ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ

(กดดูภาพเต็มได้นะ)

งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

จริงเหรอวะ

ใครเป็นคนเริ่มพูดวะเนี่ย แล้วมันฝังหัวด้วยนะ เพราะเราได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก
แต่ถามว่าเชื่ออย่างที่เขาว่าไหม? ถามตัวเองในตอนนี้คงจะได้คำตอบว่าไม่เชื่อแน่นอน เพราะเราไม่ได้จนกรอบแบบเมื่อก่อนแล้ว อุดมการณ์น่าจะเปลี่ยนไป

จึงขอย้อนกลับไปถามตัวเองเมื่อมัยเรียน ตอนที่ไม่มีเงินเลย แม้จะแบมือขอพ่อแม่ก็ยังไม่พอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสำหรับคนอยู่หอพักในกรุงเทพฯ (ถูกๆ ด้วยนะ) จนต้องทำงานพิเศษระหว่างเรียนเป็นการรับจ็อบออกแบบนั่นนี่ จนทำให้เราเป็นเราในวันนี้

พอถามไอ้แอนตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบ มันก็บอกว่าจริง ถ้ามึงอยู่ในสถานะปากกัดตีนถีบ สิ่งสำคัญในชีวิตคือการเอาปากท้องตัวเองให้รอดก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน

แต่ไอ้แอนตอนอายุยี่สิบ (นั่งถัดจากไอ้แอนคนก่อนหน้านี้ 1 ปี) มันเริ่มเริ่มมีเพื่อน มีสังคมนอกคณะ เรียกว่ากบาลเริ่มเปิดเพราะพอจะรู้จักโลกภายนอกแล้ว มันชิงตอบว่า พอมีเงินเข้ามาพอให้ตัวเองพ้นจากสภาวะปากกัดตีนถีบปั๊บ สิ่งที่ต้องการในชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนที่อีตามาสโลว์แกเคยกล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์มันไล่มาจากพื้นฐานสุดๆ คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยกระดึ๊บเป็นลำดับถัดไปเป็นสเต็ปๆ (ใครไม่เคยอ่านที่แกกล่าวก็กดเข้าไปซะนะ)

ทีนี้ลำดับถัดไปของใครจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ของผม มั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบันเลยว่า “ธง” ในชีวิตคือความชิว ไม่ใช่เงิน

ผมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางมนุษย์อีกหลายหมื่นแสนล้านคน ที่มีความต้องการถัดจากขั้นพื้นฐานแตกต่างกันออกไป บางคนมีความสุขที่จะได้แฟนที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000 บาท (ที่เพิ่งเป็นกระแสฮือฮาดราม่าในทวิตเตอร์เมื่อวันก่อน ลองกดอ่านดู) บางคนแฮปปี้ที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทตอนอายุ 31 บางคนอยากมีชื่อเสียง บางคนอยากมีอำนาจ บางคนอยากได้รับการยกย่อง บางคนคิดว่าพอตายไปแล้วอยากทิ้งอะไรให้โลกไว้สักอย่างให้คนยังพูดถึงอยู่ (ผมก็เป็นประเภทนี้) บางคนอยากมีเพื่อน บางคนอยากปี้ให้ครบทุกประเทศทั่วโลก (มีจริงๆ เคยอ่านมา อิจฉา เอ๊ยทึ่งมาก ที่มึงอุทิศชีวิตเพื่อการขยายพันธุ์ได้ขนาดนี้) บางคนอยากนิพพาน บางคนอยากเห็นโลกสงบสุข บางคนอยากได้ประชาธิปไตย และบางคนอาจอยากจับนมสาวเกิร์ลเจนสักครั้ง

ส่วนผม บวกลบคูณหารดูแล้วยังมั่นใจว่า ธงในชีวิตตัวเองไม่ใช่เงินแน่นอนครับ แต่มันคือความชิว (แล้วจะพูดซ้ำกับย่อหน้าข้างบนทำไม) ให้นึกภาพว่ายอดเขาที่ตัวเองกำลังปีนอยู่และหวังว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปยืนปักธงอยู่บนนั้น มันต้องชิวมากแน่ๆ

ว่าแต่ความชิวคืออะไร?

