คือไม่เคยไว้หนวดเลยน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกะมีลูกสาวอะไรหรอก ปรากฏว่าแม่งรำคาญมาก เหมือนกินข้าวแล้วมีเศษข้าวติดอยู่ริมฝีปากตลอดเวลา กะว่าถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะหั่นทิ้งละ (เอ๊ะหรือหั่นทิ้งข้างเดียวดีวะ เผื่อเท่)
สมมติว่ามีอะไรแบบนี้จะช่วยให้หาเครื่องบินเจอไหมครับ
นี่นึกได้เลยบล็อกไว้นะครับ อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระอีกเรื่องที่อ่านผ่านๆ ก็ได้
พอดีได้อ่านข้อความจากสักที่ บอกว่าเทคโนโลยีและกำลังการค้นหาเครื่องบินที่สูญหายไปในตอนนี้มันงมเข็มในมหาสมุทรสุดๆ เปรียบเหมือนปล่อยหนูแฮมสเตอร์เข้าไปในสนามฟุตบอลเพื่อหาเป้าหมาย (เห็นภาพชัดดี ไม่รู้สเกลจริงจะมากน้อยแค่ไหน) เลยนึกได้ว่า เออ เทคโนโลยีการระบุพิกัดเพื่อส่งสัญญาณ เพื่อค้นหา ฯลฯ ในโลกนี้มันอาจจะยังมีข้อจำกัด แต่เทคโนโลยีด้านอื่น เช่นอินเทอร์เน็ต มันน่าจะช่วยอะไรได้
ที่สำคัญคือเพิ่งฟังข่าวตอนขับรถ เห็นว่าทางการจีนจะให้ดาวเทียมกำลังสูงของตัวเองตั้งหลายดวง เอามาใช้ในการค้นหา เลยจดไอเดียนี้ขึ้นมาแปะในบล็อก
ป.ล.
ผมไม่ได้ตามข่าวแบบเกาะติดเลยไม่ทราบว่าตอนนี้เขาไปถึงไหน เพราะอยู่ดีๆ ก็มีข่าวน้องโฟกัสมาแทรก…
ป.อ.
เขียนเพิ่มนิดหน่อยหลังจากคุยกับหลายๆ ท่านในทวิตเตอร์ เห็นว่าตอนนี้มีโครงการระดมอาสาสมัครแล้ว (เย้) แต่คีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ “ถ้าใช้พลังจากหน้าแรกของกูเกิล” หรือเฟซบุ๊ก หรือ ฯลฯ ล่ะ! (ทำไมต้องไปหวังพึ่งเอกชนก็ไม่รู้เนอะ)
ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ
(กดดูภาพเต็มได้นะ)
นี่คือสไตล์การบรีฟงานของ @TuckTua pic.twitter.com/dGTfVjQGcl
— 囧 (@iannnnn) March 4, 2014
นี่คือสไตล์อภิชาติผัวแบบ @iannnnn pic.twitter.com/W9L0YUMm6P
— ตั๊กถั่ว (@TuckTua) March 4, 2014
ก่อนตาย
ถ้ามีชีวิตอยู่จนแก่ สิ่งที่จะทำก็คือ
- ปลูกต้นไม้ จัดสวนให้สวยให้ได้ (ตอนนี้ทักษะเป็นศูนย์ ขนาดต้นเคราฤาษีที่แม่ให้มาซึ่งควรจะดูแลง่ายที่สุดในโลกยังแห้งตายคาต้นมาแล้ว ถือว่าไม่ธรรมดา)
- นอนเปล หรือเก้าอี้โยก ทยอยอ่านเพชรพระอุมาแบบไม่รีบ
นี่คิดได้หลังจากคิดเรื่อยเปื่อยว่า ถ้าเราแก่แบบไม่ไหวแล้ว หรือเป็นโรคร้ายแรงสักอย่าง (ไม่ใช่เอดส์โว้ย หมายถึงมะเร็ง หรือโรคที่มันต้องรักษาแพงๆ หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นผักเสียยังดีกว่า) เราอาจจะขอเลือกวิธีตายเอง ก็ดูขนาดตอนเกิด (พ่อแม่)เรายังเลือกได้ว่าจะผ่าหรือจะคลอดเอง จะเอาฤกษ์เมื่อไหร่ แล้วทำไมตอนตายเราถึงจะเลือกไม่ได้ล่ะ
ถ้าเลือกได้จริงๆ เราจะขอกำหนดวิธีตายคือ ต้องเหมือนเป็นการปิดสวิตช์ตัวเองให้เคลียร์ไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ แบบที่ไม่ดูเหมือนเป็นการทิ้งชีวิตโฉ่งฉ่าง ให้คนอื่นเดือดร้อน หรือทำให้ร่างกายเหลวแหลกเสียดายของ (ร่างกายก็บริจาคไป เออ ยังไม่ได้ไปทำเรื่องเลย อย่าเพิ่งตายนะกูนะ)
ซึ่งนั่นถ้ามองผาดๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่น่าจะไม่ได้เป็นการตายอย่างคิดสั้น แต่คิดมาแล้ว (คิดมาตั้งแต่ตอนนี้เลย) ว่า ถ้าสมมติลูกเราก็มีชีวิตที่ดีแล้ว เมียเราก็โอเค (ตามสถิติคนเป็นเมียหนังเหนียวกว่าอยู่แล้ว) เราจะคุยกันเรื่องการจากโลกนี้ไปแบบเท่ๆ ซึ่งตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะตายยังไงดี ถึงจะเท่ และไม่ทำให้เกิดเรื่องผีไร้สาระในหมู่บุตรหลาน
ก่อนตายเราควรเคลียร์ทุกอย่างให้หมดห่วง หรืออย่างน้อยก็เข้าใกล้สถานะนั้น (เช่น ปลูกต้นไม้ จัดสวน อ่านเพชรฯ หรือทำฟอนต์ที่ค้างๆ ไว้ให้หมดงี้) และคุยกะลูกเมียว่าเดี๋ยวเราจะปิดสวิตช์ ถอดปลั๊กตัวเอง และหายไปตลอดกาล แบบในเทพนิยายเวลาใครตายก็ไม่ได้ตายแหง็กๆ ให้เห็น แต่เขาจะสื่อด้วยการใช้สัญลักษณ์คือการลอยเรือแล้วค่อยๆ เฟดหายไปตลอดกาล เอางี้ละกัน
แน่นอนว่าวันหนึ่งทุกคนก็ต้องถึงเวลาตาย อาจจะมีบางคนที่ลัดคิวไปก่อนหน้าด้วยเหตุต่างๆ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ความสูญเสียโดยไม่ได้คาดคิดนั้นทำให้คนข้างหลังเสียใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ (ถ้าช่วยได้ก็คงไม่ตาย) ซึ่งอันนี้เราก็รู้ๆ กันอยู่ แต่จะเตรียมใจกันไว้แค่ไหนนั่นก็แล้วแต่บ้านละกันนะ (อย่างบ้านเมียผมนี่คือยังไม่มีญาติสนิทคนไหตายเลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นพอถึงเวลาก็คงเหวอกันหน่อยงี้)
ใช่ เราทุกคนต้องตายแน่นอน จะใหญ่คับฟ้ามาจากไหนก็ต้องตาย แต่ถ้าการขอเลือกความตายแบบเท่ๆ นั้นเป็นสิ่งเพ้อเจ้อ เราจะพยายามมีชีวิตอยู่แบบเท่ๆ ซึ่งนั่นเราว่าเราพยายามอยู่ และจะทำให้ได้
ป.ล.
เพชรพระอุมามีเวอร์ชัน epub แล้ว ของอัมรินทร์มั้ง ยังไม่รู้จะอ่านยังไงดีเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังสนุกกับอย่างอื่นมากกว่าอยู่ และที่สำคัญคือไม่ยักมีเวลาว่างเป็นก้อนๆ ไว้จมปลักอยู่กับมันแฮะ ขนาดวอล์กกิ้งเด๊ดยังเพิ่งดูได้แค่ปีสองเอง
ป.อ.
เกือบลืม ไม่ได้อยู่ดีๆ ก็ว่างมามโนเรื่องความตายแบบที่วัยรุ่นไฟแรงเขาทำกันนะ แต่คือมันมาจากการคิดย้ำแล้วย้ำอีกว่าเหี้ยเอ๊ย การตาย หรือยอมตายด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองหรือสงครามไม่ว่าจะครั้งใดๆ มันช่างบัดซบและดูถูกความเป็นมนุษย์เสียจริงๆ
ลิสต์รอนประสิทธิภาพในการอ่าน
- เมื่อวานได้คุยกะ @notsosad ผู้เป็น บ.ก.แห่งสำนักพิมพ์บัน (ที่จริงคือคุยเรื่องขี้หมูขี้หมาแล้ววนมาเรื่องนี้) เลยขอจดไว้หน่อย
- คือบันกับแซลมอนเนี่ยเป็นสำนักพิมพ์ญาติสนิทมิตรสหายกัน แล้วผมเคยมีหนังสือกับแซลอนอยู่สองเล่ม (เฟลออฟเดอะสองเยียร์ส กับ คือปะป๊าครองพิภพ)
- ถึงกระนั้นก็มิบังอาจเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนอย่างยิ่ง เพราะนิสัยและความสามารถในการอ่านและการเขียนของเราช่างหลุดออกมาไกลจากนิยามของอาชีพนักเขียนเหลือเกิน
- แต่คือปะป๊าฯ ก็น่าจะสนุกมากนะ ใครๆ ก็ว่างี้กัน อันนี้อวยตัวเองเลยเผื่อมีคนซื้อเพิ่มอีกสักสองเล่ม 5555
- ทีแรกคุยหนุงหนิงกับหนุงหนิง คืออยากรู้ชีวิตในวงการคนทำหนังสือ (แนวนี้ – ของบันจะเป็นแนวกุ๊กกิ๊กวัยหวานกว่าแซลมอน)
- รวมไปถึงอยากรู้ว่า จากประสบการณ์การทำหนังสือที่ผ่านมาเนี่ย พอจะสรุปได้ไหมว่าคนอ่านเขาชอบตัวหนังสือที่มีนิสัยยังไงกัน
- ก็ได้คำตอบว่า เดี๋ยวนี้เขาชอบแบบที่มินิมัลๆ น้อยๆ อ่านง่าย คนเขียน(หน้าใหม่หรือนักอยากเขียนก็ตาม)ก็หันมาเขียนสไตล์นี้กันทั้งนั้น
- ก็เข้าใจนั่นแหละว่ามาจากนิสัยการอ่านที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วย พูดหยาบๆ ก็คือเราอ่านกันลวกๆ ขึ้น อะไรก็ได้ สั้นๆ เร็วๆ ถามว่าอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์มีผลไหม น่าจะมี? (คงมีคนวิจัยกันมาแล้วบ้างแหละ)
- ผมบอกไปว่าตัวเองกลับไม่ค่อยชอบไอ้อะไรที่เป็นลิสต์ๆ (นึกภาพว่าแบบ 20 วิธีนั่นนี่ หรือ 100 ขั้นตอนสู่ความนี่นั่น (คุ้นๆ)) คือสรุปกับตัวเองได้ว่าพอได้อ่านไปแล้วมันเป็นหนังสือที่สามารถวางได้ลง อ่านแล้วไม่ติด ไม่ได้ผูกพันกับหนังสือแบบค่อยๆ ก่อความรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จบไปฟินออกัสซั่มเอาช่วงจบเล่ม ต่างจากหนังสือที่เป็นเรื่องๆ เล่าเรื่องเดียวกันยาวไปจนจบเล่ม โอเคอาจจะมีการแบ่งซอยเป็นประเด็นย่อย แต่ว่าพอขึ้นตอนใหม่มันจะมีเรื่องราวของตอนก่อนๆ มีสะสมพอกพูนให้เกิดความประทับใจกับเนื้อหาขึ้นอีกหน่อย
- ซึ่งบางทีไอ้การเป็นลิสต์ๆ นี่ก็รวมถึงบทความรวมเล่มด้วย เหมือนหยิบมาหนึ่งหัวข้อใหญ่ เล่าไปทีละหัวข้อย่อย จบตอนแล้วจบไป ขึ้นตอนใหม่ก็เป็นอีกหัวข้อนึง ไม่ได้ผูกพันกัน พอ่านแล้วมันเลยรู้สึกว่าเดี๋ยวขี้คราวหน้าค่อยหยิบมาอ่านใหม่ได้ หรือถ้าจะลืมวางไว้ อีกสามเดือนค่อยกลับมาอ่านใหม่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
- ถ้าเป็นการ์ตูนก็เป็นแนวจบในตอนงี้ ปีนึงออกเล่มเดียวก็ได้ ไม่เหมือนอย่างฮันเตอร์หรือเบอร์เซิร์ก ที่ยิ่งอ่านยิ่งติด แล้วแม่งก็ไม่ออกซะที ห่ามาก คนเขียนแต่ละคนนี่มึงแกล้งคนอ่านชัดๆ
- คือรสนิยมส่วนตัวรู้สึกว่า ไอ้อะไรที่เป็น 10 ข้อ 20 วิธีเหล่านั้น มันเป็นลักษณะของข้อมูลที่อ่านแค่หัวข้อก็พอ ที่เหลือคือส่วนขยายของหัวข้อ เป็นนิสัยในการอ่านที่ไม่ดี เชื่อว่าน่าจะได้มาจากการใช้อินเทอร์เน็ต ยิ่งทวิตเตอร์นี่ตัวดีเลย เห็นแค่พาดหัวข่าวตามด้วยลิงก์ก็กดอาร์ทีแล้ว ยังไม่ทันได้กดเข้าไปอ่านส่วนขยาย แต่ปากก็พูดเหมือนได้อ่านมาแล้วอย่างละเอียด ซึ่งไม่ดีเลย
- หนังสือที่ซื้อมาจากงานหนังสือเอย จากที่นั่นที่นี่เอย เลยยังคงมีวางกองไว้ในชั้น “รออ่าน” ที่บ้านตั้งหลายเล่ม นี่หนาเป็นศอกสองศอกแล้วได้มั้ง กะว่าว่างเมื่อไหร่ค่อยหยิบมาอ่าน ซึ่งไม่ดีเลยเช่นกัน
- ดังนั้นเวลาเขียนบล็อกก็เลยฝึกนิสัยตัวเองว่าจะไม่เขียนเป็นลิสต์
- แบบนี้
- แต่จะรักษานิสัยการเขียนแบบ คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป อย่างที่เรียนมาตั้งกะประถมมัธยมต่อไป เพราะรู้สึกได้ว่ามันดูพยายามดี ส่วนคนอ่านจะเปลี่ยนไปเพราะชอบแบบรวบรัดมากกว่า หรืออะไร ก็เรื่องของเขาสิ อย่างน้อยขอให้ทักษะนี้ยังติดกบาลไว้อยู่หน่อย ก่อนที่จะสลับโหมดไปเล่นทวิตเตอร์ซึ่งมึงคืออาณาจักรแห่งลิสต์ต่อไป
- ป.ล.ที่จริงบล็อกตอนนี้เอาเครื่องหมายจุดหน้าข้อออกไป มันก็คือการเขียนแบบธรรมดา แต่จะลองยัดใส่ bullet ดูว่าเนียนไหม สรุปว่าไม่เนียน