ต่อไปนี่คงเป็นเรื่องปกติของมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ

เหรอวะ.. :08:

เมื่อตอนบ่ายโมง ชาวสามย่านส่วนหนึ่งกะว่าจะรีบลงไปกินข้าว แล้วก็จะรีบขึ้นมาทำงานต่อ เลยลงจากตึก ฝ่าแดดข้ามถนนไปถึง KFC เพื่อจะกินด่วนๆ แล้วอยู่ดีๆ ฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา

เราเลยได้สิงอยู่ร้านอาหารแดกด่วนกันอย่างเนิบช้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ฝนถึงเริ่มซา แล้วก็กะว่าค่อยๆ ลุยกันเข้ามาทำงานต่อ และก็เจอแม่น้ำขวางไว้ทุกทางที่จะกลับเข้าสู่ออฟฟิศได้ มองซ้ายมองขวา พนักงานทุกๆ ออฟฟิศไม่ว่าจะนุ่งอะไร ใส่รองเท้าอะไร ถุงน่องลายตาข่ายหรือสีดำสุดเอ็กซ์ ต่างก็เดินลุยน้ำเน่ากันทั้งนั้น เพื่อกลับเข้าสู่ฟันเฟืองอุตสาหกรรม

เราก็เลยลุยบ้าง

C360_2012-09-25-14-42-07

C360_2012-09-25-14-45-42

01
ภาพสุดท้ายนี่อาจดูไม่สุภาพและทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กร (นึกภาพว่าวันนึงไปเข้าตลาดหุ้นแล้วผู้ถือหุ้นมารู้ว่าเราล้างตีนในอ่างล้างมือจะทำยังไง) แต่ทำไงได้ ห้องน้ำออฟฟิศไม่มีที่ฉีดตูด เดินมาขอขันตักน้ำจากป้าแม่บ้านเพื่อจะต่อก๊อกตักราดขาไรงี้ ..ซึ่งคุณป้าก็ยิ้มและบอกว่าเอาแบบนี้เลยละกันลูก เดี๋ยวป้าล้างให้เอง ..ป้าแมนมากครับ ขอกราบ

[แก้ไข] โดนเบื้องบนเซ็นเซอร์ครับ.. ตั้งแต่เขียนบล็อกมาสิบกว่าปี เพิ่งเคยโดนนี่แหละ

ป.ล.
ดีที่ผมใส่รองเท้าหมีมา เลยรอด (คู่เดียวกะที่ลุยน้ำท่วมขี่จักรยานรายงานข่าวเมื่อปีก่อน) เลยสบายตีนกว่าใคร

ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง

มีโจทย์ที่ตั้งไว้กับตัวเองเล่นๆ อยู่อย่างนึงว่า ในชีวิตมนุษย์เงินเดือนนี้ ผมไม่อยากเป็นหุ่นยนต์ หรือโดนวิถีแห่งคนกรุงกลืนกินเกินไปนัก ถึงมันจะดิ้นออกจากวิถีนี้ยากสักหน่อย (ใครมีเมียมีลูก ผ่อนบ้าน และไม่ได้มีตังค์เยอะๆ ที่หล่นมาจากพ่อแม่ฟรีๆ ก็จะเจออะไรคล้ายๆ กันนี้แหละ ใครที่รอดไปได้ก็น่านับถือครับ) แต่ก็จะพยายามหาขนูกขนมมาเติมให้ชีวิตมันมีอะไรกรุบกริบแก้อาการชีวิตวนลูปซ้ำซากให้ได้

การเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำลายสมรรถนะในการดำรงชีพของคนที่ต้องหากินอยู่เมืองกรุงซะส่วนใหญ่ ตราบใดที่ระบบขนส่งมวลชนมันยังไม่ทั่วถึง ปัญหานี้ก็จะไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย ไม่ว่าจะมีรัฐบาลเทพขนาดไหนก็เหอะ

โดยเฉพาะผมแล้ว ตอนสมัครเข้าทำงานที่บริษัทนี้ พอเขาถามว่ามีเรื่องอะไรที่กังวลบ้าง ผมก็นึกออกอยู่แค่เรื่องการที่ต้องใส่รองเท้าหุ้มส้นไปทำงาน (เป็นคนตีนเหม็น ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็จะพยายามใส่รองเท้าแตะให้ได้ตลอดชีวิต) กับเรื่องการเดินทาง ว่าไม่แฮปปี้ที่จะต้องเดินทางนานๆ ซ้ำๆ กันทุกวัน ถ้าเป็นไปได้อยากทำงานอยู่ที่บ้านผ่านอินเทอร์เน็ตง่ายๆ วันละ 3-5 ชั่วโมง แบบที่อีพวกสแปมห่าเดนในเฟซบุ๊กมันทำกันด้วยซ้ำ .. ก็บริษัทเรามันทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี่นา งี้ก็ทำเป็น Virtual Office เลียนแบบไทเกอร์เขาดีกว่าเนอะๆๆ … แต่ข้อเสนอหลังนี้โดนปัดตกไปทันที เพราะว่าเรายังไม่เปรี้ยวเท่าบริษัทที่พาดพิงตะกี้ครับ

โอเค ช่างมัน อย่างน้อยก็ได้รับอนุญาตให้ใส่รองเท้าแตะได้ ชีวิตคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก

ทีนี้ก็มาดูปัญหาที่เหลือ.. เรื่องการเดินทาง แต่ละวันการเดินทางจากลาดปลาเค้าถึงเพลินจิต (ซึ่งซับซ้อนเหมือนกัน และไม่มีทางสัญจรด้วยรถต่อเดียวได้แน่ๆ) ผมไม่อยากให้มันซ้ำกันทุกวัน เพราะกลัวไอ้อาการหุ่นยนต์ที่ว่าไว้ข้างบนน่ะ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็จะหาวิธีทดลองการเดินทางไม่ให้ซ้ำกับวันก่อนหน้าให้ได้ ดังนั้นบางวันก็ขึ้นกระป๊อ บ้างก็รถเมล์สายนั้นบ้าง สายนี้บ้าง เปลี่ยนป้ายรอบ้าง เปลี่ยนป้ายลงบ้าง นั่งพี่วินบ้าง แท็กซี่บ้าง (ไม่ชอบบรรยากาศอับๆ เงียบๆ ในแท็กซี่เลยไม่ค่อยได้ขึ้น) บางทีก็ให้เมียไปส่งไม่ไกลจากบ้านแล้วต่อรถตู้ (พอมีลูกก็เลิกวิธีนี้ไป) บางทีก็ลงเดินที่สถานีรถไฟฟ้าใกล้ๆ แล้วเดินต่อเอาบ้าง แวะซื้อผลไม้ หรือบางทีไปแวะหอเพื่อนยืมการ์ตูนมาอ่านก่อนไปทำงานก็ยังดี ฯลฯ

คือเส้นทางมันก็อีทางเดิมนี่แหละครับ แต่ขอบิด พลิกแพลงนิดนึงให้มันมีบรรยากาศบ้าง ได้มองข้างทางสักนิดให้ชีวิตมันมีอะไรไม่วนลูปหน่อย ดูลมๆ แล้งๆ แต่ก็นะ เราอยู่บนข้อจำกัดที่มันสนุกได้ไม่มาก

ทีนี้พอซื้อรถเครื่อง (ฟีโน่) มาได้สักพัก ทีแรกกะจะขี่แถวหมู่บ้าน ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดแล้วขี่กลับแค่นี้ แต่พอไปสอบใบขับขี่ผ่านปั๊บ ป้ายทะเบียนอะไรก็ได้มาแล้ว บัดนี้องค์ประกอบชีวิตของผมเหมาะกับการหัดออกเดินทางไปทำงานด้วยรถเครื่องเสียที ตัวแปรในการเดินทางก็เปลี่ยนไป Continue reading ในวันที่ข้าพเจ้าขี่รถเครื่อง

2554: หยุดยืนดูเงาตัวเอง

ตามกระแส ไหนๆ จะหมดปีก็ขอเก็บตกไว้หน่อยนึงละกัน
ข้อความต่อไปนี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในรอบปีเหมือนใครๆ
แต่กะจะเขียนเท่าที่นึกออก ว่าจนถึงบัดนี้ เราเดินผ่านอะไรมาบ้าง..

ปีนี้เป็นปีที่ตั้งใจจะปลดอะไรหลายๆ อย่างที่คิดว่าฟุ่มเฟือยออกจากตัวเอง
ไอ้คำว่าฟุ่มเฟือยนี่คืออัตตาภายในทั้งหลายแหล่ ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
ในแต่ละปีที่ผ่านไปมันจะเยอะขึ้น เยอะขึ้น พอกหนาเรื่อยๆ เหมือนไขมันที่ชั้นพุง
จนรู้สึกว่า “ชีวิตกูชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวัน” ..แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเขียนบล็อก
ก็ยังอุตส่าห์นึกห่วงว่าเขียนแต่ละครั้งนี่จะมีคนอ่านไหม หรือโชว์โง่ไปแล้วกูจะไม่หล่อไหม
และสุดท้าย วันนึงก็ลุกขึ้นมาหักดิบแม่งเลย เขียนให้ตัวเองอ่านไง แบบตอนนี้ สบายกว่าเยอะ
ชาวบ้านเขาทำได้กันมาตั้งนานแล้ว แล้วที่ผ่านมากูมัวไปหลงอยู่แยกไหนก็ไม่รู้ ควายจริง

งาน

คือสิ้นปี 2553 ผมลาออกจากอาร์เอสเพื่อจะได้มามีชีวิตของตัวเอง

กะว่าเกษียณตัวเองจากชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วว่างั้น และวไอ้โปรเจกต์ที่ฝันไว้อยากทำนั่นนี่ก็จะได้เริ่มซะที
แต่ปรากฏว่าก็ยังไม่ได้เริ่ม เพราะพี่เม่น @iMenn ที่เคารพรักก็มาชวนทำอะไรกันสนุกๆ (อ่านแล้วเกย์มาก)
นั่นคือไปเริ่มบริษัทสามย่านด้วยกัน (ขออวดหน้าสวัสดีปีใหม่จากสามย่านที่เพิ่งช่วยกันทำเสร็จไปไม่นาน)

การได้โดดเข้ามาเริ่มชีวิตในฐานะมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง แม้ต้องแลกกับเวลาส่วนตัวที่หายไป
แต่ก็ได้ประสบการณ์เยอะมากๆ มาแทน อันนี้ไม่เคยรู้สึกเสียดายเลย ตราบใดที่ยังสนุกและรักษาระดับความชิวไว้ได้
ผมก็ยินดีเสมอนะ

อืม.. ใช่ๆ พอพิมพ์ก็นึกได้ว่านโยบายชีวิตของตัวเองคือ กูรักความชิว
เป็นมนุษย์ที่เกลียดการทำอะไรซ้ำๆ อย่างการเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน กลับมาบ้านเหลือเวลาสองชั่วโมง
สองชั่วโมงเท่านั้นต่อวันที่จะได้คุยกับเมียก่อนที่จะแยกไปปนอน ผมก็นั่งอัปเดตเฟลอีกเกือบๆ ชั่วโมงก็นอนบ้าง
นี่ถ้าเว็บเฟลมันไม่ใช่เว็บตลกปัญญาอ่อนนะ ป่านนี้คงเลิกทำไปแล้วเหมือนกัน ที่ยังสนุกกับมันก็เพราะแม่งเพลินดี
และถึงจะมีรายได้จากมันเดือนละนิดหน่อยก็ยังไม่ถือว่าเป็นงาน

เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่ชอบวัฒนธรรมเวลาแนะนำตัว จะต้องแบกรับภาระเป็นชื่อตำแหน่งและอาชีพเสมอๆ เช่น
“สวัสดีครับ ชื่อแอนครับ ตอนนี้ทำงานเป็นสะแตร๊ดทิจิกแพลนเนอร์อยู่สามย่านดิจิทัลเอเจนซี่ ฯลฯ”
หูย แห้งแล้งมากอะ ทำไมไม่แบบชินจังบ้าง “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน ชอบกินพริกหยวกครับ” อะไรงี้
ดูเป็นมนุษย์กว่ากันเยอะ เนอะๆ

แต่ทั้งนี้ถ้ามองจากมุมมองของบริษัท การที่พนักงานไม่อินกับความเป็นมนุษย์เงินเดือนคงไม่ดีเท่าไหร่
ซึ่งเป็นบุญหัวของผมจริงๆ ที่ได้ทำกะบริษัทขนาดเล็กและยืดหยุ่นขนาดนี้ หยุ่นพอที่จะบอกว่า “เรื่องของมึง”

