มีโจทย์ที่ตั้งไว้กับตัวเองเล่นๆ อยู่อย่างนึงว่า ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี้ ผมไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ หรือโดนวิถีแห่งคนกรุงกลืนกินเกินไปนัก ถึงมันจะดิ้นออกจากวิถีนี้ยากสักหน่อย (ใครมีเมียมีลูก ผ่อนบ้าน และไม่ได้มีตังค์เยอะๆ ที่หล่นมาจากพ่อแม่ฟรีๆ ก็จะเจออะไรคล้ายๆ กันนี้แหละ ใครที่รอดไปได้ก็น่านับถือครับ) แต่ก็จะพยายามหาขนูกขนมมาเติมให้ชีวิตมันมีอะไรกรุบกริบแก้อาการชีวิตวนลูปซ้ำซากให้ได้
การเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำลายสมรรถนะในการดำรงชีพของคนที่ต้องหากินอยู่เมืองกรุงซะส่วนใหญ่ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนมันยังไม่ทั่วถึง ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลเทพขนาดไหนก็เหอะ
โดยเฉพาะผมแล้ว ตอนสมัครเข้าทำงานที่บริษัทนี้ พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรที่กังวลบ้าง ผมก็นึกออกอยู่แค่เรื่องการที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้นไปทำงาน (เป็นคนตีนเหม็น ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็จะพยายามใส่รองเท้าแตะให้ได้ตลอดชีวิต) กับเรื่องการเดินทาง ว่าไม่แฮปปี้ที่จะต้องเดินทางนานๆ ซ้ำๆ กันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้อยากทำงานอยู่ที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายๆ วันละ 3-5 ชั่วโมง แบบที่อีพวกสแปมห่าเดนในเฟซบุ๊กมันทำกันด้วยซ้ำ .. ก็บริษัทเรามันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี่นา งี้ก็ทำเป็น Virtual Office เลียนแบบไทเกอร์เขาดีกว่าเนอะๆๆ … แต่ข้อเสนอหลังนี้โดนปัดตกไปทันที เพราะว่าเรายังไม่เปรี้ยวเท่าบริษัทที่พาดพิงตะกี้ครับ
โอเค ช่างมัน อย่างน้อยก็ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะได้ ชีวิตคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก
ทีนี้ก็มาดูปัญหาที่เหลือ.. เรื่องการเดินทาง แต่ละวันการเดินทางจากลาดปลาเค้าถึงเพลินจิต (ซึ่งซับซ้อนเหมือนกัน และไม่มีทางสัญจรด้วยรถต่อเดียวได้แน่ๆ) ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันทุกวัน เพราะกลัวไอ้อาการหุ่นยนต์ที่ว่าไว้ข้างบนน่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะหาวิธีทดลองการเดินทางไม่ให้ซ้ำกับวันก่อนหน้าให้ได้ ดังนั้นบางวันก็ขึ้นกระป๊อ บ้างก็รถเมล์สายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนป้ายรอบ้าง เปลี่ยนป้ายลงบ้าง นั่งพี่วินบ้าง แท็กซี่บ้าง (ไม่ชอบบรรยากาศอับๆ เงียบๆ ในแท็กซี่เลยไม่ค่อยได้ขึ้น) บางทีก็ให้เมียไปส่งไม่ไกลจากบ้านแล้วต่อรถตู้ (พอมีลูกก็เลิกวิธีนี้ไป) บางทีก็ลงเดินที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วเดินต่อเอาบ้าง แวะซื้อผลไม้ หรือบางทีไปแวะหอเพื่อนยืมการ์ตูนมาอ่านก่อนไปทำงานก็ยังดี ฯลฯ
