การลาออกครั้งล่าสุด

ที่จริงควรจะเขียนว่าการลาออกครั้งสุดท้ายตามชื่อหนังสือเล่มที่เคยซื้อมาอ่าน (อ่านรู้เรื่องแค่ครึ่งเล่มแรก ส่วนครึ่งหลังที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ กับการลงทุนนั่นไม่อินเลย อ่านอะไรพวกนี้ไม่รู้เรื่อง โง่เรื่องตัวเลข 5555)

แต่มานึกดู ใครจะไปรู้ว่านี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือเปล่า เพราะอีตอนลาออกจากอาร์เอสนั่นก็คิดว่าจะเกษียณตัวเองก่อนอายุ 30 เพื่อมาทำอะไรที่บ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ได้แล้วเชียว แต่ก็ไม่ เพราะดันมีงานประจำที่น่าสนุกมากวักมือเรียกให้ไปลองทำดู

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบๆ 2 ปี 5 เดือน การทำงานที่สามย่าน นับเป็นงานประจำในฐานะมนุษย์เงินเดือนที่ผมอยู่กับมันนานที่สุด นานจนตกใจตัวเองว่าเราขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้า รถตู้ ซ้อนวิน ขี่แว้น (และขี่จักรยานแค่ 2 ครั้ง แต่อยากนับรวมด้วยเพราะมันพูดแล้วดูเท่) ไปทำงานซ้ำๆ กัน แบบไปสายกลับค่ำแบบนี้ได้ยังไงตั้งสองปีกว่าๆ

ถ้าไม่นับที่งานมันสนุกดี วิชาออกแบบเว็บ ออกแบบแอป ออกแบบกราฟิก รื้อระบบหน้าบ้านหลังบ้าน ปรับปรุงหน้าตา อินเทอร์เฟซนั่นนี่ และทำงานกับเทคโนโลยี มันสนุก ยิ่งอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่ดีมากๆ แล้วยิ่งสนุก เหมือนเด็กเนิร์ดจับกลุ่มคุยเรื่องสตาร์วอร์ส (แต่ผมไม่ดูสตาร์วอร์สนะ) หรือโอตาคุมาล้อมวงสนทนาเรื่องกันดั้ม (ตูก็ไม่รู้จักกันดั้มสักตัว)

สรุปว่าสามย่านเป็นบริษัทที่มีระบบนิเวศน่าอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่งเท่าที่เจอมาเลย ถึงแม้บางอย่างจะขลุกขลักไปบ้าง ซึ่งก็ควรเป็นเรื่องปกติของโลก (เช่นเว็บบริษัทที่ว่าจะทำใหม่มาชาตินึงแล้วก็ยังไม่ได้ทำซะที จนพนักงานในหน้าแรกของเว็บนั่นเปลี่ยนถ่ายย้ายเข้าย้ายออกกันไปหมดแล้ว 5555 คือที่จริงเมื่อสองปีก่อนคิดไว้ว่าพอเอาเมาส์ชี้จะให้มันนั่นนี่ แต่ก็ไม่ว่างทำซะทีเลยเอาแบบนั้นไปก่อนมาจนถึงทุกวันนี้)

แต่หลังจากพบว่าวิถีชีวิตของตัวเองนั้นดันมีปัญหากับสังคมเมือง ที่จะต้องไปใช้ชีวิตร่วมกับปลากระป๋องตัวอื่นๆ บนท้องถนน ผมก็เลยตัดสินใจลาออก เพื่อจะกลับมาอยู่บ้านและซุ่มทำอะไรอยู่ในถ้ำเงียบๆ แบบที่เคยเป็นมา แต่ครั้งนั้นดันเป็นการลาออกที่ไม่สำเร็จ ซะฉิบ

ขอต๊ะเรื่องลาออกไว้ก่อนแป๊บนะ…

จนเวลาผ่านไปหกเดือน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตแค่หกเดือนมานี้ หลังจากลดเวลาทำงานบริษัทลงจนได้มีเวลาใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง ผมกับลูกเมียก็เวียนกลับบ้านที่เพชรบุรี เพื่อไปซ่อมบ้านหลังเก่าให้แม่ (ฟังดูเป็นคนดี… ไม่หรอกครับ ก่อนหน้านี้ผมเป็นพวกเดือนสองเดือนจะกลับไปหาแม่ที โทรหาก็ไม่โทร) และพอวนไปเวียนมาหลายๆ ครั้งเข้า มันก็เกิดการเปรียบเทียบแล้วครับ ว่าสำหรับมนุษย์ชิวอย่างเรา การที่ต้องทนอยู่ในกรุงเทพฯ นี่ มันทำให้พลังชีวิตลดลงถึงขั้นเหี้ยจริงๆ เรียกว่าชิวมิเตอร์บนหน้าอกงี้กระพริบรัวๆ เลย เทียบกับตอนอยู่เพชรบุรี มันให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนเดินโลตัส (เชี่ย แถวบ้านกูมีโลตัสแล้ว)

