พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

เอาจริงๆ คือผมอยากไปเองนั่นแหละ อยากรู้ว่ามันจะเจ๋งจริงไหม เพราะเคยไปแต่หว้ากอ อ่าวคุ้งกระเบน อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็มีปลาแปลกๆ ให้ดู แถมด้วยอุโมงค์ใต้น้ำ ก็ถือว่าใช้ได้นะครับ แต่มันเป็นสถานที่ของทางราชการ เลยมีบรรยากาศที่มันราชก๊ารราชการอยู่บ้าง ก็อยากรู้มานานแล้วว่าแบบเอกชนมันเป็นยังไง ก็เก็บค่าเข้าแพงขนาดนั้น

พอเห็นว่าอีตู้กดโปรโมชันบัตรกระต่ายของบีทีเอสเขามีส่วนลด (40% แน่ะ ผู้ใหญ่เหลือ 240 บาท ส่วนเด็กสูงไม่ถึง 80 เซ็นต์เข้าฟรี — นิทานสูง 79 ละ) ผมเลยลองเปิดบล็อกของคนนั้นคนนี้ที่เคยไปสมัยมันเปิดตัวใหม่ๆ ก็พบว่าน่าสนใจ แถมลูกกำลังโตได้ที่ พอที่จะสนใจอะไรแบบนี้ และเหมาะกับการไปเที่ยวครั้งแรก (เอาไว้โตกว่านี้เยอะๆ แล้วค่อยไปอีกที ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาก่อนรอบนึง)

ที่สำคัญคือลูกสาวผมเป็นเด็กที่บ้าปลามาก รู้จักและเรียก “ปลาๆๆๆ” ได้ก่อนเรียกพ่อแม่มันอีก (เป็นสัตว์ที่ตื่นเต้นทุกครั้งที่เจอ พอๆ กะนก ไว้ว่าจะไปสวนนกชัยนาทอีกที)

ก็เลยไปมาวันนี้ครับ ดูภาพกันเลยนะ

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
ตอนแรกผมไปคุยงาน ส่วนเมียพาลูกไป TK Park พอคุยเสร็จก็แวะไปรับลูกเมีย ที่จริงนิทานก็ฟินไปรอบนึงละกะดงหนังสือ (นอกจากบ้าปลา บ้านก แล้วก็บ้าหนังสืออีกด้วย)

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
กินข้าวกันที่ร้านญี่ปุ่นสักร้าน จำชื่อไม่ได้ อยู่บนเซ็นทรัลเวิล์นั่นแหละ ไม่อร่อยเลย

พานิทานไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์
ตัดภาพมาที่สยามโอเชียนเวิลด์เลยนะครับ มันอยู่ใต้ดินพารากอน ถ้าลงบีทีเอสก็ให้ลงฝั่งที่เป็นโรงหนัง แต่แทนที่จะขึ้นก็ลงกระไดไปแทน สถานที่ใหญ่โตกว้างขวางพอสมควรเลยแหละ สัดส่วนนักท่องเที่ยว มีคนไทยประมาณ 3 คนได้ นอกนั้นฝรั่ง ญี่ปุ่น อินเดีย จีนหมดเลย ถือเป็นน่านน้ำสากล
Continue reading พาลูกเมียไปเที่ยวสยามโอเชียนเวิลด์มาครับ

เชียงคลาน

เพิ่งไปเชียงคานมากับเพื่อนมัธยม ถ้ารวมลูกเมียของผมด้วยก็เป็น 10 ชีวิตพอดี

เป็น 10 ชีวิตที่กำลังพอดี พอดีในความหมายที่แปลว่า “พอดี” คือไปกับเพื่อนมัธยม (ไม่ใช่เพื่อนเก่า แต่เป็น “เพื่อนปัจจุบัน” ที่บอกไม่ได้เก่าเพราะว่าไม่ได้ขาดการติดต่อกันขนาดต้องนัดพบปะสังสรรค์กันแบบนานๆ ที แต่กลุ่มนี้คือเจอกันบ่อย จนเป็นเพื่อนปัจจุบัน) ที่คุ้นเคยกัน ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจอะไรกันนัก ถึงในช่วงหน้าโลว์ซีซัน ที่นักท่องเที่ยวสลิ่มจากกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมี จะมีก็แค่เรา กับคนอื่นๆ ที่มาไม่ตรงกับฤดูท่องเที่ยวสุดฮิต เหมือนเป็นสลิ่มหลงฤดู

