นักการตลาดกับนักสร้างสรรค์

“นักสร้างสรรค์” คือผู้ประดิษฐ์ แต่งเติม เสริมคุณค่าและรสนิยมให้กับสิ่งหนึ่งๆ
ส่วน “นักการตลาด” คือคนที่สร้างราคาให้กับสิ่งนั้น

เราจะเห็นของบางอย่างที่ดูมีน่าซื้อน่าใช้ น่าดูน่าฟังเสียเหลือเกิน ทั้งที่ไม่เห็นจะมีอะไร
อะนนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับนักการตลาด

ในขณะที่ของบางอย่างเรารู้ถึงคุณค่าและความเจ๋งของมัน โดยไม่จำเป็นต้องมีใครอวยมาก่อน
นั่นแหละเป็นผลงานของนักสร้างสรรค์

และในขณะที่ของบางอย่าง เราโดนบิ๊วว่ามันเจ๋ง และพอได้สัมผัสกับมันจริงๆ แม่งก็ยิ่งเจ๋ง
อันนี้ใครผลิตสินค้าหรือบริการได้ขนาดนี้ นับว่าเป็นอุดมคติจริงๆ

ซึ่งที่จริงทั้งนักการตลาดกับนักสร้างสรรค์จะเป็นคนคนเดียวกันก็ได้
หรือถ้าต้องทำงานร่วมกัน จะไม่ตีกันก็ได้ เมื่อรู้จักปรับสมดุลให้มันพอดีๆ
และไม่ก้าวล้ำเข้าไปในพรมแดนของอีกฝ่ายที่ตนไม่รู้เท่า แต่เสือกทำเป็นรู้

2554: หยุดยืนดูเงาตัวเอง

ตามกระแส ไหนๆ จะหมดปีก็ขอเก็บตกไว้หน่อยนึงละกัน
ข้อความต่อไปนี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในรอบปีเหมือนใครๆ
แต่กะจะเขียนเท่าที่นึกออก ว่าจนถึงบัดนี้ เราเดินผ่านอะไรมาบ้าง..

ปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจจะปลดอะไรหลายๆ อย่างที่คิดว่าฟุ่มเฟือยออกจากตัวเอง
ไอ้คำว่าฟุ่มเฟือยนี่คืออัตตาภายในทั้งหลายแหล่ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ในแต่ละปีที่ผ่านไปมันจะเยอะขึ้น เยอะขึ้น พอกหนาเรื่อยๆ เหมือนไขมันที่ชั้นพุง
จนรู้สึกว่า “ชีวิตกูชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน” ..แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเขียนบล็อก
ก็ยังอุตส่าห์นึกห่วงว่าเขียนแต่ละครั้งนี่จะมีคนอ่านไหม หรือโชว์โง่ไปแล้วกูจะไม่หล่อไหม
และสุดท้าย วันนึงก็ลุกขึ้นมาหักดิบแม่งเลย เขียนให้ตัวเองอ่านไง แบบตอนนี้ สบายกว่าเยอะ
ชาวบ้านเขาทำได้กันมาตั้งนานแล้ว แล้วที่ผ่านมากูมัวไปหลงอยู่แยกไหนก็ไม่รู้ ควายจริง

งาน

คือสิ้นปี 2553 ผมลาออกจากอาร์เอสเพื่อจะได้มามีชีวิตของตัวเอง

กะว่าเกษียณตัวเองจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วว่างั้น และวไอ้โปรเจกต์ที่ฝันไว้อยากทำนั่นนี่ก็จะได้เริ่มซะที
แต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ได้เริ่ม เพราะพี่เม่น @iMenn ที่เคารพรักก็มาชวนทำอะไรกันสนุกๆ (อ่านแล้วเกย์มาก)
นั่นคือไปเริ่มบริษัทสามย่านด้วยกัน (ขออวดหน้าสวัสดีปีใหม่จากสามย่านที่เพิ่งช่วยกันทำเสร็จไปไม่นาน)

การได้โดดเข้ามาเริ่มชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง แม้ต้องแลกกับเวลาส่วนตัวที่หายไป
แต่ก็ได้ประสบการณ์เยอะมากๆ มาแทน อันนี้ไม่เคยรู้สึกเสียดายเลย ตราบใดที่ยังสนุกและรักษาระดับความชิวไว้ได้
ผมก็ยินดีเสมอนะ