พอได้ลองขี่จักรยานวนไปรอบๆ ตัวอำเภอท่ายางหลายๆ ครั้งเข้า ก็รู้สึกว่ามันใช่ มันมีน้ำ มันมีคลอง มันมีเขื่อน มันมีนา มันได้อารมณ์มานี (ไม่มีแชร์) และสารพัดองค์ประกอบแห่งความชิว ที่ทำให้พลังชีวิตพุ่งขึ้นถึงขีดสุด มันคือสถานที่ที่มีแต่อณูความผูกพันส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ (ตอนเด็กผมเป็นหนึ่งในแก๊งจักรยานแบบเรื่องแฟนฉันเป๊ะๆ — อ้อ เรื่องแฟนฉันเขาก็ถ่ายทำกันที่ท่ายางนี่แหละ ดังนั้นตัวเองเลยอินกว่าชาวบ้านหน่อย เพราะโดดน้ำก็โดดที่เดียวกัน จักรยานก็ขี่ที่เดียวกัน) แม้ลองสลัดความรู้สึกโหยหาอดีตออกไป มองให้เป็นปัจจุบัน ดูการเจริญเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปของเมืองเก่าแก่นี้ มันก็ยังรู้สึกว่าใช่

เท่านั้นยังไม่พอ มันยังไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่เป็นบ้านของผม (เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ได้ด้วย แต่คนที่เลือกดันไม่ได้ แพ้ไปล้านกว่าเสียงเอง) แต่จะแคร์อะไรในเมื่อยุคนี้ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันไม่ได้เกี่ยวกับอุปสรรคทางภูมิศาสตร์แล้ว ไม่ว่าพี่จะอยู่ระยองหรือน้องจะอยู่เชียงใหม่ ขอเพียงก้าวสู่โลกออนไลน์ปั๊บ ทุกคนก็มายืนเรียงกันถ้วนหน้า ยื่นนิ้วโป้งกดไลก์กันนัวไปหมด

เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างแข็งแรงว่า การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้นทำลายความจำเป็นของเมืองหลวงลงไปอย่างราบคาบ

แถมลงไปท่ายางครั้งล่าสุด ก็เพิ่งเอาเน็ตสิบเม็กไปติดไว้บ้านแม่อีก ให้สามารถทำงานง่ายๆ ที่บ้านวันละ 3-5 ชั่วโมงได้ในสตูดิโอหนองบ้วย (ชื่อหมู่บ้านผม โคตรงงเลย อะไรวะหนองบ้วย จะบ๊วยก็ไม่บ๊วย) และถือเป็นการเริ่มเดินเครื่องโครงการทดลองใช้ชีวิตอยู่เพชรบุรีสลับกับกรุงเทพฯ ตั้งแต่บัดนี้ไป!

แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ การจะไปสิงเนียนอยู่บ้านแม่ที่หนองบ้วยก็คงไม่เป็นการถาวรนัก (อีกสามปี ครอบครัวของพี่ชายคนโตจะมาอยู่) ผมก็เลยหารือกับเมีย และได้ข้อสรุปว่า เราจะทุบหม้อข้าวกันเฮือกใหญ่ เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบกันมาไปหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่กันแถวๆ นี้แม่งเลย (เห็นชิวๆ นี่ไมไ่ด้รวยนะครับ เพิ่งมาลืมตาอ้าปากได้หลังจากปลดหนี้บ้านพ่อตาแม่ยายหมดและผ่อนบ้านตัวเองหมดนี่แหละ แถมเราตั้งกฎของบ้านไว้ว่าจะไม่ยอมเป็นหนี้อีก ก็เลยต้องมีวินัยทางการเงินพอสมควร)

