ถ้าไม่ชอบอ่านยาวๆ ผมมีเกริ่นก่อนไว้ก่อนดังนี้ครับ
- บล็อกตอนนี้ยาวและมีภาพเยอะมาก ใครอ่านในมือถือแล้วมีโปรเน็ตจำกัด กรุณากดหยุดตั้งแต่บรรทัดนี้ครับ เอ้า กดเลย
- ขอออกตัวว่าเป็นติ่ง Galaxy Note ครับ เคยเขียนอวยสุดคมไว้ด้วย ดังนั้นรีวิวนี้จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานอคติที่ว่า “ไอ้นี่มันเชียร์โน้ตอยู่แล้วแหงๆ” …และก็จริงตามนั้นครับ (อ้าว)
- มือถือเครื่องปัจจุบันที่ซื้อมาใช้คือ Galaxy Note 4 สีขาว ซึ่งจะปรากฏตัวเพื่อเปรียบเทียบกับ Note Edge เป็นระยะๆ นั่นเป็นความตั้งใจของรีวิวนี้ เพื่อจะหาคำตอบว่า การมีขอบโค้งๆ เพิ่มมาในราคาที่ต้องจ่ายเพิ่มจากปกติ 3,000 บาทนั้น มันคุ้มไหม
- รีวิวครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากซัมซุง ซึ่งไม่มีผลต่อการเขียนนะครับ (คือตรงไหนไม่ชอบก็บอกไม่ชอบ)โดยซัมซุงส่ง Note Edge มาให้ผมถูไถเล่น และเอามาใช้อวดญาติมิตรประดุจมือถือตัวเองเป็นเวลา 1 สัปดาห์
- พวกข้อมูลสเป็ก ชื่อซีพียู เบนช์มาร์ก อะไรที่เป็นตัวเลขเนิร์ดๆ นั่น ไม่มีเขียนนะครับ ถ้าอยากรู้ไปกูเกิลเอาเอง
เข้าเรื่องกันเลยนะ…
.
แรกพบ
นี่คือแวบแรกที่ได้เห็นเลยครับ แกะห่อมาเปิดเครื่อง พอจอสว่างก็เห็นเป็นหน้าจอมาตรฐานจากซัมซุงแบบนี้เลย แต่หลังจากนี้ชุดไอคอน ตีมต่างๆ นี่ผมเปลี่ยนแหลกเลยนะครับ เนื่องจากไม่ชอบดีไซน์อินเทอร์เฟซของซัมซุง
อยากบอกว่าหน้าตาของตัวเครื่องมันดีกว่าที่คิดไว้มาก
แน่นอนว่าส่วนตัวก็รู้สึกโอเคกับดีไซน์ของโน้ตสี่อยู่แล้ว มันเหมือนมือถือซัมซุงที่ผ่านการลองนั่นลองนี่ ปรับนั่นนี่มาอย่างยาวนาน และทำเสร็จในโน้ตสี่ และ Galaxy Alpha เป็นครั้งแรก ลบคำครหาว่าออกแบบกาก และวัสดุกากได้หน่อย และหวังว่ามือถือรุ่นกลางถึงบนของค่ายนี้จะรักษามาตรฐานนี้ไปอีกนาน
ตอนที่เห็น Note Edge บนจอครั้งแรก คือเห็นจากงานเปิดตัว (ของโน้ตสี่) นี่แหละ แต่ไม่ประทับใจเอาซะเลย เพราะการนำเสนอในงานมันดูเฉยและเชยมาก ก็เลยพาลให้รู้สึกว่าอี Note Edge เนี่ย น่าจะเป็นรุ่นที่ออกมามึนๆ ตั้งราคาแพงๆ ผลิตน้อยๆ ขายไอเดีย เสร็จแล้วก็จากไปเงียบๆ รึเปล่าหนอ (หลายสำนักข่าวก็พูดในลักษณะนี้)