อืม.. ใช่ๆ พอพิมพ์ก็นึกได้ว่านโยบายชีวิตของตัวเองคือ กูรักความชิว
เป็นมนุษย์ที่เกลียดการทำอะไรซ้ำๆ อย่างการเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน กลับมาบ้านเหลือเวลาสองชั่วโมง
สองชั่วโมงเท่านั้นต่อวันที่จะได้คุยกับเมียก่อนที่จะแยกไปปนอน ผมก็นั่งอัปเดตเฟลอีกเกือบๆ ชั่วโมงก็นอนบ้าง
นี่ถ้าเว็บเฟลมันไม่ใช่เว็บตลกปัญญาอ่อนนะ ป่านนี้คงเลิกทำไปแล้วเหมือนกัน ที่ยังสนุกกับมันก็เพราะแม่งเพลินดี
และถึงจะมีรายได้จากมันเดือนละนิดหน่อยก็ยังไม่ถือว่าเป็นงาน

เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ชอบวัฒนธรรมเวลาแนะนำตัว จะต้องแบกรับภาระเป็นชื่อตำแหน่งและอาชีพเสมอๆ เช่น
“สวัสดีครับ ชื่อแอนครับ ตอนนี้ทำงานเป็นสะแตร๊ดทิจิกแพลนเนอร์อยู่สามย่านดิจิทัลเอเจนซี่ ฯลฯ”
หูย แห้งแล้งมากอะ ทำไมไม่แบบชินจังบ้าง “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน ชอบกินพริกหยวกครับ” อะไรงี้
ดูเป็นมนุษย์กว่ากันเยอะ เนอะๆ

แต่ทั้งนี้ถ้ามองจากมุมมองของบริษัท การที่พนักงานไม่อินกับความเป็นมนุษย์เงินเดือนคงไม่ดีเท่าไหร่
ซึ่งเป็นบุญหัวของผมจริงๆ ที่ได้ทำกะบริษัทขนาดเล็กและยืดหยุ่นขนาดนี้ หยุ่นพอที่จะบอกว่า “เรื่องของมึง”

เงิน

สมัยเรียนมาลัย ผมแบมือขอเงินแม่เดือนละประมาณ 4000 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว เช่นค่าหอ 2800 บาท)
จะเห็นว่ามันไม่พอ โดยเฉพาะการเรียนคณะผมที่จำเป็นต้องใช้เงินเปลืองมากเวลาต่อโมเดลบ้าบอแต่ละที
ไม่ใช่ว่าที่บ้านฝึกให้เอาตัวรอดอะไรหรอก แต่บ้านผมไม่รวยครับ

ขอบคุณความจน ที่ทำให้ผมต้องดิ้นรนทำงานตั้งแต่สมัยเรียน หารายได้จากงานรับจ้างออกแบบนั่นนี่
และมันค่อยๆ สร้างชีวิตในทุกวันนี้ขึ้นมา ชีวิตที่พอมีเงินสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ลืมว่าตอนกรอบสุดๆ มันเป็นยังไง
รู้แต่ว่าไม่มีทางลืมตัวแน่ๆ และไม่มีทางเป็นแบบที่เป็นภาพจำของคนที่พยายามจะเหมารวมสลิ่มทั้งปวงแน่ๆ

ถึงปัจจุบันผมมีตังค์พอจะซื้อโทรศัพท์แพงๆ มาใช้เป็นของเล่นได้แล้ว
แต่ตั้งแต่มีเมียเป็นต้นมา ผมก็ปิดโหมดรับรู้เรื่องรายได้ไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้มีตังค์เท่าไหร่ยังไม่รู้เลย
รู้แต่ว่าส่งให้เมียหมด และตัวเองก็คอยบันทึกรายจ่ายลงในตารางครอบครัวแบบนี้เสมอมา
อย่างน้อยไอ้ความที่เคยขัดสนมาก่อน ก็ทำให้ระเบียบวินัยในการใช้เงินของตัวเองนั้นเข้มแข็งจนน่าพอใจ

ถึงจะไม่รู้รายได้ แต่ก็พอรู้ว่าตอนนี้ชีวิตมันเริ่มลงตัวแล้ว เพราะผ่านการวางแผนมายาวนาน
อย่างน้อยปีสองปีนี้พอมีตังค์ ก็ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวดอกผลที่ได้ลงทุนลงแรงไปเยอะตั้งแต่สมัยเรียนเลยละกัน

อาชีพหลัก: พนักงานบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ (พื้นที่โฆษณา: จ้างทำเว็บหรืออะไรก็ได้ออนไลน์นะครับ)
อาชีพรอง: หนักงานร้านสกรีนเสื้อยืดออนไลน์ (พื้นที่โฆษณา: รับสกรีนเสื้อยืดขั้นต่ำ 1 ตัว ขั้นสูง 1 ล้านตัวครับ)
นอกนั้นก็มีงานอื่นๆ ประปราย เป็นวิทยากรบ้าง (ไม่ค่อยชอบ มันต้องเก๊ก) รับจ้างทำเว็บบ้าง วาดการ์ตูนบ้าง ฯลฯ

ความหวัง

ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวก่อนนะ เรื่องครอบครัวเดี๋ยวตามมาในหัวข้อสุดท้าย..
ในปีที่ผ่านมาผมตั้งใจจะทำงานอดิเรกอย่างหนึ่ง คือ “ทำฟอนต์” อย่างที่เคยทำเมื่อสามสี่ปีก่อนแล้วหยุดไปเลย
คือตั้งแต่เว็บฟอนต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อครั้งกระโน้น มีใครต่อใครมาสัมภาษณ์ ผมจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ที่ผู้สัมภาษณ์เยินยอซะเวอร์ (ไม่ชอบหรอกแต่จะเถียงสวนกลับไปก็ใช่ที่) ว่าใจดียังงู้น พ่อบร๊ะยังงี้
คือกูจะบอกว่าไอ้ที่ทำมาแจกฟรีทั้งหลายเนี่ย กูใช้โปรแกรมเถื่อนว่ะ จนเจ้าของโปรแกรมเขาจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่อยู่ละ
ยิ่งในช่วงนั้นเว็บดังเท่าไหร่ มีฟอนต์มือสมัครเล่นงอกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับมีคนใช้โปรแกรมเถื่อนนี้มากขึ้นเท่านั้น

ผมละอาย เลยตั้งข้อแม้ไว้กับตัวเองว่าจะหยุดทำฟอนต์ใหม่ไปจนกว่าจะได้ซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมเขามาทำให้ได้
ทีนี้ก็ติดขัดนิดหน่อยตรงที่ตัวบริษัทเองก็มีคนทำงานน้อยเหลือเกิน โปรแกรมมันเลยตกรุ่นไปนานมากๆๆๆ
ทวีตไปถาม เมลไปถามหลายทีว่าเมื่อไหร่จะมีเวอร์ชันใหม่ที่คลอดออกมาและรองรับกับระบบสารพัดใหม่ๆ
ก็บอกว่า “ปลายปีนี้” มาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2553) จนปี 2554 ก็บอกว่า Late This Year นะ
และทวีตไปถามล่าสุดเมื่อสักเดืนที่แล้ว ก็บอกว่า In a few months .. โอเค รอต่อไป อยากทำจริงๆ นะเนี่ย

ไม่รู้อันนี้อยู่ในหมวด “ความหวัง” ได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าเป็นความฝันเนิร์ดๆ ของผมเอง
ที่อยากทำให้งานอดิเรกชิ้นนี้มันมีส่วนช่วยสร้างสังคมที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ .. ดูเพ้อฝันเนอะ

อนาคต

ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ เมียผมนอนหลับอยู่ข้างๆ .. คนท้องต้องนอนบ่อย จริงหรือเปล่าไม่รู้ หรือเมียผมขี้เกียจก็ไม่รู้
แต่อีกเพียงสามเดือนนิดๆ ผมก็จะได้พบหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ของชีวิต ตรงที่ตัวเองจะกลายเป็นพ่อคน
ทุกวันนี้เวลานอนหลับผมจะเอามือไปจับไว้ตรงพุง เผื่อลูกสาวจะดิ้นให้สัมผัสได้
และก็ไม่เคยผิดหวัง เพราะนังเด็กคนนี้มันชอบดิ้นตอนกลางคืน จนเราเรียกโค้ดเนมกันเล่นๆ ว่า “น้องจ๊ะ”

ดูผ่านๆ อาจจะเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าสเต็ปการใช้ชีวิตในโลกของผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบนี้ๆ
แต่ที่จริงแล้วมันถูกวางแผนไว้พอสมควร ไม่ถึงกับเคร่ง แต่ก็ไม่ได้หย่อน
หลายอย่างทำไม่ได้ (เช่นเรื่องนอนห้าตื่นหกแมน ผมยังทำไม่ได้เพราะว่าถ้านอนเร็วแล้วกรดมันจะไหลย้อน)
แต่หลายอย่างก็ทำได้ บางอย่างเหนือความคาดหมายเสียด้วยซ้ำ (เช่นอยู่ดีๆ มารู้จักเพื่อนบ้านเพราะน้ำท่วม)

ปี 2554 เป็นปีสุดท้ายในชีวิตช่วงทศวรรษที่ 3 ของผม (หมายถึงช่วงอายุ 20-29 น่ะ)
พอโดดขึ้นเดือนกุมภา​ 2555 ผมก็จะอายุครบ 30 ปี (เมียตูแก่กว่าปีนึง) ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 อย่างงดงาม
ถึงจะไม่ได้อะไรกับวันเกิดหรือช่วงอายุ แต่ความสนุกมันอยู่ที่เรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังรออยู่ข้างหน้าเป็นอะไร

บางทีชาวไซย่าอาจจะบุกโลกลงมาจริงๆ ก็ได้

สัมภาษณ์โชเฟอร์รถตู้อนุสาวรีย์-ฟิวเจอร์

ตะกี้ผู้โดยสารคนอื่นลงหมดก่อนตั้งแต่ป้ายหมอชิต ผมเลยได้มีโอกาสคุยกับพี่โชเฟอร์มาตลอดทางครับ
ถึงแกจะแก่กว่าผมเป็นสิบปี แต่สรรพนามที่คุยกันต่างก็เรียกอีกฝ่ายว่า “พี่”
พี่ของผมคือเรียกตามวัยวุฒิจริงๆ แต่พี่ของแกนั้นบ่งบอกถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองแบกรับอยู่

ผมลิสต์เป็นก้อนๆ ไปเท่าที่นึกออกละกันนะครับ

  • ปกติรายได้ของรถตู้ที่วิ่งอยู่ทุกวัน ถ้าเป็นระดับที่โอเค จะอยู่ที่ประมาณวันละสองพันบาท
  • แต่บางครั้งถ้ารถติดมากๆ หรือต้องแวะเติมแก๊ส (ต่อคิวยาวโคตร) ได้วันละพันห้า-พันหกก็โอเค อยู่ได้แล้ว
  • สิ่งที่แกเกลียดคือรถติด มันทำให้สุขภาพใจเสีย พาลให้ปวดขา เมื่อยหลัง เมื่อยตัวไปด้วยกว่าจะถึงบ้าน
  • ปีใหม่ปีนี้เงียบเหงามาก
  • ในกรุงเทพฯ ปีที่ผ่านๆ มา ช่วงเวลาแบบนี้จะมีแสงสีบรรยากาศรื่นเริงครื้นเครง แต่ปีนี้นี่ผิดไปจากทุกปี
  • ปกติแล้วพอใกล้ๆ สิ้นปีอย่างช่วงอาทิตย์นี้หรืออาทิตย์ก่อน จะมีการ “ล็อกคิว” จองตัวจากวินรถตู้ต่างจังหวัด อย่างของพี่แกคือเพื่อนๆ ที่อยู่วินนครสวรรค์จะโทรมาล็อกตัวไว้ละ ไม่ให้ไปไหนนะ เพราะรถไม่พอ ต้องขอเบิกตัวช่วยเป็นคิวรถกรุงเทพฯ นี่แหละ แล้วก็นัดกันเรียบร้อยแฮปปี้
  • แต่ปีนี้กลับไม่มี (แกพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายมากๆ)
  • ดังนั้นช่วงสิ้นปี-ปีใหม่เนี่ย เป็นช่วงทำกำไรของคนขับรถตู้เลยครับ
  • การวิ่งคิวนครสวรรค์เที่ยวนึงไปกลับ จะได้ประมาณสามพันบาท ที่จริงก็พอๆ กับวิ่งในกรุงเทพฯ แต่ในมุมมองของแก มันเหนื่อยและใช้สมาธิมากกว่า
  • ในวงการนี้ มีหลายคนยอมอดหลับอดนอนเพื่อขับรถส่งผู้โดยสาร บางคนสองวันสองคืนก็มี!
  • โดยเฉพาะกรณีที่เกิดกับเพื่อนแกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง เพื่อนรับจ็อบส่งแรงงานพม่าข้ามไปแม่สอด ปรากฏว่าวิ่งทั้งวันทั้งคืนจนหลับใน ปีนเกาะกลางถนนไปชนคนที่ยืนอยู่บนทางเท้าตายไปสอง ส่วนผู้โดยสารพม่าในรถตู้ก็บาดเจ็บกันระนาว
  • (ผมบอกว่าบ้านผมอยู่เพชรบุรี) เพชรบุรีเดินทางสะดวก คิวรถมีให้เลือกเยอะ ไม่ต้องไปไหนไกลเลย แค่ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ก็เพียบแล้ว แต่ระหว่างทางก็มีรถเยอะมากไปด้วยเพราะมันเป็นขาลงใต้ เวลาเดินทางต้องระวังอุบัติเหตุหน่อย
  • ถ้าให้เลือก แกยอมทนรถติดในกรุงเทพฯ มากกว่า
  • ค่าโดยสารตลอดสายยี่สิบบาท

ผมลงจากรถที่ป้ายปากซอยพหลโยธินแปด ขอบคุณพี่แก แกก็ขอบคุณพี่(เรา)
แล้วเราก็ต่างโคจรออกจากกัน

HLP Hackathon: ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมาโค้ด

ไม่ใช่แค่สามวัน..
ไม่ใช่แค่หนึ่งอาทิตย์ หรือสอง หรือสามอาทิตย์
แต่นี่ล่อไปเดือนกว่าๆ หลังจากจบงานหัวลำโพงแหกกระท้อน ข้าพเจ้าถึงเพิ่งมาเขียนถึงมัน
มองยังไงก็ไม่มีแง่ดีให้เห็น เว้นแต่ว่านี่คือการประกาศว่าเฮ้ย เราไม่ต้องรีบเสพข้อมูลกันนักก็ได้!
แต่นั่นมันก็แค่ข้ออ้างล่ะนะ :39:

อ้ะเข้าเรื่อง

ขอเกริ่นก่อนนะครับ
คือผมเพิ่งมานึกได้ว่าตัวเองแทบไม่เคยเขียนบล็อกเรื่อง “หน้าที่การงาน” เลย
จนบางทีใครผ่านเข้ามาอ่านต้องคิดว่าไอ้นี่มันเลี้ยงปากท้องด้วยการเปิดเว็บตลกหากินแน่ๆ
จริงๆ แล้วตอนนี้ผมกลับมาทำงานบริษัทอีกครั้งเพราะโดนพี่เม่นหลอกให้มาอยู่ที่สามย่านครับ

“สามย่าน” เป็นบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่น้องใหม่เอี่ยม ที่ไม่ได้มีออฟฟิศอยู่ที่สามย่านนะ
(โดนถามประจำจนเกือบเตรียมป้ายคำตอบสำเร็จรูปเก็บไว้ในกระเป๋าตังค์ละ – ตูไม่ได้อยู่ที่สามย่านโว้ย!)
เช่นเดียวกับ “หัวลำโพง” (ซึ่งก็ไม่ได้อยู่หัวลำโพงเช่นกัน) ที่เป็นบริษัททำอะไรก็ได้ให้ไปโผล่ในมือถือ
สองเจ้านี้นอกจากจะลงรถใต้ดินอยู่สถานีใกล้กันแล้ว ยังเป็นดั่งเครือญาติกันกลายๆ อีกด้วย

แล้ววันหนึ่งหัวลำโพงกับสามย่านก็ร่วมมือกันจัดงานนี้ขึ้นมาครับ

แถ่แน้มมมม~♫

อธิบายโดยสังเขป:

สำหรับใครที่เคยดูหนังต้นกำเนิดศาสดาซักกะเบิก – The Social Network
มันคือฉากที่ Facebook รับสมัครคนเข้าทำงานด้วยการแข่ง “โค้ดแบตเทิล” กัน (กดดูก่อนจะได้เก็ต)
โดยไม่ให้แข่งแบบสบายๆ นะ เพราะอีโปรแกรมเมอร์ที่มาแข่งทุกคน ต้องโดนกรอกน้ำเมาไม่อั้น
ความท้าทายมันอยู่ที่เหล่าผู้แข่งขันเนี่ย นอกจากจะมึนกับโค้ดแล้ว ยังต้องโดนอุปสรรคอย่างอื่นขัดขวางอีก
บรรยากาศการแข่งจันจึงไม่ใช่แค่มาแข่ง / ตัดสิน / ประกาศผล / จบ แล้วกลับบ้านไปแบบสาระเต็มเปี่ยม
แต่ต้องเป็นการ “ดวลวิชา เขียนโปรแกรมกันสดๆ และต้องสนุกโคตรๆ” โอว.. ท้าทายยิ่งนัก
ซึ่ง@nuuneoi และหัวลำโพงก็ถูกจริตกับอะไรแบบนี้เข้าอย่างจัง
จึงดำริว่า อยากจัดอะไรแบบนี้มั่งในประเทศไทย!

ก็เลยออกมาเป็นงาน Hua Lampong Hackathon ครั้งแรกในโลกครับ!
(เว้นแต่จะมีสักประเทศที่เผอิญมีเมืองหัวลำโพงและจัดงาน Hackathon ตัดหน้าไปแล้ว)

ดูคลิปกันก่อน อันนี้ทำโดย @vbanku มือกราฟิกและตัดต่อของสามย่านจ้ะ

เมื่อหัวลำโพงเป็นเจ้าภาพหลัก ที่คิดเรื่องโจทย์สารพัดในฝั่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีวันรู้เรื่อง
และทีมสามย่านก็โดดมาทำให้งานนี้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง (และให้มนุษย์เข้าใจ) ครับ

แต่เนื่องจากงานนี้มันผ่านไปตั้งสองอาทิตย์แล้ว จะเขียนรายละเอียดก็ลืม 555
ก็เลยขอสรุปให้อ่านเป็นหัวข้อๆ ละกันนะครับ เผื่อใครอยากจะจัดบ้าง เราก็ยินดีช่วยเหลือครับ

Hackathon

เตรียมงาน

  • ต้องบอกก่อนว่าทั้งทีมสามย่านและหัวลำโพงต่างก็มีงานประจำที่ยุ่งกันทั้งคู่
    ดังนั้นงานนี้ถ้าเทียบกับกูเกิล จึงน่าจะเรียกได้ว่าเป็นการใช้เวลาว่าง 20% ของพนักงาน
  • อ้อ แต่ความว่างของพนักงานของทั้งคู่เกือบเป็น 0% ครับ
  • ทางหัวลำโพงที่เป็นแม่งาน วางกรอบกติกา รวมถึงเตรียมการด้านเทคนิคต่างๆ
    ตั้งแต่คอนเซปต์ โจทย์ กติกา และระบบที่ใช้รองรับการแข่งขัน
  • ส่วนทีมสามย่านก็เตรียมการในด้านอีเวนต์ทั้งหมด ทั้งเรื่องการจัดงาน ประสานงาน ฯลฯ
  • ติดต่อสถานที่ ขอขอบคุณ CS Loxinfo ที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดีครับ
  • คิดกิจกรรม รูปแบบงาน กติกา รางวัล บรรยากาศ-โทนงาน และอาร์ตไดเรกชัน-กราฟิกที่ใช้
    (ตอนเสนอโทนสิบล้อๆ ไปนี่ เสียวมาก กลัวท่านจะไม่ให้ผ่าน แต่ก็ผ่าน กร๊าก :30:)

Hackathon

การแข่งขันรอบคัดเลือก

  • การแข่งขั้นตั้งใจจะให้วันจริงมีคนไปประลองกันประมาณ 20 คน
    ดังนั้นจะต้องมีการคัดกรองฝีมือกันก่อนในรอบคัดเลือก ก็เปิดให้แข่งกันแบบออนไลน์ซะเลย
  • การแข่งขันมีขึ้นในเวลาสามทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่โปรแกรมเมอร์ตาสว่าง :30:
  • แจกโจทย์กันบนเว็บ เริ่มทำพร้อมกันและปิดรับคำตอบตอนเที่ยงคืนเป๊ะ รวม 3 ชั่วโมงพอดี
  • ทีแรกกะว่ารอบคัดเลือกนี้เอา 2 รอบละกัน แต่ปรากฏว่าโจทย์ยากไปจนมีเสียงครวญมาจากผู้ท้าชิง
    ดังนั้นทางทีมงานจึงเพิ่มรอบให้อีก 1 รอบ จึงได้ผู้ผ่านเข้ารอบชิงทั้งหมด 14 ทีมพอดี
  • 14 ทีมที่ว่านี่ บางทีมมีคนเดียว บ้างก็มี 2 คนตามกติกา แต่รวมแล้วได้ 19 ชีวิต (จาก 300 กว่าผู้ท้าชิง)

Hackathon

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ

  • การแข่งขันมีขึ้นตั้งแต่เที่ยงครึ่งของวันที่ 23 กรกฎาคม 2554 ที่ CS Loxinfo อาคารไซเบอร์เวิลด์ รัชดา
  • ผู้เข้าแข่งขันมากันพร้อม ผู้ชมเอยทีมงานเอยก็นับได้เป็นร้อยๆ ชีวิต พอดิบพอดีกับขนาดของสถานที่จัด
  • มีวงดนตรีที่ติดต่อผูกปิ่นโตไว้คือ iHear เจ้าเก่า มากันครบวง!
  • ถ่ายทอดสดกันแบบออนไลน์โดยทีมงาน FukDuk เจ้าเก่าอีกเช่นกัน ..นี่มันดรีมทีมแล้วนะเนี่ย
  • จริงๆ ก่อนวันงานผมตั้งใจว่าจะถ่ายทอดสดส่วนตัว ด้วยการเปิด Hangouts อีกวงไว้เหมือนกัน
    แล้วก็ให้ผู้แข่งขันหรือผู้ชมในงานมาร่วมพูดคุยกับผู้ชมทางบ้าน หรือจะเปิดวงเองก็ว่าไป
    เพราะการถ่ายทอดสดเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเรื่องง่ายแสนง่ายที่ทุกคนสามารถทำได้เองกันแล้ว
    แต่พอเอาเข้าจริงๆ ดันยุ่งจนลืมครับ ไม่งั้นคงเอามาอวดได้แล้วว่าทำไอ้แบบนี้คนแรกเลยนะ 555