คิดได้ดังนั้นจึงฝากภาระไว้กับแม่ในการไปถามหาชาวบ้านแถวๆ บ้านเราที่ประกาศขายที่ดิน หรือที่นา (คือหาในเน็ตมันมีแต่พวกนายหน้า ซึ่งดูแล้วแพ้งแพง) ซึ่งได้ผล โซเชียลเน็ตเวิร์กของลุงๆ ป้าๆ แก่ๆ ที่อยู่นอกโลกออนไลน์ยังขลังอยู่เสมอ เราไปเจอที่ดิน 1 ไร่ ที่เจ้าของประกาศขายในราคาไม่แพงนัก อยู่ที่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ชื่อ “หนองแฟบ” ซึ่งตรงตามสเป็กที่ต้องการทุกอย่างเลย ดังนี้

  • มีแหล่งน้ำสาธราณะใกล้ๆ 20 คะแนน (มีคลองชลประทาน ซึ่งสวยมาก ใสมาก น่าโดดน้ำที่สุด)
  • มีชุมชนสงบๆ 30 คะแนน (เช็กแล้วยังไม่มีเด็กแว้นหรือแหล่งค้ายาแถวนั้น)
  • มีสีเขียว อากาศดี มีภูเขา มีนา อารมณ์มานี 50 คะแนน (นี่เหมือนเอาแผนที่มานีมากางดูเลยแหละ)
  • มีเซเว่น โลตัส และอินเทอร์เน็ต 20 คะแนน (ทุนนิยมนี่มันสะดวกจริงๆ)
  • จุดหมายจะไปใกล้หมด สะดวกมีรถเมล์ผ่าน บอกทางง่าย ถามกูเกิลแมปส์แล้วไม่เครียด 20 คะแนน
  • เกินยังวะ
  • มีอณูความชิวอัดแน่นอยู่ในห้วงบรรยากาศ 5,000,000 คะแนน (สรุปว่าไอ้ที่บวกๆ มาไม่ต้องก็ได้)

จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าของที่ซึ่งต่อไปจะมาเป็นเพื่อนบ้านกันเรียบร้อย เรียกว่าหมดตูดอย่างสิ้นเชิงครับ

วิทยาเขตหนองแฟบ

และในที่สุด เราก็มีที่ทางเป็นของตัวเอง หนองงงงงแฟบบบบบบบ (สะกด Nong Fab ไม่ใช่ Nong Fap นะ)

เกิดหนองบ้วย โตมาเรียนท่าช้าง ซื้อบ้านอยู่ลาดปลาเค้า แล้วนี่จะไปหนองแฟบอีก แต่ละชื่อนี่นะ ดูไฮโซโก้หราพารากอนซะจริง

เลยวางโครงการในระยะสิบยี่สิบปีเอาไว้ว่า ตอนนี้เราจะอยู่ใกรุงเทพฯ สลับกับเพชรบุรี (บ้านแม่ที่หนองบ้วย) ไปก่อน ไปๆ มาๆ แบบนี้จนลูกโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว (สมัยนั้น ม.ปลายก็คงมีผัวแล้วมั้ง นี่พูดติดตลกแบบเอาจริงๆ ก็โออยู่นะ) เราสองผัวเมียจะลาออกจากกรุงเทพฯ กันเป็นการถาวร กลับไปอยู่ที่เพชรบุรี

แต่งานก็ยังทำอยู่นะ เพราะเราต้องเริ่มหยอดกระปุกกันใหม่ตั้งแต่แรกเลยอีกครั้ง โชคดีที่วิธีการหาเงินของเราสองผัวเมียมันถูกออกแบบมาไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วว่า จะต้องเป็นงานที่ทำที่ไหนก็ได้ เลยสะดวกหน่อย (เมียเปิดร้านเดรสนลินฟ้ากับแม่ยาย ส่วนผมกำลังจะเทกกิจการสกรีนเสื้อโมนามาเฟีย แหะๆ .. แล้วก็รับออกแบบ ทำเว็บ ดีไซน์นั่นนี่หนุกๆ) เมื่อไหร่อยากได้ตังค์ขึ้นมาก็ทำงาน ทำกันซื่อๆ นี่แหละ ไอ้พวกการลงทุน หรือไปยุ่งกับตัวเลชยากๆ อย่างหุ้นเหิ้นนี่เล่นไม่เป็น ไม่เอา ไม่ชิว ไม่ใช่แนว ด้วยเหตุผลนี้มั้ง ก็เลยอ่านหนังสือการลาออกครั้งสุดท้ายครึ่งหลังไม่รู้เรื่อง

