ประชาธิปไตยและการเมืองไทยในทรรศนะของข้าพเจ้า

democrazy

เมื่อเย็นวานเป็นวันแห่งการเป่านกหวีดสำหรับม็อบใหญ่ เป็นม็อบที่ท่าทางจะจุดติด และน่าสนใจที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา เพราะประเด็นที่ฝ่ายรัฐบาล “เชิญแขก” มานั้นแข็งแรงมากๆ คือมีเหตุผลเข้าท่า หากจะนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาลได้เลย ..หรือที่จริง การมีม็อบรณรงค์อย่างบริสุทธิ์ใจนั้นไม่เคยมีครั้งไหนที่สามารถล้มรัฐบาลได้เลย …จนกว่าจะมีคนตาย – เอาจริงๆ แกนนำม็อบเลยยิ้มที่มุมปากเสมอเวลามีคนตายไงล่ะ เป็นตำรายุทธพิชัย :(

เดี๋ยวๆ ก่อนที่จะเข้าเรื่องม็อบ มาเข้าเรื่องการเมืองก่อน

ไหนๆ เคยเขียนบล็อกบันทึกเรื่องทรรศนะส่วนตัวด้านพุทธศาสนาแล้ว ก็ขอบันทึกทัศนคติทางการเมืองหน่อย จะได้รู้ว่า ณ วันนี้ เราคิดแบบนี้ แล้ววันข้างหน้าจะเปลี่ยนไปแค่ไหน รวมถึงไม่รู้อีกกี่ปีข้างหน้าพอมาย้อนดู จะจำได้ไหม

ทีแรกกลัวว่าเสนอความเห็นแล้วจะดูโง่ แต่วันหนึ่งก็นึกได้ว่า ที่จริงประชาธิปไตยนั้นเป็นระบอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าจะโง่หรือฉลาด ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบการถกเถียงและแสงความคิดเห็นก็ตาม เมื่อคิดได้ดังนั้น เลยรู้สึกอุ่นใจขึ้นมานิดนึงว่า นอกจากเราแล้วก็ยังมีคนที่โง่ (และโง่กว่าเรา) อยู่เยอะแยะไป ก็ไม่เป็นไรนี่นา ทำไมต้องฉลาดก่อนแล้วค่อยมีสิทธิ์พูดล่ะ?

ประชาธิปไตยนั้นอนุญาตให้คนไม่สนใจการเมืองเลย สามารถอยู่ด้วยได้อย่างแฮปปี้พอๆ กะพวกหายใจเป็นการเมืองมิใช่หรือ

แต่อีกแว้บนึงก็รู้สึกว่า อุณหภูมิการเมืองในช่วงเกือบสิบปีที่ผ่านมามันเซนซิทีฟเกินไปนะ คืออยู่ดีๆ ใครก็ตามดันแสดงความคิดเห็นทางการเมืองขึ้นมา คนคนนั้นจะต้องถูกดึงเข้าวังวนดราม่า และถูกแปะป้ายอะไรสักอย่างลงบนตัวไปตลอดกาลทันที ช่างเป็นบรรยากาศที่ผลักไส และไม่เป็นมิตรต่อการแลกเปลี่ยนความเห็นโดยสันติเอาซะเลย

บรรยากาศในอุดมคติคือเรามานั่งพูดคุยเรื่องการเมืองกันเหมือนพอดูหนังจบเราคุยเรื่องหนัง พอออกไปกินข้าวแถวบ้าน เราคุยกันว่ามันอร่อยไหม แพงไปปะ คราวหน้ามากินอีกไหม ไม่ใช่แบบติ่งใต้น้ำหรือสาวกหน้ามืด ที่ทะเลาะกันแบบขาดสติ คือไม่รู้จะไปอินอะไรกันนักกันหนากับค่ายที่ตัวเองเชียร์ โอเค มันเกี่ยวพันกับชีวิตเรา แล้วข้าวร้านที่เราไปกินก็เกี่ยวกับชีวิตเราไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ?

