ยุคที่เราจะเป็นง่อยได้มาถึงแล้ว

#โหมดพ่อบ้าน

central-1

ก่อนหน้านี้เวลาไปซื้อของอะไรมาเติมในบ้าน เช่นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาถูพื้น ผ้าอ้อมเด็ก ยาสระผม ฯลฯ วันนั้นทั้งวันจะอุทิศตัวให้กับการไปเดินบิ๊กซีแถวบ้านครับ โดยฝากตัวเล็กไว้ที่บ้าน แล้วพาตัวใหญ่ไปกินเอ็มเคก่อน พออิ่มแล้วก็พาไปซื้อไอติม หลังจากนั้นพิธีกรรมการเดินบิ๊กซีค่อยเกิดขึ้น ซึ่งก็หมดไปประมาณครึ่งค่อนวัน

ก่อนหน้านี้ได้ลองซื้อของออนไลน์จาก Lazada ดู ก็พบว่ามันสะดวกดีแฮะ ไม่ต้องถ่อเข้าไปในเมือง เสียเวลาเป็นวันและเสียค่าเดินทางเยอะแยะเพื่อให้ได้มา เอาส่วนต่างราคานั้นมาโยนเป็นค่าของในเว็บนี้ดีกว่า ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าดี ถึงจะยังรู้สึกตงิดๆ นิดนึงตรงที่ของที่ซื้อมันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาหลายบาทอยู่ แล้วผมจ่ายตังค์ไปโดยไม่ได้จับของจริง ก็เลยพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากว่ามันทดแทนวิธีการซื้อของแบบออฟไลน์ได้จริงๆ นัก

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ย้อนไปนิดนึงครับ เมียผมนี่เป็นสลิ่มเต็มขั้น รักเซ็นทรัลพอๆ กับบ้าน มีความสุขที่ได้สัมผัสอากาศสังเคราะห์ผสมกลิ่นรองเท้ากระเป๋าในนั้นโดยมีลูกผัวเดินตามต้อยๆ แถมเมียยังทำบัตรเครดิตของเซ็นทรัล (ที่ให้วงเงินกากมาก) มาด้วยความจงรักภักดี ถึงแม้จะบ่นเรื่องวงเงินจนจะเอาไปปาทิ้งหลายที แต่ด้วยความรักในยี่ห้อห้างแห่งนี้ เมียเลยยังโอเค ไ่ว่าจะซื้อของกิน ของใช้ในบ้านที่บิ๊กซีโลตัสแถวบ้านมี ก็ยังจะหาเรื่องไปเซ็นทรัลจนได้ ซึ่งจะว่าไป อีผัวก็แฮปปี้ดีเพราะอาหารตาแถวนั้นเยอะเหลือเกิน #แฮ่กๆๆ

แต่มันจะไม่แฮปปี้ก็อีตรงสภาพการจราจรระหว่างบ้านถึงห้างนี่แหละครับ ที่ไม่รู้ว่ามันจะติดอะไรกันนักกันหนา ขนาดค้นพบว่าต้องไปช่วงวันธรรมดาตอนสายๆ ถึงรถจะโล่ง จอดง่าย แต่พอเมียดำผุดดำว่ายในห้างเสร็จ นอกจากจะเสียค่าจอดรถแพงสัสแล้ว ช่วงบ่ายที่ออกมาก็ยังจะต้องพบสภาพการจราจรที่โหดร้ายอีก บัดซบ เกลียดมัน (เกลียดห้างนะไม่ใช่เกลียดเมีย)

จนวันหนึ่งเมียก็บอกให้ซื้อของในเว็บเซ็นทรัลให้หน่อย

ผมก็ อะไรวะ (นึกในใจสิ บ้า ใครจะไปพูด) นี่อาการหนักขนาดซื้อออฟไลน์เสร็จแล้วยังมาออนไลน์อีกเรอะ

ก็เลยกดดูในหมวดผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็ก เพื่อจะพบว่า แม่งโคตรถูกเลยโว้ย! ถูกกว่าบิ๊กซีอีก! (พ่อบ้านที่แท้จริงจะต้องจำราคาพร้อมส่วนลดที่บิ๊กซีได้เสมอ) ก็เลยกดซื้อไป อ้าวอะไรวะ มีโค้ดส่วนลดอีก! แล้วนี่ เฮ้ย ส่งฟรีอีก! (ในเว็บบอกว่าซื้อ 499 บาทขึ้นไปส่งฟรี ซึ่งผ้าอ้อมสำเร็จรูปห่อเดียวก็เกินแล้ว)

