(กดดูภาพเต็มได้นะ)
นี่คือสไตล์การบรีฟงานของ @TuckTua pic.twitter.com/dGTfVjQGcl
— 囧 (@iannnnn) March 4, 2014
นี่คือสไตล์อภิชาติผัวแบบ @iannnnn pic.twitter.com/W9L0YUMm6P
— ตั๊กถั่ว (@TuckTua) March 4, 2014
(กดดูภาพเต็มได้นะ)
นี่คือสไตล์การบรีฟงานของ @TuckTua pic.twitter.com/dGTfVjQGcl
— 囧 (@iannnnn) March 4, 2014
นี่คือสไตล์อภิชาติผัวแบบ @iannnnn pic.twitter.com/W9L0YUMm6P
— ตั๊กถั่ว (@TuckTua) March 4, 2014
จริงเหรอวะ
ใครเป็นคนเริ่มพูดวะเนี่ย แล้วมันฝังหัวด้วยนะ เพราะเราได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก
แต่ถามว่าเชื่ออย่างที่เขาว่าไหม? ถามตัวเองในตอนนี้คงจะได้คำตอบว่าไม่เชื่อแน่นอน เพราะเราไม่ได้จนกรอบแบบเมื่อก่อนแล้ว อุดมการณ์น่าจะเปลี่ยนไป
จึงขอย้อนกลับไปถามตัวเองเมื่อมัยเรียน ตอนที่ไม่มีเงินเลย แม้จะแบมือขอพ่อแม่ก็ยังไม่พอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสำหรับคนอยู่หอพักในกรุงเทพฯ (ถูกๆ ด้วยนะ) จนต้องทำงานพิเศษระหว่างเรียนเป็นการรับจ็อบออกแบบนั่นนี่ จนทำให้เราเป็นเราในวันนี้
พอถามไอ้แอนตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบ มันก็บอกว่าจริง ถ้ามึงอยู่ในสถานะปากกัดตีนถีบ สิ่งสำคัญในชีวิตคือการเอาปากท้องตัวเองให้รอดก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน
แต่ไอ้แอนตอนอายุยี่สิบ (นั่งถัดจากไอ้แอนคนก่อนหน้านี้ 1 ปี) มันเริ่มเริ่มมีเพื่อน มีสังคมนอกคณะ เรียกว่ากบาลเริ่มเปิดเพราะพอจะรู้จักโลกภายนอกแล้ว มันชิงตอบว่า พอมีเงินเข้ามาพอให้ตัวเองพ้นจากสภาวะปากกัดตีนถีบปั๊บ สิ่งที่ต้องการในชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนที่อีตามาสโลว์แกเคยกล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์มันไล่มาจากพื้นฐานสุดๆ คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยกระดึ๊บเป็นลำดับถัดไปเป็นสเต็ปๆ (ใครไม่เคยอ่านที่แกกล่าวก็กดเข้าไปซะนะ)
ทีนี้ลำดับถัดไปของใครจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ของผม มั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบันเลยว่า “ธง” ในชีวิตคือความชิว ไม่ใช่เงิน
ผมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางมนุษย์อีกหลายหมื่นแสนล้านคน ที่มีความต้องการถัดจากขั้นพื้นฐานแตกต่างกันออกไป บางคนมีความสุขที่จะได้แฟนที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000 บาท (ที่เพิ่งเป็นกระแสฮือฮาดราม่าในทวิตเตอร์เมื่อวันก่อน ลองกดอ่านดู) บางคนแฮปปี้ที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทตอนอายุ 31 บางคนอยากมีชื่อเสียง บางคนอยากมีอำนาจ บางคนอยากได้รับการยกย่อง บางคนคิดว่าพอตายไปแล้วอยากทิ้งอะไรให้โลกไว้สักอย่างให้คนยังพูดถึงอยู่ (ผมก็เป็นประเภทนี้) บางคนอยากมีเพื่อน บางคนอยากปี้ให้ครบทุกประเทศทั่วโลก (มีจริงๆ เคยอ่านมา อิจฉา เอ๊ยทึ่งมาก ที่มึงอุทิศชีวิตเพื่อการขยายพันธุ์ได้ขนาดนี้) บางคนอยากนิพพาน บางคนอยากเห็นโลกสงบสุข บางคนอยากได้ประชาธิปไตย และบางคนอาจอยากจับนมสาวเกิร์ลเจนสักครั้ง
ส่วนผม บวกลบคูณหารดูแล้วยังมั่นใจว่า ธงในชีวิตตัวเองไม่ใช่เงินแน่นอนครับ แต่มันคือความชิว (แล้วจะพูดซ้ำกับย่อหน้าข้างบนทำไม) ให้นึกภาพว่ายอดเขาที่ตัวเองกำลังปีนอยู่และหวังว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปยืนปักธงอยู่บนนั้น มันต้องชิวมากแน่ๆ
ว่าแต่ความชิวคืออะไร?