เริ่มยังไงดีหว่า นึกเป็นข้อๆ ไปละกัน

1.
ระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นโอเพนซอร์ส
กติกาใดๆ ที่เลือกคนมาถืออำนาจนั้น “มันมีรูรั่วอยู่เสมอ” ไม่มีทางสมบูรณ์ได้เลย เพราะนี่เรากำลังเล่นเกมอยู่กับมนุษย์ที่มีขีดความสามารถในการดิ้นได้เสมอ และเพราะอำนาจคือผลประโยชน์ก้อนใหญ่พอที่จะลงทุนกับมัน ดังนั้น “ที่มาของอำนาจ” ที่ยังมีข้อบกพร่อง จึงไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ความขาวสะอาดของผู้ชนะที่มีสกิลศรีธนญชัยได้นะครับ แต่ประชาธิปไตยคือระบอบที่ออกแบบมาให้ค่อยๆ คลำหาข้อบกพร่องนั้น และปรับแก้กันไปจนมันดีขึ้น แต่ก็ต้องอย่าลืมแยกกันให้ออกระหว่าง “การได้มาซึ่งอำนาจ” กับ “การใช้อำนาจ” นั่นแปลว่า ถ้าคนจะเหี้ย ก็สามารถใช้ช่องโหว่ของกติกาที่ดีไซน์ไว้ไม่รัดกุมพอ มาตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวได้อยู่ดี กรณีศึกษามีเป็นร้อยเป็นพันให้เห็น (หันไปมองวงการฟุตบอล)
ในทางกลับกัน ถ้าเกิดจะไม่เอาละ ประชาธิปไตย กูอยากได้ระบบอื่นที่มั่นใจว่าได้ “คนดี” ชัวร์ (คนดีเนี่ย เป็นคำที่เขาประชดกัน และประโยคถัดมาก็จะตามมาด้วยพฤติกรรมลับๆ ที่เหี้ยๆ แล้วถามเย้ยๆ ว่า ไงล่ะ คนดีของมึง?) ก็ต้องบอกว่าอย่าเลย ขนาดประชาธิปไตยที่เป็นระบบที่ออกแบบให้มีการยืดหยุ่นและปรับปรุงนั่นนี่ได้เสมอ ยังเจอรูรั่วขนาดนี้ แล้ว “ระบบปิด” อย่างอื่นมันจะไปเหลืออะไร
นี่จึงเป็นหลักฐานที่ชี้ว่าอย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยเป็นกติการ่วมกันทางสังคมที่โอเคที่สุด ที่เปิดโอกาสให้ลองผิดลองถูกไปอีกชั่วลูกชั่วหลานจนกว่าจะได้ระบบที่ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหรอกที่สมบูรณ์ 100%
แต่ก็ใช่ว่าจะไปสรรเสริญไม่ลืมหูลืมตา ถ้าเจอข้อพกพร้อง ก็ต้องช่วยๆ กันแก้ ในหลายเวอร์ชันที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่มีการปรับแก้กติกา ไม่ว่าจะโดยประชาชนเอง หรือโดยกลุ่มผลอำนาจ กลุ่มประโยชน์ไม่กี่คนก็ตาม เราจะเห็นได้ว่ามันแอบยัดดอกจันตัวเล็กๆ ไว้เสมอ เช่น อยู่ดีๆ มาเร่งแก้ประเด็นจำนวน ส.ส.ในแต่ละเขตไรงี้ ซึ่งคนเสนอแก้ก็คือ ส.ส.เองที่กำลังถืออำนาจในการปรับกติกาอยู่ ไรงี้ (ซึ่งกติกาเราออกแบบให้พวกเขานั้นอำนาจเพื่อการนี้เองนี่หว่า) มันเลยเป็นโดมิโน่ไปสู่สิ่งอื่นๆ

2.
เชื่อในระบบการโวยวายของคนอย่างเราๆ เพื่อถ่วงดุล ตรวจสอบ (และประจาน) การกระทำผิดของผู้มีอำนาจในทุกวงการ ยิ่งเป็นยุคนี้ที่ทุกอย่างไฮเทคและโซเชียลพอ เรื่องอะไรแบบนี้มันทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว เลยไม่ค่อยเห็นด้วยกับการบอกว่าถ้าไม่ชอบรัฐบาลทุจริต ก็ให้นั่งเฉยๆ อดทนสี่ปี แล้วค่อยเลือกพรรคอื่น เพราะกติกาออกแบบไว้ให้ประชาชนมีช่องทางเล่นงาน(ในกติกา) และรัฐบาลก็ต้องเงี่ยหูฟังว่าเขาด่าเรื่องอะไร
แต่การตรวจสอบที่ว่า พอมาใช้กับระบบราชการ ถ้าผิดจริงกลับถูกทำโทษด้วยการแค่ “ย้าย” ไปที่อื่น…