เท่านั้นยังไม่พอ อีตอนส่งฟรีก็มีโทรนัดหมาย มีใบเซ็น ใบเสร็จ มีกล่องพัสดุ หุ้มเม็ดพลาสติกกันกระแทก พร้อมใบรับประกันคืนเงินถ้าสินค้าไม่สมบูรณ์

บั้ลแล้วววววว

จบครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เวลาของใช้สิ้นเปลืองในบ้านหมดลง สลอธอย่างผมก็จะเปิดเว็บ แล้วกดซื้อ และรอโทรศัพท์จากพนักงานส่งในวันถัดไป แล้วจะไม่ให้ง่อยแดกได้ยังไงครับ

ป.ล.
มีครั้งหนึ่งไปเดินบิ๊กซี (ก็ยังไปอยู่นะเพราะเว็บออนไลน์ไม่มีของสด) นึกได้ว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปหมดเลยแวะไปดูว่ามีส่วนลดเยอะๆ ไหม พบว่าเซ็นทรัลถูกกว่า ก็เลยเปิดมือถือ นั่งกดเว็บเซ็นทรัลแม่งในบิ๊กซีนั้นเลย เอ๊ะบิ๊กซีกะเซ็นทรัลนี่ญาติกันใช่ไหม เขาคงไม่ถือมั้ง…

ป.อ.
เออ จะว่าไปยังไม่เคยซื้อจากบิ๊กซีออนไลน์เลย เห็นว่าซื้อหลักพันแล้วเขามาส่งถึงบ้านเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ถึง ก็นัดรับสินค้าที่เคาน์เตอร์ได้เลย คือพนักงานจะไปหยิบๆ มาให้แล้วรวมใส่รถเข็นมั้ง? (นึกภาพคราวหน้าไปบิ๊กซี กินเอ็มเค ระหว่างรอก็กดช็อปในเว็บไปด้วยงี้ พออิ่มก็ขึ้นไปเอาตะกร้าเลย บ้าจริง 5555)

ป.ฮ.
บล็อกตอนนี้เขียนค้างไว้ตั้งแต่เที่ยง พอดีลูกเมียมาเลยยุ่งทั้งวัน เพิ่งว่างเขียนต่อตะกี้ ประเด็นคือเมียบอกเมื่อตอนเย็นว่าเดี๋ยววันจันทร์จะไปทำผมที่เซ็นทรัล..

มือถือเดี๋ยวนี้มันต้องกี่บาท

บล็อกทุนนิยมอีกแล้ว จดไว้หน่อย เดี๋ยวอีกสองสามปีก็ลืม จะได้กลับมาดู

มือถือตอนนี้ก็คงเหมือนคอมในยุคนึงที่แข่งกันทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาอย่างดุเดือด จนตอนนี้คอมพันจุดอิ่มตัวและเข้าสู่ยุคหดตัว กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง ที่ไม่ใช่ว่าทุกบ้านต้องมีเหมือนสมัยก่อนแล้ว ซึ่งอุปกรณ์พกพาที่เราแทบทุกคนมีกันในมือตอนนี้ก็เบียดเข้ามาทำหน้าที่นั้นแทน (อันนี้ย้อนไปสิบปีก่อนใครมันจะไปนึกวะ ตี๊บจ็อบเองจะนึกหรือเปล่า)

ผมเกิดทันในยุคที่ออเร้นจ์เปิดตัวในไทย พอดีได้โควตาญาติพนักงานเทเลคอมเอเชีย รับส่วนลดโปรโมชันสักอย่างที่ทำให้สามารถซื้อมือถือเครื่องแรกในชีวิตมาได้ นั่นคือโนเกีย 3310 ในตำนาน

