“พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร”

1.
ประโยคที่เอามาเป็นชื่อบล็อกคราวนี้ ผมจำไม่ได้ว่าที่จริงเป๊ะๆ พี่แกพูดว่าอะไร เป็นประโยคจากบทสัมภาษณ์คุณแหม่ม เจ้าของ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” นวนิยายซีไรต์ปีล่าสุด (2558) ซึ่งเพิ่งประกาศผลไม่กี่วันมานี้เอง แต่บทสัมภาษณ์นี้น่าจะหลายวันแล้ว พี่แกมาในฐานะตัวเก็งของปีนี้
ชื่อรายการที่สัมภาษณ์ชื่อ Radio Read เป็นรายการวิทยุออนไลน์ผ่าน SoundCloud เพิ่งมีตอนนี้เป็นตอนแรก (ไม่รวมตอนแนะนำรายการซึ่งก็สนุกเหมือนกัน) ถ้าสนใจจงสละเวลาอันมีค่าของท่านไปฟัง

2.
พอก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่เต็มตัว (แน่ล่ะ นี่ผมก็อายุ 30 กว่าๆ จนชินกับการมีเลข 3 เป็นของตัวเองแล้ว) พบว่าแทบทุกคนจะมีเหตุผล หรือสิ่งยึดเหนี่ยว หรืออีโก้ หรืออัตตา หรืออะไรอีกล่ะ ที่มันอารมณ์ประมาณนี้ แต่สรุปได้ว่าเป็นสิ่งรองรับการกระทำของตัวเองว่า “กูคิดแบบนี้ มีอะไรไหม และนี่คือคำอธิบายชุดความคิดของกู”
ซึ่งสิ่งนี้แม้จะฟังดูงี่เงาแค่ไหนก็ตาม มันน่าสนใจว่ะ

3.
หนังสือที่ผมอ่านตอนขี้ในช่วงนี้คือ The Writer’s Secret เป็นบทสัมภาษณ์นักเขียน หรือนักอะไรต่างๆ ที่มีอาวุธคืองานเขียน (ยกตัวอย่างเช่นพี่เจ้ย และเจ้าของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) แน่นอนต้องรวมถึงนักเขียนรุ่นเก๋าแบบที่เอ่ยชื่อแล้วคนไม่อ่านหนังสือยังรู้จักอีกหลายท่าน
ความสนุกมันอยู่ที่เราพบอัตตา-เหตุผลดังที่ว่ามาอัดแน่นอยู่เต็มเล่ม บางทีอ่านไปก็เฮ้ย อะไรของลุงวะ แต่ก็นั่นแหละ มันน่าสนใจมาก

4.
คำว่า “น่าสนใจ” นั้นอาจเป็นคำของคนแก่ก็ได้นะ คือเราไม่จำเป็นว่าต้องเห็นด้วยหรือคล้อยตาม และเช่นเดียวกัน เราไม่ต้องแสดงความรู้สึกขัดแย้ง แม้โคตรจะอยากแย้ง แต่มันคือความเคารพความคิด (หรือความคิดต่าง) ที่ก่อตัวขึ้นมาในช่วงที่สติเย็น ผมชอบความรู้สึกนี้ ผมเคารพความรู้สึกน่าสนใจนี้ เวลาเจอใครที่แม่ง ทำไมเหี้ยได้ขนาดนี้ หรือทำไมดีได้ขนาดนี้ หรือทำไมประหลาดขนาดนี้ แล้วมัน convert ออกมาเป็นคำว่า “น่าสนใจ” โดยอัตโนมัติ นั่นแหละจะเป็นตอนที่รู้สึกว่าเขาเป็นครูเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราเคารพเขา เราอยากเรียนรู้ความดีเหี้ยประหลาดนี้ของเขา ซึ่งดี

5.
ตอนนี้รอบตัวผมมีคนรู้จักต่างทยอยเดินก้าวข้ามแกรนด์ไลน์แห่งชีวิตกันมาทีละคนสองคน หันไปวงการไหนก็ต่างเดินก้าวตามๆ กันมา สำหรับผู้หญิงเราจะได้เห็นการบ่นแบบหนึ่ง (เหี้ย กูสามสิบแล้วยังไม่มีผัวเลย) กับผู้ชายก็มักได้ยินอีกแบบ (เฮ้ยกูสามสิบแล้วทำไมชีวิตยังไม่มีอะไรเลยวะ)