3.
ย้ำว่าการได้มาซึ่งอำนาจกับความสง่างามบนเก้าอี้มันคนละเรื่องกัน ทีแรกก็ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่นะข้อนี้ แต่พอเห็นตัวอย่างจากหนังสารคดี “ประชาธิปไทย” ของเป็นเอก ก็พบว่าพอใครก็ตาม (เอาตั้งแต่คณะราษฎรเลยเหอะ) ที่ลงทุนกับการเปลี่ยนแปลงมากๆ เมื่อขึ้นไปอยู่บนเก้าอี้ปั๊บ ก็จะยิ่งกอดแน่น เพื่อพยายามรักษาความมั่นใจของตัวเองว่าสิ่งที่กูทำมาตลอดนั้นถูก ถึงกูจะต้องเปลี่ยนคอนเซปต์นิดนึง แต่กูจะล้มลงไปแบบไม่สวยไม่ได้ บทเรียนนี้มีมาตลอด ใครยังไม่ได้ดูสารคดีเรื่องที่ว่า ลองหาดูนะ เขาเปิดฉายเรื่อยๆ

4.
หัวใจของระบอบประชาธิปไตยควรอยู่ที่สิทธิและเสรีภาพของประชาชน มากกว่าการโฟกัสไปที่ “กระบวนการการเลือกตั้ง” ซึ่งก็แค่ปากทาง คือการได้มาซึ่งผู้ปกครอง (ที่จริงต้องใช้คำว่า “ผู้บริหาร” มากกว่าผู้ปกครอง เห็นมะ ย้อนแย้งมะ) ดังนั้นนิยามของประชาธิปไตยมันจึงไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง (พูดแบบนี้นี่สลิ่มเลยนะ) แต่ต้องกลืนเป็นธรรมชาติกับการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เช่น การใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานอยู่ในออฟฟิศ การใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนักศึกษา เรามีสิทธิอะไรอย่างที่สมควรหรือเปล่า การขึ้นรถตู้ รถเมล์ รถไฟฟ้าล่ะ สิทธิของเราถูกเบียดเบียน หรือไปเบียดเบียนใครหรือเปล่า เราได้ทำอะไรที่อยากทำมากแค่ไหน อะไรที่เขาห้ามทำแล้วแต่เรารู้สึกว่ามันละเมิด เราลุกขึ้นพูด หรือแสดงออกอะไรบางอย่างเพื่อหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ไหม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้กระทั่งในหน่วยย่อยๆ อย่างครอบครัว ท้องถนน โรงเรียน ออฟฟิศ เว็บบอร์ด กรุ๊ปเฟซบุ๊ก ฯลฯ เลยนะครับ ไม่เห็นต้องไปเปิดช่องการเมืองแต่อย่างใด อยู่ที่เราจะสนใจมันหรือเปล่า แค่ไหนเท่านั้นเอง
จะเห็นว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้มันใหญ่กว่าแค่เรื่องการเลือกนักการเมืองเยอะเลย

5.
ดราม่ากองเชียร์กีฬาสีในรอบหลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอยากได้การเมืองใสสะอาด ไม่ทุจริต ไม่คอร์รัปชัน อีกฝ่ายบอกว่าอยากได้สิทธิ หลักประชาธิปไตย แล้วสองฝ่ายก็ตีกัน บาดเจ็บล้มตาย คำถามคือ อีสองอย่างมันก็ไปด้วยกันได้ไม่ใช่เรอะ ทำไมฝ่ายหลังถึงไม่พูดเรื่องทุจริต และฝ่ายแรกมองข้ามเรื่องสิทธิหว่า หรือที่จริงก็มี แต่มันดึงอารมณ์ร่วมของมวลชนที่เป็นมุษย์คนละประเภทกันให้คล้อยตามได้ยาก ก็เลยเล่นผลิตวาทกรรมซ้ำๆ มันซะประเด็นเดียว ซึ่งก็ทำให้สงสัยว่าที่มวลชนเป็นแบบนี้เพราะการวางคอนเซปต์เพื่อแยกเขาแยกเราที่ว่านี่รึเปล่า เช่นฝั่งนึงก็จะตะโกนแต่ว่า เราต้องการคนดี คนเลวออกไป (อ้าวแล้วกติกาล่ะ) กับอีกฝั่ง แกนนำก็สะกดจิตมวลชน จนรู้สึกว่าเรามีพลังแค่การกากบาทเลือกตั้งเท่านั้น พลังการตรวจสอบหายไปจากพจนานุกรมเลย