ก็เนอะ มนุษย์แต่ละคนมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ ถึงจะเรียกร้องให้แต่ละคนเสมอกัน แต่มันก็เป็นคนละเรื่องกับปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ที่สร้างเรามาให้เกิดมา มีรสนิยม ต่อสู้ปัญหา และใช้ชีวิตต่างๆ นานาไม่เหมือนกัน ไม่งั้นโลกคงน่าเบื่อแย่เลย

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณบริษัทสามย่าน ขอบคุณกรุงเทพฯ ขอคารวะความอดทนของมนุษย์เงินเดือนทุกท่าน

เออ พอพูดถึงลาออก เลยขอกลับมาเรื่องเดิม ผมเพิ่งยื่นใบลาออกอีกครั้งเมื่อวานนี้ พี่อาทเข้าใจในความขี้เกียจของเรา คราวนี้เลยอนุมัติ ปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งสล็อธแมนให้เป็นอิสระเสียที แต่ถ้ามีงานอะไรก็โยนมาให้ทำได้นะะะะ ถึงจะชิ่งไปแล้ว แต่ก็ยังอยากได้ตังค์อยู่นะะะะ

ป.ล.
ตอนถ่ายภาพแต่งงานผมมาถ่ายที่นี่ด้วย ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาอยู่จริงๆ 5555

nongfab

ป.อ.
ระหว่างที่เขียนบล็อกอยู่นี้ก็เพื่อรอคิวของสำนักงานที่ดิน… พอได้รู้ศัพท์ในวงการที่ดินว่า “หยอดน้ำมัน” (ยัดใต้โต๊ะ) เพื่อให้ดำเนินการเร็วขึ้นจากปกติที่ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดที่ดินแบ่งขายอะไรแบบนี้ มันต้องรอคิวประมาณสี่เดือน! ผมถึงกับสบถออกมาด้วยชื่อสัตว์เลื้อยคลานหนึ่งพยางค์ ใช่ครับ — เต่า (บ้า ใครจะไปด่าระบบราชการว่าเหี้ยล่ะ ไม่มีหรอกครับ ใช่ไหม ไม่มี้)

ป.ฮ.
ไว้ใครมาเที่ยวเพชรบุรี หรือท่ายาง บอกด้วยนะครับ จะพาไปปั่นจักรยานชมวิวแถวๆ หนองแฟบ-ตาลกง ชิวระดับแปดแสนริกเตอร์ คือภาวนาอย่าให้มันดัง อย่าให้มีรีสอร์ตอะไรมาเปิดเหมือนเชียงคาน เหมือนปายเล้ย เพี้ยงงงง

ความไม่สำเร็จครั้งที่หนึ่งประจำปี 2556

บล็อกนี้ไม่เท่ ไม่หล่อ ไม่ลึก ไม่คม นี่เตือนไว้ก่อนนะ

หนึ่งในโจทย์ใหญ่ของปณิธานปีใหม่ที่ได้ตั้งเอาไว้ นั่นคือลาออกจากงาน ตอนนี้ขออัปเดตว่าทำไม่สำเร็จครับ

ตอนบ่ายเดินเข้าห้องไปคุยกับเจ้านายว่าจะขอลาออก เหตุผลคือเบื่อชีวิตซ้ำๆ การเดินทางในกรุงเทพฯ ที่ทำให้ชีวิตฝ่อลงทุกวัน (ต้องย้ำว่าไม่ได้มีปัญหากับงานหรือคนในออฟฟิศนะครับ แค่มีปัญหากับวิถีชีวิตหุ่นยนต์ เป็นความชิวของตัวเอง) จึงขอกลับไปช่วยเมียพับเสื้อขายอยู่บ้าน หรือรับงานมาทำกุ๊กกิ๊กๆ นิดหน่อย ได้ตังค์น้อยก็จ่ายน้อยลงเหมือนเมื่อก่อน สบายดี

แต่กลับได้รับข้อเสนอกลับมาว่า เอางี้ไหม ลดวันมาทำงานวันเดียวพอ อย่างน้อยๆ ก็โผล่หัวมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้น้องๆ ในออฟฟิศบ้าง ส่วนเนื้องานก็เหลือไว้พัฒนาสมองหน่อย กันโง่ (ซึ่งผมเห็นด้วย ทุกวันนี้มีึความสุขกับการได้ออกแบบอะไรต่อมิอะไรอยู่ดี)

เรื่องเงินน่ะคงโดนลดไปเยอะแหละ (ไม่ได้คุยละเอียด) แต่ช่างมัน ในเมื่อสิ่งที่เราได้คิืนมาคือเวลาชีวิตอีกมหาศาล เอาเวลานี้ไปทำเสื้อ ไปทำฟอนต์ ไปวาดการ์ตูนเล่น เขียนอะไรเล่น หรือหัดทำโน่นนี่ยังได้ ที่สำคัญคือได้เลี้ยงลูกแบบเต็มๆ ซะที