ราคาท้องตลาดตอนนั้นประมาณ 8-9,000 บาท แต่ญาติพนักงานคนนี้ทุบกระปุกซื้อมา 5,000 บาท! สเป็กตอนนั้นถือว่าเจ๋งสุดๆ ถ้าเปรียบเป็นรถยนต์ก็คงเหมือนวีออสเพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ และหลังจากนั้นมันก็ขายดีระเบิดระเบ้อ กลายเป็นรุ่นยอดนิยม มีหน้ากากขายสารพัด มีนวัตกรรมเสียงริงโทน หรือสายโมดิฟายมากมายที่เอามาต่อกับคอมแล้วแต่งนั่นนี่ได้ แม้จะหน้าจอสีเดียว และเป็นเม็ดพิกเซลเหลี่ยมๆ ก็เถอะ แต่ความมันส์มันอยู่ที่ใครจะแต่งมือถือตัวเองได้แซบกว่ากัน (ตูก็บ้าซื้อมาเล่นนะ ตอนนั้นอดข้าวซื้อไอ้สายที่ว่านี่เส้นละสองสามร้อยมั้ง มานึกดูแล้วน่าต่อยมาก) และที่สำคัญคือมือถือในตำนานเครื่องนี้ดันทนทานดุจชัชชาติผลิตให้ ใช้มาหลายปีกว่าจะพินาศไป ทำให้เครื่องต่อๆ มาที่ใช้ก็เป็นฟีเจอร์โฟนเครื่องละสองสามพันแนวๆ ไอโมบาย ฯลฯ ที่ใช้งานได้แค่ปีเดียวก็เจ๊ง

จนมาถึงยุคสมาร์ทโฟน ที่จริงพวกโนเกีย ซัมซุง แอลจี อะไรนี่ ก็มีความสมาร์ทอยู่พอสมควรนะครับ ดูหนังฟังเพลงได้แบบขลุกขลักหน่อยในราคาเฉียดหมื่น (ซึ่งตอนนั้นก็ดูสมเหตุสมผลกับราคานี้ แต่ผมยังมีความสุขกับมือถือธรรมดาอยู่) แต่พอแอปเปิลเปิดตัวไอโฟน โลกสมาร์ทโฟนก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ตอนนั้นก็นั่งดูและกรี๊ดแบบที่ใครๆ ก็เป็นกันนี่แหละ ชอบดีไซน์ ชอบนวัตกรรม ถึงจะงงๆ อยู่หน่อยว่า มือถือมันจะแข่งกันมีกล้องทำไม? (สมัยนั้นโลกยังไม่มีคำว่าเซลฟี่ไง) สรุปว่าชอบเกือบทุกอย่าง แต่ไม่ชอบอยู่อย่างเดียวคือราคา..

อีห่า มือถือเครื่องนึงซื้อเครื่องสูบน้ำได้ตั้ง 4 เครื่อง

(ผมชอบเทียบราคาของเล่นไฮเทคพวกนี้กับเครื่องสูบน้ำครับ พอดีเมื่อก่อนที่บ้านน้ำประปายังไม่เข้า ต้องสูบน้ำใต้ดินใช้ เลยพอรู้ราคาว่าเออ จ่ายเท่านี้ได้ฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพขนาดนี้ ต่อมาเวลาเห็นอะไรแพงๆ ก็จะเทียบกับเครื่องสูบน้ำไว้ก่อน // พี่ในฟอนต์คนนึงแกเลี้ยงควาย แกเลยเทียบกับควายบ้าง ว่าต้องขายควายกี่ตัวถึงจะซื้อได้งี้ น่ารักดี)

ด้วยจำนวนเงินในบัญชี และค่าครองชีพตอนนั้นที่ไอโฟนออก เงินสองหมื่นกว่าบาทกับมือถือหนึ่งเครื่องมันเป็นสิ่งไกลตัวมาก จนอีกค่ายคือแอนดรอยด์เปิดตัวมือถือของตัวเองบ้าง (รู้สึกว่ามันก๊ากกาก) จนไอโฟนออกรุ่นถัดมา ถัดๆ มา แอนดรอยด์ก็อปไอ้นั่นล็อกไอ้นี่ ไอโฟนก็เลยก็อปกลับบ้าง

ในที่สุดก็เลยทนกิเลสไม่ไหว ทุบกระปุกอีกครั้งเพื่อซื้อมือถือจอสัมผัสเครื่องแรกมาเป็น hTC Legend มือสอง (รับของที่บีทีเอสหมอชิต) ได้มา 15,000 บาทถ้วน ในขณะที่ท้องตลาดมือหนึ่งอยู่ที่ 17,900 บาท ก็ถือว่าโอเคมากนะครับ แอนดรอยด์ตอนนั้นเป็น 2.2-2.3 แล้ว ในขณะที่แอปเปิลก็ยังนำอยู่ห่างไกลทั้งประสิทธิภาพและราคา แต่ไม่เป็นไร ดูแววของกูเกิลยาวๆ แล้วขอลงทุนเชียร์ค่ายนี้ดีกว่า (ตอนนั้นยังไม่เป็นติ่ง)