คำว่าชิวของผม (ที่จริงมันต้องเขียนว่า ชิล หรือ ชิลล์ แต่เพื่ออรรถรสส่วนตัวผมเขียนชิวละกัน เหมือนคำว่าโซเชี่ยวอะ) หมายถึงการนอนกลิ้งๆ ขี้เกียจๆ แคะขี้มูก อ่านการ์ตูน อ่านหนังสือ ไปขี่จักรยาน ไปเที่ยวดูนกดูไม้ โดดน้ำเขื่อน พาลูกเมียไปทะเล ฯลฯ
แค่นี้เอง ต้องการแค่นี้จริงๆ แต่กว่าจะได้มานั้นก็พบว่ามันต้องใช้เงินครับ ก็เลยมีบ้างที่ตัวเองต้องทนทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชอบ (อย่างกลางเมืองหลวงในกรุงเทพฯ เนี่ย) เพื่อแลกเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และตอบสนองความต้องการขั้นที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของตัวเอง
ผมเกลียดชีวิตมนุษย์เงินเดือน เกลียดระบบการทำงานที่ซ้ำๆ กันทุกวัน ถึงจะได้เงินเยอะ แต่เมื่อแลกกับเวลาที่หดหายไปกับการเดินทางนั้น ก็พูดได้เต็มปากว่าโคตรไม่คุ้มเลย
เออ พออ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นพวกมีปัญหากับบริษัทนะ ไม่หรอกครับ กับวิชาชีพที่เราทำอยู่นี้ (งานออกแบบเว็บและอินเทอร์เฟซต่างๆ รวมถึงการเป็นสถาปนิกเว็บด้วย) เรามีความสุขดี เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็น่ารักและเป็นมนุษย์ประเภทที่เคมีตรงกัน เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แค่นี้ก็ถือว่าโคตรน่าอยู่แล้ว จึงสรุปได้ว่าเราไม่ได้ไม่ชอบบริษัทนี้ เราไม่ได้มีปัญหากับใคร ยกเว้นตัวเอง ที่รับไม่ได้กับการหมดเวลาของชีวิตตั้งเยอะกับการทำงานบริษัท
ซึ่งไม่ชิวเลย
ต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงไปขอลาออก ถึงจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังได้ข้อเสนอที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิม คือไปทำงานอาทิตย์ละสองวันพอ แน่นอนว่าเงินเดือนตอนนี้ก็ถูกปรับลดลงตามสเกล ตอนนี้ถ้านับงานนอกงานใน ก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีรายได้พอที่จะไปเป็นแฟนบางคนในทวิตเตอร์ได้แล้ว 55555
แต่ถามว่าแคร์ไหม บอกได้เลยว่าไม่แคร์ และยินดีมากด้วย เมื่อได้แลกมากับ “เวลา” ที่เป็นหัวใจของความชิว
ตอนนี้เราตื่นแปดโมงทุกวัน ตื่นเองแบบไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกก็ได้ นี่ก็ชิว / ลุกขึ้นจากเตียง หยิบการ์ตูนที่อ่านไว้จนสัปหงกเมื่อคืนขึ้นมาอ่านต่อ พร้อมกับดินไปแปรงฟัน นี่ก็ชิว / พอลูกเมียอาบน้ำเสร็จ ก็นั่งจับลูกใส่เสื้อผ้า แล้วใช้เวลาไปอีกชั่วโมงกับการอ่านนิทานให้นิทานฟัง นี่ก็ชิว / ก่อนจะเปิดมือถือและเข้าไปจมปลักในโลกออนไลน์ที่เราเสพติดอยู่ นี่ก็ชิว / ว่างๆ วันไหนก็ได้ที่นึกอยากจะออกนอกบ้านก็ไปเที่ยวพักผ่อนกะลูกกะเมียก็ได้ไป นี่แหละคือความชิว
ใช่แล้ว ความชิวคือความขี้เกียจ!