หลงขนาดที่ว่าพอหันไปถามอีบิ๊ก หัวหน้าทริปนี้ แม่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชียงคานอยู่ตรงไหนของประเทศ และต้องนั่งรถนานขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งการสั่งเพื่อนให้ลางานวันจันทร์หนึ่งวัน เพื่อมาเที่ยว แต่ก็ไม่รู้ว่ามาแล้วจะได้เห็นอะไร หรือมีที่เที่ยวอะไร (คำตอบคือไม่มีไง)

ส่วนผมไม่ซีเรียสอะไรเลยสักอย่าง เพราะเชียงคานเป็นสถานที่ที่มาก็ได้ ไม่มาก็ได้ คิดภาพไว้ว่าคงเป็นอารมณ์เหมือนปาย ที่น่าจะมีอะไรๆ คล้ายเมืองเดิมที่มันน่ารักอยู่แล้ว แต่โดนคณะสลิ่มเมืองกรุงมาถล่มจนมันกลายเป็นจริตแบบกรุงเทพๆ ไป จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ภูมิต้านทานของสถานที่ว่ารับมือไหวแค่ไหนกับกรเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมเคยเขียนเรื่องปายเอาไว้ในบล็อกนี้ (แต่ระบบเคยพังจนข้อมูลหายหมดแล้ว ช่างมัน) คราวนี้ก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากเดิม ที่คิดว่าถ้าเรามีสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ แนวชิวๆ แบบนี้ เราจะไม่อยากบอกใครเท่าไหร่ ไม่งั้นเกิดมันแมสขึ้นมา แบบปาย แบบอัมพวา แบบเชียงคาน หรือแม้แต่แบบสวนผึ้ง แบบดำเนินสะดวก แบบหัวหิน ฯลฯ

รับรองว่าเราจะไม่ได้เห็นบรรยากาศที่เราเคยหลงรักมัน แต่จะกลายเป็นบรรยากาศจำลองให้ชาวกรุงเทพฯ ที่มาเสพบรรยากาศประดิษฐ์แบบใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้กลายเป็นอัตลักษณ์เฟกๆ เหมือนๆ กันไปหมดทุกที่

เชียงคานก็คงเป็นแบบนั้น… ผมคิดไว้ตั้งแต่อ่านข่าวเห็นนักท่องเที่ยวเมืองกรุงมาถล่มที่นี่ในหน้าหนาวเมื่อสองสามปีก่อน

พอคาดหวังไว้ต่ำมาก การที่รถตู้ไปจอดลงตรงหน้าที่พัก และเราเดินไปถึงชานระเบียงที่พัก ซึ่งอยู่ติดฝั่งโขงพอดี จึงเป็นความรู้สึกที่ เออ เหนือความคาดหมาย

ดีเหลือเกินที่เรามาในช่วงเวลาที่ไม่ตรงเวลากับใคร เพราะตอนนี้กรุงเทพฯ ฝนตกทุกวัน แต่ที่นั่นไม่ (ที่จริงก็ฟ้าครึ้มๆ ทั้งวัน) ดังนั้นเชียงคานในส่วนถนนคนเดินที่ร่ำลือกัน เลยเงียบ สงบ และเหมือนเมืองท่องเที่ยวที่แต่ละบ้านแต่ละร้านก็ปิด ปรับปรุงซ่อมแซมต่อเติม (หรือประกาศขาย) ใเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูกาลถัดไป

เคยเจอบรรยากาศแบบที่ว่านี้มาแล้ว ตอนที่ไปเกาะลันตาเมื่อสักสิบปีก่อน เกาะลันตานั้นเงียบ สงบ เรียกว่าสงัดจะถูกกว่า โซนท่องเที่ยวที่มีแต่ภาษาอังกฤษนั้นปิดตาย เพราะเป็นหน้าโลว์ มีเพียงกลิ่นของสถานที่ท่องเที่ยวสุดคึกคักที่รอวันเปิดทำการอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน และถุงพลาสติกปลิวไปบนถนนนานๆ ครั้งเมื่อต้องลม

บรรยากาศในคืนวันอาทิตย์ที่เชียงคานในวันที่ผมเพิ่งไปมาแม่งเป็นแบบที่ว่าเลย เพียงแต่เปลี่ยนจากเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจฝรั่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจคนกรุงเทพฯ

แต่ได้บรรยากาศของความสงัดเหมือนกัน

โอเค เชียงคาน นายก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด ขอโทษที่มองนายเสื่อมไป อย่างอนนะ

ป.ล.
ที่พักผมมีดาดฟ้าชั้นสาม ที่ขึ้นไปยืนมองแม่น้ำโขงได้แบบพาโนรามมา มีช่วงค่ำๆ ขณะที่ลูกเมียหลับแล้ว ผมไปยืนเกาะระเบียงมองผืนน้ำและทิวทัศน์ฝั่งลาวยามราตรี (ที่ไร้แสงไฟและโคตรมืด) อยู่นิ่งๆ คนเดียว หันมามองนาฬิกาในโทรศัพท์ ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เออ ชิวสัส

ป.อ. (ยาวหน่อย) (มีรูปด้วย)
ยังรู้สึกชอบการแวะดูนั่นนี่ระหว่างทางเหมือนเดิม ถึงจะมีข้อจำกัดนิดนึงคือคนอื่นไม่ได้ชอบด้วย และเรามีลูก แต่ยังไม่ลืมภาพบรรยาากาศของสถานที่เจ๋งๆ ที่เคยค้นพบโดยบังเอิญ เช่นตอนปี 2549 ที่สุพรรณบุรี เคยไปงานแต่ง ขากลับเจอกองทัพเป็ดไล่ทุ่ง (ดูภาพ) จนต้องวิ่งลงไปกรี๊ด แหวกว่ายๆ และถ่ายคลิป (สมัยนั้นกล้องมันถ่ายได้ดีสุดแค่ 240p นะ) หรืออีกครั้งที่ไปเที่ยวสวนผึ้ง ขากลับหันไปเห็นลำธารข้างทาง สวยดี เลยจอดลงไปเดินดูกับภรรยา (ดูภาพ) ปรากฏว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศสุดเจ๋ง เจ๋งจนขออย่าให้มีใครมาเห็นและเอาไปทำรีสอร์ตเลยนะๆๆ ปล่อยให้มันอันซีนอยู่แบบนี้แหละ ชอบ รักเลย

ป.ฮ.
หยุดเที่ยวมาสองเดือนเพราะไปวุ่นกะอะไรอยู่ไม่รู้ ต่อไปนี้จะค่อยๆ เที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามปณิธานที่วางเอาไว้ รอก่อนนะ กาญจนบุรี ชัยนาท กำแพงเพชร อุดรธานี สกลนคร ชุมพร สุราษฎร์ และยะลา (อันสุดท้ายนี่เป็นโครงการยาวๆ รอให้เมียอนุญาตก่อน)

โลกหมุนที่ความเร็วสามแมวเดินคุยกัน

กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน

พอดีแอปทวิตเตอร์มันเด้งขึ้นก่อนโครม เลยทวีตไปทีนึงว่าจะเขียนบล็อกด่วน เสร็จแล้วก็เปิดหน้านี้ขึ้นมาเขียน จะได้ด่วนจริงๆ ไม่งั้นนั่งพิมพ์เป็นชั่วโมงแน่