และแล้วก็เสร็จเลยครับ เคยใฝ่ฝันมาตลอดว่าวันหนึ่งจะขอออกแบบชีวิตตัวเองให้ทำงานที่ไหนก็ได้ (ข้ออ้าง) แล้ววันนั้นก็เปิดศักราชใหม่เลย ปรับระบบนั่นนี่จนสามารถพกมือถือเครื่องเดียวทำงานนอกบ้านได้สบายจนทุกวันนี้ (บล็อกนี้ก็เขียนในมือถือ)

พอ hTC Legend หมดอายุขัยไปหลังจากทำตกครั้งที่ 86 สภาพรอบเครื่องบุบบิบยับเยินแต่ตัวถังเป็นโลหะเลยยังคงทนอยู่นะ แต่ปุ่มเปิ่มนี่ไม่ไหวแล้ว เลยมองหาเครื่องถัดมา โดยมีโจทย์เดิมว่าต้องทำงานนอกบ้านได้ คราวนี้ขอเพิ่มอีกข้อคือต้องโซเชียลได้ด้วย นั่นเพราะเริ่มมีตังค์พอจะซื้อเน็ตใช้ได้แล้ว แบะประเทศไทยเริ่มมีแววจะได้เห็นสามจีในอีกไม่นาน

พอดี ณ พ.ศ.นั้น ระดับราคาที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างความเจ๋งกับความพอใช้ได้คือ 15,000 บาท จึงจัด Galaxy Note มาในราคาเฉียด 20,000 มั้ง (ลืมเป๊ะๆ ไปแล้ว) เล่นของแพงเลยครับ กะว่าลงทุนกับมันไปเลยจะได้ใช้นานๆ ซึ่งก็ใช้คุ้มฉิบหายโดยเฉพาะปากกาของมัน (ตอนนั้นก็ยังถือว่ากากนะ แต่มันยังไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ไง) ตอนนั้นก็อวยปากกามันจนเวอร์เหมือนรับเงินซัมซุงมาโฆษณา แถมพอใช้ไปปีนึงยังไม่ทันจะพังเลย ก็ดันไปประกวดวาดรูปชนะ จนได้รุ่น Galaxy Note 2 มาอีก ทีนี้ของมันดันเจ๋งกว่าเดิมเยอะ คือราคาของในระดับเครื่องสูบน้ำ 4 เครื่องเนี่ย มันควรต้องดีให้สมกับความแพงเลยนะ

ก็โอเคนะครับ รู้สึกคุ้มดี ข่าวมือถืออะไรก็ติดตามตลอด ยังรู้สึกว่ามันเป็นของดีจริงๆ อยู่ (เป็นคนบ้าอ่านฟีดเทคโนโลยีล้นสมองเพื่ออะไรไม่รู้) แม้ตอนแรกไม่เคยคิดจะซื้อเลยก็ตาม เพราะโน้ตตัวแรกมันยังดีอยู่มาก แต่พอเทียบกับเครื่องรุ่นสองแล้วมันดันดีกว่ากันชัดเจนแบบก้าวกระโดด ก็เลยกะว่าจะอยู่กับมันไปอีกนาน..

แล้วโน้ตสามก็มา..

พอดีได้ไปงานเปิดตัวของซัมซุงด้วยน่ะครับ (เขาคงเห็นว่าเราอวยบ่อยเลยให้ไปด้วย) ก็เลยได้ลองเล่นของจริงดูก่อนที่มันจะวางขาย คือมันก็เจ๋งกว่าเดิมมากๆ อีกครั้ง แต่พอเปิดราคามาที่สองหมื่นกว่าบาทก็ถอดใจครับ จำได้ว่าแพงกว่าไอโฟนซะอีก เลยนึกไว้ว่าราคาระดับนี้ไม่ไหวนะ คงใช้จนโน้ตสองในมือพังไปก่อนแล้วค่อยหาใหม่

ปรากฏว่ากลับบ้านไปเมียถามว่าเป็นไง ดีไหม ตอบไปว่าดี เมียบอกดีก็ซื้อเลย คนอย่างเตงใช้คุ้ม