คือเส้นทางมันก็อีทางเดิมนี่แหละครับ แต่ขอบิด พลิกแพลงนิดนึงให้มันมีบรรยากาศบ้าง ได้มองข้างทางสักนิดให้ชีวิตมันมีอะไรไม่วนลูปหน่อย ดูลมๆ แล้งๆ แต่ก็นะ เราอยู่บนข้อจำกัดที่มันสนุกได้ไม่มาก
ทีนี้พอซื้อรถเครื่อง (ฟีโน่) มาได้สักพัก ทีแรกกะจะขี่แถวหมู่บ้าน ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วขี่กลับแค่นี้ แต่พอไปสอบใบขับขี่ผ่านปั๊บ ป้ายทะเบียนอะไรก็ได้มาแล้ว บัดนี้องค์ประกอบชีวิตของผมเหมาะกับการหัดออกเดินทางไปทำงานด้วยรถเครื่องเสียที ตัวแปรในการเดินทางก็เปลี่ยนไป
ผมเริ่มหัดขี่รถให้เกินจากระยะตลาดลาดปลาเค้า ไปถึงถนนใหญ่ คือเกษตร-นวมินทร์ (ตรงนี้ให้นึกภาพไอ้เจี๊ยบแฟนฉัน ตอนมันขี่จักรยานไปจนถึงถนนใหญ่ ที่เล่าลือกันว่าถ้าข้ามไปฝั่งนู้นได้ถือว่ามึงโตแล้ว .. แบบ Coming of age มากๆ อ้ะ) เสร็จแล้วก็เอาไปจอดตรงแยกวังหินไม่ไกลจากบ้านนัก แวะร้านการ์ตูนหน่อย (มีชิวตามธรรมเนียม) แล้วนั่งกระป๊อต่อเอาอีกที เปลี่ยนวิธีนิดๆ หน่อยๆ ทำแบบนี้ได้สักพักจนรู้สึกว่าเริ่มซ้ำละ
แต่พอขี่หลายๆ วันเข้า ก็เริ่มเซ้วครับ รู้สึกว่าเริ่มเข้าใจวิถีและวิธีการซอกแซกผ่านระหว่างช่องรถยนต์เวลามันติดไฟแดงกันเยอะๆ ยั้วเยี้ยๆ สนุกดีครับ เหมือนได้เล่นเกมทุกวัน ได้ฝึกสมาธิและไหวพริบแบบที่ห้ามเกมโอเวอร์เด็ดขาด ไม่งั้นก็เสียตังค์ หรือไม่ก็ตาย
ทีนี้ประเด็นคือผมขับรถยนต์มาหลายปี จนเข้าใจกฎกติกามารยาทแห่งการจราจรด้วยรถยนต์ในกรุงเทพฯ แล้วล่ะ ..จึงเกลียดนัก อีพวกรถเครื่องเลนตรงข้ามที่ชอบแซงแล้วกินมาเลนเราอย่างหน้าตาเฉย คนที่ต้องหลบดันกลายเป็นเราซะงั้น เพราะถ้าวัดใจ คนที่ตายคือมัน แต่คนติดคุกคือเรา แล้วลูกก็จะมีปัญหา ติดยาและหนีไปกับผู้ชาย ส่วนเมียก็จะหนีไปกับช่างแอร์ ฯลฯ
ผมเกลียด ผมจึงไม่ทำ ถ้าช่องมันแคบนักก็รอไป พอไฟเขียวเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง
แทรกเนื้อหานิดนึง อยากอวดใบสั่งครับ ไปจอดซื้อกับข้าวให้เมียที่ริมฟุตปาท ตลาดลาดปลาเค้าตามปกติ (ทุกคนจอดกันทุกวันน่ะ เก็ตปะ) แล้วเผอิญวันนั้นดันซวย จราจรมา เขาก็ไล่ๆ คันอื่นออกไป จนเหลือไม่กี่คันรวมทั้งของเราที่เจ้าของดันซื้อสับปะรดอยู่ หันมาจ่าก็เตรียมเขียนใบสั่งฉิบแล้ว เลยเดินไปยิ้มๆ ให้แก รอใบสั่งมา (ผมถือคติไม่ยัดเงินตำรวจ) แล้วอีกสี่ห้าวันก็ขับไปจ่ายค่าปรับที่ ส.น.โคกคราม ซึ่งไกลจากซอยที่บ้านมากๆ แถมอยู่ในซอยลึก หายากอีก ไม่รู้คนแบ่งโซนดูแลเขาแบ่งกันยังไง น่าจะรีเฟรชกันหน่อยนะ ถนนตัดใหม่ก็มีแล้ว บ่นๆๆ
อย่างว่าแหละครับ ใครที่ซื่อๆ โลกสวยๆ และเถรตรงแบบนี้ มันอยู่ในสังคมยากไง ผลคือทุกวันที่ออกจากบ้านเนี่ย แขนเขินจึงเริ่มดำ ใบหน้าเริ่มกร้าน เพราะแดดแม่งร้อนฉิบหาย จากเดิมเป็นคุณหนูที่ทำงานห้องแอร์ นอนเปิดแอร์มาตลอด ก็เริ่มเข้าใจพี่วินและพนักงานร้านหมูกระทะขึ้นมาหน่อยๆ
ชีวิตบนสองล้อของผมก็ค่อยๆ ขยับๆ สับเปลี่ยนวิธีการเดินทางไปเรื่อยๆ วันละนิดวันละหน่อย จากเข้าซอยนั้นก็เปลี่ยนเป็นลัดซอยนี้ หรือขยับไปจอดตรงนู้นบ้างตรงนี้บ้าง ถ้าขากลับมาดูแล้วรถยังไม่หายก็ถือว่าโอเค แต่ยังไม่กล้าออกถนนใหญ่สุดๆ ที่ชื่อว่า “วิภาวดี-รังสิต” เสียที
ถ้าเปรียบเป็นเกม RPG อีถนนวิภาวดีรังสิตนี่ ก็คงเหมือนกับด่านบอสเลยครับ คือเป็นเส้นใหญ่เหมือนกันกับถนนเพชรเกษมแถวบ้านเกิด ที่สมัยหนุ่มๆ เคยขี่ยามาฮ่ารุ่นสาวยาคูลท์ของแม่ แต่บิด 120 สบายๆ ตลอดทางเป็นเรื่องปกติ แต่!! นอกจากในกรุงเทพฯ จะมีถนนที่คดเคี้ยวแล้ว จิตใจผู้คนยิ่งคดเคี้ยวดั่งเจี๊ยวหมูอีกด้วย! แค่ขับรถยนต์สี่ล้อก็ว่ายากแล้ว นี่รถเครื่องสองล้อผู้เป็นพลเมืองชั้นสองจึงยิ่งแย่(ส่วนจักรยานนี่ค่อยว่ากันทีหลังได้อีกตอนนึงเลย)
แต่วันนี้นึกครึ้ม อยากลองไปดูครับ เลยขี่ออกจากหมู่บ้าน ติดไฟแดงตามปกติ แล้ววิ่งยาวไปถึงบิ๊กซีสะพานควายเลย (ประโยคถัดไปให้ทำเสียงคุณเจนญาณทิพย์) และขอบอกเลยนะคะว่าถนนเส้นนี้.. ขี่ยากมาก.. แม่งเลเวลสูงมากค่ะ.. ถ้าเปรียบเหมือนเกมตะกี้ ก็เหมือนนู้บไปโผล่ในดงพญาควายที่เลเวลสูงระดับมหาบอส ผลคือเมื่อยมือมาก เพราะบิดรถไปเกร็งไป พอถึงก็โล่งใจครับ เหมือนไอ้เจี๊ยบได้ข้ามถนนใหญ่สำเร็จ กูโตแล้วว่างั้น!!!! เย้ มีเมียได้แล้ว!!!!!
จนทำงานเสร็จเดินทางกลับ ฝนดันตกระดับเปาะแปะ คือไม่เปียกหรอก แต่ถ้าขี่รถฝ่าก็จะเจ็บหน้าอะไรงี้ .. แล้วผมต้องขี่รถกลับไงครับ ก็ขี่มาบนถนนวิภาวดี ไปจนยูเทิร์นแถว ม.เกษตรนู่น ถึงบ้านในที่สุด แต่ก็เมื่อยมืออย่างสุดๆ เพราะเกร็งกว่าตอนเช้ามาก เนื่องจากนี่มันกลางคืน มองยาก แถมเม็ดฝนเป็นอุปสรรคอีก .. แต่ทำไมเด็ก สตรี และคนชราถึงได้ขี่กันพลิ้วไหวสวยงามขนาดนั้นวะ จิตใจทำด้วยอะไรกัะน
อาห์ .. สรุปว่าก็ได้ลองแล้วว่าถนนใหญ่เลเวลสูงปรี๊ดมันเป็นยังไง คงเข็ดไปอีกพักนึง ไว้สะสม EXP ให้แกร่งกล้ากว่านี้ แล้วจะออกไปแว้นใหม่นะครับ (ผมไม่เล่นเกม มั่วศัพทพ์เกมไปบ้างก็ขออภัย)
ป.ล.
ชื่อบล็อกนี้คารวะแด่การ์ตูนชีวประวัติของเท็ตสึกะ โอซามุ พระเจ้าแห่งวงการการ์ตูนญี่ปุ่นผู้เป็นตัวแทนแห่งความเพียรพยายาม ซึ่ง @ripmilla แนะนำมา ซึ่งบล็อกนี้ไม่มีเนื้อหาอะไรเกี่ยวกันกะการ์ตูนหรือความพากเพียรพยายามอะไรเลย
ป.อ.
ในใบสั่งเขียนว่าผมเป็น “ผู้ต้องหา” ครับ รู้สึกว่าตัวเองได้ก่ออาชญากรรม และเป็นคนเลวของสังคมอย่างเป็นทางการเลย นี่มันดาร์กมากเลยนะ ลูกรู้เข้าคงเป็นเด็กมีปัญหา โตขึ้นก็หนีโรงเรียน ติดยา.. (พอ!)
ป.ฮ.
บล็อกที่แล้วที่ทำขึ้นมาลอยๆ และแทบไม่ได้บอกว่าคือการเสียดสีอะไรยังไง เสียดายในคอมเมนต์มีคนเฉลยไว้เสียเยอะ แต่โชคดีที่คนไม่อ่านก็คือไม่อ่าน เลยสนุกตรงที่ดันมีคนจริงจังมาคอมเมนต์อะไรใหญ่โตนี่แหละ ชอบจริงๆ เลยมนุษย์เอ๊ย
One thought on “ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง”
Comments are closed.