ฝันบ้า

เพิ่งเคยฝันแบบที่ทำให้ตกใจตื่นมาฉี่เสร็จแล้วนั่งทบทวนเขียนบล็อกบนที่นอนมืดๆ ลูกเมียหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

เปล่า ไม่ใช่ฝันแฟนตาซีโลกแตกหรือสัตว์ประหลาดบุกโลก ซอมบี้ผีกัดเพื่อนฝูงตายทีละคนแล้วเราหนีเอาตัวรอดอะไรแบบนั้นหรอก อันนั้นยังฝันอยู่บ่อยๆ และสนุกดีทุกครั้งเวลาตื่นมานึก

แต่เมื่อกี้นี่คือฝันว่าเราไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความวุ่นวายของกิจการโทรทัศน์รัฐวิสาหกิจช่องนึง (ไม่รู้ว่าช่องอะไร) ซึ่งบอร์ดบริการกำลังวุ่นวายสุดๆ กับภาวะขาดทุนถึงขั้นล้มละลาย เลขา บัญชี เสมียน วิ่งกันให้วุ่น เพราะจะต้องเตรียมแถลงการณ์ประชุมเป็นการภายในเพื่อชี้แจงตัวเลขภาวะขาดทุนต่อสหภาพแรงงานของตัวองค์กรเองให้ได้ ว่าตกลงกิจการที่กำลังจะเจ๊งนี่เกิดจากอะไร ทำไมค่าใช้จ่ายถึงไม่สมเหตุสมผล มีการทุจริตตรงไหนหรือเปล่า

ผมนั่งอยู่ด้วยในห้องประชุมของเลขา (ไม่ใช่เลขาสวยๆ เอ็กซ์ๆ ใส่แว่นนะ นี่คือเป็นลุงๆ เลย ฝันแบบเรียล ไม่มีอะไรโอตาคุ) เห็นข้อชี้แจงอยู่ประเด็นนึงในเอกสารการประชุม นั่นคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการออกกอง และค่าเวลาทำงานของพนักงานกะดึก ที่ทางองค์กรเองดันมีกติกาอยู่ว่า ถ้าเป็นงานกะกลางคืน จะมีค่าล่วงเวลาเป็นสวัสดิการให้กับบุตรหลานพนักงานด้วย (ประมาณว่าเป็นนโยบายต่อเนื่องที่บอร์ดบริหารชุดก่อนๆ ได้กำหนดกติกาไว้ ในฝันผมเชื่อว่าทางสหภาพแรงงานขององค์กรนี้แข็งแรงมากขนาดที่ว่าบังคับให้ออกค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนี้ได้) และตัวเลขนี้นับรวมๆ ดันเยอะมากจนมีส่วนทำให้กิจการขาดทุนหนัก

และอีกไม่กี่นาทีการแถลงการณ์เป็นการภายในองค์กรก็จะเกิดขึ้น ด้านหน้าอาคารมีผู้จัดรายการ (ซึ่งเป็นเอกชนรายย่อย) ถือเอกสารมารอฟังและประท้วง ทุกคนมีสีหน้าโกรธ บางคนน้ำตานองหน้า บางคนผมคุ้นๆ ว่าเคยเห็นในทีวีนอกความฝันนี้  และบางคนกำลังให้สัมภาษณ์สื่ออื่นๆ ที่กำลังเกาะประเด็นร้อนนี้ เพราะการเจ๊งโดยฉับพลันขององค์กรขนาดยักษ์ระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย

เป็นไงครับ ฝันบ้าและไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับชีวิตเราเลยได้ขนาดนี้ และรายละเอียด บรรยากาศทุกอย่างมันจริงจังได้ผิดกับวิถีชีวิตเราขนาดนี้ (เป็นคนที่ฝันแล้วสมจริงตลอด แม้ฝันว่าโลกแตกหรือสัตว์ประหลาดบุกโลกก็จะสมจริงเสมอแบบนี้แหละ)

คือมันบ้าจนสงสัยจริงๆ ว่าต้องเกี่ยวอะไรกับของที่กินไปตอนเย็นหรือเปล่า -_-

มีประเด็นที่น่าจะทำให้เก็บเอาไปประกอบเรื่องเป็นความฝันอยู่บ้างคือ
– เมื่อคืนไปงานแต่งงานที่โรงแรมพะเนิน พูลแมน รางน้ำ พอเลิกงานแล้วเราเดินลงไปที่จอดรถใต้ดินคนเดียว ส่วนลูกเมียรออยู่ที่ล็อบบี้ ตอนเดินกำลังเข้าไปในลิฟต์ก็สวนกับทีมงานและดาราที่มาในงานอะไรสักอย่างพอดี (ถึงว่าหาที่จอดรถโคตรยาก) ไม่รู้ดาราคนนั้นเป็นใครแต่ตึงมาก รัศมีเปล่งประกายสุดๆ อารมณ์นุ่นวรนุชได้ ส่วนข้างหลังเป็นทีมงานเดินตามกันมา
– กลับมาบ้านเห็นโพสต์ของแชมป์ @tpagon บอกว่าได้รับรางวัลในงานประกาศผลโทรทัศน์ทองคำ เอ๊ะ อ้อ คืองานที่จัดที่นี่เองงงง ยินดีด้วยๆๆ
– ในหมู่บ้านมีดราม่านิดหน่อยเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าส่วนกลางประจำปี ว่าเก็บแพงไป (ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้านชุดแรกสุดด้วย) ซึ่งดันเป็นประเด็นขึ้นมาเพราะคนที่ไม่พอใจนี่คือไม่ได้เข้าประชุมใหญ่สามัญในคราวก่อนเพื่อโหวตว่าจะจัดเก็บที่ตารางวาละกี่บาท

อืม แล้วดีเทลในฝันที่เหลือนี่คือแมวน้ำอัลไล

จบ นอนต่อ ตีห้ากว่า

เมื่อข้าพเจ้าไว้หนวด

คือไม่เคยไว้หนวดเลยน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกะมีลูกสาวอะไรหรอก ปรากฏว่าแม่งรำคาญมาก เหมือนกินข้าวแล้วมีเศษข้าวติดอยู่ริมฝีปากตลอดเวลา กะว่าถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะหั่นทิ้งละ (เอ๊ะหรือหั่นทิ้งข้างเดียวดีวะ เผื่อเท่)

สมมติว่ามีอะไรแบบนี้จะช่วยให้หาเครื่องบินเจอไหมครับ

นี่นึกได้เลยบล็อกไว้นะครับ อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระอีกเรื่องที่อ่านผ่านๆ ก็ได้

พอดีได้อ่านข้อความจากสักที่ บอกว่าเทคโนโลยีและกำลังการค้นหาเครื่องบินที่สูญหายไปในตอนนี้มันงมเข็มในมหาสมุทรสุดๆ เปรียบเหมือนปล่อยหนูแฮมสเตอร์เข้าไปในสนามฟุตบอลเพื่อหาเป้าหมาย (เห็นภาพชัดดี ไม่รู้สเกลจริงจะมากน้อยแค่ไหน) เลยนึกได้ว่า เออ เทคโนโลยีการระบุพิกัดเพื่อส่งสัญญาณ เพื่อค้นหา ฯลฯ ในโลกนี้มันอาจจะยังมีข้อจำกัด แต่เทคโนโลยีด้านอื่น เช่นอินเทอร์เน็ต มันน่าจะช่วยอะไรได้

ที่สำคัญคือเพิ่งฟังข่าวตอนขับรถ เห็นว่าทางการจีนจะให้ดาวเทียมกำลังสูงของตัวเองตั้งหลายดวง เอามาใช้ในการค้นหา เลยจดไอเดียนี้ขึ้นมาแปะในบล็อก

ป.ล.
ผมไม่ได้ตามข่าวแบบเกาะติดเลยไม่ทราบว่าตอนนี้เขาไปถึงไหน เพราะอยู่ดีๆ ก็มีข่าวน้องโฟกัสมาแทรก…

ป.อ.
เขียนเพิ่มนิดหน่อยหลังจากคุยกับหลายๆ ท่านในทวิตเตอร์ เห็นว่าตอนนี้มีโครงการระดมอาสาสมัครแล้ว (เย้) แต่คีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ “ถ้าใช้พลังจากหน้าแรกของกูเกิล” หรือเฟซบุ๊ก หรือ ฯลฯ ล่ะ! (ทำไมต้องไปหวังพึ่งเอกชนก็ไม่รู้เนอะ)

ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ

(กดดูภาพเต็มได้นะ)

ก่อนตาย

ก่อนตาย

ถ้ามีชีวิตอยู่จนแก่ สิ่งที่จะทำก็คือ

  1. ปลูกต้นไม้ จัดสวนให้สวยให้ได้ (ตอนนี้ทักษะเป็นศูนย์ ขนาดต้นเคราฤาษีที่แม่ให้มาซึ่งควรจะดูแลง่ายที่สุดในโลกยังแห้งตายคาต้นมาแล้ว ถือว่าไม่ธรรมดา)
  2. นอนเปล หรือเก้าอี้โยก ทยอยอ่านเพชรพระอุมาแบบไม่รีบ

นี่คิดได้หลังจากคิดเรื่อยเปื่อยว่า ถ้าเราแก่แบบไม่ไหวแล้ว หรือเป็นโรคร้ายแรงสักอย่าง (ไม่ใช่เอดส์โว้ย หมายถึงมะเร็ง หรือโรคที่มันต้องรักษาแพงๆ หรือแม้แต่อุบัติเหตุที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นผักเสียยังดีกว่า) เราอาจจะขอเลือกวิธีตายเอง ก็ดูขนาดตอนเกิด (พ่อแม่)เรายังเลือกได้ว่าจะผ่าหรือจะคลอดเอง จะเอาฤกษ์เมื่อไหร่ แล้วทำไมตอนตายเราถึงจะเลือกไม่ได้ล่ะ

ถ้าเลือกได้จริงๆ เราจะขอกำหนดวิธีตายคือ ต้องเหมือนเป็นการปิดสวิตช์ตัวเองให้เคลียร์ไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ แบบที่ไม่ดูเหมือนเป็นการทิ้งชีวิตโฉ่งฉ่าง ให้คนอื่นเดือดร้อน  หรือทำให้ร่างกายเหลวแหลกเสียดายของ (ร่างกายก็บริจาคไป เออ ยังไม่ได้ไปทำเรื่องเลย อย่าเพิ่งตายนะกูนะ)

ซึ่งนั่นถ้ามองผาดๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตาย แต่น่าจะไม่ได้เป็นการตายอย่างคิดสั้น แต่คิดมาแล้ว (คิดมาตั้งแต่ตอนนี้เลย) ว่า ถ้าสมมติลูกเราก็มีชีวิตที่ดีแล้ว เมียเราก็โอเค (ตามสถิติคนเป็นเมียหนังเหนียวกว่าอยู่แล้ว) เราจะคุยกันเรื่องการจากโลกนี้ไปแบบเท่ๆ ซึ่งตอนนี้ยังนึกไม่ออกว่าจะตายยังไงดี ถึงจะเท่ และไม่ทำให้เกิดเรื่องผีไร้สาระในหมู่บุตรหลาน

ก่อนตายเราควรเคลียร์ทุกอย่างให้หมดห่วง หรืออย่างน้อยก็เข้าใกล้สถานะนั้น (เช่น ปลูกต้นไม้ จัดสวน อ่านเพชรฯ หรือทำฟอนต์ที่ค้างๆ ไว้ให้หมดงี้) และคุยกะลูกเมียว่าเดี๋ยวเราจะปิดสวิตช์ ถอดปลั๊กตัวเอง และหายไปตลอดกาล แบบในเทพนิยายเวลาใครตายก็ไม่ได้ตายแหง็กๆ ให้เห็น แต่เขาจะสื่อด้วยการใช้สัญลักษณ์คือการลอยเรือแล้วค่อยๆ เฟดหายไปตลอดกาล เอางี้ละกัน

แน่นอนว่าวันหนึ่งทุกคนก็ต้องถึงเวลาตาย อาจจะมีบางคนที่ลัดคิวไปก่อนหน้าด้วยเหตุต่างๆ ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ความสูญเสียโดยไม่ได้คาดคิดนั้นทำให้คนข้างหลังเสียใจ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ (ถ้าช่วยได้ก็คงไม่ตาย) ซึ่งอันนี้เราก็รู้ๆ กันอยู่ แต่จะเตรียมใจกันไว้แค่ไหนนั่นก็แล้วแต่บ้านละกันนะ (อย่างบ้านเมียผมนี่คือยังไม่มีญาติสนิทคนไหตายเลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นพอถึงเวลาก็คงเหวอกันหน่อยงี้)

ใช่ เราทุกคนต้องตายแน่นอน จะใหญ่คับฟ้ามาจากไหนก็ต้องตาย แต่ถ้าการขอเลือกความตายแบบเท่ๆ นั้นเป็นสิ่งเพ้อเจ้อ เราจะพยายามมีชีวิตอยู่แบบเท่ๆ ซึ่งนั่นเราว่าเราพยายามอยู่ และจะทำให้ได้

ป.ล.
เพชรพระอุมามีเวอร์ชัน epub  แล้ว ของอัมรินทร์มั้ง ยังไม่รู้จะอ่านยังไงดีเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังสนุกกับอย่างอื่นมากกว่าอยู่ และที่สำคัญคือไม่ยักมีเวลาว่างเป็นก้อนๆ ไว้จมปลักอยู่กับมันแฮะ ขนาดวอล์กกิ้งเด๊ดยังเพิ่งดูได้แค่ปีสองเอง :05:

ป.อ.
เกือบลืม ไม่ได้อยู่ดีๆ ก็ว่างมามโนเรื่องความตายแบบที่วัยรุ่นไฟแรงเขาทำกันนะ แต่คือมันมาจากการคิดย้ำแล้วย้ำอีกว่าเหี้ยเอ๊ย การตาย หรือยอมตายด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองหรือสงครามไม่ว่าจะครั้งใดๆ มันช่างบัดซบและดูถูกความเป็นมนุษย์เสียจริงๆ