ข้อเสนอนี้จึงโอเคแฮะ กลายเป็นว่าขอลาออกไม่สำเร็จ เราจึงอยู่ในระบบการทำงานแบบสังกัดมนุษย์เงินเดือนต่อไป แต่คงชิวขึ้นแหละ เพราะคุณภาพของเพื่อนฝูงพี่น้องร่วมงานที่นี่ก็ดีมากๆ แถมหัวก็ไม่ฝ่ออีกด้วย

บันทึกตรงนี้ไว้ว่าวินวินนะ ต่อไปจะเป็นยังไงเดี๋ยวค่อยมาดูกันอีกที

ป.ล.
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ผมขับรถพาลูกเมียไปเที่ยวต่างจังหวัดแทบทุกสัปดาห์เลยครับ เปิด Location History ใน Google Latitude แล้วสนุกดี พอเสาร์อาทิตย์ปั๊บ กราฟการเดินทางพุ่งปรี๊ดเลย เนี่ยดูดิ ชีวิตในฝัน :30:

(เรื่องจริง) เหตุการณ์สยองขวัญที่ห้องน้ำออฟฟิศ

ที่จริงทวีตแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อวานซืนครับ แต่ติดงานจนเพิ่งว่างได้มาเขียนเมื่อคืนนี้เอง
เชิญอ่านครับ

Untitled Continue reading (เรื่องจริง) เหตุการณ์สยองขวัญที่ห้องน้ำออฟฟิศ

ขอแนะนำเว็บ lorem ภาษาไทย “lorem.in.th”

lorem

จะบอกว่าว่างก็ไม่เชิง แต่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2555 นี่ ชาวหอชายในออฟฟิศสามย่านแม่งเกิดเบื่องานประจำอันเคร่งเครียดขึ้นมา (หอชาย = ห้อง Production อันประกอบไปด้วยดีไซเนอร์และ Dev ที่เป็นผู้ชายเกือบล้วน .. คือพอดีเขากั้นห้องแยกกันกับสาวๆ เหล่า PM และฝ่ายคอนเทนต์) ก็เลยใช้เวลาว่าง 20% ของเวลางาน ไป.. กินข้าว แล้วอีก 80% ที่เหลือมานั่งทำอีเว็บบ้านี่ขึ้นมาครับ

ใครทำงานออกแบบคงได้เจอเวลาจะทำ Mockup แต่ละครั้งก็ต้องไปเปิดพวกเว็บ Lolem Ipsum Generator ต่างๆ (เจ้าที่ผมชอบคือ CupCakeIpsum เพราะมันน่ารักดี) แต่ยังไงข้อเสียของมันก็คือดันเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษอยู่ดี จนสรุปว่าเอาภาษาไทย เป็นชุดคำที่เรียงกันสะเปะสะปะ สั้นบ้างยาวบ้าง จากพจนานุกรมประเภทต่างๆ กันดีกว่า ก็เลยออกมาเป็นเว็บ โลเร็ม.อิน.ไทย ขึ้นมาครับ

ทั้งหมดนี้ทำจบในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ด้วยฝีมือการบรรเลงโค้ดของ เบนท์ (@bentino471) / เดี่ยว (@ma_deow) และออกแบบโลโก้ด้วยการใช้ตีนข้างซ้ายปาดโดยอีแบงค์ (@vbanku)

ใช้ดีแล้วก็บอกต่อ หรือถ้ามีข้อเสนออะไรก็ไปบอกอีพวกนี้เอานะครับ (ผมไม่เกี่ยวนะ มีส่วนร่วมแค่ขี้เล็บ ถ้าด่าไปด่าอีพวกนี้เอา จบนะ)

เมื่อคืนนั้น ฉันฝันเนิร์ด

(NERD ALERT)

ตอนนี้อยู่สระแก้วครับ มาชาร์จแบตชีวิต ปรากฏว่าเมื่อคืนดันนั่งเฝ้าจอดูแอปเปิลเขาขายของซะงั้น เลยนอนดึกมาก ..นอนดึกไม่พอ ดันฝันสนุกอีก (สนุกแบบเนิร์ดๆ นะ เตือนไว้ก่อน) พอตื่นมาเลยต้องรีบทวีตไว้ก่อน เดี๋ยวลืม แล้วก็ตามฟอร์ม บันทึกไว้เพราะเดี๋ยวทวีตแม่งก็จม (ยากจริงชีวิตกู)