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมโคตรมีความสุขเลยครับตะกี้

พอดีลูกเมียไปค้างบ้านแม่ยาย เมื่อคืนผมเลยนั่งทำงานจนดึกไปหน่อย วันนี้หลังจากตื่น (สิบโมงครึ่ง) ลุกจากที่นอน (เที่ยงครึ่ง — พอดีเสพติดโทรศัพท์และอ่านการ์ตูนอยู่ ไม่ดีๆๆ) อาบน้ำแปรงฟัน เสร็จแล้วเอาโทรศัพท์ไปชาร์จทิ้งไว้ แล้วเดินลงมาหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจบ้านเพื่อขี่จักรยาน ออกเดินทางไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ซอยลาดปลาเค้า 62 (ก๋วยเตี๋ยวหมูเปื่อย อร่อยมาก อยากให้ทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้ได้ลองจริงๆ)

แล้วพอดีว่าแดดวันนี้มันไม่แรงไงครับ ลมกำลังเย็นสบาย ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก ก็เลยพบอณูความชิวกระจายอยู่ในมวลอากาศเป็นปริมาณหนาแน่นผิดปกติ (ขอเรียกว่า “ความชิวสัมพัทธ์”)

ผมเลยขับเลยปากซอยเข้าหมู่บ้านไปอีกหน่อย กะว่าจะไปเที่ยวตลาดลาดปลาเค้าเล่นๆ มันตอนบ่ายนี่แหละ ชาวบ้านเขาทำงานกัน แต่เราไม่

จอดรถซื้อถั่วหน้าปั๊มน้ำมัน แม่ค้าจะใส่ถุงพลาสติกให้อีกชั้น เราปฏิเสธ (ด้วยความโลกสวยและรักสิ่งแวดล้อม) แม่ค้าถามว่า “ไม่เอาเหรอ ไว้ใส่เปลือกไงน้อง” … เออ ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย วงการถั่วต้มนี่ร้ายกาจจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เอา เราหยิบถุงถั่วมาแขวนไว้ตรงแฮนด์จักรยานแล้วปั่นต่อ หาที่จอดหน้าตลาดไม่ได้ ก็เลยปั่นเลยไปเรื่อยๆ

เป้าหมายคือ…

ไม่มีว่ะ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำไม แต่ตีนมันปั่นไปแล้ว มือนึงกำแฮนด์ อีกมือล้วงเข้าไปในถุงถั่ว และแกะกินระหว่างปั่นไปด้วย

การปั่นจักรยานของผมนั้นไม่เคยคิดว่าจะปั่นให้เร็วเท่าไหร่เลย เพราะเคยพยายามปั่นเร็วๆ เผื่อจะได้เท่แบบคนอื่นที่เคยขับแว้นแซงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างกายเราบอกว่าปั่นไปมึงก็เมื่อย และที่สำคัญมากคือมันไม่ชิว

เมือสะกิดใจถึงสิ่งนั้น ผมเลยปั่นด้วยความเร็วระดับ 3 แมวเดินคุยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

และพบว่าบรรยากาศสองข้างทางนั้นเป็นของเราโดยสิ้นเชิง

ผมขับรถยนต์เวลาไปไหนมาไหนกับลูกเมีย

ผมขี่ฟีโน่เมื่อเดินทางไปทำงาน

ผมขึ้นรถเมล์เมื่อเบื่อรถไฟฟ้า

นี่ถ้าแถวบ้านมีท่าเรือ ผมก็อาจจะขึ้นเรือ เพื่อให้การเดินทางในแต่ละวันไม่ซ้ำกันก็ได้

แต่จักรยานสำหรับผมนั้นไม่ใช่การเดินทาง มันคือการโดดขึ้นขี่เพื่อย้ายตูดตัวเอง (สำนวนฝรั่งซะด้วย) จากที่นึงไปอีกที่นึง โดยไม่ได้ระบุพิกัดเป้าหมาย เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจริงๆ

อย่างเมื่อวานปั่นไปคืนหนังสือการ์ตูนแถวเสนา (ผ่านบ้านเศรษฐี ถ่ายรูปไว้ด้วย) ก็กะว่าจะไปทางปกติที่ขับรถยนต์ไป แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจ เลี้ยวเข้าซอยที่ไม่ค่อยได้เข้า และแวะชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ

ใช้เวลามากกว่าเดิมสองเท่า แต่ความสุขมันแทบจะล้นออกมาจากสองรูจมูก

แม้โอกาสจะเพิ่งอำนวยเมื่อไม่นาน หลังจากลดเวลาการทำงานที่บริษัทลง แต่นั่นก็ยิ่งย้ำให้ตัวเองรู้ว่า ผมชอบการเดินทางแบบนี้ คือไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็จอดแวะซื้อน้ำเก๊กฮวยกิน แล้วก็ปั่นต่อ

มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งเมื่อขี่แว้น และยากกว่านั้นอีกเมื่อขับรถยนต์ เรากำหนดจุดหมาย แล้วก็ขับไป มีสมาธิจนถึงจุดหมายปลายทาง

ซึ่งอารมณ์นี้ไม่เกิดขึ้นกับจักรยานเลย

ด้วยความเร็วระดับสาวแมวฯ ทำให้เห็นว่าสองข้างทางนั้นมีบ้านคน ทั้งแบบรวยๆ รั้วสูงๆ กับแบบจนๆ ที่ไม่มีรั้วเลย จนเราอนุมานได้ว่าความรวยนี้แปรผันตรงกับความสูงของรั้วบ้าน

มีถังขยะ 3 แบบ (แบบขุ่น แบบเขียวเหลือง และแบบถังสีน้ำเงิน) มีต้นไม้ใบหญ้าที่ปกติเราไม่ได้เจรจากับมัน แต่พอปั่นจักรยาน เราเลยได้โยนเปลือกถั่วลงไปเป็นปุ๋ยไนโตรเจนให้มัน (แต่มันเป็นวัชพืชนะ)

มีหมาที่บางตัวเป็นมิตร บางตัวกลัวเรา บางตัวเตรียมโจมตี เราก็เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์เดียวกับมัน (เกียร์หมา) แล้วปั่นหนีสุดชีวิต

มีร้านรับปะ ซ่อม เย็บเสื้อผ้าจำนวนมาก คือแถวๆ นั้นเป็นแฟลตทหารน่ะครับ แล้วเมียจ่านี่แหละ เป็นทรัพยากรแรงงานด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าที่สำคัญยิ่งต่อประเทศเรา

มีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ว่าเด็ด (ธรรมดา 30 พิเศษ 35) แต่ดูแล้วงั้นๆ อยู่ติดกับร้านข้าวแกงที่ดูไม่น่าอร่อยเหมือนกัน แต่มีตู้แช่น้ำยี่ห้ออาร์ซีโคล่า ซึ่งดูเจ๋งมาก ไม่แคร์สงครามน้ำดำเจ้าอื่นทั้งสิ้น น่าเสียดายเรากินน้ำอื่นไปแล้วก่อนหน้านี้

มีคลองน้ำเน่าที่เหม็นมาก กลิ่นงี้โชยมาแตะจมูก ทิวทัศน์ก็ไม่สวยเลย ผักตบงี้เต็ม แต่ที่เต็มกว่าคือผักบุ้ง ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผักบุ้งที่ขึ้นจากน้ำเน่านี่มันกินได้ไหม แล้วแม่ค้าผักบุ้งที่ตลาดบัวนี่เขาเก็บจากแถวนี้ไปขายหรือเปล่า

มีถนนที่สร้างไว้เปล่าๆ เหมือนงบเหลือ นานๆ ที จะมีรถผ่านมาสักคันให้พอหายเหงา แต่นั่นกลับทำให้สภาพผิวถนนดีมากๆ ลองปั่นไปปั่นมา วนซ้ายวนขวาบิดๆ เบี้ยวๆ เพราะต้องแกะถั่วกินไปด้วย ก็พบว่าปลอดภัยดี ไม่มีแท็กซี่มาตำ