เงิน

สมัยเรียนมาลัย ผมแบมือขอเงินแม่เดือนละประมาณ 4000 บาท (รวมทุกอย่างแล้ว เช่นค่าหอ 2800 บาท)
จะเห็นว่ามันไม่พอ โดยเฉพาะการเรียนคณะผมที่จำเป็นต้องใช้เงินเปลืองมากเวลาต่อโมเดลบ้าบอแต่ละที
ไม่ใช่ว่าที่บ้านฝึกให้เอาตัวรอดอะไรหรอก แต่บ้านผมไม่รวยครับ

ขอบคุณความจน ที่ทำให้ผมต้องดิ้นรนทำงานตั้งแต่สมัยเรียน หารายได้จากงานรับจ้างออกแบบนั่นนี่
และมันค่อยๆ สร้างชีวิตในทุกวันนี้ขึ้นมา ชีวิตที่พอมีเงินสบายๆ แต่ก็ไม่ได้ลืมว่าตอนกรอบสุดๆ มันเป็นยังไง
รู้แต่ว่าไม่มีทางลืมตัวแน่ๆ และไม่มีทางเป็นแบบที่เป็นภาพจำของคนที่พยายามจะเหมารวมสลิ่มทั้งปวงแน่ๆ

ถึงปัจจุบันผมมีตังค์พอจะซื้อโทรศัพท์แพงๆ มาใช้เป็นของเล่นได้แล้ว
แต่ตั้งแต่มีเมียเป็นต้นมา ผมก็ปิดโหมดรับรู้เรื่องรายได้ไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้มีตังค์เท่าไหร่ยังไม่รู้เลย
รู้แต่ว่าส่งให้เมียหมด และตัวเองก็คอยบันทึกรายจ่ายลงในตารางครอบครัวแบบนี้เสมอมา
อย่างน้อยไอ้ความที่เคยขัดสนมาก่อน ก็ทำให้ระเบียบวินัยในการใช้เงินของตัวเองนั้นเข้มแข็งจนน่าพอใจ

ถึงจะไม่รู้รายได้ แต่ก็พอรู้ว่าตอนนี้ชีวิตมันเริ่มลงตัวแล้ว เพราะผ่านการวางแผนมายาวนาน
อย่างน้อยปีสองปีนี้พอมีตังค์ ก็ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวดอกผลที่ได้ลงทุนลงแรงไปเยอะตั้งแต่สมัยเรียนเลยละกัน

อาชีพหลัก: พนักงานบริษัทดิจิทัลเอเจนซี่ (พื้นที่โฆษณา: จ้างทำเว็บหรืออะไรก็ได้ออนไลน์นะครับ)
อาชีพรอง: หนักงานร้านสกรีนเสื้อยืดออนไลน์ (พื้นที่โฆษณา: รับสกรีนเสื้อยืดขั้นต่ำ 1 ตัว ขั้นสูง 1 ล้านตัวครับ)
นอกนั้นก็มีงานอื่นๆ ประปราย เป็นวิทยากรบ้าง (ไม่ค่อยชอบ มันต้องเก๊ก) รับจ้างทำเว็บบ้าง วาดการ์ตูนบ้าง ฯลฯ

ความหวัง

ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวก่อนนะ เรื่องครอบครัวเดี๋ยวตามมาในหัวข้อสุดท้าย..
ในปีที่ผ่านมาผมตั้งใจจะทำงานอดิเรกอย่างหนึ่ง คือ “ทำฟอนต์” อย่างที่เคยทำเมื่อสามสี่ปีก่อนแล้วหยุดไปเลย
คือตั้งแต่เว็บฟอนต์เริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อครั้งกระโน้น มีใครต่อใครมาสัมภาษณ์ ผมจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ที่ผู้สัมภาษณ์เยินยอซะเวอร์ (ไม่ชอบหรอกแต่จะเถียงสวนกลับไปก็ใช่ที่) ว่าใจดียังงู้น พ่อบร๊ะยังงี้
คือกูจะบอกว่าไอ้ที่ทำมาแจกฟรีทั้งหลายเนี่ย กูใช้โปรแกรมเถื่อนว่ะ จนเจ้าของโปรแกรมเขาจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่อยู่ละ
ยิ่งในช่วงนั้นเว็บดังเท่าไหร่ มีฟอนต์มือสมัครเล่นงอกมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับมีคนใช้โปรแกรมเถื่อนนี้มากขึ้นเท่านั้น

ผมละอาย เลยตั้งข้อแม้ไว้กับตัวเองว่าจะหยุดทำฟอนต์ใหม่ไปจนกว่าจะได้ซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมเขามาทำให้ได้
ทีนี้ก็ติดขัดนิดหน่อยตรงที่ตัวบริษัทเองก็มีคนทำงานน้อยเหลือเกิน โปรแกรมมันเลยตกรุ่นไปนานมากๆๆๆ
ทวีตไปถาม เมลไปถามหลายทีว่าเมื่อไหร่จะมีเวอร์ชันใหม่ที่คลอดออกมาและรองรับกับระบบสารพัดใหม่ๆ
ก็บอกว่า “ปลายปีนี้” มาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2553) จนปี 2554 ก็บอกว่า Late This Year นะ
และทวีตไปถามล่าสุดเมื่อสักเดืนที่แล้ว ก็บอกว่า In a few months .. โอเค รอต่อไป อยากทำจริงๆ นะเนี่ย

ไม่รู้อันนี้อยู่ในหมวด “ความหวัง” ได้ยังไง แต่เอาเป็นว่าเป็นความฝันเนิร์ดๆ ของผมเอง
ที่อยากทำให้งานอดิเรกชิ้นนี้มันมีส่วนช่วยสร้างสังคมที่ผมอยากใช้ชีวิตอยู่ .. ดูเพ้อฝันเนอะ

อนาคต

ตอนที่พิมพ์อยู่นี่ เมียผมนอนหลับอยู่ข้างๆ .. คนท้องต้องนอนบ่อย จริงหรือเปล่าไม่รู้ หรือเมียผมขี้เกียจก็ไม่รู้
แต่อีกเพียงสามเดือนนิดๆ ผมก็จะได้พบหัวเลี้ยวหัวต่อใหม่ของชีวิต ตรงที่ตัวเองจะกลายเป็นพ่อคน
ทุกวันนี้เวลานอนหลับผมจะเอามือไปจับไว้ตรงพุง เผื่อลูกสาวจะดิ้นให้สัมผัสได้
และก็ไม่เคยผิดหวัง เพราะนังเด็กคนนี้มันชอบดิ้นตอนกลางคืน จนเราเรียกโค้ดเนมกันเล่นๆ ว่า “น้องจ๊ะ”

ดูผ่านๆ อาจจะเหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าสเต็ปการใช้ชีวิตในโลกของผู้ใหญ่จะต้องเป็นแบบนี้ๆ
แต่ที่จริงแล้วมันถูกวางแผนไว้พอสมควร ไม่ถึงกับเคร่ง แต่ก็ไม่ได้หย่อน
หลายอย่างทำไม่ได้ (เช่นเรื่องนอนห้าตื่นหกแมน ผมยังทำไม่ได้เพราะว่าถ้านอนเร็วแล้วกรดมันจะไหลย้อน)
แต่หลายอย่างก็ทำได้ บางอย่างเหนือความคาดหมายเสียด้วยซ้ำ (เช่นอยู่ดีๆ มารู้จักเพื่อนบ้านเพราะน้ำท่วม)

ปี 2554 เป็นปีสุดท้ายในชีวิตช่วงทศวรรษที่ 3 ของผม (หมายถึงช่วงอายุ 20-29 น่ะ)
พอโดดขึ้นเดือนกุมภา​ 2555 ผมก็จะอายุครบ 30 ปี (เมียตูแก่กว่าปีนึง) ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 อย่างงดงาม
ถึงจะไม่ได้อะไรกับวันเกิดหรือช่วงอายุ แต่ความสนุกมันอยู่ที่เรายังไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังรออยู่ข้างหน้าเป็นอะไร

บางทีชาวไซย่าอาจจะบุกโลกลงมาจริงๆ ก็ได้