Hackathon

กติกาการประลอง

  • ชี้แจงกติกากันก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วให้เริ่มทำสามชั่วโมง แต่ถ้าไม่เสร็จก็ขยายให้อีกชั่วโมง
  • กติกาคือทุกทีมจะมีแผ่น QR Code ว่างๆ ไว้ การพิชิตโจทย์ได้แต่ละข้อ จะได้คำตอบออกมาเป็นบิต
    แล้วเอามา “ฝน” ใส่แผ่น QR ที่แจกให้ .. อ้อ ต้องฝนในคูหาที่จัดเตรียมไว้ให้ด้วยนะครับ
  • ใครที่ฝนเสร็จแล้วจะมี QR MAN คอยยิงกล้องมือถือส่องตรงหน้าคูหา
    ถ้าเกิดโค้ดติดออกมาเป็นรหัสผ่านปั๊บ ก็เตรียมเฮได้เลย แล้วเอารหัสผ่านนั้นไปไขกุญแจสุดท้าย
  • ตอนนี้ในเว็บของงานมีแจกโจทย์ให้เอาไปทำเล่นพร้อมกติกาละเอียดด้วยครับ กดโหลดโลด
  • และหน้านี้คือกุญแจที่ว่าไว้ด้านบน สังเกตว่ามีการเนียนโฆษณาเว็บบางแห่งด้วยหละ ฮิฮิฮิฮิฮิหุฮิหุ
  • ถ้านับกันแค่กติกาตรงนี้ ความสนุกและท้าทายมันก็ทะลักอยู่แล้ว
    แต่สำหรับ HLP Hackathon.. เก่งอย่างเดียวไม่พอครับ ต้องดวงดีด้วย
    เพราะ QR Code เป็นรหัสที่สามารถอ่าอนุโลมให้ผิดพลาดได้ประมาณ 20-30%
    นั่นแสดงว่า แม้จะตอบคำถามไม่หมดทุกข้อ แต่บางข้อที่ตอบได้ดันไปลงล็อกพอดีก็ลัคกี้แมน

Hackathon

เท่านั้นยังไม่พอ

  • ไอ้ที่ว่ามาทั้งหมดข้างบนคือกติกาแบบใสสะอาดครับ
    แต่ก็นะ เราคงไม่ยอมให้การแข่งขันเป็นไปด้วยความมาคุแน่ๆ ก็เลยเตรียมพิธีกรรมป่าเถื่อนไว้จำนวนมาก
    (ตรงไหนที่ทำลิงก์ไว้ก็คือมีภาพประกอบนะครับ คลิกไปดูเพื่อเพิ่มอรรถรสได้)
  • อ่านถึงตรงนี้แล้วอยากให้นึกหน้าทีมงานตอนนั่งปวดกบาลว่า แล้วตูจะคิดวิธีแกล้งยังไงดีวะ
    เพื่อไม่ให้โปรแกรมเมอร์รู้สึกว่า “มึงจะอะไรของมึงวะ กูมาแข่งเขียนโปรแกรมนะเว้ย”
    (คือเรามีภาพเหมารวมของโปรแกรมเมอร์ไทยไว้ว่าต้องค่อนข้างเก็บตัวและไม่ค่อยฮาไงครับ)
  • ดังนั้นวิธีการแกล้งก็คือเราจะมีนาฬิกาปลุกเชยๆ หนึ่งเรือน เอาไว้เตือนทุกๆ 15 นาที
  • พอถึงนาทีที่ 15 ปั๊บ นาฬิกาปลุกดัง ทุกอย่างต้องหยุด! ผู้แข่งขันทุกคนต้องปล่อยมือ
    และปฏิบัติตามธรรมเนียมหนึ่งข้อ นั่นคือ ..หมดแก้ว (มีพริตตี้คอยรินเครื่องดื่มตลอดงานครับ)
  • ส่วนน้องๆ ที่อายุไม่ถึง 20 ขวบก็ไม่เป็นไร เราไม่บังคับฝืนใจแต่ก็อยากให้มึน
    น้องๆ จึงต้องปั่นจิ้งหรีด 10 รอบ แล้วค่อยนั่งเก้าอี้และแข่งต่อได้
  • คิดดูละกันว่าระยะเวลาแข่งขัน 3-4 ชั่วโมงเนี่ย มีพักยกทุกๆ 15 นาที มันจะมึนแค่ไหน!
    หลังๆ พอดูอาการผู้แข่งบางท่านบางทีมแล้วเราเลยงัดลูกเล่นอื่นๆ ที่ซ่อนไว้มาเล่นกัน
    เช่น หลอกใส่น้ำเปล่าบ้าง หรือให้เต้น MK พร้อมๆ กันบ้าง (ภาพออกมาดูทุเร้ศทุเรศครับ)
    หรือให้ล้วงใต้โต๊ะแล้วมีเครื่องหมายเป่ายิ้งฉุบอยู่ ก็เอามาเป่ากะคนตรงข้าม ใครซวยดื่ม
    หรือแม้กระทั่งให้ “เยล” วง iHear ที่อุตส่าห์มาร่วมป่วนกับเราก็มี (ดูคลิปแล้วจะเข้าใจ)
  • แล้วก็มีการจับฉลาก “วิธีการแกล้ง” อีก ซึ่งเป็นคนละลูปกับไอ้ 15 นาทีที่ว่ามาตะกี้นะครับ
    โดยเราเตรียมฉลากวิธีการแกล้งไว้สารพัด ทั้งแบบหนัก แบบเบา แบบ “อะไรของมึงวะ” ก็มี เช่น
    • ให้วิ่งรอบห้อง อันนี้เด็กๆ
    • ให้ร้องเพลงซิงกูล่าร์ (ไปเตี๊ยมกะวงดนตรีไว้ว่าให้เปลี่ยนเวอร์ชันเป็นฮาร์ดคอร์)
    • ให้นั่งเขี่ยพื้นสำนึกผิด 1 นาที อันนี้โหดมากครับ ยิ่งมีวงดนตรีบิ๊วด้วย เศร้าอย่างสุดซึ้ง
    • ให้โพสท่าเกาหลีคู่กับใครก็ได้ในงาน แล้วถ่ายรูปทวีตออกอากาศด้วย
    • ให้เล่นมาริโอ้ด่าน 1-1 ให้จบ อันนี้คิดมาเล่นๆ  แต่พอเอามาแกล้งจริง ปรากฏว่าฮือฮามาก
      คนโดนรู้สึกจะเป็นน้องไท เล่นขึ้นจอยักษ์และมีซาวด์แทร็กมาริโอ้สดๆ ประกอบด้วย!
    • ส่วนการแกล้งที่เป็นเซอร์ไพรส์จริงๆ และคนที่โดนคือลิ่ว ลองดูกันเอาเองว่าคืออะไร
    • ฯลฯ
  • ก็สุดแท้แต่จะกรึ่มกันไป ครับ นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นแกล้งสารพัดจะแกล้งอีกเพียบ
    (เช่นอยู่ดีๆ พี่ฉัตรก็เดินมาร้องเพลงด้วยเสียงอันทรงพลังถึงติ่งหูของผู้แข่งขัน เหวอกันไปเลย)
    ฯลฯ
  • อ้อ ขอกระซิบว่ากติกาหลายๆ อย่างปรับเปลี่ยนจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น
    ดังนั้นถ้าใครอยากจัดงานแบบนี้บ้างก็ให้ดูทิศทางลม รวมถึงฮวงจุ้ยและโหงวเฮ้งผู้ท้าชิงให้ดี!

รางวัล Hackathon

ผู้ชนะ / รางวัล

  • ใครที่สามารถถอดรหัส QR Code ได้ปั๊บ จะมีรหัส 4 หลักปรากฏในมือถือครับ เฮ!!
  • ให้นำรหัสนั้นไปพิมพ์กรอกเพื่อเปิดตู้เซฟ ถ้าผิดก็จะด่าให้ แต่ถ้าถูก ก็เป็นอันแจ็กพ็อตแตก
  • พอใกล้หมดเวลาแบบฉิวเฉียด ก็มีผู้ที่สามารถพิชิตการแข่งขัน นับได้ทั้งหมด 4 ทีมครับ
  • เสร็จแล้วหมดเวลาก็มาทำการตรวจเช็กและไล่ลำดับกันว่าใครได้กี่คะแนนกันบ้าง
  • และเมื่อประกาศผล ก็ให้คนที่ชนะเป็นผู้เลือกรางวัลชิ้นใดชิ้นหนึ่งก่อน (ตามภาพด้านบน)
    ซึ่ง @tanin47 ก็เลือก Samsung Galaxy SII ไป
  • และรองชนะเลิศคือทีมของ @ensecoz และ @nantcom ก็จัด iPad 2 (3G) ไปแบ่งครึ่งกันเอง
  • นอกนั้นผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกท่านก็ได้ของเล็กๆ น้อยๆ จนถึงใหญ่ๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านกันจ้ะ

Hackathon

หลังงาน

  • จบลงด้วยดี ชักภาพกันก่อนแยกย้ายท่ามกลางพายุฝนโหมกระหน่ำข้างนอก
  • พี่อาท หัวเรือใหญ่ก็ใจป้ำ พาผู้แข่งขันและทีมงานไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ข้าวต้มที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์คครับ
  • ฝนตกกระหน่ำมาก รัชดาน้ำท่วมจนแทบจะเลี้ยวเข้าอาคารสถาปัตยกรรมโอ่อ่าก่อนถึงโรงแรมซะแล้ว!

.

ปิดท้ายด้วยบรรยากาศงาน

คลิปจากสามย่าน ถ่ายและทำโดย @vbanku

อีกบรรยากาศจากน้องเก่ง @kengkawiz พิธีกรสาวสวยของงาน :51:


ปิดท้ายด้วยภาพครับ กล้องผมแต่ฝาก @sweetiejeep และ @chaiyosart ถ่ายจ้ะ

นอกนั้นก็ดูได้จากเฟซบุ๊กเพจของ HLP Hackathon โลด

บทความที่เกี่ยวข้องกันจากบล็อกชาวบ้าน

แฮก แฮก เหนื่อยโคตร :05:
แต่คุ้มเหนื่อยที่ต้องบันทึกไว้ละเอียดๆ เพราะมันเป็นงานที่คนไม่ได้มาจะบอกตรงกันว่า “โคตรเสียดาย”
(ต่อไปจะเขียนสั้นๆ ละ)