ถึงมันจะเป็นเรื่องซ้ำซากที่ฉายวนเวียนมาทุกๆ สิบปี โดยเปลี่ยนเพียงชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็กฮาร์ด อัลเตอร์ อินดี้ เด็กแนว หรือล่าสุดที่เห็นแซะกันอยู่ในไทม์ไลน์อยู่ทั้งวันทุกวันโดยเฉพาะในช่วงนี้ ก็คือคำว่าฮิปสเตอร์
แต่เวลาได้อ่านข้อความจากคนที่เชื่อว่าตัวเองรู้ว่าฮิปสเตอร์คืออะไร และอย่ามาเสือกแปะป้ายให้คนอื่น(กู)เป็นฮิปเตอร์ด้วยความเข้าใจแค่นั้นของมึง อะไรแบบนี้
ผมแม่งบันเทิงมาก
ความบันเทิงนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยที่คำว่าเด็กแนวกลายเป็นคำที่เอาไว้ครอบสวมให้คนบางกลุ่มบางพฤติกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดความนั่นแหละครับ
เฮ้ยมันบันเทิงจริงๆ นะ เวลาอ่านบทความจากอีพวกชอบจัดกลุ่มคน ว่าคำคำนี้จะต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ กินแบบนี้ อ่านแบบนี้ งานอดิเรกแบบนี้ ติดสัดฤดูนี้ แล้วเอามาดูว่ามันเข้ากับตัวเองข้อไหนบ้าง (ไม่ค่อยเข้าเลย เสียใจ) และเข้ากับจินตนาการของผู้จัดกลุ่มเองว่าอย่างไรบ้าง มันสนุก มันได้อรรถรสดีจะตาย
เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ กับวัฒนธรรมสมัยใหม่บนโลกที่มันเหวี่ยงหมุนมาเชื่อมกันแน่นเป็นหมอยติดสบู่แบบนี้ ยังไงชีวิตก็ต้องโคจรไปโดนบุคคลประเภทที่ใช่ และไม่ใช่เราอยู่ดี
เอาจริงๆ ผมเกลียดอีพวกชอบจัดกลุ่มเหมือนกัน แต่ในทรรศนะของพวกเขา มันก็ง่ายดีเวลาจะสรุปอะไรด้วยประสบการณ์การมองโลกของเขา
แต่ถ้ามองจากมุมของคนที่เกลียดการโดนครอบด้วยคำศัพท์อะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่กู 100% แต่สุดท้ายก็โดนลากเข้ามาเป็นกูจนได้ แบบนี้ก็เข้าใจได้อีกเช่นกันว่าแม่งน่ารำคาญชะมัด
คุณเคยอยู่ดีๆ ก็โดนคนที่ไม่สนิทกันมาเหมาว่าเป็นสลิ่มไหมครับ?
เสื้อแดงล่ะ ริเบอร่านล่ะ ไดโนเสาร์ล่ะ แมลงสาบล่ะ ควายล่ะ ชนชั้นกลางล่ะ ต่ิงล่ะ สาวกล่ะ ฯลฯ
คำพวกนี้ถ้ามันออกมาจากปากคนที่เราไม่สนิทสักหน่อย ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันแหละครับว่า ควยเอ๊ย (นี่คือแบบสุภาพแล้วนะ) มึงรู้จักกูดีแค่ไหนเชียวที่เอาป้ายมาแปะให้กูแบบนี้
ซึ่งนั่นก็จงเข้าใจได้เช่นกันว่ามันก็เกิดกับทุกวงการแหละ ไม่ได้เฉพาะฮิปสเตอร์ที่กำลังแซะกันสนุกสนานนี่หรอก ลองนึกย้อนไปในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองดุเดือดกว่านี้ อันเฟรนด์กันรัวๆ ด้วยวาทกรรมจากแกนนำม็อบ ช่วงนั้นแค่คนที่ “ไม่ใช่พวกเรา” มาเรียกเราด้วยอะไรสักอย่าง แม่งปี๊ดกันกว่านี้เยอะเลยนะครับ