แต่ปรากฏว่าพอมันเริ่มวางขายกระจายตัวในหลายประเทศ ดันมีหลายกระแสที่บอกว่า เฮ้ย แม่งขายดีเฉยเลยว่ะ (หกแสนกว่าเครื่องแล้วมั้งถ้าจำไม่ผิด ตัวเลขนี้อาจจะไม่มาก แต่อย่าลืมว่าแม้แต่ซัมซุงเองนั้นก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ ผลิตรุ่นนี้ออกมาไม่เยอะนะ)
พอซัมซุงประเทศไทยประกาศราคาเปิดตัวของมันคือ 28,900 บาท เห็นครั้งแรกก็ เชี่ยแม่งแพงสัสอย่างที่คิด (แต่คิดไว้ว่าจะเฉียด 30,000 มากกว่านี้) คือแค่โน้ตสี่รุ่นมาตรฐานก็ล่อเข้าไป 25,900 บาทแล้ว
(ถึงตอนนี้ราคาซื้อจริงตามแหล่งที่คนในวงการเขารู้กันจะตกลงมาพอสมควร แต่ถ้าเข้าใจธรรมชาติของราคามือถือค่ายนี้ ใครไม่รีบ รอพักนึงเดี๋ยวก็ได้ราคาดีๆ ไว้สอยเองแหละ แฮ่)
เนื่องจากไม่ได้ติดตามราคามือถือค่ายคู่แข่งอย่างไอโฟน พอมารู้ราคาของฝั่งนู้นบ้าง ก็เลยตกใจว่ารุ่นจอใหญ่ (6 Plus) ก็ 28,900 เหมือนกันเด๊ะๆ …จึงเป็นอันเข้าใจได้ว่า วงการมือถือตัวท็อปเดี๋ยวนี้นี่ ราคามันปริ่มๆ จะสามหมื่นกันทั้งนั้น
แต่เอ๊ะ ไม่สิ ไม่จะ เพราะคนซื้อไอโฟนรอบตัวส่วนใหญ่ไม่มีใครเอารุ่นเริ่มต้น (ที่จุได้แค่ 16GB) หรอก คือมันเพิ่มการ์ดไม่ได้ใช่มะ ส่วนใหญ่เลยจะโดดไปซื้อรุ่นที่แพงขึ้นมาหน่อย (64GB) กัน ซึ่งราคาของมันคือ 32,900 บาทถ้วน
โอ้เจ้าแม่อุลตร้า อยากจะเป็นลม แพงกว่าคอมตู 2 เครื่องรวมกันอีก
เอ้าๆๆ กลับมาเกาหลีๆ
.
.
สบตา
แกะกล่องปั๊บก็ลองเอามาวางเปรียบเทียบกับ Note 4 เครื่องสีขาวที่ผมใช้อยู่สักหน่อย
พอดูด้านหน้าด้านหลังก็พอจะสังเกตได้ว่า เออ Note Edge นี่ตัวเครื่องจะสั้นกว่ารุ่นมาตรฐาน และขยายออกด้านข้างมากกว่ากันนิดนึงแฮะ ใครที่บ่นเรื่องมือถือใหญ่ไป นิ้วสั้นไป เอื้อมไปก็ไม่ถึง มาเจอพี่บานเข้าไป ก็ไม่ต้องบ่นแล้วครับ แม่งใหญ่กว่าเดิมอีก
ถือเทียบกันอีกทีและพลิกหน้าหลังให้ดู ผู้ชายนิ้วยาวๆ ที่ใช้โน้ตมาจนชินก็โอเคนะครับ แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ นิ้วสั้นๆ นี่ไปหาทางแก้ปัญหาชีวิตกันเอาเอง
อีขอบโค้งที่เพิ่มเข้ามานี่แหละครับที่ทำให้ความกว้างของเครื่องมันกว้างกว่ารุ่นปกติ เพราะมันต้องวาดเส้นโค้งลงมาหน่อยจะได้พอดี
วางซ้อนกันให้ดู พอมีขอบโค้งแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างแบบไม่ต้องการเหตุผล คงอารมณ์แบบ