และก็ใช่แล้ว เราเป็นมนุษย์ขี้เกียจ เราทำทุกอย่างได้เพื่อบูชาความขี้เกียจ!
ทำทุกอย่างได้แม้กระทั่งต้องเบนไปนอกลู่นอกทางนิดนึง ด้วยการไปทำงานบริษัทด้วยความจำใจ
เปล่า เราไม่ได้ปฏิเสธเงิน แต่ไม่ค่อยชอบคำขวัญที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”
เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการบันดาลของเงินเท่านั้น เงินน่ะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร้อยพันสิ่งที่จะสามารถบันดาลความสุขให้กับเราได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่ได้รับการปลูกฝังมา
แถมเมื่อชั่งนำ้หนักกับ “เวลา” แล้ว เราให้ราคากับเวลามากกว่าเงินมากมายนัก (ฟังดูเป็นคำพูดของคนมีเงินแล้วดีนะ ไม่หรอก เราเป็นงี้มาตั้งแต่เป็นไอ้แอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบละ) ก็เลยพาลเกลียดวัฒนธรรมที่เป็นผลพวงจากคำขวัญปลุกใจมนุษย์เงินเดือนดังกล่าว นั่นคือพอคนเราทำงานกันจนชินชาแล้ว เราก็จะคิดว่าชีวิตนี้ข้าขออุทิศเพื่องาน เป็นพนักงานบัญชีก็ทำบัญชีต่อไป เป็นเด็กเสิร์ฟก็เสิร์ฟต่อไป เป็นคนทำเว็บก็ทำเว็บต่อไป
แล้วเวลาแนะนำตัวเองกับใคร จะต้องมี bio ห้อยท้ายต่อจากชื่อของตน คือพูดชื่อก่อน “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน” แล้วคำถามต่อมาที่เจอทันทีหลังจากรู้จักชื่อก็คือ “ทำงานอะไรอยู่ครับ”
เฮ้ย มึงถามอายุ ถามแนวเพลงที่ชอบ ถามสเป็กสาว ถามว่าเมื่อวานกินอะไร กินพริกหยวกได้ไหม อะไรงี้ก่อนได้ไหมอะ
มนุษย์เรามีวิธีการเขียน bio ตั้งมากมายไว้ระบุถึงความเป็นตัวเองนะครับ ไม่ใช่แค่เขียนถึงวิชาชีพที่ตนสังกัดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันแบนไป
และไม่ชิวเลย
.
ป.ล.
บล็อกตอนนี้เขียนวกวนหน่อย ช่างมันเนอะ ขี้เกียจรีไรต์ ขนาดสรรพนามตอนแรกๆ ยังเรียกตัวเองว่าผม พอหลังๆ มาเป็นเราเฉยเลย
ป.อ.
