นิทานกับแม่ห่าน

อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนนิทานอายุแค่ไม่กี่เดือน ผมไปซื้อตุ๊กตาแม่ห่านและลูกๆ ที่เป็นหนึ่งในของกุ๊กกิ๊กจากบ็อกซ์เซ็ตหนังสือและวีซีดีเพลงเด็กเก๊าเก่าของ Mother Goose จากบูธสำนักพิมพ์เนชั่น เขาไปจัดงานสักอย่างที่เทอร์มินัล 21 เมื่อ 2-3 ปีก่อน พอเห็นป้ายว่ามันลดราคาเหลือ 999 บาท ด้วยความดีใจเลยแบกและเอาขึ้นแว้นขี่กลับบ้านมาด้วยความทุลักทุเล คือกล่องมันใหญ่ไง ขนลำบากมาก แถมแว้นกลางคืนอีก แต่ก็ถึงบ้านด้วยความปลอดภัยจนได้ (ทุกวันนี้เวลาเนชั่นจัดงานที่ไหนก็ยังเอามาขายราคานี้อยู่ …ปัดโธ่)

พอมาถึงบ้าน เรียกลูกสาวมาดู เปิดกล่องและหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ที่อยู่ข้างในออกมาให้ดู นิทาน (อายุ 6 เดือน) ดีใจมาก ดีใจที่ได้เห็นหนังสือเซ็ตใหญ่ แม้จะเป็นภาษาอังกฤษ ที่พ่ออ่านไม่ค่อยออก ส่วนแม่อ่านไม่ออกเลย (จบอักษร) และนั่นจึงเป็นพัฒนาการก้าวแรกๆ ที่ทำให้นิทานเป็นติ่งหนังสือนิทานมาจนทุกวันนี้

แต่ที่ดีใจกว่านั้นคือการได้พบกับตุ๊กตาครอบครัวแม่ห่านและลูกๆ 4 ตัว (ทุกตัวไม่ใส่กางเกง) ที่เอามาต่อยอดเสริมสร้างจินตนาการเวลาอ่านหนังสือไปพร้อมๆ กับเด็กคนนี้ (คือในหนังสือมันจะมีห่านพวกนี้ไปเกะกะตามหน้าต่างๆ ด้วย) เมื่อนิทานรัก แม่ห่านก็รักนิทาน เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็กระเตงไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ จนเรียกได้ว่า แม่ห่านคือเพื่อนสนิทคนแรกในโลกของเด็กคนนี้มาจนทุกวันนี้ และน่าจะกลายเป็นตุ๊กตาที่กอดจนเน่าแต่ไม่ยอมทิ้งในสักวัน

เมื่อกี้นี้ผมเลยเปิด Picasa ในคอม (คอมที่ผมใช้ทำงานเป็นหลักก็ตั้งชื่อเครื่องว่า “แม่ห่าน” เหมือนกัน ซื้อมาในช่วงใกล้ๆ กับแม่ห่านของนิทานนี่แหละ) เพื่อค้นภาพนี้ เราสองผัวเมียยังจำสีหน้าตื่นเต้นดีใจของเด็กอายุ 6 เดือนคนนั้นได้ไม่ลืม ตอนนั้นถ่ายตอนนั่งคู่กันก็เห็นเลยว่าขนาดตัวพอๆ กันเลยนะ

2558

แต่นั่นมันเมื่อสองปีกว่าๆ มาแล้ว ก็เลยบอกให้นิทานลองไปนั่งคู่กับแม่ห่านดูใหม่อีกที พ่อจะถ่ายเอามาเทียบกันดูว่านิทานโตขึ้นแค่ไหนแล้ว แล้วก็พบว่า เออ โตเยอะจริงๆ 5555 ส่วนแม่ห่านก็หง่อมไปตามสภาพละนะ :D

เลยนึกถึงเพลง “เข้าใจแล้วครับพ่อ” ของลุงปั่น (เอ็มวีโคตรเรียกน้ำตา ขนาดไม่ได้สนิทกะพ่อขนาดนั้นนะ)

ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกแบบนี้
ไม่เคยมีคนตัวเล็กๆ ให้กอด
ไม่เคยนึกว่าเราจะเลี้ยงใครรอด
แล้วเราก็ทำได้จริงๆ

ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าคนแบบเราจะเลี้ยงลูกได้จริงๆ แถมยังมีเวอร์ชันสองที่แก้บั๊กจากเวอร์ชันแรกไปหลายอย่างด้วยนะ 5555

เวลามีใครที่ไม่มีลูกหรือไม่อยากมีลูกมาถามว่า “มีลูกแล้วมันดียังไง” ผมก็จนใจจะหาคำตอบให้เข้าใจได้จริงๆ นะครับ คนที่มีลูกแล้วกับไม่มีเนี่ย มันเหมือนยืนอยู่ในโลกคนละมิติกัน ต้องลองก้าวข้ามพรมแดนนั้นมาแล้วจะเข้าใจเอง เลกเชอร์ยังไงก็ไม่เก็ตหรอกครับว่ามันดียังไง หรือแม้แต่ตอนผมมีลูกคนเดียวก็ไม่เคยนึกเหมือนกันว่าการมีสองคนมันไม่ได้เหนื่อยขึ้นสองเท่าแบบที่เราเตรียมใจไว้ แต่กะๆ ดูคร่าวๆ น่าจะประมาณ 5 เท่าเลยนะครับ

ถึงกระนั้นมันก็เป็นความเหนื่อยที่เต็มใจให้เหนื่อยชะมัด 55555

เก็ตไหม ไม่เหรอ ก็สมควรอยู่ 5555

ที่จริงบล็อกตอนนี้จะบอกว่านิทานก็กลายเป็นเด็กเล็ก กำลังจะถึงวัยอนุบาลแล้ว (ที่จริงเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเข้าเนิร์สเซอรี่กันหมดแล้ว แต่เราพ่อแม่อยู่บ้านกันตลอด ก็เลยเลี้ยงเอง) เลยน่าจะถึงคราวปิดบล็อกนิทานสี่ช่องแล้วครับ

การ์ตูนนิทานสี่ช่องยังไม่ได้หายไปไหน ยังปรากฏอยู่ในูปแบบแอนิเมชันความละเอียดสูงสมจริง และเห็นเป็นประจำต่อหน้าอยู่ทั้งวัน ทุกวัน ดื้อบ้าง เกรียนบ้าง แกล้งน้องบ้างนานๆ ถี่

ส่วนต้นฉบับการ์ตูนที่วาดไว้ในบล็อกตั้งแต่ยังพูดไม่เป็น (จนทุกวันนี้เรียกว่าหยุดพูดไม่เป็น) นั้นเดี๋ยวจะเอามารวมเล่มเป็นฉบับกระดาษจริงๆ โดยใช้บริการโรงพิมพ์ดิจิทัลออฟเซ็ตสักแห่ง แล้วเก็บไว้แบล็กเมล์ลูกตอนโต

เชื่อว่าความประทับใจแบบที่ลูกมีกับแม่ห่านนั้น พ่อก็จะมีในแบบของพ่อเหมือนกัน

คอมเมนต์

ผมเป็นฮิปสเตอร์

hipster

ถึงมันจะเป็นเรื่องซ้ำซากที่ฉายวนเวียนมาทุกๆ สิบปี โดยเปลี่ยนเพียงชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็กฮาร์ด อัลเตอร์ อินดี้ เด็กแนว หรือล่าสุดที่เห็นแซะกันอยู่ในไทม์ไลน์อยู่ทั้งวันทุกวันโดยเฉพาะในช่วงนี้ ก็คือคำว่าฮิปสเตอร์

แต่เวลาได้อ่านข้อความจากคนที่เชื่อว่าตัวเองรู้ว่าฮิปสเตอร์คืออะไร และอย่ามาเสือกแปะป้ายให้คนอื่น(กู)เป็นฮิปเตอร์ด้วยความเข้าใจแค่นั้นของมึง อะไรแบบนี้

ผมแม่งบันเทิงมาก

ความบันเทิงนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยที่คำว่าเด็กแนวกลายเป็นคำที่เอาไว้ครอบสวมให้คนบางกลุ่มบางพฤติกรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดความนั่นแหละครับ

เฮ้ยมันบันเทิงจริงๆ นะ เวลาอ่านบทความจากอีพวกชอบจัดกลุ่มคน ว่าคำคำนี้จะต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ กินแบบนี้ อ่านแบบนี้ งานอดิเรกแบบนี้ ติดสัดฤดูนี้ แล้วเอามาดูว่ามันเข้ากับตัวเองข้อไหนบ้าง (ไม่ค่อยเข้าเลย เสียใจ) และเข้ากับจินตนาการของผู้จัดกลุ่มเองว่าอย่างไรบ้าง มันสนุก มันได้อรรถรสดีจะตาย

เราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ กับวัฒนธรรมสมัยใหม่บนโลกที่มันเหวี่ยงหมุนมาเชื่อมกันแน่นเป็นหมอยติดสบู่แบบนี้ ยังไงชีวิตก็ต้องโคจรไปโดนบุคคลประเภทที่ใช่ และไม่ใช่เราอยู่ดี

เอาจริงๆ ผมเกลียดอีพวกชอบจัดกลุ่มเหมือนกัน แต่ในทรรศนะของพวกเขา มันก็ง่ายดีเวลาจะสรุปอะไรด้วยประสบการณ์การมองโลกของเขา

แต่ถ้ามองจากมุมของคนที่เกลียดการโดนครอบด้วยคำศัพท์อะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่กู 100% แต่สุดท้ายก็โดนลากเข้ามาเป็นกูจนได้ แบบนี้ก็เข้าใจได้อีกเช่นกันว่าแม่งน่ารำคาญชะมัด

คุณเคยอยู่ดีๆ ก็โดนคนที่ไม่สนิทกันมาเหมาว่าเป็นสลิ่มไหมครับ?

เสื้อแดงล่ะ ริเบอร่านล่ะ ไดโนเสาร์ล่ะ แมลงสาบล่ะ ควายล่ะ ชนชั้นกลางล่ะ ต่ิงล่ะ สาวกล่ะ ฯลฯ

คำพวกนี้ถ้ามันออกมาจากปากคนที่เราไม่สนิทสักหน่อย ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกันแหละครับว่า ควยเอ๊ย (นี่คือแบบสุภาพแล้วนะ) มึงรู้จักกูดีแค่ไหนเชียวที่เอาป้ายมาแปะให้กูแบบนี้

ซึ่งนั่นก็จงเข้าใจได้เช่นกันว่ามันก็เกิดกับทุกวงการแหละ ไม่ได้เฉพาะฮิปสเตอร์ที่กำลังแซะกันสนุกสนานนี่หรอก ลองนึกย้อนไปในช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองดุเดือดกว่านี้ อันเฟรนด์กันรัวๆ ด้วยวาทกรรมจากแกนนำม็อบ ช่วงนั้นแค่คนที่ “ไม่ใช่พวกเรา” มาเรียกเราด้วยอะไรสักอย่าง แม่งปี๊ดกันกว่านี้เยอะเลยนะครับ

เช่นเดียวกับฮิปสเตอร์ที่มีหลายคนเดือดแค้นกับมันมาก บางคนปกป้อง ไม่อยากให้คำซึ่งมีความหมายคงเดิมจากต่างประเทศอยู่แล้วมันด่างพร้อยสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ (เชี่ย ฮิปสเตอร์แบบหีนยาน)

บางคนก็เข้าใจแต่ก็อดบ่นไม่ได้ว่าที่จริงกูเป็นแบบนี้ของกูมานานแล้ว กูถ่ายรูปเว้นที่ว่างเยอะๆ กูทำหน้าปวดเยี่ยวใส่กล้อง กูอ่านเล่มนี้ กูเลี้ยงสิ่งนี้ กูกินไอ้นี่ กูชอบที่นี่ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่เห็นใครจะมาพะยี่ห้ออะไรให้ (เรียกว่าฮิปสเตอร์มาก่อนที่จะมีฮิปสเตอร์ อันนี้เขาก็ว่ามันคือฮิปสเตอร์ของแท้) วันหนึ่งอยู่ดีๆ ก็เสือกมาเรียกกูด้วยคำศัพท์คำหนึ่ง และยัดพฤติกรรมงี่เง่าหลายๆ อย่างปะปนเข้ามาเปื้อนด้วย แล้วเอาไปหัวเราะกันป่นปี้สนุกสนาน มันช้ำนะรู้ไหม

ซึ่งผมแม่งก็บันเทิงอีกเช่นกัน 5555 นิสัยเสียมาก

เวลาบันเทิงกับอะไรแบบนี้นี่ไม่ต้องลงทุนไปไหนไกลเลยครับ ลองดูว่าไอ้แบบที่เขาแขวะกันเนี่ย มันพอจะเกี่ยวกับเราบ้างไหม เช่น ผมแม่งมีพฤติกรรมหลายข้อที่เข้าข่ายสลิ่ม แต่มันยังได้แคไม่กี่ข้อไง

วิธีการก็คือ พยายามเก็บแต้มที่เหลือให้ครบ จะได้เป็นสลิ่มในอุดมคติ เวลาไปที่ไหนกินอะไร ก็ไปห้างสลิ่มๆ กินร้านสลิ่มๆ ถ่ายรูปสลิ่มๆ หรือทำพฤติกรรมที่เขาว่ามาว่าทำแล้วมันจะสลิ่มนะ

โคตรสนุก

ไม่สนุกเปล่าๆ นะครับ คืออย่างน้อยคำว่าสลิ่มนั้นก็จะแตกหน่อออกมาเป็นความหมายใหม่ที่เป็นศัพท์เฉพาะสำหรับหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทกัน เวลานัดกันไปกินที่ไหนดี “เอาร้านสลิ่มๆ” แบบนี้ ไม่มีใครโกรธนะครับ นั่นเพราะความหมายของมันงอกงามออกมาเป็นสแลงที่มีคุณค่าอีกประการนึงไปแล้ว

ส่วนฮิปสเตอร์นั้นยังเป็นคำที่ไม่ตกรุ่น (คือกำลังน่วมได้ที่เลยล่ะ) ไอ้ผมเองก็เลยมาพิจารณาตัวเองว่าเรามีพฤติกรรมเข้าเกณฑ์ที่มนุษย์จากองค์กรจัดกลุ่มชาวบ้านทำเหี้ยอะไรอ๋อเพื่อความง่ายในการทำการตลาดแห่งประเทศไทย (ถ้างง ย้อนกลับไปอ่านชื่อองค์กรซ้ำอีกที) ช่วยกันลิสต์กันขึ้นมา

ความฮิปสเตอร์ของผมนั่นเข้าข่ายผ่านเกณฑ์อยู่ประมาณ 13 อย่าง จากทั้งหมด 437 ข้อ (เศร้ามาก) …ซึ่งไม่ได้ละ เทรนด์มันมาขนาดนี้ เราอยากเป็น เราวอนนาบี ต่อไปนี้จะขอไล่เก็บแต้มให้ครบทุกข้อโดยไว

(เปิดตำรา) เริ่มจากเรียกตัวเองว่าเราก่อนใช่ไหม เออ เราก็เรียกตัวเองว่าเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ข้อนี้ผ่าน

(เปิดอีกบรรทัด) เล่นทวิตเตอร์… นี่ล่ะ ข้อนี้มั่นใจมาก กู เอ๊ย เรานี่ใช่ละ

(เปิดอีก) เลี้ยงแมว … บัดซบ ไอ้จิ๋วนี่ไม่นับได้ไหม

(เปิดอีก) ห้ามยอมรับว่าตัวเองเป็นฮิปสเตอร์

เทรนด์ต่อไปเชิญครับ

คอมเมนต์

น้ำล้างตีน

แก้วกาแฟ

ผมไม่กินกาแฟ เลยไม่อินกับวัฒนธรรมกาแฟเท่าไหร่

ที่ไม่กินก็เพราะเวลากินแล้วมันจะขมปากขมคอ กลิ่นมันจะวนเวียนตั้งแต่หลอดลม ทะลุไปยันระบบทางเดินอาหาร เลยออกมาถึงตอนฉี่ จะมีกลิ่นกาแฟชัดมาก (คือตัวเองก็ดันเป็นพวกจมูกดีด้วยสิ) เลยไม่ชอบ

ซึ่งก็นับเป็นข้อดีพอได้อยู่ เพราะวันไหนที่ต้องการทำงานดึกจริงๆ กาแฟนั้นถือเป็นยาแรงที่ได้ผลเสมอ (ซึ่งโอกาสแบบที่ว่านั้นมีแค่ปีละ 2-3 ครั้ง ไม่น่าเกิน)

และเนื่องจากไม่อินกับกาแฟ ตัวเองก็เลยไม่ได้อะไรเลยกับกาแฟตรานางเงือก คือรู้ว่ามันเป็นสถานที่นัดพบคุยงานได้ แล้วสมัยทำงานที่ต้องนัดกับลูกค้าบ่อยๆ (ลูกค้า)ก็จะเลือกร้านกาแฟที่ว่าเนี่ยเป็นสถานที่คุยงานแมจ่ายค่าชาเขียวปั่นให้ด้วย ส่วนผมก็มีหน้าที่นั่งเกร็งอย่างเดียวเลย คือเกร็งจริงๆ การได้นั่งในบรรยากาศแบบนั้นเหมือนเราเลี้ยวมาผิดมากๆ เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับเรามากๆ

จนบางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมชาวบ้านเขาไม่ใส่รองเท้าแตะเข้าร้านกาแฟกันวะ (ที่จริงมึงควรสงสัยว่าทำไมมึงคีบแตะมาคุยงานกะลูกค้ามากกว่า)

แต่นั่นก็เรื่องขี้หมูขี้หมาครับ

คือที่ไม่ได้เขียนบล็อกซะหลายวันนี่เพราะตัวเองไปเที่ยว เพิ่งกลับมา นอกจากบล็อกแล้วก็แทบจะไม่ได้โซเชียลอะไรอีกเลย (แต่ถ้าเทียบกับคนที่ไม่ได้โซเชียลจริงๆ ก็ยังถือว่าเยอะ แต่ช่างเถอะ)

หลังจากอดนอนก่อนหน้าที่จะไปเที่ยวหลายคืนเพราะเคลียร์งานสารพัด ก็ต้องขับรถไกลๆ ไปต่างจังหวัด และเฮฮากับเพื่อนฝูงยันเกือบรุ่งสาง และตื่นมาเพราะเสียงเด็กตัวเล็กทีนึง ตัวใหญ่อีกทีสลับกัน เสร็จแล้วก็ขับรถต่อ แวะเที่ยว ขับรถ แวะเที่ยว ฯลฯ

เอาเป็นว่าอดนอนอย่างบักโกรกเลยละกัน

ขากลับตรงมอเตอร์เวย์ เลยรู้สึกว่าไม่ได้ละ เพื่อจะให้ลูกเมียหลับอย่างสบายใจอยู่ที่เบาะหลัง เราต้องหาอะไรมากระแทกปากสัดหน่อย

ทีแรกก็ไม่ได้นึกถึงว่าจะต้องแวะร้านเงือกเขียว แต่จะเข้าเซเว่นไปหาอะไรเคี้ยวเล่นๆ งี้ แต่พอดีเมียเสนอว่า แวะร้านเงือกหน่อยละกัน เพราะคุณลูกสาวคนโตทำท่าจะปวดอุ๊จ เดี๋ยวมาอุ๊จเอากลางทาง เกรงจะทำให้มอเตอร์เวย์แปดเปื้อน แถมคุณลูกสาวก็ท่าจะง่วงมาก ให้แวะห้องน้ำสาธารณะด้านนอกซึ่งดูแล้วไม่ถูกสุขอนามัยสำหรับเด็กเล็กที่ง่วงสุดขีดด้วย …ก็เลยแวะ สตบ จนได้

ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยบอกเมียให้ซื้อชาเขียวให้แก้วนึง (ยังไม่อยากกินกาแฟเพราะเดี๋ยวกลิ่นมันติดขมคอไปยันเช้า ยังไม่ได้ต้องการยาแรงขนาดนั้น) เมียก็เดินจูงลูกหายเข้าไปในร้าน …ไปอุ๊จนั่นแหละ

แล้วก็ออกมาเจอผมที่อุ้มลูกสาวตัวเล็กอยู่ เลยถามไปว่ากี่บาท

“140”

“หา!?”

“ราคามันเท่านี้แหละ” เมียตอบ

ผมตกใจเว้ย คือ เชี่ย ร้อยกว่าบาทเลยเหรอวะ ชาเขียวแก้วเท่านี้ นี่เขาคิดรวมค่าน้ำแข็งก้อนละห้าบาทด้วยรึเปล่า ทำไมถึง…

กำลังจะโชว์ความบั้นนอกที่ไม่รู้จักเรตราคาของ สตบ ไปให้เมียหัวเราะ พลันก็นึกขึ้นได้ว่า หลายครั้งเวลาขับรถออกต่างจังหวัดไกลๆ และต้องการตื่นสบายตลอดทาง ผมเองก็จะกินชาเขียวจากร้านป่าทึบที่อยู่ตามปั๊มน้ำมัน อันนั้นแก้วละ 50 บาท และเข้มข้นสะใจ

แล้วก็นึกถึงคำของมิตรสหายสักตัวนึงที่บอกว่า เครื่องดื่มยี่ห้อป่าทึบนี่แม่ง ยังกะน้ำล้างตีน สู้ตรานางเงือกไม่ได้

ผมดูดอีกจ้อด (ดูดไป 16.50 บาท) แล้วเอาลิ้นไล้ๆ ให้มันสัมผัสกับต่อมรับรสอีกที ว่ามันต่างกันตรงไหน ใช่ แน่นอน ก็ต่าง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไร แค่มันต่างเท่านั้นเอง

เมียก็บอกว่าเตงน่ะเป็นพวกลิ้นจระเข้ คือกินอะไรก็ไม่ต่าง ของดีกับของธรรมดา (ที่จริงบอกว่าของห่วย) มันก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว

ผมก็บอกว่าใช่ มันต่างไง อันนี้ถูกแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะแยกไม่ออก หรือลิ้นจะกากจนสัมผัสไม่ได้ว่ามันมีความต่าง

ประเด็นคือผมเองไม่รู้สึกว่าอย่างหนึ่งจะดีกว่าอีกอย่าง แบบที่ถ้ามัดใส่ถุงแบบกาแฟโบราณเอามาให้ดูด ก็พอจะรู้นะว่าของเหลวในถุงไหนวัตถุดิบราคาแพงกว่า ทำเนี้ยบกว่า ค่าการตลาดสูงกว่า แต่ไม่จำเป็นว่าได้ที่ทุกคนบอกว่าดีกว่านั้นมันจะต้องถูกใจเราเสมอไป ของแบบนี้มันอยู่ที่จริตคนเสพนะ

แถมการที่ผมเป็นพวกลิ้นจระเข้ ไม่ได้รู้สึกว่าอะไรดีกว่าอะไรนั้น ก็ถือเป็นพรสวรรค์อย่างนึงได้เลย คือกินของถูกๆ ก็ยังปิติกับมันได้ …ประหยัดดีออก 5555

ส่วนใหญ่พอตอบไปแบบนี้ เมียก็มักจะสวนว่า ในขณะเดียวกันเวลาเตงกินของแพงๆ แล้วแสดงความอร่อยเท่าของถูกๆ ก็จะรู้สึกเสียดายของ

ก็จบเห่

ป.ล.
ค่าอุ๊จของลูกคือ 140 บาท ให้นึกว่าถ้าไปตามสถานที่ที่เก็บค่าอุ๊จครั้งละ 2 บาทติดต่อกันทุกวัน เราจะไปได้ถึง 70 วัน = สองเดือนกว่าๆ! ลูกขี้ได้ตั้งสองเดือนกว่าๆ!!!

ป.อ.
นึกถึงบากิตอนนึงที่ยูจิโร่หรือใครสักคนนี่แหละที่บอกว่า ไวน์ 2 ขวดที่ราคาต่างกัน 100,000 เท่า ก็ไม่ได้แปลว่ารสชาติจะดีกว่ากัน 100,000 เท่านะ ความต่างอาจจะ 10 หรือ 100 เท่าเท่านั้นเอง

ป.ฮ.
ชั่วชีวิตนี้นึกได้อย่างนึงที่กินแล้วรู้สึกว่านั่นคือน้ำล้างตีนจริงๆ คือก๋วยเตี๋ยวหน้าโลตัสเอ็กซ์เพรสเสนา (เมื่อนานมาแล้วนะ ไม่ใช่เร็วๆ นี้ ตอนนี้คงเปลี่ยนเจ้าไปแล้ว) คือพอมีร้านมาใหม่ ผมก็ไปลองตามประสาคนรักก๋วยเตี๋ยว สั่งเส้นเล็กลูกชิ้นน้ำใสซึ่งดูจะเป็นจุดขายของร้าน พอได้รับมาปั๊บก็ซดน้ำซุปเลยครับ… มันคือน้ำเปล่าที่โยนลูกชิ้นกับเส้นและถั่วงอกลงไป อีเหี้ย

คอมเมนต์

ฉันมันไม่มีวาดสนา

จากบล็อกที่แล้วที่พร่ำบ่นว่าอยากหัดวดรูปและระบายสีน้ำ

อันนั้นยังไม่ได้เล่าย้ำอีกทีว่าที่ผมชอบวาดการ์ตูนนั่นนี่ คือวาดแบบการ์ตูนที่เป็นการ์ตูนจริงๆ ว่ากันตรงๆ คือขาดทักษะพื้นฐาน แต่มาถึงก็วาดเลย อันนี้หลายคนก็เป็น

โอเค ของผมอาจจะเอามาทำมาหากินได้ตังค์จากการวาดมาพอสมควร แต่คนจ้างน่าจะไม่รู้หรอกว่าแกเผลอมาจ้างคนที่วาดไม่เป็นกระทั่งรูปผู้หญิง รูปคน (แบบที่เป็นคนจริงๆ) รูปรถ รูปต้นไม้ หรือแม้กระทั่งรูปบ้าน!

ถาม: แล้วมึงเรียนจบสถาปัตย์มาได้ยังไง
ตอบ: จบได้ครับ เพียงคบเพื่อนเก่งๆ ไว้ แล้วตลกแดกเนียนเป็นคนออกแบบพรีเซนเทชันตอนทำงานกลุ่มด้วยกันไงล่ะ พอปีท้ายๆ ที่มีงานกลุ่มเยอะกว่างานเดียว เกรดก็เลยสูงเอาๆ ยังกะเด็กเรียน (คือนี่มองจากมุมผมนะ ได้ 2.50+ ก็เหมาว่าเป็นเด็กเรียนแล้ว เพราะปีแรกๆ นี่โฉบ 2.00 เป็นเรื่องธรรมดา 55555)

ทีนี้ตอนปีหนึ่งมันมีวิชา Architectural Presentation ทั้งเทอมต้นและเทอมปลาย โดยเทอมต้นเขาให้วาดและนำเสนอสถาปัตย์ด้วยดินสอ เทอมนั้นผมได้ D+ พร้อมผลงานที่โดนอาจารย์เอาไปหัวเราะเยอะ (ใช้คำนี้ถูกแล้ว) หน้าชั้นเรียนเกินครึ่งของผลงานทั้งหมดที่ส่งไป

ส่วนเทอมหลังเป็นภาคต่อวิชาที่ใช้ชื่อเดียวกัน ภาคนี้โทนี่สตาร์กเปลี่ยนมาใช้สีน้ำ ซึ่งความเหี้ยก็คือ ผมไม่มีพื้นฐานเลยแม้แต่เสี้ยวขนปลายหำหมา

ย้อนกลับไป ม.ต้นซึ่งเป็นวิชาศิลปะ (ผมเรียนสายวิทย์) จำได้ว่าทั้งเทอม “อาจารย์ไม่เข้าสอนเลยแม้แต่ครั้งเดียว” …งงไหมครับ มาคิดดูทีหลังแม่งเหี้ยมาก แต่ตอนนั้นแฮปปี้มาก เพราะได้วิชาว่างมาหนึ่งคาบฟรีๆ แต่ก็นั่งอ่านการ์ตูน ยืมเกมเพื่อนมาเล่นในห้องจนหมดเวลานะ ไม่ได้ออกไปเสพยาบ้าหลังห้องน้ำ เพราะผมเป็นเด็กเนิร์ด แต่นั่นก็ทำให้มารู้ทีหลังว่าเราพลาดโอกาสหัดวาดรูปด้วยสีน้ำ ซึ่งต่อไปมึงจะต้องเอามาใช้ตอนเข้ามหาลัยปีหนึ่งเทอมสองนะโว้ย

ตัดภาพกลับมาที่ไอรอนแมนภาคสอง อาจารย์ให้โจทย์มา ผมหันไปมองเพื่อนๆ ที่นั่งวาดกัน เฮ้ย ทำไมมันคล่องกันจังวะ ตวัดพู่กันป๊าบ สวยเลย คนนี้ยิ่งเทพ คนนั้นมีเทคนิคเซียน เลยถามๆ ดู ก็ได้คำตอบว่า บางคนฝึกตอนมาติว (ผมมาจากบ้านนอก ไม่รู้ว่าโลกนี้มีการมีติวเข้าคณะนี้ด้วย) บางคนเรียนตอน ม.ปลาย บางคนหัดเอง (อันนี้น่านับถือ) ฯลฯ

ที่จริงผมไม่ควรจะมาบ่นโทษระบบการศึกษาหรอก เพราะคนหัดเองก็มี แล้วก็ทำได้ดีด้วย แต่มึงไม่พยายามเอง ทำมาย้อนอดีตโทษนั่นโทษนี่ ไอ้บ้าเอ๊ย 555

เอาเป็นว่าเทอมนั้นเกรดผมได้ C+ ทั้งๆ ที่งานเหี้ยกว่าเทอมแรกที่วาดด้วยดินสออีกนะ (ไม่รู้ทำไมเกรดดีกว่า) ซึ่งนั่นก็ทำให้บางคืนผมเก็บเอาไปฝันร้ายว่าอาจารย์ท่านเดียวกันนี้มาสั่งงานวาด เพื่อนๆ วาดกันสบายมาก และผมไม่มีปัญญาแม้แต่จะผสมสีให้มันไม่เน่า

ฝันด้วยพล็อตแบบนี้ติดต่อกันมาสิบกว่าปี มันน่าเจ็บใจไหมล่ะ

เกริ่นมาทั้งหมดเพื่อจะปูพื้นว่า ต่อไปนี้ผมจะกำจัดฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนนั้นด้วยตัวเอง ด้วยคาถา “อยากวาด ก็วาดสิวะ”

หลังจากบ่นไปคราวก่อนแล้วว่าอยาก ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสนองความอยากครับ พอดีวันนี้ได้เข้าเมืองไปซื้อหมึกสกรีนเสื้อไว้ทำมาหากิน ก็เลยแวะ B2S เพื่อซื้ออุปกรณ์สีน้ำมา ด้วยความงูปลา ก็เลยจัดชุดที่น่าจะไม่เด็กประถมเกินไป และไม่แพงสัส (ส่วนมากจะแพงสัสนะครับพวกเครื่องเขียนศิลปินเนี่ย สมุดห่าอะไรไม่รู้เล่มเท่ากระดาษทิชชู่ แม่งเล่มละสี่ห้าร้อย นี่เขียนผิดแล้วมีปุ่ม undo ใช่ไหม)

ก่อนวงเล็บจะเยอะเกินไป ขอกลับเข้าเรื่องอีกครั้ง วันนี้ก็เลยได้ชุดนี้มา

watercolor-0

  • สีน้ำแบบก้อนของ REEVES (195 บาท)
    นี่เลือกเอาจากขนาดเลยนะ ดูมันพกง่ายดี เนื้อสียังไม่รู้ ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไงว่าดีหรือไม่ดีกว่าอะไร เพราะถ้าไม่นับสมัยเรียนที่ช่างมันเถอะแล้ว นี่ก็นับเป็นการซื้อสีน้ำด้วยความเต็มใจเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยความน่าจะพกง่ายกว่าซื้อแบบหลอดๆ ก็เลยเลือกแบบก้อนมา อยากใช้ก็เอาพู่กันเปียกไปยีๆๆ เดี๋ยวมันก็ละลายมาเอง ง่ายดี แถม(ขายพ่วง)พู่กันแหลมๆ มาด้วย ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้ตอนไหน เพราะเรามี…
  • พู่กันแบบแทงก์ DERWENT (307 บาท …แพงสัส นี่เมียยังไม่รู้นะ)
    นี่ฉันเลือกนายเพราะอ่านบล็อกของ @hackhq (ไปไล่ดูลิงก์ได้จากบล็อกตอนที่แล้ว) แล้วเห็นว่ามันเติมเต็มสิ่งที่ขาดดี คือไม่ต้องพกน้ำไปเยอะๆ แค่มีพู่กันที่บีบตูดแล้วน้ำมันจะเยิ้มออกมาชุ่มฝีแปรงตลอดเวลา เวลาล้างสีก็แค่บีบ แล้วเอาไปป้ายกระดาษทิชชู่แบบส่งเดช เท่านี้ก็สะอาดแล้ว // ในภาพด้านบนนี่คือเพิ่งแกห่อเลย อยากฮิปสเตอร์มากก็เลยเอามาเรียงแล้วถ่ายทันที หัวมันเลยบานๆ เพราะยังแห้งอยู่
  • ปากกาหัวเข็ม Artline 0.5mm (58 บาท)
    ไม่ถนัดปากกาเส้นเล็ก เพราะไม่ชอบเขียนแบบกดน้ำหนักลงไปแรงๆ ก็เลยใช้ขนาดที่ชิน ที่จริงเวลาใช้ปากกาปกติจะชินกับไซส์ 0.7-0.8 มากกว่า แต่อันนี้น่าจะเอามาวาดและเก็บรายละเอียดได้ดีขึ้นกว่าไง หวังว่านะ
  • สมุดสเก็ตช์ของศิลปากร (49 บาท)
    อันนี้ซื้อจากร้านสโมของศิลปากรตั้งแต่ช่วงวันพ่อ หนีเมียไปเดินเล่นกับหนุงหนิงมา โคตรถูกเลย ถูกจนอยากจะนั่งรถไปเหมามาตุนไว้อีก 30 เล่ม (ที่จริงมีถูกกว่านี้อีกคือเล่มละ 15 บาท แต่จะบางกว่า และการเข้าเล่มจะเป็นอีกแบบ) ดีใจมากเลยที่มีร้านสโม ถึงแม้เมื่อก่อนจะเกลียดเจ้ามากขนาดไหนก็เถอะ เพราะการเข้าไปแต่ละครั้งคือการซื้ออุปกรณ์เพื่อทำงานเรียนส่งครู แล้วงานผมเหี้ยซะ 97% เลยโทษสโม (เห็นมะ นิสัย) เอาเป็นว่าใครอยากซื้อเครื่องเขียนอะไรนี่ ยอมเสียเวลาเดินทางไปศิลปากรสักหน่อย แล้วคุณจะพบว่ามันคุ้มมาก เพราะสาวโบราณน่ารัก

watercolor-2

ที่จริงให้ดูใบเสร็จนี่ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องมาพิมพ์ยาวแล้ว นี่อีกายรู้เข้าเดี๋ยวก็ตามมาทวงต้นฉบับอีก หาว่าเอาเวลามาเขียนบล็อกงี้

watercolor-1

เติมน้ำลงไปในพู่กัน แล้วลองยีๆ กับสีก้อน เอามาระบายๆ ดูในภาพที่เขียนไว้ก่อนหน้าสัก 10 นาที (แต่ใช้ปากกาอีกด้ามนะ อันนั้นเป็น unipin 0.8 ที่ใช้เขียนสมุดบันทึกเป็นปกติ) พบว่าเส้นสีดำมันไม่เยิ้มเข้ามา คือเป็นหมึกกันน้ำ ส่วนกระดาษนั้นก็ไม่ซึมเปื้อน อันนี้ยังไม่ได้ทดสอบมาก เพราะแต้มสีลงไปหน่อยเดียวเท่าที่เห็น เดี๋ยวครั้งหน้าถ้าได้ระบายอะไรฉ่ำๆ (อยากหัดระบายให้มันฉ่ำมากๆ ทำไม่เป็น) อาจจะเห็นมันซึมก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน

ที่แน่ๆ ความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตที่เอาพู่กันจุ่มสีมาปาดลงบนกระดาษเองด้วยความเต็มใจ ไม่มีใครบังคับนั้น มันดีมาก ดีมากๆๆๆๆๆๆ มากๆๆๆ ถึงจะสีเน่าเหมือนเมื่อก่อนในยุคที่ตัวเองเกลียดสีน้ำที่สุดในโลกยังไงยังงั้น แต่ช่างหัวอุปสรรคในอนาคตมันปะไร เพราะอย่างน้อยตอนนี้เราได้เริ่มแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหัดวาด หัดระบาย และทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ในโหมดสนุกแบบนี้เลยนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเบื่อขึ้นมาวันไหน แต่วันนี้ได้เริ่มแล้ว ก็ดีแล้ว

ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่การที่คนอายุเลยสามสิบมาพอสมควร มีลูกเต้าโตงเตงพันรอบเอวและเมียใช้ไปทำนู่นนี่ตลอดเวลาแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็เพิ่งมาหัด มามีความฝันอะไรสนุกๆ แบบเด็กๆ นี่มันโคตรดีเลยนะครับ

จะว่าไป นี่คงเพราะมีตังค์แล้วด้วยแหละ 5555 ถ้าย้อนไปสมัยเรียนนะ ของเล่นราคา 5-600 บาทนี่ อย่าแม้แต่จะคิด

มีความสุขจัง คืนนี้นอนตายตาหลับละ ส่วนต้นฉบับก็ผลัดไปพรุ่งนี้ งานหนังสืออีกตั้งนาน

คอมเมนต์

ดรอซัมติง

hipster-or-nerd

อยู่ดีๆ ความรู้สึก “อยากวาด” ก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงตอนที่นั่งคลิกนู่นดูนี่จากการนั่งทำเว็บ

คือผมวาดไม่เก่งครับ ถึงจะขีดๆ เขียนๆ เล่นมายี่สิบปีแล้ว ฝีมือก็ยังหยุดนิ่งได้แค่ระกับ “วาดเป็น” ไม่เคยไปถึง “วาดเก่ง” สักที

เป็นเพราะไม่ได้พยายาม เป็นเพราะไม่ได้ใส่ใจ เป็นเพราะไม่ได้ตั้งใจ แต่อยาก เห็นคนวาดเก่งแล้วอิจฉา เผอิญว่าความอิจฉานั้นก็หยุดไว้เท่านั้น

แต่ใจนึงผมก็รู้ลิมิตตัวเองดีว่าไม่ได้สนใจจะไปฝึกฝนทุ่มเทตั้งใจเพื่อจะให้ตัวเองวาดเก่งขึ้นมาได้หรอก คบกับตัวเองมานาน กูรู้จักมึงดี

แค่เจ็บใจนิดนึงที่พอดูงานวาดเล่นของชาวบ้านแล้วก็พบว่า เฮ้ย ทำไมเขาวาดแล้วโคตรสนุกเลย อีแค่วาดให้สนุกนี่ทำไมเราทำไม่ได้วะ ต้องทำได้สิ

เออ วาดเก่งกับวาดแล้วสนุกมันมีความต่างเอาไว้เป็นข้ออ้างได้พอสมควร งั้นต่อไปนี้ผมเลยจะขอกลับมาเริ่มหัดวาดอีกครั้ง ด้วยวิธีแบบแอนๆ นี่แหละ

วิธีแบบแอนๆ = วาดมันซะเลย วาดเยอะๆ วาดๆๆๆ เหี้ย วาดโว้ยยยย

นึกย้อนไปสมัยที่ตัวเองยังชอบจดบันทึกลงในสมุด ตอนนั้นในมือของมนุษยชาติ (ที่จริงคือเรา แต่อ้างมนุษยชาติจะได้อุ่นใจหน่อย) ยังไม่มีมือถือมาจองพื้นที่ถาวรอย่างทุกวันนี้ ด้วยกลัวจะว่าง ก็เลยซื้อสมุดปากกามาถืออยู่เสมอ พอเห็นอะไรก็วาดดะ จดดะ สนุกดี พูดแล้วโหยหาอดีต

พอมาทุกวันนี้ ถึงจะใช้มือถือรุ่นที่คุยนักหนาว่ามันพกพาสะดวก แถมมีปากกาที่ใช้วาดได้ดีมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆ เวลาวาดความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนปากกากับกระดาษจริงๆ ใช่ปะ เพราะมันวาดผิดก็ลบได้ วาดเบี้ยวก็ขยับได้ ทำผิดก็ undo ได้ ซึ่งมันไม่ใช่นะ มันง่ายไป สะดวกไป ไม่ฮิปสเตอร์พอ

ที่สำคัญคือ มันมีอะไรดึงความสนใจออกไปจากการวาดได้เยอะ เช่น แป๊บๆ โนติแม่งมาละ ไหนจะไลน์ ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก เพื่อน ลูกค้า แอปการ์ตูน ฯลฯ หมดกัน ไม่ต้องวาดละ

แต่ช่างเถอะ บ่นไปก็เท่านั้น เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

ถือเป็นโอกาสดี เพราะสมุดบันทึกเล่มล่าสุด กำลังจะหมดลงในอีกไม่เกินสัปดาห์ …นึกได้ว่าเคยเขียนบล็อกตอนเปิดเล่มนี้เมื่อ 16 ก.ย.56

เหี้ย ดองมาปีกว่าๆ แล้ว สมุดบางๆ เล่มเดียวเนี่ยนะ!!!

ที่จริงก็นึกคำอ้างสารพัดได้ไม่ยากหรอกครับว่าทำไมใช้เวลาเขียนนาน เพราะสัปดาห์นึงจะได้เขียนสักครั้ง เนื่องจากสมุดมันใหญ่ พกไปไหนมาไหนไม่ได้ และความสนใจของผมมันเปลี่ยนไปลงกับหน้าจอไฟฟ้าหมดแล้ว น่าเศร้าแต่ก็ไม่ปฏิเสธ

ดังนั้นเล่มต่อไปจึงขอแก้บั๊กด้วยการเลือกสมุดไร้เส้น ไซส์เล็กลงกว่าเดิม จึงควรจะพกง่ายกว่าแบบที่ใช้เขียนส่งการบ้านมัธยมทุกวันนี้ (ที่ต้องเก็บไว้ในกระเป๋าคอมอย่างเดียว) ซึ่งเป็นเล่มที่ซื้อมาเมื่อเดือนก่อนจากร้านสโมศิลปากร ร้านเครื่องเขียนที่เจ๋งที่สุดในโลก

คราวนี้ดูซิว่าจะมีข้ออ้างอะไรอีก เดี๋ยวจะกลับมาดู

ปกติเขาบอกว่าถ้าจะทำอะไร อย่าประกาศว่าจะทำนั่นนี่ เพราะมันจะวืด วืดแล้วจะเสียหน้า แต่เท่าที่เขียนบล็อกนี้มาสิบกว่าปี ผมว่าผมวืดไปเกิน 10 ครั้งแล้ว ก็เพราะอีการฮึดขึ้นมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบนี่แหละ 5555 ก็ช่างมันประไร คราวนี้ลองดูอีกที

ป.ล.
ดรอซัมติง เป็นเกมที่เคยฮิตมากๆ ฮิตโคตรพ่อโคตรแม่ ทุกคนเล่น ทุกครัวเรือนมี เพราะมันดี มันเด่น มันสนุก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ร่วงโรยเหลือแค่ชื่อ เผลอๆ หลายคนลืมชื่อมันไปแล้วด้วย แล้วจะพูดทำไม

ป.อ.
อันนี้เขียนเพิ่ม แปะลิงก์ของคุณ @hackhq ไว้หน่อยครับ อันนี้อ่านแล้วขึ้นจริงๆ – อยากหัดสเก็ตช์ภาพ ขอคำแนะนำหน่อย

คอมเมนต์