเฉาก๊วยถุงกับนมคาร์เนชั่นในเซเว่นไว้รีฟิลเองยามอยากที่บ้านอีกด้วย

อยู่ดีๆ นึกขึ้นมาได้เมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว ก็เลยเลิกกินไปซะดื้อๆ กะว่าจะเลิกเดือนนึง ..ตอนนั้นถือว่าหินมาก
แต่ตอนนี้เฉยละครับ พี่จะมาวางขายยั่วก็ขายไป นี่พอเลิกติดปั๊บ จะขยายขอบเขตเป็นเลิกกินตลอดไปก็ยังได้ละ
(แต่ไม่เอาหรอก มันสุดโต่งเกินไป – ไอ้บ้า เรื่องกินเฉาก๊วยนมเนี่ยนะ)

ทีนี้ประเด็นร้อนส่วนตัวขณะนี้ก็คือ

ผมจะเลิกนอนดึกครับ

จริงๆ ใครๆ ก็รู้ว่านอนดึกไม่ดี มันส่งผลลบต่อเข็มนาฬิกาธรรมชาติในร่างกายยังงั้นยังงี้
แต่ตัวเองเสพติดความเงียบของกลางคืนมานาน นานเป็นสิบๆ ปีตั้งแต่สมัยเรียนมาแล้ว
คนทำงานประเภทเดียวกันก็จะรู้ว่าเวลาทำงานกลางคืนๆ โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืนเนี่ยมันสุดยอดเลยนะ
แถมถ้าเป็นเด็กๆ หน่อยก็จะเอามาอวดเพื่อนได้บ่อยๆ ว่าเมื่อคืนตัวเองนอนดึก (มันเท่มากใช่ไหม)

แถมยังมีข้อดีอย่างปฏิเสธไม่ได้คือ
– ขโมยไม่เคยขึ้นบ้าน (เคยประสบเหตุตอนอยู่บ้านเดิม ขโมยขึ้นทุกหลังเว้นแต่บ้านเราที่นั่งทำงานอยู่)
– ได้ฟังเดอะช็อก (ไม่ได้กลัวผีสักนิด แต่เปิดไว้เป็นเพื่อน บางเรื่องงมงายเกินไปก็ฟังแล้วฮาดี)
– ได้ดูรายการที่เขาบอกว่าถ้าพลาดแล้วพรุ่งนี้จะคุยกะใครไม่รู้เรื่อง (ไอ้คนที่ดูนี่แหละที่คุยไม่รู้เรื่อง)
– เน็ตเร็ว (โหลดบิตแม่ง)

ซึ่งข้อเสียที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือ
– เมียบ่น

โอ้โห พอแล้วครับ ข้อเดียวพอเลย เลยมองย้อนไปว่าถ้าเรานอนไม่เกินเที่ยงคืนจะเสียอะไรไปบ้าง
– ขโมยขึ้น? (ย้ายบ้านหนีซอยเก่ามาแล้ว มียามแล้ว มีแมวเฝ้าบ้าน คงยังไม่โดนยกเค้าล่ะนะ)
– เดอะช็อก? (เดี๋ยวนี้โหลดย้อนหลังมาฟังที่ทำงานตลอดเลย กรอข้ามโฆษณาเว็บพนันบอลได้ด้วย)
– อดดูรายการทีวีหลังละครจบ? (ช่างแม่ง เดี๋ยวนี้ยูทูบช่วยได้แล้ว)
– เน็ตเร็วตอนดึก? (เพิ่งไปปรับแพ็กเกจ TOT มาเป็น 15 เม็ก วิ่งเต็มสูบเลย ขอคารวะครับ)

โอเค หมดข้ออ้าง แถมยังได้ข้อดีมากๆ อีกเรื่องคือ

1.ได้ดูสรยุทธ์!!!!!
เป็นความใฝ่ฝันมานมนานเลยนะครับ คือเดี๋ยวนี้ไม่ได้ดูทีวีตอนเช้าๆ มานานแล้ว
ตื่นมาก็แจ๋วพากิน แจ๋วพาเที่ยวตลอดเลย แถมรายการผู้หญิงๆ ก็หดหู่เกิน ผู้ชายแม่งจัญไรทั้งประเทศ
เราจำเป็นจะต้องตื่นมาดูซะหน่อยว่าเสี่ยแกพูดอะไรบ้าง แล้วเอามาเป็นมุกไว้ตั้งชื่อเฟล :30:

2.ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น
ก่อนหน้านี้ก่อนจะทำงานบริษัท เคยตั้งโครงการออกวิ่งตอนเช้าทุกวัน
ก็วิ่งได้ประมาณ 2 วันด้วยรองเท้าแตะ (ไม่มีรองเท้าวิ่ง) แล้วพบว่าพระอาทิตย์มันสวยสวดยวดจริงๆ
เลยไปซื้อรองเท้าวิ่งมาซะดิบดี แต่แม่งกัดตีนเพราะสรีระตีนเราไม่เหมาะกับมัน อีห่า เสียดายตังค์
หลังจากนั้นมีข้ออ้างนู่นนี่เลยไมไ่ด้วิ่งมาตลอด แต่ยังจำได้ว่าพระอาทิตย์ลาดปลาเค้ามันสวยฉิบหาย

3.สุขภาพดี
จริงๆ อยากคาดหวังกับข้อนี้ ก็เพราะไอ้เรื่องนาฬิกาชีวภาพตามธรรมชาติของมนุษย์อะไรนี่แหละ
ที่บอกว่าช่วงเที่ยงคืนร่างกายจะหลั่งอะไรสักอย่างให้เผาผลาญอะไรไม่รู้ จำมาไม่ได้ศัพท์สักอย่าง
แต่หลายๆ ตำราพูดเข้าก็คงดีแหละ ยิ่งตอนนี้ “ไม่มีเวลาออกกำลังกายเลย” การนอนคงช่วยได้

4.เมียเลิกด่า
ข้อนี้ฟินครับ ไม่มีอะไรประเสริฐกับชีวิตไปมากกว่านี้อีกแล้ว

จะว่าไปก่อนหน้านี้ผมก็เคยนอนหัวค่ำและตื่นเช้ามาก่อนเหมือนกัน คือตอนที่ตัวเองเป็นทหารเกณฑ์
สมัยนั้นเขาบังคับนอนตอนสามทุ่ม และตื่นมาวิ่งตอนตีห้าทุกๆ วัน ช่วงนั้นรู้สึกสุขภาพดีโคตรๆ
(ดีขนาดเคยคิดจะท้าต่อยกับพ่อบากิอยู่แล้ว แต่มันไม่ยอมมาไทย มันบอกกลัวจาพนม)
แม้จะพ้นช่วงทหารใหม่ และต้องไปทำงานหน้าห้องเจ้านายที่ดอนเมืองอีกปีครึ่ง
แต่ก็ต้องตื่นตีห้า ใส่เครื่องแบบทหารตึงเปรี๊ยะ (ขนาดตอนนั้นยังตึงนะ) แล้วเริ่มงานหกโมงเช้าทุกวัน
โห เราผ่านช่วงชีวิตที่โคตรมีวินัย (วินัยๆๆๆ) แบบสุดๆ ขนาดนั้นมาได้ ..ตอนนี้ก็ต้องได้สิวะ

ปัญหาและอุปสรรค

(ใครเป็นคนชอบยัดคำนี้ลงในรายงานวะ อ่านแล้วชิน โคตรผ่านตาเลย แต่พอมานึกดูมันก็เป็นคำสำคัญนะ)
จนถึงวันนี้ผมทำงานบริษัท ตื่นแปดโมงปลายๆ แล้วแต่วันไหนขี้เซามากก็ปลายมาก ปลายสุดก็เก้าโมง
เลิกงานทุ่มนึง(อันนั้นเป็นอุดมคติ แต่เลิกจริงก็ทุ่มกว่า สองทุ่ม สามทุ่ม) ถึงบ้านก็ดึกแล้ว
นั่นทำให้การกินมื้อเย็นจะต้องเย็นกว่าชาวบ้าน นึ่นคือสามสี่ทุ่มเป็นปกติ แล้วก็เลยยังนอนไม่ได้ ไม่งั้นอ้วก
ไหนจะมีงานอดิหลักอย่างเว็บนู่นนี่ที่นั่งเสพบ้างทำเองบ้าง อยู่หน้าคอมสักสองสามชั่วโมง เท่านี้ก็ดึกแล้วครับ
นี่ขนาดไม่ได้ทำงานนะ ถ้าวันไหนมีงานด่วนจากออฟฟิศหรืองานส่วนตัว ก็ล่อไปตีสามตีสี่อยู่บ่อยๆ

นั่นแปลว่าถ้าจะนอนห้าทุ่ม ต่อจากนี้ไปผมจะต้องเลิกงานปั๊บ หาอะไรเล็กๆ กินแล้วกลับถึงบ้านนอนเลย
คุณเมียที่กำลังท้องอ่อนๆ และเห็นด้วยกับโครงการนี้ก็บอกว่าโอเค ตอนเย็นจะหาอะไรกินเองละกัน
แล้วย้ายภาระการงานทุกอย่างมาไว้ช่วงเช้า รวมถึงเพิ่มมื้อเช้าเบาๆ ทำให้เป็นนิสัยซะ
ตอนนี้ตั้งเป้าไว้ว่าวันไหนได้กินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋และดูสรยุทธ์ไปด้วยจะบรรลุมาก!

ยังจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าจะทำไหวไหม แต่ขอท้าตัวเองไว้ก่อนเหมือนเคยว่ากูต้องไหว
ใครผ่านมาอ่านลองหาเรื่องท้าทายตัวเองสักเรื่องดูบ้างก็ได้นะครับ หนุกดี

อย่าลืมกดดอกจันเก้าๆๆๆๆๆ เพื่อโหวตให้มนุษย์นอนกลางคืนตื่นกลางวันด้วยนะครับ

หมอขี้ตายเพราะขี้

ปกติผมจะมีความสุขดีกับการขี้นะครับ (คำที่ทวีตบ่อยที่สุดก็คงเป็นเรื่องขี้นี่แหละมั้ง)
คือขี้วันละ 1-3 ครั้งแล้วแต่โอกาสและร่างกายจะอำนวย
แล้วก็รู้สึกยินดีกับการขี้ เพราะถือคติว่า “การขี้คือสิ่งเดียวที่มนุษย์จะทำคุณประโยชน์ให้กับโลกได้”
ไม่เชื่อก็ลองนึกๆ ดูสิครับ แต่ละอย่างที่เราทำ แม้กระทั่งการลดโลกร้อน ก็ยังไม่เห็นว่าโลกจะได้อะไรเลย

แต่เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
หลังจากกลับจากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ชาวฟอนต์ที่สวนผึ้ง ราชบุรี
ซึ่งตอนนั้นซื้อเนื้ออะไรต่ออะไรมาปิ้งย่างกินกันสนุกสนานยันเกือบจะโต้รุ่ง
กลับมาจากทริปนี้ ผมขี้แตกระเบิดระบมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้

ปกติที่ทำงานผมจะสามารถทำงานที่บ้านได้ 1 วัน คิวของผมคือวันจันทร์
ซึ่งปกติจะมีความสุขมาก เพราะได้นอนดึกและตื่นสายๆ มาทำงานกับห้องทำงานที่คุ้นเคยได้สะดวก
แต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ผมโคตรทุกข์ทรมานเลยครับ เพราะนอกจากจะเป็นไข้(1) ผื่นขึ้นตูด(2) แล้ว
(คือดูรวมๆ เราก็เรียกว่าไม่สบายนั่นแหละครับ แต่แจกแจงได้เป็นสามโรคที่แทบไม่เกี่ยวอะไรกันเลยด้วยซ้ำ)
ผมยังใช้ชีวิตวนเวียนระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำเหมือนรับจ็อบทดสอบระบบสุขภัณฑ์อย่างหฤโหด

ตื่นมาขี้ แล้วไปนอนซม (เป็นไข้ไง)
นอนได้แป๊บๆ เอ้าขี้อีก
แล้วไปนอน แล้วก็ลุกมาขี้อีก
เดี๋ยวก็ไปนอนอีก แล้วก็ลุกมาขี้อีก
วนลูปไปเรื่อยๆ จนจำไม่ได้ และเข็มนาฬิกาเริ่มเลือนลาง

ขี้จนตูดเป็นเหน็บ จนเริ่มหาวิธี ท่านั่งแบบใหม่ๆ
ก็เลยรู้ว่ามนุษย์เราพัฒนาปัญญาและฝึกการแก้ปัญหามาจากการขี้นี่เอง
ขี้จนได้รู้จักตัวเอง ขี้จนมานั่งพูดคุยกับตัวเอง ถามตัวเองว่าชีวิตเราเกิดมาทำไม
คนเราต้องใส่เสื้อผ้ากันทำไมในเมื่อมันขัดขวางการมีชีวิตขนาดนี้
และการออกแบบสถาปัตยกรรมไม่ว่าจะเป็นระดับเมือง หรือระดับอาคารเนี่ย
มันทำลายพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์เกินไปหรือเปล่า
คือเราควรจะมีเสรี ขี้ได้ทุกที่ที่ใจอยากไม่ใช่หรือ?
ถ้านึกไม่ออกก็ลองเปลี่ยนเป็นคำว่ารักสิครับ มันไม่ควรมีกำแพง เราควรรักได้เท่าที่ใจต้องการมิใช่หรือ