อ้าว ไฟเขียวมาจากเมียแบบนี้ ซวยเลยครับ สุดท้ายก็กลืนน้ำลาย ซื้อไปจนได้ T-T ยังดีที่เอาเครื่องเก่าไปขายต่อได้ เลยเหมือนตอนนี้เราเสียค่าอัปเกรดให้ทันเทคโนโลยีติ่งๆ ประมาณปีละแปดเก้าพัน บวกลบดูแล้วน่าจะเป็นราคาที่โอเคอยู่ เพราะตัวเองก็อยู่ในโลกทุนนิยม กิเลสนิยม และบ้าเทคโนโลยี ที่สำคัญคือเราหาเงินได้จากทางนี้ ก็ควรเสียเงินเพื่อมัน
ต่อมาทันดันมีโน้ตสามรุ่นใหม่ที่ปรับตัวขยับขึ้นไปรองรับ 4G ได้อีก (ที่จริงคือมีอยู่แล้วแต่เพิ่งเอาเข้ามาขายในไทย และเพิ่มราคาพอสมควร) ไอ้ผมก็มาฟอร์มเดิม ซื้อทำไม ทุกวันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เว็บ Droidsans ดันมีเกมให้เล่นแข่งกันชิงมือถือรุ่นที่ว่านี้ ผมเลยไปแข่งแล้วชนะมา แม่งได้มาอีกเครื่อง 囧 ก็ปล่อยเครื่องเดิมไปเพื่อใช้เครื่องใหม่จนทุกวันนี้

แน่นอนว่าแฮปปี้ทุกอย่างกับของเล่นชิ้นปัจจุบันนี้ เพราะตอบโจทย์ชีวิตได้ทุกอย่าง แบบที่เป็นมากกว่าของเล่นหรือเอาไว้อวดกัน (คือผมไม่เล่นเกม แต่ใช้ทำงาน อ่านข่าว กับโซเชียลหนักๆ อันหลังนี้เสพติดสุด) จะติดอยู่ก็แค่เกลียดแอปอ้วนๆ รกๆ จากผู้ผลิตเอง ที่ติดมากับเครื่องที่ชาตินึงก็ไม่ได้ใช้ และลบออกไม่ได้ กับอินเทอร์เฟซโบราณๆ ของซัมซุง นอกนั้นโอเคนะ เวลามีปัญหา เข้าศูนย์บริการก็โอเค ไม่เจอปัจจัยดราม่าแบบที่ใครเขาเจอกันเมื่อก่อน

ก็คงปากดีเหมือนเดิม ว่าจะใช้มันไปจนกว่าจะพัง หรือเมียไฟเขียวให้อัปเกรดไปอีกรุ่นงี้

ทีนี้จุดเปลี่ยนมันดันเป็นช่วงสองสามอาทิตย์ก่อนนี่เองครับ

คือเมียผมให้หาข้อมูลไว้ซื้อมือถือใหม่ให้แม่ยาย ก่อนหน้านี้เคยตั้งงบไว้ 5-6,000 บาท ก็ซื้อ Oppo เครื่องนึงตามงบเพื่อให้แกหัดเล่น (หลักๆ คือไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ) ปรากฏว่าได้มาสมราคา คือเล่นได้ แฮปปี้ดี แต่มันก็ไม่ได้ดีอะไร อยู่ในระดับที่ใช้ได้เฉยๆ พอลองดูมือถือในตลาดตอนนั้น การจะให้ดีไปเลย (ในสายตาข้าพเจ้า) ก็ต้องมีประมาณ 12,000 ขึ้นไปแหละ

แต่พอสองสามอาทิตย์ก่อน ลองสำรวจราคาดูอีกที เฮ้ย โลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่า Zenfone 5 อยู่ด้วย ราคา 5,990 บาท (เครื่องสูบน้ำเครื่องเดียวพอดี) แต่เครื่องสวยจอใหญ่กล้องดี สเป็กจัดเต็ม นอกนั้นก็มี Xiaomi Mi3 ที่เทพกว่านี้ขึ้นไปอีกเยอะมาก ในราคาที่แพงกว่ากันเกือบเท่า แต่มันก็โคตรคุ้มในระดับที่ถ้าซื้อใหม่ผมก็คงเอาตัวนี้เลย คุ้มที่สุดในโลกนี้เลย ซึ่งข้อเสียของมันก็คือ ณ วันนี้ยังไม่ทำตลาดในไทย แปลว่าถ้าอยากได้ให้หิ้วเอาเท่านั้น (ใครอยากรู้ความดีของมัน ลองกูเกิลเอาเองครับ)

ดังนั้นของแม่ยายเอา Zenfone ไปละกัน ได้ถูกกว่างบหลายพันด้วย แต่เพราะความที่มันดันคุ้มราคาไง เลยหาซื้อที่ไหนก็ไม่มีของซะที …เอ๊ะ มีร้านที่เขารับหิ้วจากสิงคโปร์ในราคาที่แพงขึ้นมาอีกพันเดียวนี่นา ได้รุ่นที่ดีกว่าบ้านเราพอสมควร แถมยังมีของทันทีด้วย ก็เลยตัดสินใจสั่งซื้อไป และได้ของมา

พอลองเล่นดูแล้วสรุปสั้นๆ เลยครับ ว่าคุ้มเหี้ยๆ

ถึงจะคิดได้ช้าไปหน่อย แต่มือถือเครื่องต่อไปก็คงพิจารณาอะไรแบบนี้ครับ คือพวกราคาระดับเดียวกับที่ฟาดฟันกับไอโฟนนั่นคงปล่อยให้เป็นเรื่องของคนชอบเล่นของแพงไป ส่วนเราพอมาเห็น Zenfone และ Xiaomi แล้วก็รู้สึกเสียดายเงินส่วนต่างตั้งสองสามเท่า เอาไปซื้อขนมให้ลูกกินดีกว่าเลยครับ

ที่เขียนบล็อกนี้เลยเถิดก็เพราะนึกได้สั้นๆ ว่า เส้นแบ่งระดับราคาของ “พอใช้” กับ “เจ๋ง” ที่เมื่อก่อนอยู่ที่ 15,000 ขยับลงมาเป็น 12,000 นั้น เดี๋ยวนี้ล่าสุด อีเส้นนี้มันขยับลดลงมาเหลือไม่ถึง 6,000 บาทแล้ว

ยิ่งพอ Xiaomi เปิดตลาดในไทยเมื่อไหร่ (เดาแบบไม่มีข้อมูลอะไรเลย ว่าอาจปีหน้า) รับรองวงการมือถือบ้านเราสั่นสะเทือนพลิกฟ้าดินแน่นอน

อย่าลืมว่าตลาดกลุ่มที่พร้อมจ่ายเงินค่าอะไรพวกนี้ในราคาไม่เกิน 4-5,000 มันมหาศาล และในฐานะคนขายของออนไลน์อย่างผม (โฆษณา) บอกเลยว่า ตอนนี้รอจุด mass crisis รอวันที่ชาวบ้านร้านตลาดสามารถเข้าถึงโลกออนไลน์(ผ่านมือถือ)ได้แบบเจ๋งๆ ไม่ขลุกขลัก ซึ่งปีหน้าเตรียมตัวสนุกได้ มาแน่นอน 100%

ป.ล.
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือในไทย จำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านมือถือในครึ่งปีที่ผ่านมานั้น มีมากกว่าจากคอมแล้ว! ดังนั้นคนทำเว็บโดยคิดอะไรแบบ Mobile First นั้นถึงเวลาของท่านแล้วครับ

ป.อ.
นี่ใช้แอป WordPress ในมือถือ มันทำลิงก์โยงไปบล็อกตอนอื่นๆ ที่อ้างถึงลำบากจัง เดี๋ยวไว้ขยันค่อยมาปรับเป็นลิงก์เพิ่มนะ

ป.ฮ.
คอยดูนะ เดี๋ยว Galaxy Note 4 ออกมา ตูก็กลืนน้ำลายไปซื้ออีก เขียนมาตั้งยาว สัส

006 | เปิดบัญชีออนไลน์กันโว้ยยยย

it_ecommerce

ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน พอผมพ้นคอร์สทหารเกณฑ์ฝึกหนักพักน้อยที่กองร้อย
และออกมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติที่ร้านเน็ตนี่
มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่าจะวิ่งไปหาตู้เอทีเอ็มเพื่อจะกดตังค์
ดังนั้นความสบายอย่างนึงของผมที่เพิ่งมีขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
ก็คือการที่มี “บัญชีออนไลน์” เป็นของตัวเองซะที

สำหรับรายละเอียดของการบริการนั้นผมคงไม่ลงลึกมาก
เดี๋ยวจะกลายเป็นการโฆษณาให้เขาซะเปล่าๆ
แต่จะบอกให้ว่าในอีกไม่นานนี้ พฤติกรรมการใช้เงินในบ้านเรา
ก็จะเริ่มเข้าสู่ยุค “ออนไลน์” มากขึ้นแล้วละครับ Continue reading 006 | เปิดบัญชีออนไลน์กันโว้ยยยย