6.
แต่เสียงบ่นที่น่าสนใจนั้นลอยมาอีกฝั่ง จากกลุ่มคนที่ถูกแปะป้ายว่า “ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปี” ซึ่ง นับนิ้วมือดูแล้วเกินว่ะ รอบตัวผมมีคนประเภทนี้เยอะอะ ที่น่าสนใจ (ใช้คำนี้่บ่อยเกินไปแล้ว แต่มันน่าสนใจจริงๆ ถ้าผมสื่อสารถึงความน่าสนใจออกมาไม่เคลียร์ อนุญาตให้ด่าได้นะครับ) ก็คือ แต่ละคนต่างโอดโอยกันเรื่อง “Mid-life Crisis” กันทั้งนั้น ผมหูผึ่งและตั้งใจฟังทุกครั้งที่ได้เห็นคนเหล่านี้บ่น

ผมไม่ได้ติดตามชีวิตเขาเหล่านั้นตลอดเวลา (เป็นคนผิดของตัวเองที่เสือกไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก เป็นความผิดต่อโลก ต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ที่สิงอยู่ในนั้นเป็นหลัก) ดังนั้นการที่พอเข้าไปคุยกับลูกค้าแล้วเห็นเพื่อนที่ว่าโผล่มาบ่นเรื่องนี้ในไทม์ไลน์ให้เห็นกับตาบ่อยครั้ง จึงทึกทักตั้งข้อสังเกต เหมาเอาเองว่า กลุ่มคนที่ ปสคสรตตอยยมถ30ป. นี้ มันเคว้งว่ะ อาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองได้ขึ้นมาโดนสปอตไลต์ฉาบทับร่างกาย หรือโดนแปะฉลากว่าเป็นคนเจ๋ง หรือรู้สึกได้เอง หรืออะไรก็ตาม ตั้งแต่ยังอายุ 20 กว่าๆ และยิ่งอยู่ในสังคมยุคปัจจุบันที่เราแปะฉลากคนกันง่ายๆ ไม่แพ้การที่ผมกำลังทำอยู่ในย่อหน้านี้นั้น

มันกดดัน

7.
ผมพยายามเรียบเรียงเรื่องนี้แล้วคุยกับเมียว่าเออ รอบตัวเรามีคนแบบนี้เยอะนะ เมียหันมาบอกว่า เตงก็เป็น ผมหันมามองตัวเอง (ก้มลงเอาคางติดร่องนม …ลองทำตูสิ #มองตัวเอง) …ยอมรับก็ได้ว่าผมก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น คือในช่วงวัย 20 กว่าปี ได้เคยทำอะไรๆ ที่มีคนพูดถึง มีผลงานออกสู่โลก ได้รับการยอมรับ ได้รับการคาดหวัง ฯลฯ หลายๆ อย่างจนตัวเองจำไม่ไหว* ถึงแม้จะเป็นแค่วงแคบๆ เท่าที่กะลาของผมจะกระดึบไปถึง แต่แคบๆ แบบนี้ก็เรียกได้แบบนั้นแล้ว

8.
แต่ทุกวันนี้ผมเรียกว่าแทบจะสลัดเชื้อแห่งนิวเจนฯ ทุกอย่างทิ้งไปทั้งหมด เป็นปริศนาที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม มานึกย้อนทีไรก็งง ยิ่งช่วงนี้ที่อยู่บ้านเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกและทำงานรับใช้เมียเพียงอย่างเดียว บางทีมันก็แว้บๆ ขึ้นมาเหมือนกันว่าเอ๊ะ เมื่อก่อนเราเป็นใคร เดี๋ยวนี้เราเป็นใคร — เราเป็นใครของใคร
คือรู้แหละว่าตอนนี้ชีวิตดีมาก แต่หาข้อสรุปไม่ได้ว่าทำไมจึงดี เป็นความโอเคแบบงงๆ ประมาณว่าถ้ามีคนถามก็จะอธิบายออกไปแบบโง่มาก ทั้งที่ตอนตัดสินใจทิ้งอะไรไปแต่ละอย่าง มันต้องอาศัยความหนักแน่นทั้งนั้น เพราะนั่นคือการเลือกแบบที่เลือกแล้วไม่อยู่ในเขตเซฟโซนสักอย่าง …ตกลงมึงทำอะไร ทำเพื่ออะไร

