วันนี้คิดเรื่องนี้ไว้ แล้วมันวนเวียนในหัวรุนแรงมากขึ้นทุกที รู้สึกเลยว่าถ้าไม่ระบายออกมาในบล็อกคงอกแตกตาย พอกลับมาถึงบ้านเลยเปิดคอมเขียนเลย ไม่สนใจลูกเต้าที่กำลังแหกปากร้องละครับ
คือผมเพิ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “พลังกลุ่มไร้สังกัด” (แปลจาก Here Comes Everybody) ฝีมือแปลและเสริมวงเล็บของพี่ยุ้ย @Fringer ที่เคารพ ถึงมันจะเป็นหนังสือที่ขายมาสองปีแล้ว แต่เนื้อหาข้างในที่พูดเรื่องระบบความสัมพันธ์แบบใหม่ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์โดยการมาถึงของเครือข่ายสังคม และพฤติกรรมการรวมกลุ่มทำอะไรสักอย่างของคน โดยไม่ต้องไปเจอระบบระเบียบความยุ่งเหยิงขององค์กร แต่กลับง่ายแบบที่คนที่เกิดไม่ทันยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่มีทางเก็ต อย่างเช่น
- การที่อยู่ดีๆ ก็มีคนไปสร้างอีเวนต์อะไรในเฟซบุ๊ก แป๊บเดียวก็รวมตัวกันได้มหาศาลแล้วโดยไม่ต้องพึ่งบริษัทออแกไนเซอร์เลย แค่คอมหรือมือถือต่อเน็ตได้ก็จบแล้ว
- การประกาศล่าตัวคนร้าย ที่หนังสือเล่มดังกล่าวหยิบยกกรณีศึกษาของฝรั่งในปี 2006 ขึ้นมา ดังนี้: เจ๊คนนึงมือถือหาย / ซื้อเครื่องใหม่มาล็อกอิน ก็เจอในระบบ ว่านางโจรกำลังเล่นมือถือตัวเอง / แต่ติดต่อโจรไปทางอีเมลแล้วแม่งไม่คืน แถมท้าทายด้วย / โมโห เลยทำเว็บประกาศหา / แชร์ต่อเพื่อนๆ / แชร์ต่อกันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีคนเป็นล้านๆ ติดตามจนเป็นปรากฏการณ์ / มีออกสื่อสารพัด ใครถนัดด้านไหนก็ช่วยกัน ทนายมาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นักสืบไล่ตามหาบ้านให้ มีคนไปขุด MySpace ของอีนังนั่นจนเจอแล้วเอามาแชร์ ฯลฯ / ถ้าเป็นแบบไทยๆ ก็อาจจะเรียกว่าล่าแม่มดก็ว่าได้ / ตำรวจเลยต้องลงมาเล่นคดีนี้ / จับได้ ประจานแม่มดกันสมใจ / ปิดคดี
- รวมถึงเรื่องราวอื่นๆ ในหนังสือ ทั้งแบบเล่นๆ ง่ายๆ เช่นการแท็กภาพใน FLickr (แต่เบื้องหลังของมันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ) ที่ทำให้ยุคนี้การหาภาพจากงานอะไรสักอย่างแม่งโคตรง่ายเลย เช่นโอลิมปิกก็ได้เอ้า มีตากล้องทั้งมือสมัครเล่นยันมืออาชีพไม่รู้เท่าไหร่ที่แชร์มาให้ดูโดยที่เมื่อก่อนกว่าจะได้ภาพเจ๋งๆ มาสักทีนี่หากันแทบตาย
- หรือจริงจังอย่างที่พวกนักบริหารสนใจ เช่นกล่าวถึงปัญหาของระบบที่เกิดจากการบริหารองค์กรหรือโปรเจกต์ใดๆ “จากบนลงล่าง” นั้น ดันแก้ปัญหาหลายๆ อย่างไม่ได้ (เป็นปัญหาอมตะในรอบร้อยปีที่ผ่านมา) สำเร็จลุล่วงด้วยพลังมวลชน และเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกต่อมวลชนนั้น โดยที่ค้าใช้จ่ายลดลงอย่างน่าตกใจ จนแทบจะเรียกว่าฟรี!