(เผื่อใครไม่เก็ต ลองค้นหาวิดีโอเกี่ยวกะอนุบาลฝันในฝัน อะไรสักอย่าง สตีฟจ็อบส์ร่างยักษ์ก็อยู่ในนั้น)


ความเนิร์ดมาละครับ


อันนี้เจ๋ง พี่เม่นมายืนครีติกหน้าชั้นเลย ว่าถ้าจะมีความสามารถนี้จริง ทวิตเตอร์น่าจะเสียเอกลักษณ์เรื่องความง่ายไป เพราะผู้ใช้ต้องคิดเยอะขึ้นมาก เราเลยอ้อมแอ้มอ้างไปว่า มันก็ควรจะมี default ที่ดีพอ นั่นแปลว่า user ระดับทั่วไปไม่ต้องมานั่งนึกเรื่อง Circles นี้หรอกครับ ก็ใช้ตามปกติไปนั่นแหละ คนที่จะนึกน่าจะเป็นทวิตเตอร์ของแบรนด์มากกว่าที่จะเลือกเจาะจงว่าจะให้ข้อความนี้ส่งถึงใคร
นอกจากนี้แล้วยังมีฟีเจอร์ที่ไม่ได้ทวีตอีกแต่มันต่อเนื่องจากข้อนี้ เช่น ระบบกึ่งบังคับให้ผู้ใช้ใส่ profile ของตัวเองให้ละเอียดหน่อย เพื่อให้ความสามารถเรื่องการส่งข้อความให้เห็นเฉพาะลิสต์ที่ว่าเนี่ย ส่งไปถึงตัวคนง่ายขึ้น เช่น อาศัยอยู่แถวประเทศไทย (อันนี้ user ไม่ต้องปรับอะไร เพราะเขียน location อยู่แล้ว ยกเว้นพวกเขียนว่า “อยู่กลางใจเทอ” ไรงี้ มึงต้องแก้) หรืออายุ เพศ การศึกษา ฯลฯ สรุปคือลอกความสามารถนี้มาจากเฟซบุ๊ก


อันนี้พี่เม่น(ในฝัน)กับใครอีกคน น่าจะพี่อาท บอกว่าดูแล้วมันส่งเสริมธุรกิจใต้สะดือนะเนี่ย ซึ่งเราว่าจริง และทวิตเตอร์ก็คงไม่แคร์เพราะเป็นช่องทางหารายได้ของเขา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคนจะเริ่มรู้สึกว่าเออ ข้อความที่ทวีตออกไปเนี่ยมันมีลิขสิทธิ์ มีค่าสมองได้เหมือนกัน เผื่อใช้ในกรณีทวีตข่าว Exclusive หรือบทกวี หรือนิยาย (เคยเห็นที่ไหนไม่รู้แต่งนิยายในทวิตเตอร์เลยเก็บมาฝันเนี่ยแหละ)


ข้อนี้ติ่งเกาหลีหรือคนที่ใช้ทวิตเตอร์ไว้เพื่อแช็ตคุยกันหลายๆ คนเป็นหลัก (แบบเรา) จะสบายใจมาก ที่จริงมีอย่างอื่นอีกนะข้อนี้ แต่ในฝันเราเถียงกันว่าแบบไหนถึงจะดี เช่น ตั้งชื่อแบบ @[…] ซึ่งอย่างหลังนี่เสียพื้นที่ตัวอักษรไปอีกสองตัว ซึ่งไม่พอแน่ แต่ก็มีอีกข้อที่เสนอไปว่า ระบบใหม่ของทวิตเตอร์จะจำ username เป็นเพียง 1 ตัวอักษร (ข้อจำกัด 140 ตัวอักษรนั้นมาจาก SMS ซึ่งเลิกใช้ไปนานมากแล้ว) ดังนั้นถ้าใช้ร่วมกับข้อนี้ก็คงโอเค

ที่จริงมีอีกเยอะมากเลย ไม่รู้ไอเดียมันผุดขึ้นมาตอนหลับได้ไง แล้วทำไมต้องฝันซ้อนฝันด้วย เดาว่าคงเพราะกังวลว่าวันนี้เรานอนน้อย แล้วต้องขับรถไกลๆ กลับกรุงเทพฯ อีกแหงเลย เลยกังวลนิดๆ จนเก็บไปฝัน

จบครับ ไปขี้ละ