“โอ๊ย โน้ตสี่เหรอ ใครๆ เขาก็มีกัน ยืนถือบนรถไฟฟ้าแล้วหน้าตาก็ไม่เห็นจะต่างจากรุ่นอื่น”
“งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง ของกูขอบโค้งเว้ย!” (หันขอบออก)
“เหยด มีตังค์อย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีรสนิยมด้วย” อะไรแบบนี้
เออ จะบอกว่าคนซื้อมือถือก็เพราะเหตุผลแบบนี้กันเยอะนะครับ 555
ถ่ายมาให้ดูอีกหลายๆ มุมตามประสาคนสนใจเรื่องดีไซน์มากกว่าตัวเลขสเป็ก พลิกซ้ายพลิกขวาดูรอบๆ เครื่อง ก็ถือว่าเก็บงานออกแบบดีๆ มาได้เกือบทุกมุม ติดแค่เลนส์กล้องด้านหลังที่มันนูนๆ ออกมาเป็นสี่เหลี่ยมหน้าตาเชยๆ นี่เท่านั้นแหละที่ดูเป็นปมด้อยของเครื่อง ไม่สวยเอาซะเลย หาเคสมาใส่ซะ
สิ่งที่ต่างไปจากโน้ตสี่รุ่นปกติอีกอย่างก็คือตำแหน่งของปุ่มเพาเวอร์ ที่ย้ายจากด้านข้างไปด้านบนครับ เนื่องจากขอบโค้งมันมาครองพื้นที่ด้านขวาของเครื่องไปแล้ว ดังนั้นปุ่มที่ว่าจึงโดนย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่กดไม่ถนัดซะเลย ก็บอกไว้ก่อนเผื่อใครจะซื้อมือถือมากดปิดเปิดบ่อยๆ จะได้ไม่เสียอารมณ์ (ใครมันจะไปกดบ่อยๆ วะ)
.
.
อีตรงขอบโค้งมันเอาไว้ทำอะไร
นี่เป็นโจทย์สำหรับรีวิวนี้ อย่างที่บอกว่าผมใช้โน้ตสี่รุ่นปกติอยู่ และแฮปปี้กับมันมาก (ถ้าให้คำแนนความพึงพอใจ สมัยโน้ตสามให้สัก 7/10 พอมาโน้ตสี่ก็ 9/10) ดังนั้นพอมันเหนือโน้ตสี่ขึ้นมาอีกปิ๊ดนึง ก็เลยขอเพ่งเล็งหน่อย
ก่อนหน้านี้ผมเห็นฝรั่งโพสต์แซะไว้ประมาณนี้
ซึ่งผมก็เห็นด้วยว่ามันต้องไม่มีประโยชน์อะไรมากกว่าการโชว์ว่ากูโค้งได้นะ เนื่องจากดูในคลิปโฆษณาฟีเจอร์ ก็เห็นแต่ความพยายามหาอะไรใส่ให้มันซะหน่อยทั้งนั้น แล้วไม่ได้เกิดความว้าวอะไรเลย -_-
แต่พอมาเล่นจริงๆ ก็พบว่า “ที่จริงมันก็ใช้ได้เหมือนกันนี่หว่า”
ถ่ายใกล้ๆ ชัดๆ ให้เห็นว่าส่วนที่เป็นจอโค้งนั้นเวลาเราใช้งานจิปาถะทั่วไป มันจะเป็นสีดำสนิทเหมือนขอบเครื่องปกติ ดูไม่รู้ว่าเป็นจอ แต่เพื่อแก้เหงา เขาเลยทำข้อความตรงนี้ไว้ซะหน่อยเพื่อให้รู้ว่าเรามีจอข้างๆ นะ
ซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนพื้นหลัง เปลี่ยนข้อความได้ตามใจชอบ (เวลากดจับภาพหน้าจอจะติดแถบสีดำมาด้วย เพื่ออะไรยยยย)
ประโยชน์อันเห็นได้ชัดอย่างสุดยอดโคตรๆ ของมันก็คือ การย้านพวกข้อความโนติสั้นๆ (เช่น ตั้งปลุกแล้วนะ ลบแอปแล้วนะ ดึงปากกาออกแล้วนะ จับหน้าจอแล้วนะ ฯลฯ) ไปวางไว้ที่ขอบด้านข้าง ซึ่งปกติอีข้อความพวกนี้มันจะโผล่กลางๆ จอ ทำให้เกะกะเวลาเรากำลังโซเชียลติดพันอยู่ใช่ไหมครับ การเคลียร์พื้นที่ส่วนกลางให้สะอาดสะอ้านแบบนี้จึงเป็นข้อดีมาก
อ้อ อยากให้สังเกตความหนาของแถบดำด้านข้าง ภาพนี้แถบดำจะเยอะหน่อย แต่ภาพบนก่อนหน้านี้จะเป็นแถบสลิมๆ นั่นเป็นเทคนิคการออกแบบหลอกตาให้ได้พื้นที่หน้าจอกว้างขึ้นนิดนึง (สังเกตพื้นที่หลังตัวเลขแสดงเวลาด้านบน) ซึ่งส่วนโค้งที่เพิ่มมาจริงๆ นั้นหนาเท่าภาพบนนี้แหละครับ ส่วนเรื่องปากกาไม่ต้องห่วง หน้าจอทั้งผืนรองรับการสัมผัสด้วยปากกาเป็นปกติครับ
หน้าจอล็อกสกรีนปกติเป็นแบบนี้
พอเอานิ้วไปไถส่วนโค้งนั่นในแนวนอน ก็จะเห็นว่ามีแถบเครื่องมืออื่นๆ กระดึ๊บเข้ามา เป็นเหมือน shortcut ให้เรียกแอปได้เลย อันนี้สะดวกมากจริงจัง ให้ผ่าน
เลื่อนไอคอน “^” ขึ้นมาก็จะเจอปุ่มให้จิ้มปรับเปลี่ยนสลับตำแหน่งและแทนที่แอปได้ตามใจชอบ (สังเกตไอคอนด้านขวามันแสดงเบิ้ล ทำให้พอจะเดาได้ว่าเราไม่สามารถลากข้ามระหว่างส่วนตรงกับส่วนโค้งได้ น่าสนใจว่าที่จริงมันคือการเอาจอสองจอมาต่อกัน แต่การทำงานนั้นแยกขาดจากกันเลย)
ไม่ใช่แค่ shortcut นะครับ แต่ด้านขวานี่มันเหมือนเป็น dock ที่เอาไว้ใส่อะไรก็ได้ที่พร้อมจะแสดงผลเป็นแถบยาวๆ ซึ่งทางซัมซุงเองก็มีทำของเล่นมาให้ปรับเปลี่ยนเปิดปิดพอสมควร แต่ยังไม่เยอะ (ไอ้การที่จะเยอะหรือไม่เยอะนี่ขึ้นอยู่กับอนาคตของมือถือรุ่นนี้ด้วยแหละ ถ้าคนใช้น้อย คนเขียนแอปก็ขี้เกียจทำมาลงให้เปลืองเวลา)
อันนี้ตัวนับก้าวและอื่นๆ ของ S Health
เสียดายที่ผมลืมถ่ายไว้อันนึง เป็นการเลื่อนๆ ไปแล้วเจอปุ่มลัดไว้เปิดปิดไฟฉาย (เอ้า สะดวกมากเลยนะ) และเครื่องมืออื่นๆ รวมถึง. ไม้บรรทัดครับ
เฮ้ย ไม้บรรทัดมันวัดได้จริงๆ นะ 555 แต่ห้ามเอามาวัดแล้วทาบคัตเตอร์กรีดล่ะ เดี๋ยวพินาศหมด ไปซื้อฟุตเหล็กถูกๆ ดีกว่า
ส่วนของนักพัฒนาภายนอกก็มีช่วยกันสร้างสรรค์วิธีใช้งานอื่นๆ แต่อย่างที่บอกว่ามันยังน้อยครับ ถ้าไม่ดั้นด้นเข้าไปดูที่บอร์ด XDA (ซึ่งมันไม่ช่สถานที่สำหรับผู้ใช้ทั่วไปนะ) ก็จะไม่เห็นข้างนอกเท่าไหร่