ฯลฯลฯลฯ

ผมทรมานจนหลับไป และตื่นมาช่วงที่ไข้เริ่มทุเลา
เปิดคอม เขียนอีเมลบอกพี่ที่ทำงานว่าขอลาป่วย
(ไม่รู้จะมีกี่คนที่จดหมายลามีแต่คำว่าขี้ๆๆๆ เต็มไปหมดแบบนี้)

พอวันที่สองก็ยังขี้อยู่ แต่สภาพของขี้เปลี่ยนไป
ใครที่เคยท้องเสียคงเข้าใจดีว่ามันมีระยะของอาการอยู่

ส่วนวันที่สามอาการใหม่ก็มาถึง คือตูดเปื่อยครับ
รูตูดนี่แหละเปื่อยยุ่ยเพราะใช้งานหนักไป เวลาขี้จะแสบตูดและทรมานมาก
มากจนสงสัยว่าเก้งกวางเขาทนกันได้ยังไง หรือทำไปบ่อยๆ แล้วมันก็โอ
ที่สำคัญคือได้รู้ว่าการทำงานและเดินทางทั้งวันนั้นทรมานมาก แวะขี้ทุกป้าย
ตั้งแต่บ้าน ห้องน้ำเอ็มโพเรียม (ถ่ายรูปไว้ข้างบน – ป้ายห้ามเสกของออกจากส้วม)
ไปยันที่ทำงานก็เอาซะหน่อย แถมตอนกลับอาการกำเริบเพราะกินไส้อั่ว(กินทำไมวะ)
เลยไปแวะห้องน้ำสถานีรถไฟใต้ดินพหลโยธิน ซึ่งโสโครกระดับห้าดาว แต่กูยอม

ความซวยบังเกิดก็อีตรงที่พี่มูส(พี่ที่ทำงานเก่า)และพรรคพวก ดันอยากกินเนื้อย่าง
คือไม่ได้เจอหน้ากันนานไง ก็เลยยกพวกกันไปร้านบอยโพนยางเจ้าเก่ากัน
แล้วก็คงนึกภาพออกว่าเกิดสงครามขึ้นทุกที ซัดเนื้อกันระเนระนาด
โดยมีผมนั่งน้ำลายยืด ไม่กล้าแตะมาก (ปกติมาทีก็ยัดห่าเหมือนซูโม่หลังแข่งเสร็จทุกครั้งแท้ๆ)
ที่สำคัญคือตลอดระยะการกินเนื้อย่างแบบนิดๆ นั่นเอง ผมแวะไปขี้ถึงสองครั้ง
ทำให้เปลี่ยนทัศนคติต่อห้องน้ำร้านเนื้อย่างโพนยางคำ ..ว่าเออ ห้องน้ำเขาก็น่าขี้ดีนะ

จากวันนั้นจนวันนี้ นี่คือวันที่สี่
ลำไส้ยังไม่ฟื้นตัวดี (อาการท้องเสียที่เขาว่าลำไส้อักเสบนั่นแหละ คือผนังมันเจ๊ง รอฟื้นตัว)
รูตูดยังไม่โอเค แต่เลือดไม่ออกให้หลอนเล่นเวลาก้มลงไปตรวจผลงาน
แต่ท้องยังแน่นมาก ระบบทางเดินอาหารมึงยังไม่แข็งแรงแต่เสือกอยากแดกเนื้อ สมควรตาย

ป.ล.
ก่อนขี้แตก ผมกะจะเขียนบล็อกโหมดจริงจังเรื่องปัญหาการสื่อสารข้อมูลในการเลือกตั้ง
ว่าที่จริงแล้ว ก.ก.ต.ควรหางบสักก้อนมาจ้างทีมนักออกแบบดีๆ ให้ช่วยสื่อสารอะไรต่ออะไรออกมา
เพราะมันมีเรื่องที่ต้องสื่อสารเต็มไปหมดแต่คนก็ยังกาชูวิทย์ทั้งสองใบบ้าง กาที่ชื่อพรรคเพื่อไทยบ้าง
หรือแม้แต่หยอดหีบผิดบัตร เฮ้ย หยอดบัตรผิดหีบบ้าง ฯลฯ
มีประเด็นเยอะเลยเรื่องที่รัฐควรมาพึ่งนักออกแบบซะทีเนี่ย (ส่วนเรื่องนักออกแบบพึ่งรัฐนั่นไม่ต้องหวัง)
แต่เขียนตอนนี้ก็หมดไฟละ งั้นเอามาย่อเหลือแค่ไม่กี่บรรทัดเท่านี้พอ เรื่องขี้แตกนี่แหละ เป็นปัจจุบันกว่า

