ไากี้ดหาปทอผวปสบหสสกนเลบไนฟหกฟห

พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เขียนบล็อกมาครบสิบวันแล้วก็สะดุ้ง แล้วลงมือพิมพ์เลยเหมือนเดิม 5555

ไม่มีอะไรนอกจากจะสำรวจตัวเองว่าทำไมถึงเลือกทวีต (หรือบางครั้งก็ไปแชร์บนเฟซบุ๊ก) มากกว่าการเขียนบล็อก

ไอ้ที่นึกออกก็คือ บล็อกมันมี “ภาพจำ” บางอย่างที่แฝงมากับสถานะของมัน เหมือนว่าถ้าเขียนบล็อกนี่จะต้องกลั้นหายใจไว้หน่อยนึงตอนพิมพ์ แล้วก็ตรวจตราว่ามีคำสะกดเผียดไหมก่อนที่จะกด Publish ซึ่งเป็นปุ่มที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การที่จะกดปุ่มนั้นคือมันแข็งมาก กดยาก ไม่นิ่มนิ้วเหมือนปุ่มทวีต หรือปุ่มโพสต์ ที่นึกอยากจะพ่นอะไรก็พ่นลงไปเลย ง่ายจะตาย

เออ ความง่ายนั่นแหละสรุป

และในบางที ความเวิ่นเว้อแบบไม่ต้องเกรงใจกันนี่ก็ไม่ค่อยมีในวัฒนธรรมบล็อก (หมายถึง พ.ศ.นี้ ที่คนเลือกกวาดสายตาผ่านไทม์ไลน์มากกว่าอ่านเรียงความยาวๆ) ไอ้การเขียนบล็อกส่วนตัวทีนึงนี่ยังกะขึ้นจดหมายราชการ คือต้องมีจังหวะ มีพิธี มีนั่นนี่ซึ่งเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่ายุคสมัยแห่งการโพสต์ง่ายๆ มันพังทลายประเพณีนี้ลงไปแล้วอย่างราบคาบ

พอมาดูบล็อกตัวเองก็เลยมีการนึกถึงไอ้ความเปลี่ยนแปลงอะไรแบบนั้นอยู่บ่อยๆ เพราะเขียนมาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่ยุคเกรียน ยันยุคพยายามตลก จนยุคสิ้นสุดของบล็อก 5555 ก็ยังรู้สึกสนุกที่ได้สนทนากับตัวเองผ่านสมุดบันทึกที่นับวันจะส่วนตัวขึ้นเรื่อยๆ (เพราะคนอ่านยาวๆ น้อยลง ซึ่งดีเลย กูชอบ)

นึกได้อีกอย่างว่าพอถึงตอนนี้ บล็อกนั้นกลับกลายเป็น “แหล่งข้อมูล” (ที่พ่วงด้วยคำว่าอ้างอิง อาจจะแข็งแรงมีหลักฐาน มีลิงก์ชัด เหมาะกับการเอาไปอ้างอิง ส่วนถูกหรือผิดนั่นอีกเรื่อง) ไปมากกว่า “สถานที่แสดงความคิดเห็น” แบบยุคที่มันเคยรุ่งเรืองเสียแล้ว ไม่ได้อะไรมาก ก็แค่เหล่าความเห็นทั้งหลายมันถูกสื่อผ่านแหล่งอื่นๆ ที่ได้รับการคอมเมนต์ตอบแบบ(เกือบ)เรียลไทม์ หรือโดนรีทวีต โดนกดไลก์แบบทันอกทันใจไปแล้ว

นี่แค่ผ่านไปแค่คืนเดียว การจะมาโพสต์อะไรเกี่ยวกับคดีดราม่าวงโยฯ (เนียนใส่ลิงก์โฆษณาการ์ตูน) ที่สถานที่แห่งนี้ ก็ช้าไปเสียแล้ว ยกเว้นว่าจะเป็นข้อมูลใหม่ที่แข็งแรง (นั่นไง ข้อมูลอีกแล้ว) ซึ่งนั่นก็แปลว่าการโผล่ขึ้นของโพสต์นี้ จะต้องดูบึกบึนและมีค่าพอที่จะทำให้คนอ่านจนจบ นั่นยิ่งทำให้ปุ่ม Publish แข็งขึ้นทุกวัน ซึ่งนั่นแม่งไม่ดีเลยในสายตาของคาบเจ้า ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่าช่วงปีสองปีที่ผ่านมาบล็อกนี้ได้ทำลายความเป็นแหล่งข้อมูลหรือสาระหรืออะไรที่มันดูมีค่าและแข็งเป๊กนั้นลงหมด นั่นทำให้เขียนอะไรๆ สนุกขึ้นเยอะ แต่จะมาบังคับพฤติกรรมคนอ่านให้อ่านจนถึงบรรทัดนี้นั่นก็ไม่ใช่เรื่อง (ใครอ่านถึงประโยคนี้กรุณาเขียนคอมเมนต์ว่า “จอห์น” ทีครับ)

จับใจความได้ไหมว่าทั้งหมดนี่จะบ่นอะไรของมึง 555555 จบ

ฝันบ้า

เพิ่งเคยฝันแบบที่ทำให้ตกใจตื่นมาฉี่เสร็จแล้วนั่งทบทวนเขียนบล็อกบนที่นอนมืดๆ ลูกเมียหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

เปล่า ไม่ใช่ฝันแฟนตาซีโลกแตกหรือสัตว์ประหลาดบุกโลก ซอมบี้ผีกัดเพื่อนฝูงตายทีละคนแล้วเราหนีเอาตัวรอดอะไรแบบนั้นหรอก อันนั้นยังฝันอยู่บ่อยๆ และสนุกดีทุกครั้งเวลาตื่นมานึก

แต่เมื่อกี้นี่คือฝันว่าเราไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความวุ่นวายของกิจการโทรทัศน์รัฐวิสาหกิจช่องนึง (ไม่รู้ว่าช่องอะไร) ซึ่งบอร์ดบริการกำลังวุ่นวายสุดๆ กับภาวะขาดทุนถึงขั้นล้มละลาย เลขา บัญชี เสมียน วิ่งกันให้วุ่น เพราะจะต้องเตรียมแถลงการณ์ประชุมเป็นการภายในเพื่อชี้แจงตัวเลขภาวะขาดทุนต่อสหภาพแรงงานของตัวองค์กรเองให้ได้ ว่าตกลงกิจการที่กำลังจะเจ๊งนี่เกิดจากอะไร ทำไมค่าใช้จ่ายถึงไม่สมเหตุสมผล มีการทุจริตตรงไหนหรือเปล่า

ผมนั่งอยู่ด้วยในห้องประชุมของเลขา (ไม่ใช่เลขาสวยๆ เอ็กซ์ๆ ใส่แว่นนะ นี่คือเป็นลุงๆ เลย ฝันแบบเรียล ไม่มีอะไรโอตาคุ) เห็นข้อชี้แจงอยู่ประเด็นนึงในเอกสารการประชุม นั่นคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการออกกอง และค่าเวลาทำงานของพนักงานกะดึก ที่ทางองค์กรเองดันมีกติกาอยู่ว่า ถ้าเป็นงานกะกลางคืน จะมีค่าล่วงเวลาเป็นสวัสดิการให้กับบุตรหลานพนักงานด้วย (ประมาณว่าเป็นนโยบายต่อเนื่องที่บอร์ดบริหารชุดก่อนๆ ได้กำหนดกติกาไว้ ในฝันผมเชื่อว่าทางสหภาพแรงงานขององค์กรนี้แข็งแรงมากขนาดที่ว่าบังคับให้ออกค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนี้ได้) และตัวเลขนี้นับรวมๆ ดันเยอะมากจนมีส่วนทำให้กิจการขาดทุนหนัก

และอีกไม่กี่นาทีการแถลงการณ์เป็นการภายในองค์กรก็จะเกิดขึ้น ด้านหน้าอาคารมีผู้จัดรายการ (ซึ่งเป็นเอกชนรายย่อย) ถือเอกสารมารอฟังและประท้วง ทุกคนมีสีหน้าโกรธ บางคนน้ำตานองหน้า บางคนผมคุ้นๆ ว่าเคยเห็นในทีวีนอกความฝันนี้  และบางคนกำลังให้สัมภาษณ์สื่ออื่นๆ ที่กำลังเกาะประเด็นร้อนนี้ เพราะการเจ๊งโดยฉับพลันขององค์กรขนาดยักษ์ระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย

เป็นไงครับ ฝันบ้าและไม่เกี่ยวเหี้ยอะไรกับชีวิตเราเลยได้ขนาดนี้ และรายละเอียด บรรยากาศทุกอย่างมันจริงจังได้ผิดกับวิถีชีวิตเราขนาดนี้ (เป็นคนที่ฝันแล้วสมจริงตลอด แม้ฝันว่าโลกแตกหรือสัตว์ประหลาดบุกโลกก็จะสมจริงเสมอแบบนี้แหละ)

คือมันบ้าจนสงสัยจริงๆ ว่าต้องเกี่ยวอะไรกับของที่กินไปตอนเย็นหรือเปล่า -_-

มีประเด็นที่น่าจะทำให้เก็บเอาไปประกอบเรื่องเป็นความฝันอยู่บ้างคือ
– เมื่อคืนไปงานแต่งงานที่โรงแรมพะเนิน พูลแมน รางน้ำ พอเลิกงานแล้วเราเดินลงไปที่จอดรถใต้ดินคนเดียว ส่วนลูกเมียรออยู่ที่ล็อบบี้ ตอนเดินกำลังเข้าไปในลิฟต์ก็สวนกับทีมงานและดาราที่มาในงานอะไรสักอย่างพอดี (ถึงว่าหาที่จอดรถโคตรยาก) ไม่รู้ดาราคนนั้นเป็นใครแต่ตึงมาก รัศมีเปล่งประกายสุดๆ อารมณ์นุ่นวรนุชได้ ส่วนข้างหลังเป็นทีมงานเดินตามกันมา
– กลับมาบ้านเห็นโพสต์ของแชมป์ @tpagon บอกว่าได้รับรางวัลในงานประกาศผลโทรทัศน์ทองคำ เอ๊ะ อ้อ คืองานที่จัดที่นี่เองงงง ยินดีด้วยๆๆ
– ในหมู่บ้านมีดราม่านิดหน่อยเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าส่วนกลางประจำปี ว่าเก็บแพงไป (ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหมู่บ้านชุดแรกสุดด้วย) ซึ่งดันเป็นประเด็นขึ้นมาเพราะคนที่ไม่พอใจนี่คือไม่ได้เข้าประชุมใหญ่สามัญในคราวก่อนเพื่อโหวตว่าจะจัดเก็บที่ตารางวาละกี่บาท

อืม แล้วดีเทลในฝันที่เหลือนี่คือแมวน้ำอัลไล

จบ นอนต่อ ตีห้ากว่า

เมื่อข้าพเจ้าไว้หนวด

คือไม่เคยไว้หนวดเลยน่ะครับ ไม่ได้เกี่ยวกะมีลูกสาวอะไรหรอก ปรากฏว่าแม่งรำคาญมาก เหมือนกินข้าวแล้วมีเศษข้าวติดอยู่ริมฝีปากตลอดเวลา กะว่าถ้าไม่ลืมพรุ่งนี้จะหั่นทิ้งละ (เอ๊ะหรือหั่นทิ้งข้างเดียวดีวะ เผื่อเท่)

สมมติว่ามีอะไรแบบนี้จะช่วยให้หาเครื่องบินเจอไหมครับ

นี่นึกได้เลยบล็อกไว้นะครับ อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระอีกเรื่องที่อ่านผ่านๆ ก็ได้

พอดีได้อ่านข้อความจากสักที่ บอกว่าเทคโนโลยีและกำลังการค้นหาเครื่องบินที่สูญหายไปในตอนนี้มันงมเข็มในมหาสมุทรสุดๆ เปรียบเหมือนปล่อยหนูแฮมสเตอร์เข้าไปในสนามฟุตบอลเพื่อหาเป้าหมาย (เห็นภาพชัดดี ไม่รู้สเกลจริงจะมากน้อยแค่ไหน) เลยนึกได้ว่า เออ เทคโนโลยีการระบุพิกัดเพื่อส่งสัญญาณ เพื่อค้นหา ฯลฯ ในโลกนี้มันอาจจะยังมีข้อจำกัด แต่เทคโนโลยีด้านอื่น เช่นอินเทอร์เน็ต มันน่าจะช่วยอะไรได้

ที่สำคัญคือเพิ่งฟังข่าวตอนขับรถ เห็นว่าทางการจีนจะให้ดาวเทียมกำลังสูงของตัวเองตั้งหลายดวง เอามาใช้ในการค้นหา เลยจดไอเดียนี้ขึ้นมาแปะในบล็อก

ป.ล.
ผมไม่ได้ตามข่าวแบบเกาะติดเลยไม่ทราบว่าตอนนี้เขาไปถึงไหน เพราะอยู่ดีๆ ก็มีข่าวน้องโฟกัสมาแทรก…

ป.อ.
เขียนเพิ่มนิดหน่อยหลังจากคุยกับหลายๆ ท่านในทวิตเตอร์ เห็นว่าตอนนี้มีโครงการระดมอาสาสมัครแล้ว (เย้) แต่คีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ “ถ้าใช้พลังจากหน้าแรกของกูเกิล” หรือเฟซบุ๊ก หรือ ฯลฯ ล่ะ! (ทำไมต้องไปหวังพึ่งเอกชนก็ไม่รู้เนอะ)

ผมเป็นฟรีแลนซ์ครับ

(กดดูภาพเต็มได้นะ)