สรุปว่าเมื่อกี้ผมปั่นไปรอบๆ ราบสิบเอ็ด (คือสถานที่เดียวกับที่รัฐบาลพี่มาร์คเข้าไปตั้ง ครม.อยู่ในนั้น ขณะที่มีชุมนุมเสื้อแดงปี 53 น่ะ) แล้วจอดคุยกับทหารยามที่เฝ้าประตูทางเข้าในโซนทหารช่าง ว่าที่นี่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาปั่นจักรยานชิวๆ เล่นไหม และได้คำตอบว่า “เข้าได้จ้ะ หลังเวลาราชการคือบ่ายสามครึ่งก็จะเปิดให้เข้ามาออกกำลังกายได้จ้ะ”

อันที่จริงผมเคยขับรถหลงเข้าไปเพราะคิดว่ามันเป็นทางลัดไปร้านขายต้นไม้ในราบ 11 ที่เยอะๆ และหาทางเข้ายากฉิบหายน่ะครับ ที่ไหนได้มันเป็นคนละโซนกัน (ตอนออกมาโดนทหารที่เฝ้าประตูนี่แหละดุเอาด้วย ว่าทำไมไม่ถามผม เขา ว.กันให้วุ่นเลยว่ามีรถภายนอกเข้าไปในเขตหวงห้าม 55555 T-T) แต่วิวงี้สวยเช็ดเม็ดจนไม่คิดว่านี่คือกรุงเทพฯ เลยครับ เพราะโซนนี้มีโบกี้รถไฟเก่าๆ วางทิ้งไว้ริมบึงน้ำด้วย น่าถ่ายมิวสิกมากๆ คือช่วงพระอาทิตย์กำลังอ่อนล้านี่ บรรยากาศบริเวณดังกล่าวแม่งชิวระดับแปดจุดเก้าเลยทีเดียว

เอาไว้เดี๋ยวลูกเมียกลับมาถึงบ้าน จะพาเข้าไปเดินเล่นในนั้นกันอีกที หวังว่าคุณทหารจะไม่ดุแล้วนะ

ส่วนคราวนี้ ผมไม่ได้เอามือถือไป เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดครับ แวบนึงก็เสียดาย เพราะเราแม่งเป็นทาสโซเชียลไง เจออะไรก็ต้องอัป ต้องทวีตอวดชาวบ้าน แต่นี่ไม่ได้เอาไป เลยตัดโหมดนี้ทิ้งไป เลิกเสียดาย แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางเต็มที่

เสร็จแล้วก็กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน..

(อ่านบรรทัดแรกอีกครั้ง)

สร้างสรรค์ด้วยการทำลาย

เวลาไปเที่ยว ผมชอบเก็บ “ลาย” ครับ
ชอบไปเจอลายสวยๆ ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ หรือจากมือของมนุษย์เอง
ลายจากธณรมชาติเราเจอกันเยอะแล้ว แต่ลายจากมนุษย์เนี่ยสนุก

ชุดแรกเป็นลายจากโรงงานเซรามิก “Tao Hong Tai” ที่ราชบุรี
ที่เป็นโรงปั้นโอ่งมาตั้งแต่นมนาน พอกาลเวลาผ่านไปก็ปรับตัวเองกลายเป็นโรงเซรามิกที่มีชื่อเสียงสุดๆ
แถมเจ้าของเขาก็ไม่ได้รวยอย่างเดียว แต่มีใจรักด้วย ก็เปิดโรงงานของตัวเองเป็นสวนศิลป์ซะเลย
ผมไปราชบุรีมาสองครั้งในรอบสองเดือน ก็ได้ไปทั้งสาขาที่อยู่ริมแม่น้ำ กับสาขาโรงงานเลยครับ
อุ้ย เผลอพิมพ์ยาวอีกแล้ว พอๆ ดูภาพเลยดีกว่า

Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai Tao Hong Tai

อีกชุดมาจากราชบุรีเหมือนกัน แต่ถ่ายมาตั้งแต่ไปเที่ยวกับมนุษย์ฟอนต์อีกกลุ่ม
ทีนี้เป็นของ “ชมรมจัดพิมพ์อิเล็กทรอนิกไทย” เขาพาผูั้ชนะการประกวดออกแบบตัวอักษรไปทัศนศึกษากัน
แล้วผมในฐานะกรรมการและวิทยากร (ที่ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกะเขาเลย) ก็ได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย
ลายที่จะเห็นด้านล่างนี้มาจากพิพิธพภัณฑ์วัดขนอนหนังใหญ่ครับ ไม่รู้คนอื่นเขาถ่ายแผ่นหนังหรืออะไรกัน
แต่ผมบ้าลายก็เลยไปส่องใกล้ๆ แล้วเก็บเฉพาะแบ็กกราวด์ของผืนหนังใหญ่อย่างเดียว
พอถึงบ้านมานั่งเปิดดู ก็พบว่าตัวเองลืมถ่ายหนังทั้งผืนซะฉิบ แบบนี้เรียกเสียเที่ยวไหมเนี่ย :30:

ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน ลายฉลุหนังใหญ่วัดขนอน

ผืนสุดท้ายนี่มีรูแหว่งตรงกลางเลย หาส่วนอื่นที่แสดงลายชัดๆ ก็ไม่เจอ เลยถ่ายมาแบบนี้ :58:

ในทุกยุคทุกสมัย เราจะเห็นศิลปะการออกแบบลวดลายต่างๆ
โดยศิลปินเองจะพยายามสร้างลายที่ไม่ซ้ำกับของเดิมที่มีมาก่อนแล้ว
อีโก้แบบนี้แหละครับที่สนุก มันเหมือนกับการ Planking ของสมัยนี้
คือเห็นคนก่อนหน้าทำ กูต้องทำได้แจ๋วกว่า และทำให้คนอื่นว้าวให้ได้
อีโก้แนวสร้างสรรค์แบบยอมกันไม่ได้เนี่ย ทำให้โลกของนักออกแบบไม่เคยตายครับ

ศึกนครชัยแอร์

ศึกนครชัย 1

ศึกนครชัย 2

ศึกนครชัย-3

ศึกนครชัย 3

ป.ล.
บล็อกวันนี้ไม่มีอะไรพิเศษครับ บันทึกประสบการณ์ประทับใจครั้งหนึ่งเก็บเอาไว้ดู

ป.อ.
ขาไปเราขึ้นรถไฟกันไปอยู่แล้วครับ ที่มาดูนี่ก็เพราะหารถเที่ยวกลับในวันสุดฮิตพอดี
ซึ่งตอนนี้โทรบอกน้องดาที่แวะไปอาเขตให้ได้ (ขอบคุณน้องดาครับ :22: )
จริงๆ แล้วปีก่อนๆ ที่ขึ้นเหนือกันนั้นเราจองล่วงหน้าไม่นาน จึงไปรถเสริมกัน
ไม่ได้ซีเรียสเท่าไหร่ แต่รู้สึกได้ว่าการไปรถเสริมมันไม่รื่นรมย์เท่ารถต้นฉบับ (คนที่ไปบ่อยๆ คงรู้)

ป.ฮ.
การไปเที่ยวที่ไหนตอนปีใหม่หรือเทศกาลสำคัญๆ นี่มันไม่สนุกจริงๆ นะครับ
แต่พอดีคณะที่ไปกันนี่ น้องๆ กับเพื่อนๆ มันลางานได้ในช่วงนั้นพอดี เลยลองไปช่วงนี้ดูให้แนวเล่น
ดังนั้นเดี๋ยวใครไปปายช่วงปีใหม่พอดี คงได้เจอกันแน่ๆ ครับ (เชื่อได้ว่าคนนับสิบล้านแน่ๆ.. ฮ่วย!!)