คำว่าชิวของผม (ที่จริงมันต้องเขียนว่า ชิล หรือ ชิลล์ แต่เพื่ออรรถรสส่วนตัวผมเขียนชิวละกัน เหมือนคำว่าโซเชี่ยวอะ) หมายถึงการนอนกลิ้งๆ ขี้เกียจๆ แคะขี้มูก อ่านการ์ตูน อ่านหนังสือ ไปขี่จักรยาน ไปเที่ยวดูนกดูไม้ โดดน้ำเขื่อน พาลูกเมียไปทะเล ฯลฯ

แค่นี้เอง ต้องการแค่นี้จริงๆ แต่กว่าจะได้มานั้นก็พบว่ามันต้องใช้เงินครับ ก็เลยมีบ้างที่ตัวเองต้องทนทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชอบ (อย่างกลางเมืองหลวงในกรุงเทพฯ เนี่ย) เพื่อแลกเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และตอบสนองความต้องการขั้นที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของตัวเอง

ผมเกลียดชีวิตมนุษย์เงินเดือน เกลียดระบบการทำงานที่ซ้ำๆ กันทุกวัน ถึงจะได้เงินเยอะ แต่เมื่อแลกกับเวลาที่หดหายไปกับการเดินทางนั้น ก็พูดได้เต็มปากว่าโคตรไม่คุ้มเลย

เออ พออ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นพวกมีปัญหากับบริษัทนะ ไม่หรอกครับ กับวิชาชีพที่เราทำอยู่นี้ (งานออกแบบเว็บและอินเทอร์เฟซต่างๆ รวมถึงการเป็นสถาปนิกเว็บด้วย) เรามีความสุขดี เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็น่ารักและเป็นมนุษย์ประเภทที่เคมีตรงกัน เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แค่นี้ก็ถือว่าโคตรน่าอยู่แล้ว จึงสรุปได้ว่าเราไม่ได้ไม่ชอบบริษัทนี้ เราไม่ได้มีปัญหากับใคร ยกเว้นตัวเอง ที่รับไม่ได้กับการหมดเวลาของชีวิตตั้งเยอะกับการทำงานบริษัท

ซึ่งไม่ชิวเลย

ต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงไปขอลาออก ถึงจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังได้ข้อเสนอที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิม คือไปทำงานอาทิตย์ละสองวันพอ แน่นอนว่าเงินเดือนตอนนี้ก็ถูกปรับลดลงตามสเกล ตอนนี้ถ้านับงานนอกงานใน ก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีรายได้พอที่จะไปเป็นแฟนบางคนในทวิตเตอร์ได้แล้ว 55555

แต่ถามว่าแคร์ไหม บอกได้เลยว่าไม่แคร์ และยินดีมากด้วย เมื่อได้แลกมากับ “เวลา” ที่เป็นหัวใจของความชิว

ตอนนี้เราตื่นแปดโมงทุกวัน ตื่นเองแบบไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกก็ได้ นี่ก็ชิว / ลุกขึ้นจากเตียง หยิบการ์ตูนที่อ่านไว้จนสัปหงกเมื่อคืนขึ้นมาอ่านต่อ พร้อมกับดินไปแปรงฟัน นี่ก็ชิว / พอลูกเมียอาบน้ำเสร็จ ก็นั่งจับลูกใส่เสื้อผ้า แล้วใช้เวลาไปอีกชั่วโมงกับการอ่านนิทานให้นิทานฟัง นี่ก็ชิว / ก่อนจะเปิดมือถือและเข้าไปจมปลักในโลกออนไลน์ที่เราเสพติดอยู่ นี่ก็ชิว / ว่างๆ วันไหนก็ได้ที่นึกอยากจะออกนอกบ้านก็ไปเที่ยวพักผ่อนกะลูกกะเมียก็ได้ไป นี่แหละคือความชิว

ใช่แล้ว ความชิวคือความขี้เกียจ!

และก็ใช่แล้ว เราเป็นมนุษย์ขี้เกียจ เราทำทุกอย่างได้เพื่อบูชาความขี้เกียจ!

ทำทุกอย่างได้แม้กระทั่งต้องเบนไปนอกลู่นอกทางนิดนึง ด้วยการไปทำงานบริษัทด้วยความจำใจ

เปล่า เราไม่ได้ปฏิเสธเงิน แต่ไม่ค่อยชอบคำขวัญที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”

เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการบันดาลของเงินเท่านั้น เงินน่ะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร้อยพันสิ่งที่จะสามารถบันดาลความสุขให้กับเราได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่ได้รับการปลูกฝังมา

แถมเมื่อชั่งนำ้หนักกับ “เวลา” แล้ว เราให้ราคากับเวลามากกว่าเงินมากมายนัก (ฟังดูเป็นคำพูดของคนมีเงินแล้วดีนะ ไม่หรอก เราเป็นงี้มาตั้งแต่เป็นไอ้แอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบละ) ก็เลยพาลเกลียดวัฒนธรรมที่เป็นผลพวงจากคำขวัญปลุกใจมนุษย์เงินเดือนดังกล่าว นั่นคือพอคนเราทำงานกันจนชินชาแล้ว เราก็จะคิดว่าชีวิตนี้ข้าขออุทิศเพื่องาน เป็นพนักงานบัญชีก็ทำบัญชีต่อไป เป็นเด็กเสิร์ฟก็เสิร์ฟต่อไป เป็นคนทำเว็บก็ทำเว็บต่อไป