6.
โตพอจะเข้าใจเรื่องการรัฐประหารก็เมื่อครั้งล่าสุดตอนปี 2549 ที่ผ่านมานี้เอง และเห็นข้อดีข้อเดียวของรัฐประหารครั้งนั้น คือทำแล้วคนเดือดร้อน ด่ากันฉิบหายวายวอดตั้งแต่ระดับชาวบ้านยันระดับนานาชาติ จนยากที่จะมีใครคิดลงทุนกับมันอีก เพราะพอถึงวินาทีนี้แล้ว คนส่วนใหญ่ในสังคม “ไม่เอา” รัฐประหาร ดังนั้นใครคิดจะ รปห ก็ลำบากหน่อย เดิมพันสูงกว่าเดิมมากๆ เผลอๆ จะมากจนผมชักจะกลัวว่า ถ้าเกิดมีขึ้นจริงมันจะยิ่งน่ากลัว และพาสู่สังคมโกลาหลได้อีกหลายปี แต่ไม่เคยเห็นคนรอบข้างทั้งออนไลน์และออฟไลน์ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล มาเชียร์ให้ทหารออกมารัฐประหารเลยนะ เห็นแต่บทความของฝ่ายเชียร์รัฐบาลนี่แหละที่พูดแต่ “กลิ่นรัฐประหาร” กันบ่อย และพูดมาตลอด เข้าใจว่าน่าจะมีไอ้บ้าสักตัวที่จะใช้กำลังแบบนี้จริงๆ

7.
สมเพชคนทะเลาะกันแล้วด่า “กด” ฝ่ายตรงข้ามว่าโง่ โดยใช้คำว่า “สลิ่ม” หรือ “ชนชั้นกลาง” หรือ “คนดี” เป็นนัยแฝง ในขณะที่อีกฝ่ายด่ากันตรงๆ ว่า “ควายแดง” เอาเป็นว่าไม่ว่าจะด่ากันด้วยอะไรถ้ามันคิดเผื่อไว้ว่าฝ่ายตรงข้ามอ่านแล้วจะรู้สึกถูกเหยียดหยาม แม่งก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ … เขาเรียกรวมๆ กันว่า Hate speech ใช่มะ

8.
เวทนาคนเสียเพื่อนเพราะกีฬาสี

9.
เชื่อว่าทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องต้องห้ามอย่างเรื่องเจ้าเรื่องวัง ควรพูดคุยกันได้ ในเจตนาแห่งความสุภาพ มีเหตุผล (แน่นอนว่าต้องออกแบบกติกาให้รองรับการพูดคุยนี้ได้) คือ ตอนดูหนังประชาธิปไทยรอบสุดท้าย (ตอนนั้นคนดูแน่นโรงที่เอสพละนาดเลยนะ) จุดที่ฮาที่สุดคือตอนที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ในหนังพูดถึงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วโดนดูดเสียง (ใช่ หนังโดนกองเซ็นเซอร์สั่ง) คือปากขยับนะ แต่ไม่มีเสียง ปล่อยเงียบๆ แบบนั้น ยิ่งเงียบนาน เสียงคนดูหัวเราะยิ่งดัง เป็นตลกร้ายสุดๆ เลยครับ

10.
เห็นด้วยกับการเสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเฉพาะปริมาณโทษ และกระบวนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด หรือผู้ต้องสงสัย คนที่ฟ้องไม่ควรเป็นใครก็ได้ (ที่มันมั่วๆ มาจนทุกวันนี้ก็เพราะการเป็นใครก็ได้นี่แหละ) แต่ควรมีหน่วยงานที่เหมือนอัยการสำหรับคดีแบบนี้ อาจเป็นหน่วยงานในสำนักพระราชวังก็ได้ — แต่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกกฎหมายมาตรานี้

11.
ที่จริงข้อนี้เขียนไว้นานมากแล้ว แต่เพิ่งมารวมกันลงในบล็อกเดียว — ผมไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง (ตอนนั้นยังไม่มีคำว่าสุดซอย) ผมเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องการเคลียร์ความจริงให้เสร็จก่อนดัน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม คือความจริงทั้งหลายมันยังไม่ปรากฏ ก็เชื่อว่าไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้ จะอ้างเหตุผลว่าอยากให้อุณหภูมิการเมืองสงบลงด้วยความปรองดอง แต่การจะได้มาซึ่งคำว่าปรองดอง (ที่ถูกนำมาใช้จนช้ำเละเนี่ย) มันต้องเคลียร์ปัญหาที่อยู่บนพรมและใต้พรมก่อน ไม่ใช่โบกปูนทับไปเลย
ส่วนเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในไม่กี่วันที่ผ่านมา จนดัน พ.ร.บ.อย่างเรื่องที่จะขอกด undo การตัดสินของศาล ลามไปถึงปี 2547 นั้น อันนี้เหี้ยครับ ผมไม่ยอมรับครับ โอเค มันเป็นการผลิตซ้ำ และตอกย้ำข้อมูลที่ดิสเครดิตทักษิณจากฝั่งตรงข้าม ที่ทุกวันนี้ชิงชังกันจนถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว แต่ในฐานะผู้ฟังข้อมูล เราเห็นด้วยกับเรื่องที่เขาประท้วงขึ้นมา มันเสียงดังพอที่คนเสื้อแดงจำนวนมากจะรู้สึกว่า เหี้ยแล้วไหมล่ะ

12.
ผมรังเกียจพรรคประชาธิปัตย์ แต่อาจจะน้อยกว่าเพื่อไทยที่มีข้อครหาเรื่องความไม่โปร่งใส เช่น ตัวเลขขาดทุนของการจำนำข้าว, เหตุผลในการสร้างเขื่อนแม่วงก์, ที่มาของพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้าน รวมถึงเรื่องใหม่ที่เรียกแขกมาร่วมม็อบฝ่ายตรงข้ามได้เยอะมากจนน่าจะจุดติดแล้วแหละ อย่างเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม… พอทั้งสองพรรคมันมีอะไรแปลกๆ ผมเองเลยคงเป็นพวกแกว่งๆ มากกว่าจะจม หรืออินอยู่กับพรรคใด (พี่ @malimali พูดไว้น่าสนใจว่าการเมืองเนี่ย ใครอินก่อนแพ้) คือถ้ามีอะไรน่าสนใจก็พร้อมฟัง
และขณะเดียวกัน เรากลับเห็นว่าการด่าว่านายกโง่ พากันไปขย่มที่จุดด้อย นอกจากความสะใจที่ได้พ่นความเกลียดชังแล้ว มันไม่ส่งผลดีอะไรกับฝ่ายตัวเองเลย คือถ้าแน่จริงมึงลองสู้แล้วเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่ฉลาดให้ได้สิ

13.
พอพูดถึงประชาธิปัตย์แล้ว ก็นึกขึ้นได้อีกข้อนึงว่า ในบรรดา ส.ส.ทั้งหมดนี่ ผมเชียร์แค่คุณอลงกรณ์นะครับ

คอมเมนต์

ส่งโค้กให้แฟน

ส่งโค้กให้แฟน

เขียนในรถไฟฟ้าไม่เสร็จ เลยมาเขียนในส้วมที่งานหนังสือต่อ

คอมเมนต์

ม้วนทิชชู่ในห้องน้ำ ต้องคว่ำหรือหงาย?

flamewar

ที่จริงก็สงสัยมานาน คือนอกจากจะเป็นความสนใจส่วนตัวแล้ว ยังไปได้แรงยุเพราะอยู่ดีๆ ฝรั่งเขาก็ลุกขึ้นมาถกเถียงกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ว่าม้วนกระดาษชำระในห้องน้ำเนี่ย ต้องเสียบให้หงายหรือคว่ำ เถียงกันจริงจังระดับโลก มากพอๆ กะบ้านเราที่ถกกันเรื่องวิธีแกะฝาปีโป้ หรือวิธีเรียกข้าวราดแกง หรือแกงราดข้าว พริกน้ำปลา น้ำปลาพริกอะไรแบบนี้

กลายเป็น meme ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในหนึ่งหลืบแห่งสังคมออนไลน์ที่กว้างใหญ่แห่งนี้ โดยที่ผู้ร่วมสงครามต่างแบ่งฝ่ายกันหาเหตุผลมาคัดง้างกัน ถล่มฝ่ายตรงข้ามกันทั้งแบบมีเหตุผลน่าคล้อยตาม และเถียงหน้ามืดอย่างเอาเป็นเอาตายไม่แพ้กีฬาสีการเมืองบ้านเรา

และฝ่ายชนะดูเหมือนจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับแบบคว่ำ (over) ด้วยเสียงสนับสนุนมากกว่าแบบหงาย (under) นิดหน่อย โดยมีข้อมูลสรุปมากมาย ตัวอย่างเช่นแผนภาพนี้

diagram

หรือถ้าอยากดูละเอียด ก็มีอินโฟกราฟิกนี่เลย

จริงจังกันระดับคุโรมาตี้เลยนะ..

cat

อย่างภาพนี้เขาบอกว่า เหตุผลเดียวที่จะวางทิชชู่แบบหงาย คือถ้าแบบคว่ำ แมวมันจะตะกุยเล่นได้นะ ซึ่งน่าสนใจมาก แล้วอีตาอีกคนก็ออกมาเสนอวิธีแก้ปัญหานี้ให้ ด้วยการบอกว่า “ก็อย่าเลี้ยงแมวสิวะ”