ป.อ.
ขอบคุณคุณเมีย ที่ชงเกลือแร่จากโรงพยาบาลมาให้
ช่วยให้ไม่ตายระหว่างขี้ครับ ผมเป็นคนโชคดีที่กินอะไรก็ไม่รู้สึกว่าไม่อร่อย
ก็เลยกินได้แทบทุกอย่างไม่มีบ่น แม้กระทั่งน้ำเกลือแร่ชนิดนี้ที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่อร่อย
(เอ๊ะ หรือไอ้การกินไม่เลือกนี่แหละที่เป็นเหตุแห่งท้องเสียครั้งนี้)

ป.ฮ.
แต่ประโยคที่เมียพูดบ่อยๆ ตอนมาดูอาการ คือ “อย่าเพิ่งตายนะ ยังไม่ได้ทำประกัน”

079 | อย่างหนัก!

wc_weight

ย้อนกลับไปดูสมุดบันทึกของผมเมื่อเดือนที่แล้ว
ในนั้นลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๘ มีข้อความประมาณว่า
ฉิบหายแล้ว นี่กูอ้วนขนาดนี้แล้วเหรอวะเนี่ย!

บรรทัดหลังจากนั้นเล่าว่า น้ำหนักตัวผมเพิ่มขึ้นเป็น ๗๓ กิโลกรัม
โดยมีข้ออ้างว่า แฟนต้องการให้อ้วนๆ จะได้นิ่มๆ เวลาซบไหล่
หนึ่งเดือนต่อไปนี้ (๑๓ มิ.ย.-๑๓ ก.ค.) กูจะ “ระงับ” ความอ้วนด้วยข้อบังคับดังนี้

  • ไม่กินข้าวเย็น (ยกเว้นวันไหนที่หิวจัดๆ หรือมีคนชวนไปกินในโอกาสพิเศษ)
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลม ถ้ากระหายให้แดกน้ำเปล่าซะ (ยกเว้นไม่มีน้ำจืดจะกินจริงๆ)
  • ไม่ดื่มชาเขียว (ผมติดชาเขียวแบบขวดๆ อย่างหนัก จนมั่นใจว่ามันทำให้อ้วนแน่ๆ)
  • ไม่กินขนมถุงจุกจิก หรือเดินเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อการซื้อของกินแนวๆ นั้น
  • ฯลฯ

Continue reading 079 | อย่างหนัก!

062 | สิว

สิว

ผมเป็นสิวว่ะ

เป็นตั้งแต่อายุ 14-15 ที่ฮอร์โมนเพศเริ่มทำงานอย่างบ้าคลั่ง
ซึ่งเป็นระยะเดียวกะอีตอนที่ส่วนสูงพุ่งขึ้นจาก 155 มาเป็น 175
(บ้าคลั่งไหมล่ะ พอตูสอบตก ร.ด. แล้วก็เพิ่งจะมาสูง)

มาถึงวันนี้ก็ผ่านช่วงเวลานั้นมา 7 ปีแล้ว
ส่วนสูงก็หยุดไว้แค่เท่านั้น ..แต่ไอ้สิวหนุ่มนี่สิ
มันยังคงตามหลอกหลอนและผัดเปลี่ยนเวรกันผุดตามรูยังกะเกมตีตุ่น

แม่ง… น่าเบื่อ Continue reading 062 | สิว

018 | ปัวะ-ฮวัล (ภาค 2)

(ใครเพิ่งมาอ่านก็ไปอ่านภาคหนึ่งก่อนเน่อ)

wc_dental

เขียนตอนสองทุ่มของวันเดียวกัน
เมื่อเย็นโบว์พาไปคลีนิคทันตกรรมแถวๆ เมืองเอกละครับ
เป้าหมายหลักคือไปอุดฟัน
แต่พอถึงคลินิก หมอพาเข้าห้อง ฉายฟันดูแล้วก็บอกว่า “ยังงี้มันฟันคุดนะคะน้อง”

หือ…มังคุด??? (โอย ..ตลกจัง
Continue reading 018 | ปัวะ-ฮวัล (ภาค 2)