แล้วเวลาแนะนำตัวเองกับใคร จะต้องมี bio ห้อยท้ายต่อจากชื่อของตน คือพูดชื่อก่อน “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน” แล้วคำถามต่อมาที่เจอทันทีหลังจากรู้จักชื่อก็คือ “ทำงานอะไรอยู่ครับ”

เฮ้ย มึงถามอายุ ถามแนวเพลงที่ชอบ ถามสเป็กสาว ถามว่าเมื่อวานกินอะไร กินพริกหยวกได้ไหม อะไรงี้ก่อนได้ไหมอะ

มนุษย์เรามีวิธีการเขียน bio ตั้งมากมายไว้ระบุถึงความเป็นตัวเองนะครับ ไม่ใช่แค่เขียนถึงวิชาชีพที่ตนสังกัดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันแบนไป

และไม่ชิวเลย

.

ป.ล.
บล็อกตอนนี้เขียนวกวนหน่อย ช่างมันเนอะ ขี้เกียจรีไรต์ ขนาดสรรพนามตอนแรกๆ ยังเรียกตัวเองว่าผม พอหลังๆ มาเป็นเราเฉยเลย

ป.อ.
เออ ลืมเขียนไปเรื่องนึง การปลดหนี้ได้คือต้นทุนของความชิวนะ ที่ผ่านมาเราทำงานนั่นนี่สารพัดเพื่อการปลดหนี้ให้หมด จนตอนนี้บ้านที่ซื้อก็ผ่อนหมดแล้ว รถก็ผ่อนหมดแล้ว และมีเงินทองเก็บอีกนิดหน่อยพอที่จะเอาตัวรอดได้ แถมยังวางแผนการหาเงินของตัวเองไว้พอสมควร ไม่ได้ถึงกับลงมือศึกษาหรือโดดไปเล่นหุ้น(มันไม่ชิว) แต่ก็ไม่ได้ผยองหรือประมาทในการใช้ชีวิตบนโลกของทุนนิยมนี่นา ดังนั้นการมีเงินเดือนเท่าเด็กจบใหม่แบบนี้ ก็น่าจะเลี้ยงลูกเมียได้นะ 55555

ป.ฮ.
ว่าจะวาดภาพประกอบ แต่ตอนที่ผ่านๆ มาก็วาดแบบตีนปาด(เพราะขี้เกียจ) … อายว่ะ ไม่วาดดีกว่า

เติมพลังเต็มถังเลยน้อง

ดึกแล้ว
แต่รู้สึกว่าต้องระบายอะไรออกมาหน่อย

เคยรู้สึกทำนองนี้กันไหมครับ ตอนนี้ผมกำลังเป็นอยู่เลย คืออยู่ดีๆ พลังงานชีวิตมันก็มา มาแล้วก็อยากริเริ่มอะไรจริงจังให้สมกับที่ “ว่าจะ” ทำนั่นนี่ตลอดมา แต่ก็ติดข้ออ้างเรื่องเวลามาตลอดเช่นกัน

ตอนนี้เรื่องลดน้ำหนักเราทำได้เป็นที่น่าพอใจ
ก็เป็นประกายไฟแวบแรกให้รู้สึกว่าไอ้ที่เราอ้างอยู่เสมอว่าช่างไม่มีเวลาว่างแบบคุณภาพๆ เอาซะเลยนั้นมันปัญญาอ่อนมาก

โปรเจกต์ล้านแปดในสมอง ถ้าไม่ได้เริ่มลงมือทำ มึงก็แค่ไอ้ขี้โม้

โอเค พรุ่งนี้จะเริ่มละ!!
บริหารเวลาด้วยการใส่อุปสรรคลงไปในเวลาที่ไม่ค่อยจะมีนั่นแหละ ดูซิว่าพอมีเป้าหมายแล้วมันจะช่วยทำให้เวลาฟุ้งๆ ที่ว่า มันตกตะกอนลงได้ไหม

ถึงพวกเขาจะไม่รู้ตัว แต่ก็ขอขอบคุณจักรี ขอบคุณพี่หนุ่ม ขอบคุณแชมป์ เอม หนุงหนิง และอี บ.ก.แบงค์มากๆ เลยครับ