vertical

ส่วนเจ๊อีกคนที่ไม่เข้าใจว่าจะเถียงกันทำไมให้ใหญ่โต ก็ออกมาบอกว่า นี่ ที่จริงแล้วตัวเลือกของมนุษยชาติไม่น่าจะมีแค่หงายกับคว่ำนะ เพราะม้วนทิชชู่มันวางตะแคงก็ได้ (แบบในภาพ) ก็จะเพิ่มตัวเลือกว่าจะให้ดึงแบบซ้ายหรือขวา! ถึงขนาดที่มีคนบอกว่าการวางตะแคงเนี่ยช่วยทำให้ชีวิตคู่ของเขาดำเนินต่อไปได้เลยนะ เพราะเขากะเมียอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาตลอด ดังนั้นวิธีนี้จึงประเสริฐมาก แต่เอาจริงๆ การดึงทิชชู่ในแนวตะแคงมันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ด้านสรีรศาสตร์ และประสบการณ์การใช้งานที่ดีของผู้บริโภคอยู่ดี วิธีนี้จึงไม่นิยม

หนักๆ เข้าก็มีผู้ให้ความเห็นว่า “ก็ไม่ต้องใช้่ทิชชู่เลยสิ สายฉีดตูดไง!” ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราที่ใช้น้ำฉีดตูดกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วก็คงได้รับการสนับสนุนล้นหลาม แต่อันนี้มันปัญหาระดับสากล ฝรั่งเขาไม่ได้มีน้ำใช้เหลือเฟือที่อุณหภูมิพอเหมาะอย่างเรา เวลาหน้าหนาวแล้วต้องฉีดน้ำเข้าไปในร่องตูดนี่มีตายนะครับ ดังนั้นเขาเลยไม่นิยมใช้วิธีนี้กัน

และยังมีความเห็นอีกมากมายก่ายกอง รวมถึงสารพัดทฤษฎีประกอบมากมายที่… เอ่อ วิกิพีเดียครับ

แหล่งที่มาและอ้างอิง:

  • ภาพ Flame Wars บนสุด จากบทความเรื่องเดียวกันนี้ที่ LifeHacker
  • บทความจาก LifeHacker อีกอันที่สรุปอย่างจริงจังและเป็นวิชาการ (บ้าชัดๆ)
  • ภาพประกอบและข้อมูลหลายอย่างจาก Know Your Meme
  • อินโฟกราฟิกจาก Bit Rebels
  • และข้อมูล ผลสำรวจจากแบบสอบถาม พร้อมแหล่งอ้างอิงเป็นร้อยจากวิกิพีเดีย
คอมเมนต์

แจกฝีแปรง Photoshop แบบตีนปาด

ผมชอบวาดการ์ตูนครับ เอาจริงๆ ต้องบอกว่าชอบวาดเล่นมากกว่า เพราะออกแนววาดเล่น ไม่ได้วาดเอาดีหรือวาดส่งประกวด เพราะยอมรับสภาพตัวเองดีว่าพวงสวรรค์ในการวาดนั้นเยี่ยมยอดขนาดไหน.. (แต่เฮ้ย เคยวาดส่งประกวดกะเขาเหมือนกันนะ ได้รางวัลด้วย 555)

ที่จริงการ์ตูนในบล็อกนี้ก็มีหมวดหมู่เอาไว้รวมงานอยู่เหมือนกัน ชื่อหมวด “การ์ตีน” (ไม่ได้ทำลิงก์เข้าไว้ตรงๆ เพราะอาย) แล้วก็มีบล็อกเขียนการ์ตูนนินทาลูกอีกอันชื่อ “นิทานสี่ช่อง” ซึ่งเวลาวาด ถ้าไม่วาดในมือถือ (โน้ตสอง กำลังจะขายแล้วซื้อโน้ตสามมาแทนละ) ผมก็วาดบนคอม โดยใช้ Photoshop

แล้วก็จะมีคนถามมาบ่อยๆ ว่าวาดที่ไหน ทำไมเส้นมันไม่ค่อยเรียบร้อยเลย คือจะบอกว่าใน Photoshop เนี่ยมันจะมีหัวแปรงที่กลมๆ น่าเบื่อๆ อยู่เป็นค่าเริ่มต้น แล้วเวลาเขียนการ์ตูนตีนปาดลวกๆ (เลยเรียกว่าการ์ตีนไง) แล้วมันจะไม่ค่อยได้ฟีล ผมเลยทำใหม่ ให้มันหยักๆ เวลาเขียนด้วยเมาส์ปากกาจะมันส์มือมากครับ ใครมีเมาส์ปากกาอยากให้ลองโหลดไปเล่นดู

ก็ใช้ฝีแปรงแนวๆ นี้มาหลายปีแล้วครับ ไม่ได้เป็นสไตล์อะไรหรอก แต่มันเอาตัวรอดจากคำวิจารณ์ง่ายดี เวลาเขียนชุ่ยๆ แทนที่จะบอกว่าฝีมือตัวเองกาก จะได้หันไปโทษแปรงแทนงี้

ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยทำมาแจกด้วยครับ

iannnnnBrush

iannnnnBrush-preview

แล้วก็มีตัวอย่างในลิงก์วาดเล่นข้างบนนั่นน่ะ เฉพาะอันที่เส้นมันหยักๆ นะ

แต่ช้าก่อน! รุ่นสองมาแล้ว!

ทำเพิ่ม 21 ต.ค.56 นะ // ปรับหัวแปรงให้เขียนอร่อยและทำขนาดมาให้ใช้ง่ายกว่าเดิมครับ
ลองเขียนแล้วไม่รู้สึกขัดใจนิดหน่อยเหมือนเวอร์ชันแรกละ ใครโหลด v1 ไป ลงอันใหม่เพิ่มได้เลยจ้ะ

iannnnnSketchV2

ดาวน์โหลด: iannnnnSketch.abr กดที่ไอคอนสีฟ้าๆ จะมีปุ่มดาวน์โหลดอยู่มุมขวาล่างสุด
วิธีติดตั้ง: แบบคลิปละเอียดๆ หรือถ้าขี้เกียจก็โหลดไปแล้วดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ .abr ได้เลย
ข้อตกลงในการใช้งาน: อยากเอาไปทำอะไรก็เอาเหอะ

คอมเมนต์

การ์ด “บุคคลสำคัญของโลก” (ทวิสตี้, ริงโก้สตาร์) #ดักแก่

ที่จริงบล็อกตอนนี้เขียนครั้งแรกที่ Exteen แต่คิดว่าต่อไปนี้คงไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว เลยย้ายมาบล็อกหลักซะเลย เผื่อต่อไปว่างๆ ค้นลิ้นชักเจออะไร จะได้หยิบมาเล่าอีก (ขอบคุณเพจ “น่าเสียดายพวกนายเกิดไม่ทัน” ที่ทำให้นึกถึงบล็อกนี้ขึ้นมา)

—–

สมัยเราอยู่ ม.1 ตอนนั้นก็ปี 2537 ล่ะ

การได้อยู่ในหมู่เพื่อนที่บ้าสะสมและบ้าเอาของสะสมเหล่านั้นมาอวดกัน โลกมันช่างอยู่ยากไม่แพ้เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เราสะสมจำนวน Like หรือ Follower กัน แต่ตอนเรายังเด็ก การมีไพ่หายาก การ์ดแรร์สุดๆ นั้นคือสุดยอดแห่งความฟิน

การ์ดชุดนี้คือหนึ่งในตำนานที่ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มันก็ยังเก็บมาพลิกดูแล้วรู้สึกเท่ได้อยู่ นั่นคือซีรี่ส์ “ที่สุดของโลก”

P1190940

เป็นของแถมขนมสามยี่ห้อ คือ ทวิสตี้ วิลลี่ และริงโก้สตาร์ (เราชอบริงโก้สตาร์ที่สุด เพราะมันเอามาสวมนิ้วได้) ถือเป็นยุคที่มาหลังกาก้า คัมคัม และขนมช็อกโกแล็ตยี่ห้อโดราเอมอน (ที่แม่งไม่ได้ขอลิขสิทธิ์เขามาทำแน่ๆ) ที่แถมไพ่สติกเกอร์ดราก้อนบอลหรืออะไรแบบนั้น เพราะนี่มาแนวความรู้ เอาไว้อวดอ้างผู้ปกครองได้ว่าการสะสมนี่ดูภูมิฐานเกินเด็กนะ เพราะเนื้อหาของการ์ดแต่ละใบจะเป็นการ์ดความรู้เกี่ยวกับ “ที่สุดของโลก” ในแต่ละแขนง

P1190944

อันได้แก่

  1. “โลกมหัศจรรย์” ที่ว่าด้วยสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแบบพวกความรู้ทั่วไปที่เด็กสมัยนั้นใครรู้ก็จะอวดเพือนได้สบายๆ
  2. “บุคคลระดับโลก” (เราสะสมชุดนี้ ที่จริงมีอีกชุดแต่ทำหายไปแล้วมั้ง) นี่ก็ว่าด้วยเรื่องคนดังระดับโลก 30 คน ในยุคที่ สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่แจ้งเกิดในวงการศาสดาโลก
  3. “เผ่าพันธุ์มนุษย์” อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง ไม่เห็นอยากรู้เลย
  4. “โลกเร้นลับ” สนุกมากครับ ยุคนั้นเพิ่งพ้นช่วงที่มนุษยชาติกำลังบ้าคำว่าวิทยาศาสตร์ (นึกภาพการ์ตูนสมัยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ) คือทุกอย่างมันต้องค้นคว้าศึกษา เลยมีวิทยาศาสตร์เทียมเข้ามาปะปนเต็มไปหมด ก็เชื่อกันบ้างไม่เชื่อกันบ้าง สนุกดี ..แต่ก็เอาเหอะ ผ่านมาหลายสิบปีคนก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่

ซึ่งบางครั้ง พอเปิดซองมาก็จะเจอกับชุดที่เราไม่ได้สะสม หรือบางทีสะสมนะ แต่ซ้ำแล้วก็บ่อยไป จังหวะนี้แหละครับที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากเพื่อน ก็เอาไปแลกกันซะ วินวินกันทั้งคู่

P1190942

แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในแต่ละเล่มจะมีการ์ดที่โคตรสุดยอดหายากอยู่ใบหรือสองใบเสมอ สำหรับชุดบุคคลสำคัญของโลกนี้ ใที่หายากที่สุดก็คือ “เขาทราย แกแล็คซี่” ครับ รู้สึกว่าอีบริษัทขนมมันจะผลิตมาแค่จำนวนจำกัดนะ เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดเนื้อหมดตัวกับรางวัลที่มีราคา และมีจำนวนจำกัด (ก็แหงแหละ) ดังนั้นใครที่ได้ครอบครองการ์ดเหล่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่ากูชนะแน่

นอกจากนั้นก็ยังมีการ์ดหายากระดับรองๆ ลงมา ผมไม่อน่ใจว่าเขาผลิตเป็นจำนวนจำกัดหรือเปล่า แต่มันก็หายากจริงๆ ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงๆ ถ้าคุณเป็นนักสะสมตัวยง ก็จะหาทางแลกมันมาจนได้ อาจจะต้อง 3 แลก 1 หรือ 10 แลก 1 เลยก็มี หรือถ้าจะได้มาด้วยฝีมือก็เอามาเล่นไพ่เขี่ยกัน อ้ะ หรือจะใช้ดวงก็เอามาเป่ายิ้งฉุบกัน (ที่มุมการ์ดมีเครื่องหมายค้อนปากกากระดาษครบเลย คือมึงวางแผนมาให้เด็กต่อสู้กันนอกกฎหมายอย่างรัดกุมมาก)

P1190943

และนี่คือรางวัล สะสม 1 เล่มได้เกมแฟมิคอม, 2 เล่มได้จักรยาน, 3 เบ่ม เอาไปเลย โคตรพ่อไอพอด! ซึ่งมันเท่มาก เท่จับใจมาก เด็กที่ไหนวะจะไม่อยากได้ ไม่มีหรอกครับ กรุณาเถอะ เปิดซองครั้งหน้าขอเขาทรายผมเถอะะะะ!

แต่ถ้าสะสมไม่ครบก็ไม่เป็นไร เอาแต้มที่มีอยู่บนหน้าการ์ดมารวมๆ กัน ไปแลกเป็นของรางวัลกากๆ ก็พอได้ .. และของรางวัลอันโคตรสุดยอดแฟนะพันธุ์แท้อันสุดเลอค่า ก็คือ เงินรางวัล 15,000 บาท!!! (เทียบกับสมัยนี้ก็เป็นแสนเลยเปล่าวะ) ซึ่งฝันไปเถอะ แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่มีทางอะ

P1190941

และนั่นก็เป็นหนึ่งในความฝันของเด็กชายวัยหัวเกรียน ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว ดีที่สมัยเด็กๆ เราไม่มีเงินมากพอที่จะเอามาเล่นไอ้พวกนี้ได้มาก แต่ก็เจียดเงินจากข้าวกลางวันมาเป็นค่าโง่พวกนี้ไปหลายมื้ออยู่

ก็นะ มันคือความมันส์ของลูกผู้ชาย

ป.ล.
มีร้านเกม (Play Station 1) หน้าโรงเรียน มันเลวมาก เอาการ์ดเขาทรายที่ไม่รู้ว่าเจอเองหรือซื้อต่อมาจากเด็กอีกที มาเสียบอวดไว้หน้ากระจกร้าน เรียกว่าเป็นการประกาศกร้าวว่าข้ามี แต่ไม่เอาไปแลก มีอะไรไหมไอ้หนู วะฮ่าๆๆๆ ซึ่งยังความคับแค้นใจให้เหล่าเด็กมัธยมต้นหัวเกรียนยุคนั้นมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่ไปยืนเกาะกระจกร้านน้ำลายยืดกันท่วมฟุตปาทเอย

คอมเมนต์