เช่นเดียวกับฮิปสเตอร์ที่มีหลายคนเดือดแค้นกับมันมาก บางคนปกป้อง ไม่อยากให้คำซึ่งมีความหมายคงเดิมจากต่างประเทศอยู่แล้วมันด่างพร้อยสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ (เชี่ย ฮิปสเตอร์แบบหีนยาน)
บางคนก็เข้าใจแต่ก็อดบ่นไม่ได้ว่าที่จริงกูเป็นแบบนี้ของกูมานานแล้ว กูถ่ายรูปเว้นที่ว่างเยอะๆ กูทำหน้าปวดเยี่ยวใส่กล้อง กูอ่านเล่มนี้ กูเลี้ยงสิ่งนี้ กูกินไอ้นี่ กูชอบที่นี่ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่เห็นใครจะมาพะยี่ห้ออะไรให้ (เรียกว่าฮิปสเตอร์มาก่อนที่จะมีฮิปสเตอร์ อันนี้เขาก็ว่ามันคือฮิปสเตอร์ของแท้) วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็เสือกมาเรียกกูด้วยคำศัพท์คำหนึ่ง และยัดพฤติกรรมงี่เง่าหลายๆ อย่างปะปนเข้ามาเปื้อนด้วย แล้วเอาไปหัวเราะกันป่นปี้สนุกสนาน มันช้ำนะรู้ไหม
ซึ่งผมแม่งก็บันเทิงอีกเช่นกัน 5555 นิสัยเสียมาก
เวลาบันเทิงกับอะไรแบบนี้นี่ไม่ต้องลงทุนไปไหนไกลเลยครับ ลองดูว่าไอ้แบบที่เขาแขวะกันเนี่ย มันพอจะเกี่ยวกับเราบ้างไหม เช่น ผมแม่งมีพฤติกรรมหลายข้อที่เข้าข่ายสลิ่ม แต่มันยังได้แคไม่กี่ข้อไง
วิธีการก็คือ พยายามเก็บแต้มที่เหลือให้ครบ จะได้เป็นสลิ่มในอุดมคติ เวลาไปที่ไหนกินอะไร ก็ไปห้างสลิ่มๆ กินร้านสลิ่มๆ ถ่ายรูปสลิ่มๆ หรือทำพฤติกรรมที่เขาว่ามาว่าทำแล้วมันจะสลิ่มนะ
โคตรสนุก
ไม่สนุกเปล่าๆ นะครับ คืออย่างน้อยคำว่าสลิ่มนั้นก็จะแตกหน่อออกมาเป็นความหมายใหม่ที่เป็นศัพท์เฉพาะสำหรับหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เวลานัดกันไปกินที่ไหนดี “เอาร้านสลิ่มๆ” แบบนี้ ไม่มีใครโกรธนะครับ นั่นเพราะความหมายของมันงอกงามออกมาเป็นสแลงที่มีคุณค่าอีกประการนึงไปแล้ว
ส่วนฮิปสเตอร์นั้นยังเป็นคำที่ไม่ตกรุ่น (คือกำลังน่วมได้ที่เลยล่ะ) ไอ้ผมเองก็เลยมาพิจารณาตัวเองว่าเรามีพฤติกรรมเข้าเกณฑ์ที่มนุษย์จากองค์กรจัดกลุ่มชาวบ้านทำเหี้ยอะไรอ๋อเพื่อความง่ายในการทำการตลาดแห่งประเทศไทย (ถ้างง ย้อนกลับไปอ่านชื่อองค์กรซ้ำอีกที) ช่วยกันลิสต์กันขึ้นมา
ความฮิปสเตอร์ของผมนั่นเข้าข่ายผ่านเกณฑ์อยู่ประมาณ 13 อย่าง จากทั้งหมด 437 ข้อ (เศร้ามาก) …ซึ่งไม่ได้ละ เทรนด์มันมาขนาดนี้ เราอยากเป็น เราวอนนาบี ต่อไปนี้จะขอไล่เก็บแต้มให้ครบทุกข้อโดยไว
(เปิดตำรา) เริ่มจากเรียกตัวเองว่าเราก่อนใช่ไหม เออ เราก็เรียกตัวเองว่าเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ข้อนี้ผ่าน
(เปิดอีกบรรทัด) เล่นทวิตเตอร์… นี่ล่ะ ข้อนี้มั่นใจมาก กู เอ๊ย เรานี่ใช่ละ
(เปิดอีก) เลี้ยงแมว … บัดซบ ไอ้จิ๋วนี่ไม่นับได้ไหม
(เปิดอีก) ห้ามยอมรับว่าตัวเองเป็นฮิปสเตอร์
…
เทรนด์ต่อไปเชิญครับ