จนพอขี่แว้นกลับบ้าน ก็เลยนึกว่าเออ ถ้าจะเอาไอ้พวกนี้มาประยุกต์ใช้กับการจราจรบ้านเราได้ก็คงดี..
อ้อ ออกตัวไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวคนต่างจังหวัดจะน้อยใจเอา ว่าผมขอจำกัดคำว่า “บ้านเรา” ลงไปแคบๆ เหลือแค่พื้นที่กรุงเทพฯ ก่อนนะครับ เพราะชั่วแวบนี้มันคิดได้เท่านี้ ต่อไปมันอาจจะงอกเงยเป็นอย่างอื่นก็ได้
ปัญหา
- มี 2 เรื่องใหญ่ๆ คือเรื่อง “การกระทำผิด” และ “การทุจริต”
- ประสบด้วยตัวเองหลายครั้งจนมั่นใจที่จะปรักปรำได้ว่า “ด่านตำรวจในกรุงเทพฯ นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้รถติด” คือเจอหลายครั้งเลย รถติดไม่รู้สาเหตุ พอกระดึ๊บๆ ไปปั๊บก็เจอ อ้าว ด่านสิ้นเดือนนี่เอง ..พอพ้นด่านไปปั๊บแม่งโล่ง (เห็นตอนนี้มีข่าวว่าเขาสั่งยกเลิกด่านในกรุงเทพฯ แล้ว ดีใจ)
- หลายครั้งพบว่าผู้รักษากฎหมายนั้นลงโทษคนทำ “พลาด” ไม่ใช่คนทำ “ผิด” ดังจะเห็นได้จากหลายๆ กรณี
- เช่นเด็กแว้น พวกขับเหี้ย พวกฝ่าไฟแดง พวกแต่งรถไฟแยงตา แม่งไม่ผิด แต่ขาจรเลี้ยวผิดเลนเพราะไม่รู้อะไรแบบนี้ล่ะ หวานจ่าเลย
- นิสัยมักง่ายแบบ “ไทยๆ” เช่น นึกจะจอดก็จอดข้างทาง (เย็นนี้เพิ่งเห็นอีกคัน รถแม่งติดยาวทั้งลาดปลาเค้าเลย พี่แกจอดกระพริบไฟซื้อก๋วยเตี๋ยว) หรือพฤติกรรมอื่นๆ ที่เกิดจากความมักง่ายนั้น
- จากกรณีข้างบนทำให้มีความมักง่ายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่นจอดกินก๋วยเตี๋ยวริมเกษตรนวมินทร์เนี่ย เลนหายไปเลนนึงเลย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเพราะมันเยอะเกินรึเปล่า? แล้วกรณีใกล้เคียงแบบนี้ก็อีกเพียบ
- ในแง่การทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ: ตำรวจจราจรเลวๆ บางนาย รู้สูตรการตั้งด่านที่จะไถเงิน แบบ รอตรงนี้ แยกนี้ยาก เลี้ยวผิดกันบ่อย เดี๋ยวเหยื่อมาแน่ อะไรแบบนี้
- ผู้ขับขี่ที่มักง่าย ก็ยัดเงินตำรวจซะเลย วินวินกันทั้งคู่
- การไปจ่ายค่าปรับที่โรงพักแม่งยุ่งยากมาก เลยส่งเสริมให้ระบบนี้มันอยู่ยงคงกระพันเข้าไปอีก
- การใช้จ่าเฉย มันพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล หรือการใช้ระบบกล้องจับภาพรถฝ่าไฟแดง ก็อาจจะได้ผล นะ ตำรวจสบายขึ้น แต่ก็ลงทุนค่าเทคโนโลยีไปไม่น้อย
- ฯลฯ (ตอนนี้นึกออกเท่านี้)
ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาที่ว่ามาด้านบนเนี่ยแม่งยืดเยื้อรุนแรงและไม่รู้จะแก้ยังไง ประเด็นหนึ่งก็คือการให้อำนาจแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งมีไม่เยอะ แถมที่มีก็มีทั้งดีและเลว ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าเลวก็เข้าใจว่าระบบเศรษฐศาสตร์มันเอื้อต่อพฤติกรรมทุจริต วิธีแก้ไขคือต้องหาวิธีลดเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดการกระทำผิด หรือทุจริตนั้น (ไอ้การทุ่มงบเพื่อรณรงค์ต่างๆ หรือขอความร่วมมือที่ทำกันมาตลอดหลายสิบปี มันก็เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ในเมื่อวินัยจราจรของพวกเรามันเฮงซวยขนาดนี้) ซึ่งพอเห็นการกระทำผิดทีนึง อีคนอยากด่าก็มีไม่น้อย แต่ด่าแล้วไม่รู้จะทำไงต่อดี…
ใช้พลังมวลชนสิ
- เมื่อผู้มีอำนาจไม่สามารถใช้อำนาจได้อย่างทั่วถึงหรือเท่าเทียม ก็ใช้มวลชนเลยครับ ที่เป็นผู้รายงานการกระทำผิด โดยใช้ระบบเดียวกับการ Report ของ Facebook หรือเครือข่ายอื่นๆ ที่เขาคิดมาให้ User เป็นผู้รายงานการกระทำผิดกันเอง เช่นพวก Report Spam / Abuse อะไรงี้
- ส่วนวิธีการเชิงเทคนิค ก็สมมติว่ามีแอปมือถือสักแอป เว็บสักเว็บ หรือระบบไปรษณีย์ สื่อสารสักหลายๆ ทาง ที่เอื้อให้คนถ่ายรูป หรือคลิปผู้กระทำผิดกฎจราจรได้ ..เอาให้ชัดเจนเลยนะ เห็นเลขทะเบียน เห็นพฤติกรรมการกระทำผิด และถ้าจะให้ดีมีแนบพิกัด GPS ด้วย แล้วส่งขึ้นไประบบของตำรวจจราจรออนไลน์
- น่าตกใจที่ก่อนเขียนบล็อก ผมเล่าไอเดียนี้ให้เมียฟัง เมียบอกว่า “เมื่อเช้าก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน!!” คือจะว่าไปแล้ว ไอเดียแบบนี้ก็น่าจะมีคนคิดมาเยอะแล้วแหละ และก็คุ้นๆ ว่าเคยเห็นโครงการอะไรแบบนี้ในเว็บสักเว็บของจราจร ที่ให้คนถ่ายรูปพวกผิดกฎจราจรมาโพสต์รายงานไว้
- อ้อ เจอละครับ เว็บนี้ “จราจรตาเพชร” มีโลโก้ดีแทคแปะไว้ชัดเจน (หือ!) ลองอ่านๆ ดูก็จะพบว่าพอแจ้งปั๊บ คนรับแจ้งก็โพสต์ตอบ ว่า “ส่งเรื่องให้ท้องที่เรียบร้อย” … จบปะ ไม่รู้แฮะ ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างการใช้พลังมวลชนนะครับ เพียงแต่ว่าดูแล้วก็อาจจะสงสัยว่า ทำไมมันไม่ดังวะ คอนเซปต์ดีขนาดนี้
- ผมเดาว่า เรายังไม่เห็นแรงจูงใจอะไรให้ต้องไปรายงานชาวบ้านด้วย เว้นจะเดือดร้อนจริงๆ เกลียดกันจริงๆ หรือใฝ่ดราม่าจริงๆ เท่านั้นแหละ ดังนั้นความผิดใดอะไรที่ไม่เกี่ยวกะเรา ก็ยังคงลอยนวล
- ดังนั้น ว่ากันตรงๆ .. แรงจูงใจมันคือเงินครับ สมมติเลยนะสมมติ ใคร Report ปั๊บ รับค่าน้ำใจไปเลย 10 บาท! ส่วนที่มาของเงินจำนวนนี้ คนทำผิดก็จ่ายค่าปรับนั่นแหละครับ โดยวิธีการจ่ายเงินอาจจะมีระบบสมาชิก ให้สะสมแต้มทำยอด แล้วจ่ายเป็นเช็กหลังจากปิดคดี (ดีไหม ยุ่งยากไปเนอะ ไว้ค่อยคิดต่อ)
- ถ้าเกิดโครงการนี้เวิร์กขึ้นมา ช่วงกวดขัน อาจจะจัดโปรโมชัน เพิ่มเป็น 20 บาทต่อเคส หรือ 50% ของค่าปรับไปเลยก็ได้
- เรียกว่าตั้งค่าหัวกันไปเลย (เออ ที่จริงวิธีนี้ก็มีมาแต่โบราณแล้วนี่นะ) ดังนั้นถ้าว่ากันง่ายๆ ใครไม่มีอาชีพทำ ก็มาล่าค่าหัวกันให้เป็นธุรกิจกันไปเลยก็ได้ บ้านป่าเมืองเถื่อนดีไหม
- ส่วนการจ่ายค่าปรับ จะต้องง่ายกว่านี้มากๆ ใบสั่งควรมีบาร์โค้ด เอาไปจ่ายที่เซเว่น หรือธนาคารก็ได้ (เคยเสนอทีนึงแล้ว ว่าอันนี้ทำได้เลย ไม่ต้องรออะไรทั้งสิ้น เพราะมันจูงใจและลดการทุจริตได้เลยแหละ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอามารวมกะโครงการนี้ก็น่าจะเข้าท่า)
- แต่ถ้าไม่จ่าย ก็โดนปรับแพงๆ ตอนต่อทะเบียน อันนี้เห็นว่ากฎจราจรหลังๆ ในปีนี้ค่อนข้างทันสมัยขึ้นมาละ (เช่นกรณีนี้)
- ดังนั้นทางการจะต้องเตรียมระบบไว้พอสมควร ทั้งระบบการแจ้ง รวมถึงระบบ Payment ไว้รองรับธุรกรรมที่จะเกิดขึ้น และทีมงานที่ตรวจสอบหลักฐานและอนุมัติการพิจารณาคดีก็ต้องเป็น.. เป็นอะไรอะ ทีมงานเมพๆ ที่จะตั้งตัวเองเป็น Moderator ของงานจราจรงี้เหรอ (ยังคิดไม่จบตรงนี้ แต่คิดว่าถ้าไม่ติดเรื่องข้อกฎหมายก็จะไปต่อได้)
ปัญหาที่คาดว่าจะได้พบ
- ติดข้อกฎหมายปัจจุบัน
- แม่งดราม่า ต่อยกันแน่ๆ (ซึ่งไม่ใช่ธุระอะไรที่ตำรวจจราจรต้องมาเคลียร์ ก็ว่ากันต่อไป)
- สภาวะของเทคโนโลยีในวินาทีนี้ยังทำไม่ได้หรอก ซึ่งสภาวะในอุดมคติก็คือ “ผู้รายงาน” จะต้องมีโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต (ก็เลยบอกว่าขอยกไอเดียนี้ไว้ทดลองกับกรุงเทพฯ ก่อน) ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว การกำหนดค่าหัว จะช่วยจูงใจให้มีคนยึดอาชีพเป็นนักล่าค่าหัวจราจรเลยนะ (ซึ่งอันนี้แหละน่าสนใจ)
- เวลาทำระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาจริงๆ แล้วดันกาก อันนี้ปรามาสไว้แบบเหมารวมว่าราชการไทยต้องเจอแบบนี้ เป็นวิบากกรรมคู่ชาติเลยนะครับ
- มีอะไรอีก ช่วยกันคิดได้นะครับ
ถ้าเวิร์ก
- ลดทุจริต ลดผู้กระทำผิด เพิ่มรายได้ (ยังกะขายหวย)
- ขยายวิธีการนี้ไปสู่วงการอื่นๆ เช่นคดีที่หยุมหยิมๆ น่ะ
- ถ้าตำรวจไทยทำจริง ผมจะผลักดันให้เอาไปเดียนี้ไปคานส์ 555
ถ้าไม่เวิร์ก
- อาจจะมีคิระเกิดขึ้นเต็มไปหมด อันนี้ต้องหาวิธีแก้กันอีกที
ทั้งหมดนี้อาจจะดูหน่อมแน้ม ใช้ไม่ได้จริง อุดมคติไป หรือมีข้อบกพร่องอะไรเต็มไปหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แต่ไม่อยากให้ไอเดียมันวนในหัว เลยพ่นออกมา ใครจะเอาไปคิดต่อยอดได้ก๋เอาเลย จะดีใจมากครับ