เออ ลืมเขียนไปเรื่องนึง การปลดหนี้ได้คือต้นทุนของความชิวนะ ที่ผ่านมาเราทำงานนั่นนี่สารพัดเพื่อการปลดหนี้ให้หมด จนตอนนี้บ้านที่ซื้อก็ผ่อนหมดแล้ว รถก็ผ่อนหมดแล้ว และมีเงินทองเก็บอีกนิดหน่อยพอที่จะเอาตัวรอดได้ แถมยังวางแผนการหาเงินของตัวเองไว้พอสมควร ไม่ได้ถึงกับลงมือศึกษาหรือโดดไปเล่นหุ้น(มันไม่ชิว) แต่ก็ไม่ได้ผยองหรือประมาทในการใช้ชีวิตบนโลกของทุนนิยมนี่นา ดังนั้นการมีเงินเดือนเท่าเด็กจบใหม่แบบนี้ ก็น่าจะเลี้ยงลูกเมียได้นะ 55555
ป.ฮ.
ว่าจะวาดภาพประกอบ แต่ตอนที่ผ่านๆ มาก็วาดแบบตีนปาด(เพราะขี้เกียจ) … อายว่ะ ไม่วาดดีกว่า
ดึกแล้ว
แต่รู้สึกว่าต้องระบายอะไรออกมาหน่อย
เคยรู้สึกทำนองนี้กันไหมครับ ตอนนี้ผมกำลังเป็นอยู่เลย คืออยู่ดีๆ พลังงานชีวิตมันก็มา มาแล้วก็อยากริเริ่มอะไรจริงจังให้สมกับที่ “ว่าจะ” ทำนั่นนี่ตลอดมา แต่ก็ติดข้ออ้างเรื่องเวลามาตลอดเช่นกัน
ตอนนี้เรื่องลดน้ำหนักเราทำได้เป็นที่น่าพอใจ
ก็เป็นประกายไฟแวบแรกให้รู้สึกว่าไอ้ที่เราอ้างอยู่เสมอว่าช่างไม่มีเวลาว่างแบบคุณภาพๆ เอาซะเลยนั้นมันปัญญาอ่อนมาก
โปรเจกต์ล้านแปดในสมอง ถ้าไม่ได้เริ่มลงมือทำ มึงก็แค่ไอ้ขี้โม้
โอเค พรุ่งนี้จะเริ่มละ!!
บริหารเวลาด้วยการใส่อุปสรรคลงไปในเวลาที่ไม่ค่อยจะมีนั่นแหละ ดูซิว่าพอมีเป้าหมายแล้วมันจะช่วยทำให้เวลาฟุ้งๆ ที่ว่า มันตกตะกอนลงได้ไหม
ถึงพวกเขาจะไม่รู้ตัว แต่ก็ขอขอบคุณจักรี ขอบคุณพี่หนุ่ม ขอบคุณแชมป์ เอม หนุงหนิง และอี บ.ก.แบงค์มากๆ เลยครับ
ป.ล. เขียนบล็อกตอนนี้ในมือถือ แอปเวิร์ดเพรสก็เข้าท่านะ
มีโจทย์ที่ตั้งไว้กับตัวเองเล่นๆ อยู่อย่างนึงว่า ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี้ ผมไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ หรือโดนวิถีแห่งคนกรุงกลืนกินเกินไปนัก ถึงมันจะดิ้นออกจากวิถีนี้ยากสักหน่อย (ใครมีเมียมีลูก ผ่อนบ้าน และไม่ได้มีตังค์เยอะๆ ที่หล่นมาจากพ่อแม่ฟรีๆ ก็จะเจออะไรคล้ายๆ กันนี้แหละ ใครที่รอดไปได้ก็น่านับถือครับ) แต่ก็จะพยายามหาขนูกขนมมาเติมให้ชีวิตมันมีอะไรกรุบกริบแก้อาการชีวิตวนลูปซ้ำซากให้ได้
การเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำลายสมรรถนะในการดำรงชีพของคนที่ต้องหากินอยู่เมืองกรุงซะส่วนใหญ่ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนมันยังไม่ทั่วถึง ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลเทพขนาดไหนก็เหอะ
โดยเฉพาะผมแล้ว ตอนสมัครเข้าทำงานที่บริษัทนี้ พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรที่กังวลบ้าง ผมก็นึกออกอยู่แค่เรื่องการที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้นไปทำงาน (เป็นคนตีนเหม็น ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็จะพยายามใส่รองเท้าแตะให้ได้ตลอดชีวิต) กับเรื่องการเดินทาง ว่าไม่แฮปปี้ที่จะต้องเดินทางนานๆ ซ้ำๆ กันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้อยากทำงานอยู่ที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายๆ วันละ 3-5 ชั่วโมง แบบที่อีพวกสแปมห่าเดนในเฟซบุ๊กมันทำกันด้วยซ้ำ .. ก็บริษัทเรามันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี่นา งี้ก็ทำเป็น Virtual Office เลียนแบบไทเกอร์เขาดีกว่าเนอะๆๆ … แต่ข้อเสนอหลังนี้โดนปัดตกไปทันที เพราะว่าเรายังไม่เปรี้ยวเท่าบริษัทที่พาดพิงตะกี้ครับ
โอเค ช่างมัน อย่างน้อยก็ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะได้ ชีวิตคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก
ทีนี้ก็มาดูปัญหาที่เหลือ.. เรื่องการเดินทาง แต่ละวันการเดินทางจากลาดปลาเค้าถึงเพลินจิต (ซึ่งซับซ้อนเหมือนกัน และไม่มีทางสัญจรด้วยรถต่อเดียวได้แน่ๆ) ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันทุกวัน เพราะกลัวไอ้อาการหุ่นยนต์ที่ว่าไว้ข้างบนน่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะหาวิธีทดลองการเดินทางไม่ให้ซ้ำกับวันก่อนหน้าให้ได้ ดังนั้นบางวันก็ขึ้นกระป๊อ บ้างก็รถเมล์สายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนป้ายรอบ้าง เปลี่ยนป้ายลงบ้าง นั่งพี่วินบ้าง แท็กซี่บ้าง (ไม่ชอบบรรยากาศอับๆ เงียบๆ ในแท็กซี่เลยไม่ค่อยได้ขึ้น) บางทีก็ให้เมียไปส่งไม่ไกลจากบ้านแล้วต่อรถตู้ (พอมีลูกก็เลิกวิธีนี้ไป) บางทีก็ลงเดินที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วเดินต่อเอาบ้าง แวะซื้อผลไม้ หรือบางทีไปแวะหอเพื่อนยืมการ์ตูนมาอ่านก่อนไปทำงานก็ยังดี ฯลฯ
คือเส้นทางมันก็อีทางเดิมนี่แหละครับ แต่ขอบิด พลิกแพลงนิดนึงให้มันมีบรรยากาศบ้าง ได้มองข้างทางสักนิดให้ชีวิตมันมีอะไรไม่วนลูปหน่อย ดูลมๆ แล้งๆ แต่ก็นะ เราอยู่บนข้อจำกัดที่มันสนุกได้ไม่มาก
ทีนี้พอซื้อรถเครื่อง (ฟีโน่) มาได้สักพัก ทีแรกกะจะขี่แถวหมู่บ้าน ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วขี่กลับแค่นี้ แต่พอไปสอบใบขับขี่ผ่านปั๊บ ป้ายทะเบียนอะไรก็ได้มาแล้ว บัดนี้องค์ประกอบชีวิตของผมเหมาะกับการหัดออกเดินทางไปทำงานด้วยรถเครื่องเสียที ตัวแปรในการเดินทางก็เปลี่ยนไป Continue reading ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง