ไากี้ดหาปทอผวปสบหสสกนเลบไนฟหกฟห

พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เขียนบล็อกมาครบสิบวันแล้วก็สะดุ้ง แล้วลงมือพิมพ์เลยเหมือนเดิม 5555

ไม่มีอะไรนอกจากจะสำรวจตัวเองว่าทำไมถึงเลือกทวีต (หรือบางครั้งก็ไปแชร์บนเฟซบุ๊ก) มากกว่าการเขียนบล็อก

ไอ้ที่นึกออกก็คือ บล็อกมันมี “ภาพจำ” บางอย่างที่แฝงมากับสถานะของมัน เหมือนว่าถ้าเขียนบล็อกนี่จะต้องกลั้นหายใจไว้หน่อยนึงตอนพิมพ์ แล้วก็ตรวจตราว่ามีคำสะกดเผียดไหมก่อนที่จะกด Publish ซึ่งเป็นปุ่มที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การที่จะกดปุ่มนั้นคือมันแข็งมาก กดยาก ไม่นิ่มนิ้วเหมือนปุ่มทวีต หรือปุ่มโพสต์ ที่นึกอยากจะพ่นอะไรก็พ่นลงไปเลย ง่ายจะตาย

เออ ความง่ายนั่นแหละสรุป

และในบางที ความเวิ่นเว้อแบบไม่ต้องเกรงใจกันนี่ก็ไม่ค่อยมีในวัฒนธรรมบล็อก (หมายถึง พ.ศ.นี้ ที่คนเลือกกวาดสายตาผ่านไทม์ไลน์มากกว่าอ่านเรียงความยาวๆ) ไอ้การเขียนบล็อกส่วนตัวทีนึงนี่ยังกะขึ้นจดหมายราชการ คือต้องมีจังหวะ มีพิธี มีนั่นนี่ซึ่งเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ายุคสมัยแห่งการโพสต์ง่ายๆ มันพังทลายประเพณีนี้ลงไปแล้วอย่างราบคาบ

พอมาดูบล็อกตัวเองก็เลยมีการนึกถึงไอ้ความเปลี่ยนแปลงอะไรแบบนั้นอยู่บ่อยๆ เพราะเขียนมาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ยุคเกรียน ยันยุคพยายามตลก จนยุคสิ้นสุดของบล็อก 5555 ก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้สนทนากับตัวเองผ่านสมุดบันทึกที่นับวันจะส่วนตัวขึ้นเรื่อยๆ (เพราะคนอ่านยาวๆ น้อยลง ซึ่งดีเลย กูชอบ)

นึกได้อีกอย่างว่าพอถึงตอนนี้ บล็อกนั้นกลับกลายเป็น “แหล่งข้อมูล” (ที่พ่วงด้วยคำว่าอ้างอิง อาจจะแข็งแรงมีหลักฐาน มีลิงก์ชัด เหมาะกับการเอาไปอ้างอิง ส่วนถูกหรือผิดนั่นอีกเรื่อง) ไปมากกว่า “สถานที่แสดงความคิดเห็น” แบบยุคที่มันเคยรุ่งเรืองเสียแล้ว ไม่ได้อะไรมาก ก็แค่เหล่าความเห็นทั้งหลายมันถูกสื่อผ่านแหล่งอื่นๆ ที่ได้รับการคอมเมนต์ตอบแบบ(เกือบ)เรียลไทม์ หรือโดนรีทวีต โดนกดไลก์แบบทันอกทันใจไปแล้ว

นี่แค่ผ่านไปแค่คืนเดียว การจะมาโพสต์อะไรเกี่ยวกับคดีดราม่าวงโยฯ (เนียนใส่ลิงก์โฆษณาการ์ตูน) ที่สถานที่แห่งนี้ ก็ช้าไปเสียแล้ว ยกเว้นว่าจะเป็นข้อมูลใหม่ที่แข็งแรง (นั่นไง ข้อมูลอีกแล้ว) ซึ่งนั่นก็แปลว่าการโผล่ขึ้นของโพสต์นี้ จะต้องดูบึกบึนและมีค่าพอที่จะทำให้คนอ่านจนจบ นั่นยิ่งทำให้ปุ่ม Publish แข็งขึ้นทุกวัน ซึ่งนั่นแม่งไม่ดีเลยในสายตาของคาบเจ้า ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่าช่วงปีสองปีที่ผ่านมาบล็อกนี้ได้ทำลายความเป็นแหล่งข้อมูลหรือสาระหรืออะไรที่มันดูมีค่าและแข็งเป๊กนั้นลงหมด นั่นทำให้เขียนอะไรๆ สนุกขึ้นเยอะ แต่จะมาบังคับพฤติกรรมคนอ่านให้อ่านจนถึงบรรทัดนี้นั่นก็ไม่ใช่เรื่อง (ใครอ่านถึงประโยคนี้กรุณาเขียนคอมเมนต์ว่า “จอห์น” ทีครับ)

จับใจความได้ไหมว่าทั้งหมดนี่จะบ่นอะไรของมึง 555555 จบ

อยากเขียนก็ต้องเขียนสิ

เขียนบล็อกสิบตอนก็จะมีสักตอนนึงแหละที่มาบ่นเรื่องบล็อกตัวเอง ดูจมปลักกับตัวเองดีนะครับ 5555

ไม่รู้ว่าเป็นความกดดันที่ตัวผมเองสร้างข้อแม้บางอย่างขึ้นมา แล้วก็ติดกับเสียเองอีกหรือเปล่า จึงทำให้การตัดสินใจเขียนบล็อกใหม่แต่ละทีกลายเป็นเรื่องยาก ทั้งที่มันควรจะง่ายพอๆ กับทวีตข้อความไปสักครั้ง

คิดอยู่หลายวันว่าเป็นเพราะอะไร แต่จับทางได้แล้วว่าสาเหตุหนึ่งก็เพราะอยู่ดีๆ เราก็ได้สวมหมวกหนึ่งใบในนามของนักเขียน แถมมีผลงานเป็นพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเองในระบบสำนักพิมพ์ที่ดูมีคุณภาพเสียด้วย สิ่งนี้ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นความเหิมเกริม ลำพองใจ หรือประหม่า แต่มันก็ทำให้ธรรมชาติในการเขียนอะไรแบบไม่ต้องคิดของเรานั้นหายไป เหมือนกับที่เคยหายไปพักใหญ่ตั้งหนึ่งปีเต็มๆ ช่วงที่ไม่ได้เขียนบล็อกเลย

ผมรู้สึกว่ามันแย่ว่ะ อยากเขียนก็ต้องเขียนสิ ไม่ใช่รอให้รู้สึกว่าเป็นประเด็นที่หล่อพอแล้วค่อยลงมือเขียน เราไม่ได้เป็นพวกลึกซึ้งแบบที่เขียนอะไรจบประโยคแล้วเปลี่ยนโลกได้ซะหน่อย เหี้ยเอ๊ย

ขอบคุณแรงบันดาลใจจากบล็อกของคุณ @etalorkครับ คือเหี้ยมาก อยากเขียนก็เขียน เขียนออกมาแล้วเสือกดีด้วยนะ (*คำว่าดีในความหมายของผมคงไม่ใช่ดีแบบสาธารณะสักเท่าไหร่) ผมได้รับแรงบันดาลใจจากเขาจนต้องกลับมามองตัวเองและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง (แล้วก็บ่นแบบเดิมๆ งี้อีกครั้ง)

สัญญากับตัวเองครับ ว่าต่อไปนี้จะเขียนบล็อกเมื่ออยากเขียน และไม่ต้องห่วงหมวกบ้านั่นอีก (ส่วนเรื่องแคร์คนอ่านหรือไม่ อะไรยังไง ฯลฯ นั่นคงพูดจนไม่รู้จะพูดยังไงละ ก็ละไว้ละกันนะคราวนี้)

เย!

ทีนี้มาเข้าเรื่อง อยากจะฟื้นพลังตัวเองน่ะครับ เลยจะขอหัดเขียนอะไรสั้นๆ ง่ายๆ ให้เป็นนิสัยอีกครั้ง ผมเปิดบล็อกใหม่สองบล็อก จะเรียกว่าบล็อกก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าเป็นโน้ตสั้นๆ ที่คิดว่าจะบันทึกได้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่เบื่อ และจะได้มีที่ทางรวบรวมอะไรที่ตัวเองอยากทำมานานเสียที โดยไม่ต้องมาปะปนกับบล็อกหลักนี่ (ที่ก็จะขยันเขียนมากกว่าเดิมแน่นอน)

ตีนใหม่หัดปั่น

บล็อกแรกคือ “ตีนใหม่หัดปั่น” (ride.iannnnn.com) เกิดจากการไปซื้อจักรยานพับสีขาวมาคันนึง (ทีแรกจะซื้อสีแดง แต่เมียบอกขาวสวยดีเลยเอา จบนะ) ตอนนี้ใกล้หมดภาระหน้าที่ความเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ที่ต้องออกเดินทางเช้าเย็นทุกวันซ้ำๆ กันแล้ว เลยจะหาโอกาสมาหัดขี่รถเล่นเสียที เลยหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองด้วยการแวะจอดตามทางแล้วถ่ายรูป เห็นว่าระบบของ Tumblr มันง่ายดี ไม่ต้องมานั่งบริกรรมคาถามาก ยกมือถือถ่ายแชะปั๊บ ก็ออกมาเป็นบล็อกได้เลย เลยเอามาใช้กะมัน

นิทานสี่ช่อง

บล็อกที่สองคือ “นิทานสี่ช่อง” (nitan.iannnnn.com) พอดีช่วงนี้ลูกกำลังมีพัฒนาการน่าสนใจ เลยอยากบันทึกไว้ เลยเล่าเป็นการ์ตูนละกัน ถือว่าเป็นภาคต่อจากการ์ตูนท้ายเล่มใน “คือปะป๊าครองพิภพ” ที่ได้รับเสียงตอบรับดีมากกๆๆๆๆๆกกๆๆๆๆๆ จนน้ำตาแทบไหล แถมอันนี้นี่ก็พยายามจะให้ง่ายด้วยการหยิบมือถือขึ้นมา วาดลงในนั้น (ใช้โน้ตสองจ้ะ) แล้วก็กดปุ๊บ โผล่ออกมาเป็นบล็อกเลย ไม่เยอะนะ โอเค แต่สวยไม่สวยหรืออ่านรู้เรื่องหรือมุกแป้กรึเปล่า นั่นก็แล้วแต่สติปัญญาในตอนนั้น ไม่กล้าให้ความหวังครับ 5555

ป.ล.
บล็อกหลักนี่ระบบหลังบ้านใช้ WordPress
บล็อกจักรยานใช้ Tumblr (ตั้งค่าให้มันยิงมาในโฮสต์เรา)
ส่วนบล็อกวาดการ์ตูนแซวลูกใช้ Blogger (นี่ก็ให้มันยิงเหมือนกัน)
สนุกดีนะครับ ได้ลองหลายๆ ระบบแล้วเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียกัน เพลินดี

ป.อ.
ส่วนบล็อกเดิมที่เมียเป็นเจ้าของคือ bow.iannnnn.com นั้นก็เขียนแต่เรื่องลูกเหมือนเดิม แต่เมียขี้เกียจเลยไปโพสต์ใส่เฟซบุ๊กทวิตเตอร์มากกว่า 555 ก็มันง่ายดีหนิ ไม่เห็นแปลก

ป.ฮ.
สิ้นเดือนนี้ก็จะได้พักผ่อนละครับ ถึงต่อไปจะต้องเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละครั้ง แต่เชื่อว่าเราจะเริ่มชิวอย่างจริงจังสมความตั้งใจละ เย้ๆๆ

รียูเนี่ยน

ที่ตั้งชื่อว่ารียูเนี่ยน ก็เพราะผมเริ่มพิมพ์บล็อกตอนนี้ที่ยูเนี่ยนมอลล์ครับ
แม้จะเลิกงานแล้ว แต่บัดนี้ยังมีบางภารกิจคั่งค้างอยู่ในคอมพิวเตอร์
ก็เลยอาศัยม้านั่งหน้าร้านขายเสื้อแฟชั่นแถวชั้นบน เป็นที่ทำงานชั่วคราวไปก่อน
(ที่จริงคือนัดเมียไว้แต่ยังมาไม่ถึง เลยนั่งแก้งานไปด้วย นั่งชมวิวขาวๆ แถวนี้ไปด้วย)

หนึ่งปีที่ผ่านมา ผมหยุดเขียนบล็อก และหันไปบ่นพึมพำผ่านทวิตเตอร์เป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นขอถือโอกาสนี้มาเล่าให้อ่านซะหน่อย
ก็ต้องออกตัวอีกทีว่าตัวเองไม่ได้ใหญ่ยิ่งยงมาจากไหนถึงจะต้องมาชี้แจงอะไร
แต่อย่างน้อยก็เอาไว้เป็นบันทึก เพื่อบอกตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันวาน
เอาเลยนะ..

การหายไปปีนึงจากการเขียนบล็อกส่วนตัว แล้วได้ย้อนกลับมานั่งก้มหน้าก้มตา
พิมพ์ลงในหน้าจอสีขาวๆ กรอบสีเทาๆ ที่คุ้นเคยแบบนี้ มันให้ความรู้สึกหลากหลายมากครับ
อารมณ์เหมือนเคยมีวงดนตรีสักวง แล้ววันหนึ่งพออิ่มตัว บรรดาสมาชิกวง ก็ต่างเลิกร้าง
แยกย้ายกันไปแบบทางใครทางมัน มีลูกเต้าหรือเอาดีทางการเมืองก็ว่าไปซะพักใหญ่ๆ
ระหว่างนั้นก็มีแฟนเพลงที่เคยติดตาม มาคอยถามไถ่ว่าเมื่อไหร่จะมีผลงานร่วมกันมาอีก

แต่เอ.. การที่วงดนตรีที่เคยอยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนานและรุ่งเรือง แล้ววันนึงก็แยกวงกันเนี่ย
มันต้องเกิดจากปัญหาอะไรสักอย่างสิครับ ไม่งั้นเขาจะแยกกันทำไม?

สำหรับผมที่ไม่ใช่นักดนตรี เป็นแค่คนเขียนบล็อก แต่ก็ไม่ได้ดีเด่ขนาดมีคนมาถวิลหาอะไร
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอเขียนบล็อกมานานๆ แล้วดันเลิกไปเนี่ย ก็มีคนทักมาเหมือนกัน
ช่วงแรกที่หยุดเขียน จะมีคำถามที่ได้รับบ่อยๆ คือ “มึงจะดองไปไหน”
ช่วงถัดมา ก็กลายเป็น “นี่กะจะปล่อยบล็อกให้ร้างจริงๆ เหรอครับพี่”
ช่วงถัดมา “นี่มันหมดยุคของบล็อกแล้วใช่ไหม เห็นเล่นแต่ทวิตเตอร์”
และหลังจากนั้น เสียงเรียกร้องก็เริ่มซาลงไป
จนไม่มีใครพูดถึงการมีอยู่
ของบล็อกนี้..
อีก..
เลย..

อาห์..

การที่คนเข้าบล็อกเริ่มขี้เกียจตามง้อตามทวง และทยอยหายหัวไปจนหมดสิ้นเอยนั้น
ให้บอกว่าไม่เสียดายเลยก็ไม่ใช่.. ผมเสียดายครับ
เพราะเพื่อนฝูงที่คบค้าสมาคมกันอยู่ทุกวันนี้ หลายๆ คนก็รู้จักผมผ่านที่นี่
แต่ถามว่าเสียใจไหม ไม่นะ ..ตรงกันข้าม ผมรู้สึกขอบคุณที่ไม่มีใครพูดถึงบล็อกนี้อีก!

สำหรับผมเอง การที่หายหัวไปนานขนาดนี้ มีหลายเหตุผลครับ

หนึ่ง: ผมไม่อยากเขียนบล็อกแล้ว

อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อก่อนหน้านี้ ว่าการเขียนบล็อกมันเริ่มไม่ใช่แล้ว
ปัจจัยภายนอกก็คือ ตัวระบบ WordPress ที่ไม่ “ง่ายบริสุทธิ์” ได้ดั่งใจ
(ซึ่งตรงนี้ Tumblr และ Twitter ตอบโจทย์มาก คิดอะไรได้ก็พ่นพรวด ..จบละ)
ส่วนปัจจัยภายในก็คือผมรู้สึกว่าการเขียนบล็อกมันยุ่งเกินไป
ซึ่งไอ้ความยุ่งยากนี้มันเกิดจากตัวผมเองทั้งนั้น ทั้งที่แรกๆ ก็เขียนตามสบาย
แต่พอคนอ่านเริ่มมากขึ้น ก็เริ่มจะอยากสร้างธรรมเนียมอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา
กะว่าจะให้เป็นลายเซ็น เป็นยี่ห้อ เป็นเอกลักษณ์ว่างั้นเถอะ
ทั้งการจัดย่อหน้า การตั้งชื่อ บังคับใช้เลขไทย ฯลฯลฯ ที่เป็นเปลือกทั้งนั้น
นานวันเข้าก็ยิ่งผูกเงื่อนไขกติกาให้ตัวเองเข้าไปติดกับ จนซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
จนวันหนึ่งก็ยอมแพ้ให้กับมัน..

สอง: ผมสู้ปัญหาไม่ไหว

ระบบบล็อกของผมมันเก่ามาก สมัยนั้นเริ่มเขียนตั้งแต่ WordPress รุ่น 1.2 หรือ 1.5 แน่ะ
แล้วฐานข้อมูลก็เป็นแบบ TIS-620 ซึ่งวันหนึ่งต้องย้ายเซิฟเวอร์เป็นเครื่องใหม่ที่เป็น UTF-8
ก็เลยเจอปัญหาตัวอักษรภาษาไทยเจ๊ง (บอร์ดฟอนต์.คอมก็เจอปัญหานี้มาก่อนเหมือนกัน)
แล้วทำไงดีล่ะ ด้วยความเสียดาย เลยต้องมานั่งซ่อมทั้ง 3-400 กว่าตอนที่เคยเขียนมา
ส่วนคอมเมนต์ในสมัยก่อนถึงจะเสียดาย แต่ก็ถือว่าช่างมันละกันเนอะ ตัดทิ้งไปให้หมด
วิธีซ่อมก็คือค่อยๆ ไล่หาตัวอักษรที่เจ๊ง (ตัว ภ และอื่นๆ อีกหน่อย จะกลายเป็นตัวเหลี่ยม)
แล้วก็ก็อปมาในภาชนะใหม่ให้สะอาดเกลี้ยง คือติดตั้งระบบใหม่แล้วเริ่มก็อปปี้มาลง
ซึ่งวิธีนี้ใช้เวลานานมาก และต้องใช้แรงใจไม่มีวันหมด ก็เลยยังไม่เสร็จซะที
(สังเกตว่าตอนนี้พอเปิดย้อนไปหน้าสาม ก็กลายเป็นเนื้อหาบล็อกเมื่อหลายปีก่อนซะแล้ว)
ก่อนหน้านี้อยากซ่อมให้มันใช้ได้ทั้งหมดก่อนแล้วค่อยเริ่มเขียนต่อ แต่ก็เจอปัญหาสุดท้าย..

สาม: ผมอยากเขียนบล็อกมาก

อ่านไม่ผิดครับ ผมโคตรอยากเขียนบล็อกมากๆ
เพราะพอไม่ได้เขียนไปสักพักนึง ก็ดันไปเจอเรื่องอะไรต่อมิอะไรไม่รู้มากมายก่ายกอง
ชีวิตเกิดการผกผวนรวนเรจนน่าสนุกที่จะเล่า เลยอยากคุย อยากเขียนให้เยอะๆ
แต่ปัญหาทั้งสองข้อข้างบนทำให้ไม่รู้จะทำยังไงดี คือเราเหมือนหมาไฮเปอร์ที่โดนขังในกรง
แล้วหาทางออกไม่ได้เสียด้วย แต่คือมันเงี่ยนมากๆ ไง ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว
แต่ถึงตัดใจเขียนแม่งตอนนั้นก็คงต้องมานั่งซ่อมระบบย้อนหลังอีกที เอ้า ยุ่งยากอีก
ในที่สุดก็เลยถือเป็นโอกาสอันดี ที่ตั้งใจไว้ว่า เออ.. งั้นกูขอหยุดเขียนไปสักปีละกัน
รอให้ความร้อนรนในช่วงนั้นมันเย็นลง ไปหาอะไรอย่างอื่นทำซะ

ในระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมก็อาศัยจังหวะเวลาว่าง (ที่ไม่ค่อยมี หรือถึงมีก็ไปทำอย่างอื่น)
มานั่งค่อยๆ คัดลอกและซ่อมแซมข้อความจากบล็อกเดิมทีละตอนๆ
ทีแรกกะว่าจะทำให้หมดก่อนแล้วค่อยมาเขียนใหม่ แต่(ข้ออ้างคือ)เวลามันไม่อำนวย
พอได้อ่านบล็อกเก่าๆ ของตัวเองก็แทบจะถุยน้ำลายรดจอ ..คือกูเกรียนจริงๆ เลยนะ
เลยตั้งใจจะรีเซ็ตธรรมเนียมเพ้อเจ้อที่เคยผูกขึ้นมาแล้วก็ติดบ่วงของตัวเอง.. อีกครั้ง

และประเด็นสุดท้ายก่อนที่บล็อกจะยาวไปกว่านี้
พ.ศ.นี้ โลกเรามีของเล่นออนไลน์สารพัดยี่ห้อ มาให้เล่นและเสพติดแทนบล็อกไปแล้ว
จะเรียกว่ายุคนี้เป็นยุคที่บล็อกตายแล้วก็ไม่ผิดนะครับ เพื่อนผมหลายคนเลิกเขียนไปหมดละ
ดังนั้นใครที่มานั่งเขียนบล็อกในตอนนี้ ก็ไม่ต้องมานั่งห่วงว่า “คนอ่านจะเยอะไหม” อีกแล้ว
เพราะพฤติกรรมของผู้เสพข้อมูลในอินเทอร์เน็ตนั้นเปลี่ยนไปจากยุคเฟื่องฟูของบล็อก
(ถ้าไม่กวาดสายตารวมๆ แล้วกด Like ก็อ่านได้แค่เฮือกละ 140 ตัวอักษรเท่านั้น)

นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้กลับมาเขียนอะไรที่เป็นตัวเองอีกครั้ง
ไม่ต้องมาง้อว่าคนอ่านจะชอบไหม (เพราะคนแม่งไม่ “อ่าน” กันแล้ว แต่ใช้ “ดู” แทน)
บล็อกไอ้แอนนนนนแห่งนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะกลับมาเป็นพื้นที่สำหรับคุยกับตัวเองอีกครั้ง

อ้อ.. ผมไม่ได้กร่างหรืออินดี้อะไรขนาดนั้นครับ ถึงจะมีคนอื่นมาคุยด้วยก็ยินดีนะครับ~

ป.ล.
เคยเจอเพื่อนสมัยเรียนที่สนิทกันโคตรๆๆๆๆๆๆ แต่พอเรียนจบมาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย
จนกระทั่งมีเหตุให้เจอกันอีกครั้งไหมครับ นี่แหละอารมณ์ของผมตอนนี้เลย
กูไม่รู้จริงๆ ว่ะว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องของตัวเองในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาให้มึงฟังว่ายังไงดี
มึงมีเวลาไหมล่ะ.. ถ้ามี เรามานั่งคุยกันนานๆ เลยได้ไหม คิดถึงมึงมากๆ
(ไอ้เพื่อนคนนั้นก็ตอบทันทีว่า “ไม่เป็นไร ค่อยๆ เล่าก็ได้ ไม่รีบ ..กูอยู่กับมึงอีกนาน”)

ป.อ.
ไอ้ ป.ล.-ป.ฮ. นี่ก็เคยเขียนไปแล้วทีนึงตอนพยายาม Reset ธรรมเนียมการเขียนบล็อกหนก่อน
เพราะเมื่อก่อนมันต้อง “พยายาม” หาอะไรมายัดใส่ให้ครบทั้งสาม ป. (เพื่ออะไรก็ไม่รู้)
แต่เวลามาเขียนหนนี้จริงๆ ก็เลยนึกได้ว่าประโยชน์ของมันก็คือ เป็นพื้นที่เก็บตกประเด็น
ที่อยากเสริมเนื้อหาข้างบน แต่ด้วยความจนปัญญาเลยไม่รู้จะยัดไว้ไหน .. เอาไว้นี่ละกันวะ

ป.ฮ.
ใช้เวลาเขียนนานมาก เริ่มที่ยูเนี่ยน มาจบที่บ้าน นี่เมียผมนอนไปแล้ว
เลยต้องรีบตัดจบ ไม่งั้นโดนด่า.. เออ เลยนึกถึงตอนก่อน (100 ขั้นตอนสู่ความขี้เหลว)
พอดีนั่งดีไซน์หน้าบล็อกจนดึกมากๆ (จนตอนนี้ยังทำไม่เสร็จเลย ใครดูในมือถือจะยังเละสวดยวด)
แล้วก็พลันปิ๊งมุกขึ้นมา เลยเขียนไปยังงั้นเลย สดดี (ส่วนตัวแล้วชอบความปิ๊งแว้บแบบนี้แหละ)
คงไม่เขียนต่อนะครับ ทิ้งไว้งั้นแหละ ดูไร้กระบวนท่าดี กร๊าก :30:
(ไม่รู้นังแชมป์ เจ้าของหนังสือที่โดนแซว-ตอนนี้อยู่ญี่ปุ่น-จะรู้หรือยัง)

003 | กลับมาอีกแล้วว่ะ

wc_return

สวัสดีครับ หลังจากหายไปเลยกับบล็อกอันเก่าที่เรียกว่าบล็อกหยาบคาย
ตอนนี้ความคิดในกบาลก็เริ่มตกตะกอนแล้ว
ว่าไอ้สิ่งที่ผมน่าจะสนุกกับมันก็เป็นไอ้พวกการมานั่งเล่าอะไรเรื่อยเปื่อยยังงี้แหละ
เพียงแต่ว่าไม่ต้องไปเขียนอะไรจริงจังอย่างที่เคยเป็น (คนดูก็เสือกเชียร์ เลยไปกันใหญ่)

เพิ่งเคยใช้ระบบข่าว ที่เอามาแปลงเป็นบล็อกแบบนี้
คิดว่าระบบมันน่าจะใช้ได้นะ เพราะเท่าที่ดูมันก็ไม่งงมาก (แต่ก็งงกับศัพท์เฉพาะของระบบมันบ้าง)
ทั้งนี้เป็นเพราะความอยากมีอะไรเป็นของตัวเองไม่ต้องไปพึ่งฝรั่ง
เลยผลออกมามั่วๆ อย่างที่เห็น :05:
Continue reading 003 | กลับมาอีกแล้วว่ะ