หมายเหตุประกอบการแก้ไข:
บล็อกตอนนี้เขียนไว้ในบล็อกเก่าที่มันเน่าไปแล้ว
ผมเลยขุดขึ้นมาซ่อมอีกที เพราะว่าเรื่องที่เขียนไว้นี้เป็นบันทึกที่ตั้งใจมากๆ
ตามนิสัยของตัวเองที่พอเจออะไรที่ผิดปกติก็จะพยายามจดจำและถ่ายทอดให้มากที่สุดครับ
(อ้อ มีแฟลชในนี้ด้วยนะ เผื่อใครเปิดดูในฟีดแล้วไม่เห็น)
//แอน 16 ส.ค.54
…
อย่างที่บอกไปแล้วว่า ในชีวิตนี้ ผมเคย “เจอผี” มาแล้ว ๔ ครั้งครับ
สามครั้งแรกไม่ได้เห็นเป็นตัวๆ แบบชัดๆ
เมื่อเวลาผ่านไป ก็เลยเฉยๆ พอความสดมันก็ลดลง ก็จะหาเหตุมาอ้าง
ว่า โอ๊ย ไอ้ที่เจอไม่ใช่ผีใช่เผออะไรร้อก ผมก็แค่หลอนไปเอง (ขี้เกียจเล่าครับ เดี๋ยวยาว)
แล้วก็กลายมาเป็นคนที่ยืนยันหนักแน่นว่ากูไม่เชื่อเรื่องผี และพร้อมจะท้าทายเช่นเดิม
นิสัยไม่เชื่อและลบหลู่ที่ผมเป็นอยู่เนี่ย จะเรียกได้ว่าเป็นความอวดเก่งหรือไรก็ไม่รู้สิ
คือเวลาอยู่กับเพื่อน ผมเป็นขนาดท้า “เฮ้ยมาสิ.. ผีเผอที่ไหนถ้ามีจริงโผล่มาให้กูดูหน่อย”
แต่พออยู่คนเดียวจะไม่กล้าพูดครับ กลัวมันจะโผล่มาเบิ๊ดกะโหลกเอาจริงๆ (เวรกรรม)
นี่แสดงให้เห็นเลยว่าแท้ที่จริง ข้างในลึกสุดใจผมก็ยังแอบเชื่ออยู่นิดๆ ว่ามันคงมีจริงนะ
แต่ก็โดนความคิดต่อต้านซึ่งมีมากกว่า กดทับเอาไว้จนแบนแต๊ดแต๋อยู่ข้างใน
จนพออยู่ปีสาม สตูผมส่งโปรเจกต์เสร็จ (* สตูดิโอ=ชั้นปี เป็นศัพท์ท้องถิ่นของคณะผมเอง)
ก็เลยยกชั้นปีไปเที่ยวหัวหินกัน เหมือนไปมีทติ้งอะไรทำนองนี้ แต่รุ่นผมมีแค่ ๖๐–๗๐ คน
ก็เลยเหมารถปรับอากาศจากสายใต้ไปส่งที่บังกะโลชื่อ “ฟองคลื่น” เลยหัวหินไปหน่อยนึง
วันแรก – ๙ มี.ค.๔๔
อยู่ดีๆ ผมก็ไม่สบาย ไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนมากจนต้องนอนซมในบังกะโล
มันเป็นอาการเริ่มต้นของอีสุกอีใส (ที่ผมเพิ่งมาเป็นเอาตอนอายุ ๒๐ ครับ)
เกิดมาไม่เคยป่วยขนาดนี้เลย มาเป็นอีสุกอีใสตอนเที่ยวนี่ .. รู้สึกขาดทุนชิบเป๋ง
ดังนั้นคืนนั้นจึงผ่านไปด้วยความทรมานและไม่เกี่ยวกับเรื่องผีแต่ประการใด
วันที่สอง – ๑๐ มี.ค.๔๔
พอไข้ลด ผมแม่งเล่นน้ำทั้งวันเลย (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอีสุกฯ เพราะตุ่มยังไม่ขึ้น)
พอตกกลางคืน เพื่อนๆ ก็จัดปาร์ตี้อาหารทะเลกันที่ลานดินกลางบังกะโล
บรรยากาศดีมากครับ ใครใครเมาก็เมาไป ใครใคร่แดกก็แดกกันกระจุยกระจาย (ตูด้วย)
พออิ่ม ผมกับเพื่อนอีกสามคน – แจ๊ค เก๋ง และส้ม ก็ตกลงกันว่าจะออกไปเดินย่อยที่หาด
บังกะโลนี้ไม่ได้อยู่ติดชายหาดซะทีเดียวครับ มันเป็นซอยห่างออกมาราวๆ ๓๐ เมตร
พอเดินพ้นซอยนั้นออกมา ก็พบผืนม่านสีดำขนาดใหญ่ ข้างบนเป็นดาว ข้างล่างเป็นทราย
คงเพราะคืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ท้องฟ้าก็เลยมีดาวระยับเต็มไปหมด .. โคตรสวยเลยครับ
อยากให้ลืมภาพราตรีแสงสีที่คุณคุ้นชิน แล้วนึกถึงทะเลที่ไม่มีแสงไฟจากบ้านไหนๆ เลย
มีเพียงแสงดาวบนฟ้าพอให้เห็นเขาตะเกียบยืนทะมึนกับฉากกำมะหยี่ข้างหลังเท่านั้นเอง
ยิ่งน้ำลงยังงี้ด้วย ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ชายหาดกว้างสุดลูกหูลูกตา … (กูจะพรรณายาวๆ ทำไม)
ทันใดนั้น เพื่อนผมคนนึงชื่อไอ้จิม เดินสวนมาจากชายหาด
มันทำหน้าตาท่าทางแปลกๆ.. พอเจอเราสี่คนก็พูดซ้ำๆ ว่า “น่ากลัวมาก… น่ากลัวมาก”
แล้วก็เดินเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสวนกับพวกเราเข้าไปที่บังกะโล
พวกเรามองหน้ากันแล้วเออออกันว่าน่ากลัวจริงๆ แต่ตอนนั้นไม่มีใครคิดเรื่องผีเลยครับ
แต่คิดว่านี่ถ้ามีโจรข่มขืนหรืออาชญากรรมที่ชายหาดละก็ เหยื่อคงไม่รอดเด็ดขาดเลยว่ะ
แล้วเราก็เดินไปทางเขาตะเกียบ (อยู่ไกลสักกิโลได้มั้ง) คุยสัพเพเหระกันไปเรื่อยๆ
บรรยากาศตอนนั้นดีมากครับ ฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ยินเสียงคลื่นไกลๆ .. ทรายยังเปียกหยุ่นตีน
จนเดินมาไกลจากจุดแรกมากพอดู .. คงราวๆ ครึ่งทางมั้งครับ อยู่ดีๆ ส้มก็พูดขึ้นว่า
“เฮ้ย นั่นไฟอะไรน่ะ” พร้อมชี้นิ้วไปที่ภูเขาลูกยักษ์ที่ตระหง่านอยู่ข้างหน้า
สามคนที่เหลือมองตามทิศทางที่ส้มชี้ —-
ภาพที่ผมเห็นไม่มีอะไรแปลก เพราะมันคือแสงไฟจากหน้ารถเครื่อง วิ่งลงจากบนเขา
ลักษณะถนนเป็นโค้งอ้อมลงเขา ทำให้แสงไฟนั้นวาบขึ้นมาก่อนแล้วค่อยวิ่งเฉียงลงไป
ในทันทีที่ส้มหยุดพูด — ไอ้เก๋งก็รีบปรามส้มว่า “นี่ เจออะไรอย่าไปทักสิ”
อ้าว .. เย็ดเข้ ..
ทีแรกเดินคุยกัน ไม่มีใครคิดเรื่องผีมาก่อน พอทักยังงี้ .. มันก็เลยเริ่มคิดแล้วสิครับ!!!
บรรยากาศเริ่มมาคุโดยไม่ได้มีใครพูดอะไรกัน (แม้แต่ผมที่เคยพร่ำว่ากูไม่เชื่อ T-T)
เราเดินเงียบๆ ต่อไปอีกจนเหลือระยะห่างจากเขาลูกนั้นราวๆ ๒-๓ ช่วงเสาไฟฟ้า
ส้มดันทักอีก
“เฮ้ย นั่นไฟอะไร (อีกแล้ว) น่ะ…” —- ผมจำไม่ได้ว่ามีคำว่า “อีกแล้ว” หรือเปล่า
เก๋งหันไป จะปรามอีกครั้ง แต่ส้มยังชี้นิ้วค้างอยู่ครับ แล้วพูดต่อในทันที ว่า
“…เหมือนคนเลย”
ทุกคนเลยมองไปตามทิศที่นิ้วของเพื่อนชี้ไปที่ตีนเขาลูกนั้น … แล้ว…
สิ่งที่เราเห็น — ผมขอเรียกว่าเปรต — ทีแรกแทบไม่เห็นเพราะมันกลืนอยู่ในความมืด
ลองนึกภาพนะครับ ถึงจะมืดขนาดไหน ถ้ามีอะไรสีขาวๆ วางไว้ คุณก็จะพอมองเห็น
ส้มสายตาดีกว่าเพื่อน ที่ชี้และทักก่อน ในขณะที่พวกเราที่เหลือเพิ่งสาดสายตาไปถึง
แต่พอแสงไฟสีส้มจากรถคันนั้นลับหายไป อยู่ดีๆ หมอนั่นก็ “ยืดตัวขึ้น” จนสูงปรี๊ด!!
เฮ้ยยยยยย!! เหมือนอุลตร้าแมนเวลาแปลงร่างเลย แต่นี่ขยายแค่ส่วนสูงอย่างเดียว
คือยืนอยู่ดีๆ ก็ วื้ด~ดดดดดดดด… จนสูงขึ้นประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงของภูเขา
จาก ๔ เมตร กลายเป็นราวๆ ๓๐ เมตร และอยู่ห่างจากเราแค่ ๒-๓ ช่วงเสาไฟฟ้า!
พอยืดเสร็จ มันก็รีบเดินจ้ำอ้าว เลียบเขาไปทางทะเล .. เหมือนจะหนีอะไรสักอย่าง
พวกเรา ๔ คนยืนตัวแข็งทื่อ ตะลึงกับสิ่งที่เห็นกันชั่วครู่ .. (แป๊บเดียวแต่เหมือนนาน)
ขนงี้ลุกชันทั้งร่างเลยครับ ไล่ตั้งแต่เท้าขึ้นมาถึงหัว ตัวชาเหมือนโดนไฟช็อต .. สนุกดี
นี่ละมั้ง ที่เขาเรียกขนหัวลุก..
ในจังหวะที่อึ้งกันนั่น “มัน” ก็เดินจ้ำเหมือนไอ้ตัวไฟโด้ดีโด้ (Fido-Dido) เป๊ะเลยครับ
นึกไม่ออกใช่ไหมครบ งั้นดูนี่
กดดูแบบแฟลช
(กด Play ได้นะ เป็นแฟลชแอนิเมชัน ตั้งใจทำมาก)
(ข้อความในย่อหน้าที่ผ่านมานี้ จริงๆ แล้วเกิดขึ้นเร็วมาก แค่ราวๆ ๕ วินาทีได้มั้ง)
พอช่วงที่มันก้าวขากำลังจะข้ามหินก้อนใหญ่มาก ที่อยู่ตรงปลายน้ำ ไอ้เก๋งก็บอกว่า
“หันหลังกลับ—— อย่าวิ่งนะ”
ทั้งสี่คนพร้อมใจกันกลับหลังหัน แล้วเดินซอยเท้ากันพรวดๆ ..ล่กยังกะหนูเจอแมว
แต่หนูๆ ทั้งสี่คงโชคดีมากเลย ที่แมวมันไม่ได้หันมา (ไม่รู้สิ มันคงหนีหมาอยู่มั้ง?)
ขณะที่จ้ำไป ผมก็ขนชันไปทั้งตัวแบบรู้สึกได้ สมองสองซีกกำลังต่อสู้กันใหญ่เลย
ผี!?.. ไอ้ที่เห็นเมื่อกี้นี่ผีเหรอ.. ตกลงว่าผีมันมีจริงใช่ไหม.. และ.. โคตรเท่เลยว่ะ!
เดินไปได้สัก ๑๐๐ เมตร (แต่เดินอย่างเร็ว) ใครคนหนึ่งเริ่มพูดก่อนด้วยเสียงระรัว
“เห็นใช่ไหม.. เห็นเป็นยังไง”
จำไม่ได้แล้วว่าตอนนี้ผมตอบไปว่าไง แต่เข้าใจกันเดี๋ยวนั้นว่าเห็นเหมือนกันทุกคน
มีแต่เก๋งคนเดียวที่บอกว่าสายตาสั้น เห็นเป็นแท่งสีขาวเหมือนเสาไฟฟ้า.. ที่วิ่งได้
ผมกับแจ๊คนัดกัน หันหลังมองแล้วเดินถอยหลังแบบหน้ากระดานไปกับอีกสองคน
พยายามจดจำรายละเอียดของสถานที่เกิดเหตุให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เพราะมันเท่มาก เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรที่โอ้วเยสขนาดนี้ .. ทุบทฤษฎีขนาดนี้
ตอนขามา เราเดินกันนานมาก แต่ขากลับใช้เวลาเดี๋ยวเดียวก็ถึงบังกะโลที่พัก
เพื่อนๆ ยังคงอยู่รอบเตาบ้าง ตีไพ่กันบ้าง แดกเหล้ากันที่ซุ้มหลังคาจากกันบ้าง
เราทำหน้าตาตื่นเข้าไปแล้วประกาศว่าเจออะไรมา สดมาก เจ็ตเคร่ว .. สดจริงๆ
พอเล่าจบ สาวๆ บางคนไม่กล้ากลับไปนอน เลยต้องมานั่งแกร่วอยู่ที่วงไพ่ (๕๕)
เรารวมทีมกันเดี๋ยวนั้นได้ ๖ คน แล้วเดินกลับไปพิสูจน์สถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง
แต่ไม่พบอะไร นอกจากหมาไม่กี่ตัว และพบว่าตรงตีนเขานั้นเป็นคลองน้ำกร่อย
(แสดงว่าไอ้ไฟโด้ดีโด้นี่มันเดินลุยน้ำเล่นรึไงไม่รู้ ผมขี้เกียจเดาใจมัน ..ช่างเห๊อะ)
เรื่องก็มีอยู่แค่นี้แหละครับ การเจอผีอย่างเป็นทางการของผม
ไม่ได้ลึกล้ำพิสดารอะไรหรอก .. แต่ก็มีข้อมูลเสริมที่น่าสนใจมาก คือ
– จำไอ้จิมที่เดินสวนเข้ามาจากชายหาดทีแรกได้ไหม
– มันเพ้อและพูดซ้ำๆ ยังงั้น เพราะมันเพิ่งโดนผีหลอกมาสดๆ ครับ!
– มันเล่าให้ฟังในคืนนั้นเอง ว่ามันเดินออกไปคนเดียว และโทรศัพท์คุยกะแฟน
– ไอ้จิมไม่เคยเจอผี และไม่เชื่อเรื่องผีเช่นเดียวกับผมแหละ
– มันไปโทรตรงน้ำทะเลที่ลงไปไกลมาก กะว่าโรแมนติกของมันละนะ
– แต่กลับกลายเป็นว่า ยิ่งทำให้มันเป็นกลายสิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยว ห่างไกลผู้คน
– อยู่ดีๆ มันขนลุก แบบสันหลังวาบ
– มันบอกคู่สาย แต่ฝ่ายตรงข้ามคงเข้าใจผิด จึงวางหู … (อ้าว ซวยละสิทีนี้)
– มันเริ่มรู้สึกโหวงเหวง ก็เลยหันหลังกลับมาเพื่อเตรียมก้าวขา ทันใดนั้น..