9.
(สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่านยาวๆ เราแนะนำให้อ่านข้อ 9 นี่ก็พอ อ้าว บอกช้าไปไหม) จนกระทั่งได้ฟังรายการวิทยุข้างบนนู้น และได้ยินประโยคที่เอามาทำหัวเรื่องบนนู้นนนแหละครับ ถึงได้เข้าใจ
รู้สึกว่าพิธีกรจะถามคุณแหม่มเรื่องการประสบความสำเร็จ เมื่อมีคนรู้จัก มีคนติดต่อชื่นชมและติดตาม เป็นสาวก และคาดหวังถึงผลงานที่จะทำต่อไป ว่ากดดันไหม คำตอบ (ถ้าจำไม่ผิดคือตอบทันทีด้วยซ้ำ) คือ “ไม่ พี่ไม่ได้อยากมีอาณาจักร” ซึ่งแม่ง เหี้ย โคตรใช่เลย ทุกอย่างที่ขมุกขมัวมาในร่างกายตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายปี มันแตกเปรื่องในประโยคเดียว ยิ่งคุณแหม่มอธิบายว่า ปัจจัยภายนอกไม่ได้มีผลกับพี่ ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับจากผู้คน ความคาดหวัง หรืออะไรต่อมิอะไรที่ว่ามาในข้อ 7. ทั้งหมดแม่งคือปัจจัยภายนอก สิ่งที่กำหนดตัวตนของพี่ได้คือลูกผัว และต้นกระบองเพชรที่ปลูกไว้เท่านั้นเอง

10.
มีอีกคำถามคืออยากได้ซีไรต์ไหม คำตอบคืออยาก อยากได้ตังค์!

11.
ถึงผมจะไม่ได้เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่โตอะไร อาจจะเป็นคนขี้แพ้ด้วยซ้ำ แต่คำตอบของชีวิตที่ได้มาในวัย 30+ จากรายการวิทยุที่มีผู้ฟังถึงร้อยกว่าคน! (คลิปเสียงตอนที่ 2 นี่ 51 คน) นั้นมันช่างเคลียร์หมดจดสดใส บัดนี้ผมรู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร และยิ่งตอกย้ำความมั่นใจที่ได้วางสิ่งนั้น ลาออกจากงานโน้น ปล่อยมือสิ่งนี้ ถอดหมวกใบนั้น ถอดหัวโขนนี้ออกหมด เปลือยจนเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินแกว่งไข่อยู่บ้านเงียบๆ แม่งตอนนี้เคลียร์แล้ว ใสยังกะตาตั๊กแตน

12.
บางทีคนเราก็แปลก เราไขว่คว้าหาคนที่พูดอะไรออกมาสักอย่างแล้วได้ความรู้สึกว่า “เฮ้ย นี่มันกูชัดๆ” คงเพราะแบบนี้มั้งที่เดี่ยวไมโครโฟนของโน้ตอุดมถึงขายดิบขายดี

13.
และยิ่ง พ.ศ.นี้ เสียงชื่นชม คำตำหนิ การกดไลก์ หรือปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักรขึ้นมา มันยิ่งกลายเป็นเปลือกหนาหนัก

14.
นั่นแหละมั้งที่เป็นสาเหตุให้ผมไม่สามารถทำอะไรสม่ำเสมอได้ เช่นเพจเฟซบุ๊ก ที่อัลกอริทึมของเว็บมันบังคับให้เราต้อง “ทำอะไรออกมาอย่างสม่ำเสมอ” ไม่งั้นมึงก็จมหายไป ไม่มีวันโผล่ในไทม์ไลน์ของใครอีกเลยแม้ว่าจะตั้งใจขนาดไหน (จ่ายค่าโปรโมตโพสต์มาสิ!) ดังนั้นเพจที่ทำอยู่กับเพื่อนๆ บ้าง ทำเองบ้าง แต่หือกับกฎดังกล่าว (คือโพสต์เดือนละครั้งซะเป็นส่วนใหญ่ และเป็นเรื่องที่เราสนใจจริงๆ) จึงร้างสนิท 55555 จนบางทีก็สงสัยพวกเพจคอนเซปต์ อะตัวอย่างก็เช่นพ่อบ้านใจกล้า หรือรบกวนตัดต่อภาพฯ เนี่ย แกเหนื่อยไหมวะ ที่ต้องสวมหัวโขนนี้อยู่ทุกวัน เอาน่ะถึงจะมีสปอนเซอร์เข้ามาเติมเงินให้เล่นมุกบ่อยๆ แต่การรักษาความสนุกของสิ่งที่สร้างมาจนถึงเฟสที่ต้องทำเป็นอาจิณ เพราะถ้าไม่ทำก็จะจมหายไปเนี่ย …มันยังสนุกอยู่จริงๆ ใช่ไหม