สองภาพด้านบนคือสิ่งที่ดีที่สุดของการมีขอบข้างเพิ่มขึ้นมาครับ คือแอป S Note ของซัมซุงเองที่ปกติแล้วเวลาผมใช้จะหงุดหงิดที่ปุ่มไอคอนต่างๆ มันชอบมาวางตรงขอบบนขอบล่างของภาพ เกะกะมาก แต่พอย้ายทุกอย่างไปด้านข้าง มันเวิร์กจริง สะดวกจริง หน้าจอสะอาดจริง
ยิ่งถ้าใช้จอแนวนอนแล้วจะรู้เลยว่า การจดโน้ตแบบหน้าจอเโล่งเรียบนั้นมันเวิร์กมาก อันนี้ให้ 10/10/10
นอกนั้นก็อย่างแอปเล่นไฟล์มีเดีย การย้ายปุ่มควบคุมไปไว้ข้างๆ นั้นถือว่าโอเคครับ ทำได้ดีอย่างที่จินตนาการไว้
เรื่องกล้อง นี่ก็ย้ายปุ่มต่างๆ ไปไว้ด้านข้างหมดเลย เห็นหน้าเต็มๆ สะใจครับ แต่ถนัดไหม ไม่ถนัดครับ เพราะปุ่มชัตเตอร์อยู่ในตำแหน่งที่กดยากกว่าเดิม นึกออกไหมว่าเวลาจะกดถ่ายนี่มันต้องเอื้อมนิ้วไปจิ้มตรงนั้น ชีวิตยากขึ้น ไม่ผ่าน แต่แก้ไขได้ด้วยการเปิดโหมด “แตะจอแล้วถ่ายทันที” หรือไปใช้แอปกล้องอื่นๆ แทน
อันนี้ลองให้น้องจิน (นางแบบร้าน Nalinfa) ถือดู เห็นไหมครับ มือถือบ้าอะไรใหญ่กว่าหัวอีก (มุมกล้องเถอะ!)
สำหรับภาพถ่ายที่ออกมานั้นก็ไม่ต่างจากโน้ตสี่รุ่นปกติครับ
วางเทียบกันให้เดาเอาเองว่าภาพไหนใครถ่าย (กดไปดูข้อมูลได้) ซึ่งกล้องของโน้ตสี่นี่ผมสบายใจละครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าไอโฟนกล้องมันดีแค่ไหน แต่เห็นการทดสอบ blind test แล้วโน้ตสี่ชนะขาดลอย สาวกไอโฟนกรี๊ดแตก เท่านี้ก็พอ ฟินละกู 555
นอกนั้นก็เป็นฟีเจอร์ขี้หมูขี้หมาประปรายนะครับ เช่นนาฬิกาด้านข้างที่เปิดเองตอนกลางคืน เหลือบดูได้โดยไม่ต้องชะโงกมองเครื่อง หรือเคสแบบมีปกหน้า ที่ออกแบบมาไม่เต็มแผ่นเพื่ออวดขอบโค้ง (ดูไม่ลงตัวจนพิลึก ทำเพื่ออะไร 5555)
คือลำพังแค่โน้ตสี่รุ่นมาตรฐาน มันก็เป็นมือถือรุ่นที่เทพที่สุดตัวหนึ่งในจักรวาลแอนดรอยด์แล้ว แต่ Note Edge นี่มีการตีบวกพลังขึ้นมาอีก ก็เลยมีอะไรไว้อวดน้องเมียได้มากขึ้นอีก (แน่นอนว่าราคาก็แพงขึ้นอีก)
นี่รอดูการอัปเดตเป็นแอนดรอยด์ 5.0 (หรือ 5.1 นะ) ที่ทำให้ระบบเปรียวกว่านี้ แอปแถมเกะกะๆ หายไป และดีไซน์สวยขึ้น รับรองว่าถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาซะอย่าง จะโน้ตไหนสักโน้ตก็ถือเป็นของดีที่ใช้แล้วบอกต่อเป็นยาสีฟันดอกบัวคู่เลยครับ
เอ้า ไหนๆ ก็ไหนๆ สรุปปิดท้ายซะหน่อย
.
.
ข้อดีข้อเสียหลังจากใช้งานจริงมาหนึ่งสัปดาห์
- ข้อดี ขอบข้างนั้นใช้ประโยชน์ได้จริง ลบล้างคำสบประมาทที่คิดไว้ว่ามันคงจะเหมือนการ์ตูนที่ข้างบน คือซัมซุงคงพยายามจะยัดฟีเจอร์ลงไปแบบทุลักทุเล และออกมาดูแย่ ซึ่งก็จริงที่บางอย่างมันดูทุลักฯ อยู่บ้าง แต่บางอย่างก็เวิร์กจริง (อย่าง S Note หรือปุ่มลัดต่างๆ)
- ข้อเสีย แอปที่รองรับขอบข้างนั้นยังน้อย บางทีแมคก็อยากให้ยูทูบหรือโครมมันสนับสนุนบ้าง เอาแท็บ เอาปุ่มคอนโทรลไปใส่คงจะลงตัวมาก แต่ก็นะ มันไม่ได้เมดบายซัมซุง
- ข้อดี สัดส่วนจอเมื่อรวมกับแถบควบคุมที่เพิ่มมาแล้ว มันโอเคเลยนะสำหรับคนที่ชินกับมือถือจอใหญ่ คือใหญ่เต็มตา
- ข้อเสีย แต่เครื่องก็บานออกด้านข้างเพิ่มขึ้นอีกจึ๋งนึง มึงยังใหญ่ไม่พอใช่ไหมที่ผ่านมา ควรพอนะ
- ข้อดี มันดูไฮโซจริงๆ อีคนออกแบบมันคิดอะไรอยู่ถึงผลักดันให้จนเคาะผ่านได้วะ 5555 เสียดายรูปถ่ายมันไม่ค่อยส่งเสริมความไฮโซของมันเท่าไหร่ แล้วกระจกที่เป็นส่วนโค้งนี่ลูบสนุกมากครับ สัมผัสจะคล้ายกับ Gear Fit เลย (ผมชอบนะ) แนะนำว่าให้ลองไปลูบดูในงานมือถือ หรือตามศูนย์ซัมซุงเอาละกัน
- ข้อเสีย ไม่รู้จะเรียว่าเป็นข้อเสียได้หรือเปล่าเพราะผมไม่ได้สนใจมาก คือขอบด้านที่โค้งเนี่ย มันไม่ใช่โลหะแบบขอบอื่นๆ นะครับ ความไฮโซ (?) จะลดลงไปหน่อยเพราะต้องหลักทางให้จอโค้งไง อะไรนะ กรี๊ด เป็นพลาสติกเหรอ ชั้นรับไม่ได้ กรี๊ดดดดดด (โปะครีมเซเล็บรัวๆ)
.
.
.
สรุป: เพิ่มขอบชีสแล้วคุ้มไหม?
- คุ้ม ถ้าคุณเป็นคนขี้อวดและมีตังค์พอจะจ่ายเพิ่มขึ้น 3,000
- ไม่คุ้ม ถ้าคุณรู้สึกว่ามือถือราคาสองหมื่นมันแพง เพราะนี่มันล่อไป 2 ปลายแล้วนะครับ
- คุ้ม ถ้าเทียบราคาแล้วพบว่ามันเท่า iPhone 6 Plus รุ่นกากสุด
- ไม่คุ้ม เดี๋ยวราคามันก็ตก ขายต่อขาดทุน (บางคนซื้อมือถือมาขายต่อจริงๆ นะ)
- คุ้ม ถ้าเข้าใจวัฎจักรราคาของมือถือซัมซุง แล้วสอยในช่วงที่จังหวะเหมาะๆ หรือมีโปรร่วมกับอะไรสักอย่าง (มีมาบ่อยๆ แหละ) เท่านี้ก็จัดได้ละครับ
- สรุปว่าเงินใครเงินมันครับ 555555
.
เอวัง