– “มันเหมือนเป็นกลุ่มควันว่ะ สูงเท่านี้” (มันทำมือบอกระยะสูงประมาณหมา)
– “อยู่ดีๆ ก็ลอยมาหยุดตรงหน้ากู แล้วขยายพรืดขึ้นสูงเท่ากูเลย”
– มันบอกว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน
– ก็เลยขาแข็ง เดินเพ้อจนมาเจอเราสี่คนนี่แหละ (แล้วเสือกไม่บอกนะ ไอ้ห่า)
ตอนเช้า เล่าให้คุณพี่เจ้าของบังกะโลฟัง (เผอิญเป็นศิษย์เก่าสถาบันเดียวกัน)
พี่แกตื่นเต้นมาก แกบอกว่าทะเลย่านนี้มันเป็นน้ำวน เพราะมีภูเขายื่นออกไปในน้ำ
โดยเฉพาะตรงริมเขาที่เป็นคลอง ทำให้มีโคลนลงไปปนในน้ำและกลายเป็นดินพรุ
ก็คือ ถ้าเหยียบพื้นตรงนั้นอาจตกลงไปในโพรงได้
ดังนั้นในระยะหลายๆ ปีที่ผ่านมา ชายหาดนี้ก็กวาดไปหลายศพแล้วครับ
ตรงหาดมีป้ายเตือนไม่ให้เล่นน้ำฝั่งซ้าย (ฝั่งที่อยู่ทางเขา) เพราะไม่ปลอดภัย
ผมกลับจากไปเที่ยวครั้งนั้น แต่ก็ขอแวะลงที่บ้านก่อน เพราะเป็นทางผ่านพอดี
อาการของอีสุกอีใสเริ่มแสดงชัดขึ้น ทำให้เนื้อตัวเป็นตุ่มพุพองอีกเป็นอาทิตย์เลย
ผมนอนอยู่บ้าน เล่าให้แม่ฟัง แทนที่แม่จะว่าผมงมงาย กลับบอกให้ไปทำบุญซะ
และอธิบายว่า ที่วัดเขาตะเกียบก็ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว แถมเขาที่ยื่นลงน้ำนั่นน่ะ
..ก็เป็นที่ลอยอังคารสุดฮิตซะด้วยสิ
วิทยาศาสตร์มีคำตอบไหมครับ
ป.ล.
บล็อกครั้งนี้ขอออภัยที่เว้นช่วงนานมากๆ และเขียนบรรยายละเอียดเกินไป
ผมใช้เวลาเรียบเรียงเกือบสัปดาห์ เพราะอยากให้มันออกมาเป็นภาพชัดที่สุด
ใครที่อ่านแล้วยังไม่เชื่อ ผมเข้าใจครับ เพราะผมก็เคยเป็นเหมือนคุณมาก่อน
สมัยผมยังไม่เคยเจอแบบจังๆ.. ใครมาเล่าให้ฟังก็ไม่เชื่อหรอก แถมท้าทายด้วยสิ
ป.อ.
ไม่รู้ว่าทฤษฎีไอ้พวกดวงแข็ง จิตอ่อน หรือจูนคลื่นตรงกันอะไรนั่นจะจริงไหม
ไม่รู้ว่าที่เขาบอกว่าการเห็นผีครั้งหนึ่งจะทำให้ “จิตเปิด” และเห็นได้ง่ายจะจริงไหม
ไม่รู้ว่าผีประเภทอื่นๆ แบบผีนานาชาติ หรือพวกไสยศาสตร์ มนต์ดำ จะมีจริงไหม
ไม่รู้ว่าผีเว่อร์ๆ แบบที่ฟังในเดอะช็อค หรือเห็นในหนังผีนั่นจะมั่วขนาดไหน
ณ วันนี้ผมยังไม่เคยเจอกับตัวเอง ผมก็เลยยังคงไม่เชื่อต่อไป
การเจอผี ๑ ชนิดจากล้านชนิดที่เขาว่ามี ก็ใช่ว่าจะงมงายเหมาจ่ายไปหมดนี่ครับ
แต่หลังจากการเจอครั้งนั้นทำให้ผมนึกย้อนไปยังครั้งที่ผ่านๆ มาในชีวิต
ก็พบว่าไอ้สามครั้งก่อนหน้าที่ผมสงสัยๆ อยู่แต่ไม่เชื่อ.. มันออาจจะเป็นผีก็ได้
แต่ขี้เกียจเล่าแล้วโว้ย .. พิมพ์เมื่อยชิบเป๋ง
เดี๋ยวเล่าบ่อยๆ แล้วจะกลายเป็นบล็อกมิติพิศวงไปฉิบ .. พอโว้ย พอ!
Like this:
Like Loading...