15.
สืบเนื่องจากดอกจันในข้อ 7 นั่นเป็นเหตุให้ผมเขียนบล็อกนี้ พอดีวันนี้ตื่นมาเห็นอีเมลเข้าฉบับนึง ซึ่งก็ควรจะเป็นเมลจากลูกค้าเสื้อธรรมดาๆ ที่มาสั่งสกรีนเสื้อ (โฆษณาร้านสกรีนเสื้อพร้อมแปะลิงก์) แล้วก็จากไป แต่ไม่ใช่
มันเป็นเมลอีกฉบับที่แยกออกมา และมีข้อความข้างในยาวเหยียด ผมว่าพิมพ์ใส่กระดาษ A4 คงได้สัก 3-4 หน้า และทุกบรรทัดทำให้ผมขนลุกเกรียว เจ้าของจดหมายบอกว่าผมติดตามพี่มานาน (จบครับ ผู้ชาย จบ) ขอบคุณมากๆ ที่พี่เป็นแรงบันดาลใจในเรื่องเหล่านี้ที่พี่ทำ และเริ่มไล่เรียง “สิ่งที่พี่ทำ” ย้อนไปสมัยที่ผมทำอะไรสนุกๆ เนิร์ดๆ เห่อหมอยหน่อยๆ แต่ลงรายละเอียดทุกบรรทัด ทุกประโยค ร้อยเรียงกันบรรยายถึงสิ่งที่ผมเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งที่เราไม่เคยเจอกัน แต่เขารู้จักและติดตามผมผ่านตัวอักษรล้วนๆ (โดยที่ผมเองก็ไม่เคยรู้) จนเขาโตเป็นผู้เป็นคนถึงวันนี้ ซึ่ง… สารภาพเลยจริงๆ ว่า 98% ของจดหมายฉบับดังกล่าว ผมลืมไปแล้วว่ากูเคยทำไอ้ที่ว่ามาด้วยเหรอวะ (คือมันนานมาแล้วจริงๆ ตั้งแต่สมัยเว็บฟอนต์แรกๆ แหละ) ที่แน่ๆ เขาเขียนมาอย่างละเอียด ด้วยไมตรีจิต ปิดท้ายด้วยคำขอบคุณ และแจ้งโอนเงินค่าสกรีนเสื้อ…

16.
บางทีอะไรเซอร์ไพรส์แบบนี้ก็เจ๋งดีนะ ถึงจะเป็นเรื่องของอดีตก็เถอะ คนที่ไม่ชอบพูดเรื่องอดีตได้ฟังคงเซ็งๆ แต่กับผมที่เป็นพวกลืมอดีตไปหมดแล้ว 555555 ได้อ่านอะไรแบบนี้มันก็เมกมายเดย์อย่างอลังการเลยครับ ส่งให้เมียอ่านเมียก็ขนลุก

กามาผาโด้

เพิ่งเคยได้ยินใช่ไหมครับชื่อนี้ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินเมื่อ 10 นาทีที่แล้วนี่เองเหมือนกัน

พอดีตอนเช้ามีอีเมลมาจากฝ่ายสมาชิกของอมรินทร์บุ๊กส์ที่ผมเป็นสมาชิกนิตยสารอยู่ เนื้อหาข้างในพูดถึงโครงการรับบริจาค ซื้อหนังสือ (จากอมรินทร์นั่นแหละ) ส่งไปให้กับห้องสมุดโรงเรียน




เรียน ท่านสมาชิก
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อณัญญา
โทร. 02- 423 9999 ต่อ 6141 , 02-4239889 ต่อ 4
E-mail : ananya-r@amarin.co.th

มีเอกสารแนบเป็นไฟล์เวิร์ดด้วย

พอดีผมไม่มีเวิร์ดเลยเปิดไม่ได้ พรีวิวจับภาพในอีเมลได้อย่างเดียว เลยเมลไปบอกเขาว่าโอเค ผมเอาด้วย เหมาหมดเลยครับ แต่ไม่สะดวกกรอกเอกสาร ต้องทำยังไงบ้าง

สักพักฝ่ายสมาชิกเขาโทรมา น้ำเสียงหลั่นล้ามาก เดาว่าคงไม่ค่อยมีคนติดต่อกลับไปแบบนี้

คุยกันกับคุณอมรินทร์ ก็เลยให้เลือกว่าจะระบุโรงเรียนไหนไหม หรือจะรับเป็นหนังสือไปบริจาคเอง หรือว่าจะให้ทางสำนักพิมพ์เป็นธุระจัดส่งให้ เราก็หยอดเงินไปอย่างเดียวก็พอ

พอดีไม่มีโรงเรียนไหนเป็นพิเศษ เลยเลือกอย่างหลังไป ปลายสายหันไปปรึกษาทีมงานสักครู่ก็บอกว่า ในอมรินทร์มีคนที่จบจากโรงเรียนนี้ / หรือคนที่เคยไปบริจาคของโรงเรียนนี้อยู่คนนึง แต่เป็นโรงเรียนที่ไม่สะดวกออกเอกสารอนุโมทนาบัตรใดๆ กลับมานะคะเพราะเขาอยู่ไกล (ผมบอกไม่เป็นไร ไม่เอา)

โรงเรียนนี้ชื่อ โรงเรียน ตชด.บ้านกามาผาโด้ ลองกูเกิลดูนะคะ… ได้ครับ

มีสตอรี่ประกอบหน่อยนึงว่า โรงเรียนนี้อยู่ไกล กันดารอย่างที่เห็นในคลิปนี้ครับ ที่เคยมีไปบริจาคของน้องๆ มาก็พบว่า แค่ขนมถุงเดียวน้องมาเห็นก็ตาลุกวาว แบ่งกันกินได้ทั้งโรงเรียนแล้ว

ก้มลงมองขนมตัวเองข้างจอคอม…

เลยฝากมาบอกข้อมูลต่อว่าถ้าจะบริจาคอะไรอย่างอื่น เช่นเสื้อผ้า ขนม ฯลฯ ก็ฝากไปได้เช่นกันครับ ยังไงติดต่อตามข้อมูลข้างบนนะครับ หรือถ้าจะซื้อหนังสือบริจาคโรงเรียนที่คุณรู้จักก็ได้ครับ

ผมอินกับสิ่งนี้มากกว่าการทำบุญที่วัดประมาณ 80 ล้านเท่า

ถ้าไม่ใช่ iPhone ยังไงก็ไม่ใช่ iPhone

บล็อกไว้หน่อย กลัวสูญหายไปตามกาลเวลา

เห็นแล้วขึ้น นอนไม่หลับเลยครับ ทำไมถึงคิดแบบนี้หละ ถถถปล.เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับ เจ้าของทวิตเตอร์ คนนี้ เค้าโพสท์อ้างอิงมาอีกทีนะครับ

Posted by SpecPhone on Sunday, September 20, 2015

ผมชอบมหกรรมกีฬาสีแบบนี้ครับ สนุกดี

เมื่อกี้ส่งข้อความไปหาแอดมินเพจนี้แล้วว่าไม่ต้องลบนะครับ ผมโอเค คือทีแรกก่อนแอดมินเพจนี้จะกดแก้ไขข้อความตามที่มี 1 (ในหลายร้อย) คอมเมนต์ทักมาว่านี่เขาแคปมาอีกทีนะ ไม่ได้พูดเอง แอดมินก็เข้าใจว่าผมเป็นคนเขียนจริงๆ 55555 (ที่บอกไม่ให้ลบเพราะกลัวว่าแอดมินจะเขินแล้วลบโพสต์ปลิวอะไรแบบนี้ เลยบอกเขาไว้ก่อนว่าผมโอเค)

ดังนั้นก็จะมีคนด่าทวีตนี้แบบ มึงไม่ต้องอยู่ประเทศไทยแล้ว เดี๋ยวรอดูนะ ได้มีทวีตกราบขอโทษ เปิดการ์ดรู้เท่าไม่ถึงการณ์อะไรแบบนี้ เอาๆ เอาเลย เอาที่พี่สบายใจ

และนอกจากนี้ก็ยังมีอีกสารพัดเพจและกรุ๊ปมือถือทั่วไทย ที่เซฟภาพนี้ไปปล่อยต่อและร่วมสังฆกรรมกันอย่างสนุกสนาน

อันนี้ทวีตต้นตอ

อันนี้ทวีตก่อนหน้า (ที่จริงคือทวีตต่อกัน แต่ไม่ได้กด reply ข้อความต่อเนื่องมันก็เลยไม่โยงกัน แล้วอีอันหลังมันล่อเป้ามากกว่า ก็เลยนลามไปที่อื่นง่ายกว่า)

ทีนี้ความเหี้ยก็คือ ข้อความต้นทางแม่งโดน Droidsans ลบไปแล้ว 55555555555555 อ้าว ทีนี้ก็กลายเป็นคำพูดจากกูโดยสมบูรณ์แล้วสินะ 555555555 เชี่ยยยยยย :41:

กระต่ายตัวขาว

จะว่าไป ปีนี้ผมยังไม่ได้ซื้อซีดีเพลงเลยครับ (สาเหตุ)
เออๆ นึกได้ว่าซื้อมาแผ่นนึงแล้วก็คือเพลงสัตว์โลกน่ารัก (จำชื่อเป๊ะๆ ไม่ได้) ข้างในมีอยู่ 21 เพลง ซื้อมาให้คุณลูกสาวนี่แหละฟังเวลาอยู่ในรถ จะได้ไม่ต้องคอยจ้องการ์ตูน

ซึ่งได้ผลมากๆ ครับ กระต่ายกับเต่า หมาป่าเขี้ยวยาว อู๊ดๆ ฯลฯ ไม่ใช่แค่ลูกเท่านั้นที่ร้องวนทั้งวัน พ่อแม่แม่งก็ร้องตามไปด้วย เป็นแบบนี้มาพักใหญ่

จนผ่านไปหลายเดือน พอหมดช่วงเห่อ ทีนี้นิทานก็ไม่ได้เปิดเพลงอัลบั้มนั้นแล้วตั้งใจร้องตามทุกพยางค์เหมือนเดิมอีกต่อไป

ทีนี้ก็ต้องไปเที่ยวหาเพลงเด็กอนุบาลประมาณนี้อีก ซึ่งก็หายากหาเย็นครับ จนวันก่อนที่ลูกสองคนไม่สบาย ไปนอนโรงพยาบาล แล้วเจ๊ประกันซื้อตุ๊กตาแมวทอมที่กดตรงหูแล้วมันจะร้องเพลงได้ (โคตรล้ำ) แล้วเพลงมันเจ๋งมากครับ กระต่ายตัวขาวตาวาวกระดุ๊กกระดิ๊ก แรงซิแปรงแปรงฟัน ฯลฯ

พออ่านข้างกล่องก็มีบอกว่าลิขสิทธิ์เพลงทั้งหมดเป็นของบริษัท บ้านดรุณ จำกัด ก็เลยไปปรึกษากูเกิลจนเจอเว็บเขามีขายซีดีอะไรแบบนี้เต็มไปหมด แต่หาเพลงกระต่ายไม่เจอ เพราะเขาขายแยกหลายอัลบั้มมมากๆ แล้วก็มีแบบเพลงรักชาติ เพลงรักวัฒนธรรม เพลงอะไรที่เป็นแนวสะกดจิตเด็ก 555555 พอดีอยากได้แค่เพลงแนวเปิดสนุกๆ สัตว์กระโดดน่ารักอะไรแบบนี้ก็พอ

เลยส่งข้อความไปหาที่บริษัท ว่าขอซื้อไฟล์เพลงนี้เพียวๆ ได้ไหม ไม่รู้เขาจะขายไหม ขายเถอะ 55555

ฟรีแลนซ์: ห้ามอะไรดีวะ เขาเล่นกันไปหมดแล้ว

อย่าว่าแต่การรีวิวเลย นี่ผมนึกได้ว่าผมแทบไม่เคยเขียนบล็อกเกี่ยวกับหนัง

แต่กับเรื่องนี้ ไปดูมาเมื่อวานซืน จนตอนนี้มันยังวนอยู่ในหัว สลัดไม่หลุด สมควรต้องระบายออกด้วยการเขียนถึงใช่ไหม

(มีคติอยู่อย่างนึงว่า พอดูหนังจบ เดินออกจากโรงแล้ว ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม ถ้าหนังมันยังวนเวียนในหัว อันนั้นคือหนังที่มีคุณค่าทางโภชนาการ)

ผมไม่ชอบหนัง GTH ยุคหลังๆ เลย โอเครู้ว่ามันเป็นที่ตัวเองด้วยแหละที่พ้นจากกลุ่มเป้าหมายของคนทำหนังออกมาไกล ทั้งวัย ทั้งหน้าที่การงาน และทั้งรสนิยม

คือดูหน้าหนังแต่ละเรื่องแล้วก็เฉยๆ แบบ ถ้าว่างค่อยไปดูโรงก็ได้ แต่ถ้าไม่ว่างก็ค่อยไว้ดูที่บ้าน และความรู้สึกหลังดูก็คือ เฉยๆ ซะเป็นส่วนใหญ่

รู้สึกว่าเรื่องสุดท้ายที่ดูแล้วชื่นชมก็คือลัดดาแลนด์…

สำหรับหนังเรื่องล่าสุดที่มนุษย์ออนไลน์รอบตัวทุกคนคงเคยเล่นเครื่องผลิตโลโก้ออนไลน์สนุกๆ มาแล้ว (มารู้ทีหลังว่ามีสองเวอร์ชัน เวอร์ชันออริจินัลนั้นกลับเป็นการทำเอาสนุก และโด่งดังเป็นอันมากโดยไม่ต้องมีเจตนาเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมนับถือคนแบบนี้)

เป็นครั้งที่ค่ายหนังตั้งใจขายหน้าตาของผู้กำกับพอๆ กับนักแสดงนำ จนตอนนี้คนเริ่มรู้กันแล้วว่า เต๋อนวพลมันเป็นคนละคนกับอีกเต๋อโว้ย

นั่นจึงแปลว่า เหล่าแฟนคลับเต๋อ (และซันนี่) จงมาดู ส่วนคนอื่น ถ้าสนใจเนื้อเรื่องในหนังตัวอย่าง จงมาดู เห็นไหมว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นชัดและแข็ง ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อเสียคือมันไม่กว้าง คือถ้าหนังแม่งโคตรดี สมควรดู แต่รายได้ก็คงไม่เยอะเท่าหนังผีตลกที่ค่ายเคยทำ ซึ่งตรงนี้ค่ายเองก็รู้ และตัดสินใจว่าเอาแบบนี้แหละ ขอให้มีหนังแบบนี้บ้าง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผมนับถือ

อ้อ ลืมบอกไปว่าผมมาดูเพราะใหม่ดาวิกา อันนี้เรียกว่ารักเลยเถอะ (เมียอย่าอ่านบรรทัดนี้นะ)

ยังไม่ได้พูดเรื่องหนังเลยว่ะ ขี้จะเสร็จแล้วเนี่ย

รีวิวสั้นๆ คือ “ไอ้ห่า โคตรจี้ใจดำ ขอดูซ้ำและเชียร์” ส่วนรีวิวยาวๆ ก็จะกล่าวถึงต่อไปนี้

image

เอาตั้งแต่ชื่อเรื่อง: ผมไม่ชอบนะ แต่มาชอบเอาตอนที่ทุกคนต่างเล่นคำพลิกแพลงกันออนไลน์นี่แหละ อีตาลุงคนคิดชื่อแกคิดถึงเรื่องนี้ด้วยแล้วแน่ๆ ถ้าใช่ก็เซียนมาก ถ้าไม่ใช่ก็ลุงโชคดีมาก

หน้าหนัง: ก็อย่างที่บอก มันแคบกว่าเรื่องอื่น อันนั้นช่างมัน พูดไปแล้ว แต่ที่เจ็บใจคือถ่ายนางเอกมาไม่สวย รอยยิ้มเหมือนแม่นาคเลย โกรธ

เนื้อหนัง: (ไม่สปอยล์) ไม่ได้ดูการแสดงของซันนี่แล้วชอบมานานมากแล้ว เรื่องนี้นับถือผู้กำกับที่ดึงเสน่ห์ของซันนี่ออกมาได้เต็มร้อยมาก แล้วแม่งก็มีเสน่ห์จริงๆ ถือว่าใช้คนถูกทางมากๆ ผิดกับเรื่องก่อนหน้า (อ๊ะ เราจะไม่ด่าพาดพิง)

ส่วนใหม่ดาวิกานี่โคตรเซอร์ไพรส์ ผมคิดว่าใหม่เป็นนางฟ้าหรือนางในวรรณคดีมาตลอด คือหนังแต่ละเรื่องนี่ถ้าไม่พูดช้าก็ต้องพูดเป็นภาษาเขียน มันไกลความเป็นมนุษย์จนนึกว่าหญิงสาวคนนี้พูดแบบนั้นในชีวิตจริง ซึ่งในเรื่องนี้ แม่ง (นั่นไง มีคำว่าแม่ง) แม่งเป็นมนุษย์มากๆ มันจริงมาก

ไม่ต้องไปพูดถึงฉาก หรืองานภาพในหนังที่ตั้งใจเซ็ตให้เหมือนถ่ายส่งๆ ไม่ตั้งใจ (ตั้งใจให้เหมือนไม่ตั้งใจว่าตั้งใจไง งงไหม) ข้อนี้เหล่าคนดูหนังของเต๋อคงชินแล้ว แต่ผมแทบไม่เคยดูเลย 55555 แต่รู้แหละว่านี่คือความตั้งใจ ซึ่งมันดีมาก ชอบทุกฉากที่ดูรกตา ขอคารวะ

เนื้อเรื่อง: ผมตกใจที่สุดคือการเห็นตัวเองไปโผล่ในหนัง (ช่วงแรก) ได้เป๊ะขนาดนี้ ตอนฉากแบกคอมไปทำงาน หรือฉากหลับคาโฟโต้ช็อปที่แต่งภาพเบี้ยวๆ นี่ร้องเย็ดเข้ออกมาเลย นั่นมันกู! มึงเอาทวีตกูไปทำหนังใช่ไหมอีเต๋อ บอกมา

การออกแบบสถานการณ์นั่นนี่ในหนัง แม่งใช่เลยครับ มันก็คือการเอาตัวเอง (ผู้กำกับ) มาเล่าเรื่องเสียดสีจิกกัดประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ต้องจริงกว่าการมโนเรื่องที่ไม่ถนัดอยู่แล้ว ดังนั้นมันเลยเป๊ะไปทุกช็อตแบบแทบไม่มีไขมันส่วนเกิน

พอเข้าสู่ช่วงที่เจอหมอ และสู่ช่วง “Whiplash” ร้อยเรียงไปจนจบเรื่อง อันนั้นไกลตัวออกไปละ แต่ก็เป็นการมโนที่กลมกล่อม

และตั้งคำถามมากมายให้คนดูอย่างผม ซึ่งเป็นกลุ่มที่สัมผัสประสบการณ์ร่วมเต็มๆ ได้คิดวนเวียน วนเวียนอยู่ในหัว

คิดถึงเหตุการณ์ในปีนี้ ที่เห็นเลยว่าตัวเองสุขภาพแย่จากการทำงาน (ของผมไม่ใช่ตุ่มขึ้น แต่เป็นตาบวมสลับซ้ายขวามาตลอด หาหมอเป็นสิบรอบแล้ว นี่ตอนเขียนบล็อกนี้กำลังบวมข้างขวา)

คิดถึงการไปตรวจสุขภาพครั้งแรกในชีวิต กับเพื่อนหมอที่ผมเคยแอบชอบสมัยเป็นสาวแว่นอยู่ ม.ต้น แต่ตอนนี้มีผัวแล้วและกำลังจะมีลูก (รู้ว่าท้องในวันที่ผมไปตรวจกับมันพอดี เฮ้ยอะไรวะ) ประเด็นสำคัญคือตอนนี้สนิทกับเมียผมจนเมียบังคับให้ไปตรวจกับมันนั่นแหละ ไงล่ะ… ชะตาชีวิตก็แบบนี้

ที่แน่ๆ คือสารพัดคำเตือนจากหมอ มันช่างเหมือนกับในหนัง และพฤติกรรมเหลวแหลกที่พระเอกทำเพราะห้ามทิฐิตัวเองไม่ได้ นั่นก็คือสิ่งที่ผมโดนตีเข้าจังๆ

ดูจนจบแล้วก็ยิ้ม ว่าเออ ทำมาดี เป็นหนังเพื่อมนุษย์อย่างเรา แต่ก็ยังเป็นมิตรกับคนที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างเรา เลยใครถามว่าดีไหม ก็จะเชียร์ในนามของเรา

ขอบคุณที่ทำหนังดีๆ ครับ (โค้ง)

อาชีพฟรีแลนซ์มันไม่ได้อิสระเสรีอย่างที่คนข้างนอกมองกันนะครับ แต่ทำไมก็ไม่รู้ วิถีชีวิตแบบนี้แหละที่มันใช่จริงๆ นี่ถ้าไม่มีลูกเมียและร่างกายเริ่มเตือนว่ามึงควรถนอมสังขารดูบ้าง

ผมก็คงเป็นพวกห้ามป่วยห้ามพักเหมือนกัน

แต่รักหมอนี่คงไม่ไหว เมียกูเอาตาย

.

ป.ล.
เพิ่งผ่านตามาว่ามีคนรีวิวด่าเรื่องนี้เยอะ ผมยังไม่ได้อ่าน (กลัวความรู้สึกคนอื่นมาเปื้อนไปด้วย) เขียนเสร็จแล้วค่อยไปหาอ่าน

ป.อ.
ไม่ได้ดูทีวี และไม่ได้ติดตามช่องทางการโปรโมตของ GTH เลยแม้ในสื่อออนไลน์ใดๆ นึกได้ว่าค่ายนี้ขยันทำสกู๊ปเกร็ดนั่นเกร็ดนี่นี่นา เดี๋ยวไปหาดูดีกว่า (เลือกเฉพาะที่มีน้องใหม่)

ป.ฮ.
สารพัดหมอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ-หัวหิน ตึงมากครับ