ป.ล. เขียนบล็อกตอนนี้ในมือถือ แอปเวิร์ดเพรสก็เข้าท่านะ

ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง

มีโจทย์ที่ตั้งไว้กับตัวเองเล่นๆ อยู่อย่างนึงว่า ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี้ ผมไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ หรือโดนวิถีแห่งคนกรุงกลืนกินเกินไปนัก ถึงมันจะดิ้นออกจากวิถีนี้ยากสักหน่อย (ใครมีเมียมีลูก ผ่อนบ้าน และไม่ได้มีตังค์เยอะๆ ที่หล่นมาจากพ่อแม่ฟรีๆ ก็จะเจออะไรคล้ายๆ กันนี้แหละ ใครที่รอดไปได้ก็น่านับถือครับ) แต่ก็จะพยายามหาขนูกขนมมาเติมให้ชีวิตมันมีอะไรกรุบกริบแก้อาการชีวิตวนลูปซ้ำซากให้ได้

การเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำลายสมรรถนะในการดำรงชีพของคนที่ต้องหากินอยู่เมืองกรุงซะส่วนใหญ่ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนมันยังไม่ทั่วถึง ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลเทพขนาดไหนก็เหอะ

โดยเฉพาะผมแล้ว ตอนสมัครเข้าทำงานที่บริษัทนี้ พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรที่กังวลบ้าง ผมก็นึกออกอยู่แค่เรื่องการที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้นไปทำงาน (เป็นคนตีนเหม็น ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็จะพยายามใส่รองเท้าแตะให้ได้ตลอดชีวิต) กับเรื่องการเดินทาง ว่าไม่แฮปปี้ที่จะต้องเดินทางนานๆ ซ้ำๆ กันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้อยากทำงานอยู่ที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายๆ วันละ 3-5 ชั่วโมง แบบที่อีพวกสแปมห่าเดนในเฟซบุ๊กมันทำกันด้วยซ้ำ .. ก็บริษัทเรามันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี่นา งี้ก็ทำเป็น Virtual Office เลียนแบบไทเกอร์เขาดีกว่าเนอะๆๆ … แต่ข้อเสนอหลังนี้โดนปัดตกไปทันที เพราะว่าเรายังไม่เปรี้ยวเท่าบริษัทที่พาดพิงตะกี้ครับ

โอเค ช่างมัน อย่างน้อยก็ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะได้ ชีวิตคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก

ทีนี้ก็มาดูปัญหาที่เหลือ.. เรื่องการเดินทาง แต่ละวันการเดินทางจากลาดปลาเค้าถึงเพลินจิต (ซึ่งซับซ้อนเหมือนกัน และไม่มีทางสัญจรด้วยรถต่อเดียวได้แน่ๆ) ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันทุกวัน เพราะกลัวไอ้อาการหุ่นยนต์ที่ว่าไว้ข้างบนน่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะหาวิธีทดลองการเดินทางไม่ให้ซ้ำกับวันก่อนหน้าให้ได้ ดังนั้นบางวันก็ขึ้นกระป๊อ บ้างก็รถเมล์สายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนป้ายรอบ้าง เปลี่ยนป้ายลงบ้าง นั่งพี่วินบ้าง แท็กซี่บ้าง (ไม่ชอบบรรยากาศอับๆ เงียบๆ ในแท็กซี่เลยไม่ค่อยได้ขึ้น) บางทีก็ให้เมียไปส่งไม่ไกลจากบ้านแล้วต่อรถตู้ (พอมีลูกก็เลิกวิธีนี้ไป) บางทีก็ลงเดินที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วเดินต่อเอาบ้าง แวะซื้อผลไม้ หรือบางทีไปแวะหอเพื่อนยืมการ์ตูนมาอ่านก่อนไปทำงานก็ยังดี ฯลฯ

คือเส้นทางมันก็อีทางเดิมนี่แหละครับ แต่ขอบิด พลิกแพลงนิดนึงให้มันมีบรรยากาศบ้าง ได้มองข้างทางสักนิดให้ชีวิตมันมีอะไรไม่วนลูปหน่อย ดูลมๆ แล้งๆ แต่ก็นะ เราอยู่บนข้อจำกัดที่มันสนุกได้ไม่มาก

ทีนี้พอซื้อรถเครื่อง (ฟีโน่) มาได้สักพัก ทีแรกกะจะขี่แถวหมู่บ้าน ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วขี่กลับแค่นี้ แต่พอไปสอบใบขับขี่ผ่านปั๊บ ป้ายทะเบียนอะไรก็ได้มาแล้ว บัดนี้องค์ประกอบชีวิตของผมเหมาะกับการหัดออกเดินทางไปทำงานด้วยรถเครื่องเสียที ตัวแปรในการเดินทางก็เปลี่ยนไป Continue reading ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง