ผมโดนผีเด็กประถมหลอกเข้าจังๆ

นี่ตอนเขียนบล็อกยังเหงื่อแตกไม่หยุดเลยครับ อากาศก็ไม่ได้ร้อนอะไร แต่ไอ้ที่ทำให้ใจเต้นโครมครามก็คือความรู้สึกโหยหาอดูตอย่างแรง

เรื่องมันมีอยู่ว่า อยู่ดีๆ เพื่อนสมัยประถมของผมก็เกิดคิดถึงกัน ไม่ได้เจอกัน (เรียกว่าขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิงเลยแหละ) มายี่สิบปีแล้วไรงี้ เลยนึกสนุก นัดรวมพลกันอีกครั้ง เลยลากกันมาคุยในกรุ๊ปไลน์ (ถ้าเป็นเมื่อก่อนพฤติกรรมนี้คงเกิดในเฟซบุ๊ก แสดงว่าเอาเข้าจริงพบแนวโน้มว่าคนจะเริ่มไม่เล่นเฟซบุ๊กกันจริงๆ ละ) แล้วก็ไถ่ถามกันแบบไม่อายเลยว่าเราก็จำนายไม่ได้ บ้างก็จำได้แต่ชื่อ บ้างก็เปลี่ยนชื่อไปจนลืมทุกอย่างที่เคยเกี่ยวพันกันเลยดีกว่า

แต่อีกไม่กี่วันเราก็จะได้กลับมาเจอกัน นึกภาพฉากจบในหนังเรื่องแฟนฉันดูสิครับ (สปอยล์แบบนี้คงไม่เป็นไรเนอะ) คือไอ้เจี๊ยบแม่งเดินเข้างานแต่งน้อยหน่า น้อยหน่าหันมา อ้าว หน้ายังเป็นน้องโฟกัสตอนสิบขวบอยู่เลย!

ตอนนี้ภาพของเพื่อนฝูงสมัยประถมหลายคนนั้นก็อารมณ์นี้เลยครับ ฟรีซความทรงจำแช่แข็งไว้เท่านั้น แต่พอเริ่มพูดคุยก็ได้รู้ว่าทุกคนก็ต่างเติบโต แบบเดียวกับที่มีนักเขียนหลายท่านที่บอกเล่าเรื่องราวของมานีมานะในยุคที่พอโตแล้วมาเจอกัน อารมณ์ถวิลหามันพวยพุ่งรุนแรง

จนผมเปิดกล่องรองเท้าที่เก็บสะสมนั่นนี่มาตั้งแต่ประถม จนเจอเฟรนด์ชิปเอย ภาพถ่ายเอย การ์ตูนที่วาดแบ่งห้เพื่อนอ่านสมัยนั้นเอย ฯลฯ แต่ไม่กล้าดูนาน เพราะยิ่งดูยิ่งเหงื่อแตก และยิ้มปากฉีกถึงหู ใครเปิดประตูห้องเข้ามาจะพบภาพที่น่ากลัวมาก คือไอ้อ้วนบ้านี่นั่งยิ้มปากฉีก และเหงื่อท่วมตัวเหมือนกำลังดูหนังโป๊ในห้องเซาน่า

กรุสมบัติแอน

ไม่อายแล้วครับที่จะยอมรับว่าตัวเองแก่ และพร้อมจะดักแก่ทุกคนที่ขวางหน้าด้วย!

ที่สำคัญคือเริ่มสงสารรุ่นน้องๆ หลานๆ สมัยนี้ (ใช้คำว่า “สมัยนี้” ด้วย… ครบสูตรแก่ละกู) ที่ดันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเอย ความเป็นดิจิทัลทั้งหลายเอย ที่ไม่อนุญาตให้สิ่งใดเก่าลงตามการกัดกร่อนของกาลเวลา

ภาพถ่ายดิจิทัลยังคงคมชัดเสมอ จนน้องเองก็คงสงสัยแล้วว่า ไอ้การเลือนหายของความทรงจำนี่มันดียังไงวะ

เออ กูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่านั่งยิ้มเหงื่อแตกจนน้ำหนักตัวลดไปสัก 5 ขีดได้ละเนี่ย

ป.ล.
ไว้จะเอาอะไรมาโพสต์เรื่อยๆ นะครับ รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกบ้าสะสมของในยุค 253X เยอะเลย เช่นที่เคยเขียนถึงอันนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขยะ 5555 คือวันนี้เช่านารุโตะมาอ่านหลายเล่ม เลยมีเวลาเขียนเท่านี้ ไว้จะไล่ละเลียดทีหลังครับ รู้แต่ว่าเขียนสามวันไม่หมดแน่ๆ

เปลี่ยนอ่าน

feeds

หัวข้อคราวนี้ยังคงจมปลักอยู่กับพฤติกรรมการอ่านของตัวเอง ซึ่งช่วงนี้ก็จะบ่นสลับกับพฤติกรรมการเขียน เพราะกำลังพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างอยู่ ก็เลยเอามาบันทึกไว้ซะหน่อย

คงเพราะผมก็เป็นหนึ่งในมนุษย์อ่านเหมือนกัน แต่ไม่ได้อ่านไอ้แบบที่คนเขาชื่นชมกันนัก (เช่นอ่านวรรณกรรม บทกวี หรือบทวิเคราะห์ลึกซึ้งปรัชญาสิงห์โตอะไรนี่ยิ่งไม่ได้สนใจใหญ่) เพราะนอกจากอ่านการ์ตูนไปวันๆ แล้ว สิ่งที่ชอบมากก็คือการอ่านฟีดจากเว็บที่ subscrie ไว้

การอ่านทุกวันนี้คือการหยิบอะไรที่มีตัวอักษรขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือโทรศัพท์มือถือ เปิดแอปอ่านฟีด แล้วก็จมอยู่กับมันเป็นห้วงๆ เพื่อเป็นการถมเวลาว่าง (ก็ฆ่าเวลานั่นแหละ) ไม่ว่าจะระหว่างขี้ ระหว่างอาบน้ำ ระหว่างรอนั่นนี่ เพราะพบว่ามันเข้ากับจริตเราอย่างยิ่ง อ่านซิว่าวันนี้มีอะไรใหม่บ้าง ข่าวหนังใหม่จากเว็บหนังที่ตาม ข่าวการเมืองนิดหน่อย ข่าวงานออกแบบ ข่าวไอที บล็อกของเพื่อนฝูง บล็อกของนักเขียนที่ชอบ ดูรูปโป๊ที่สับตะไคร้ไว้ ฯลฯ วนเวียนอยู่แบบนี้ ทำมานานมากจนติดเป็นนิสัย … เป็นนิสัยที่ถูกเปลี่ยนไปเยอะจากยุคก่อนมือถือ ถ้าเป็นตอนนั้นผมจะเป็นคนติดการอ่านอะไรที่แบบ “แป๊บๆ ก็จบ” เช่นหนังสือพิมพ์ตามร้านก๋วยเตี๋ยว หรือนิตยสารที่ซื้อประจำ ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ใช่พฤติกรรมที่ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ แต่ไอ้ความที่เป็นมือถือ มันดันง่าย และทำให้เราเสพติดกับความสนุกเวลากด เวลาลบ เวลาโหลดใหม่ หรือเวลาที่ข่าวใหม่มันงอกไล่ตามเวลามาให้เราเก็บแต้มมันให้ครบ (โดยนานๆ ทีจะกด Mark all as read เพื่อตัดใจจากกองข่าวที่สะสมมานานเวลาที่ทำงานยุ่งๆ)

นี่ยังไม่นับพวกสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่พอเปลี่ยนอาชีพมาทำงานบนเฟซบุ๊กปั๊บ (พยายามหัดใช้ตั้งนานจนเพิ่งใช้เป็น) อีพวกบรรดาโนติรบกวนสมาธิต่างๆ ก็จะมา นี่ขนาดบล็อกสิ่งกวนใจทุกอย่างที่คิดว่าไม่ทำให้หลุดวงโคจรของเพื่อนออกไปหมดแล้วนะ แล้วไหนจะทวิตเตอร์อีก แม้ช่วงไม่กี่วันมานี้ผมเล่นน้อยลงอย่างสังเกตตัวเองได้ชัด ไอ้เสพก็เสพอยู่นะ มีความสุขเวลานั่งอ่านมัน แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงบำบัดไง โชคดีที่แอปทวิตเตอร์ในมือถือมันห่วยลงทุกวันๆ เลยไม่ค่อยได้อัปเดตเรียลไทม์แบบเมื่อก่อน (แต่ก็ยังติดอยู่แบบไม่คิดจะเลิกหรอกทวิตเตอร์เนี่ย)

กลับมาเรื่องการอ่าน เนี่ยพอมีมือถือปั๊บ พฤติกรรมการอ่านเดิมๆ ของผมก็ถูกบิดไป วันๆ ก็กวาดสายตาแค่ในหน้าจอที่เอานิ้วรูดได้ ส่วนบรรดาหนังสือที่รักกลับถูกปล่อยให้ฝุ่นเกาะ แม้จะเป็นผลงานของนักเขียน (หรือนักวาด) ที่ชอบมากๆ ที่ซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อสองสามปีก่อน อยู่มาวันหนึ่งก็เหลือบไปเห็นว่าเฮ้ย เล่มนี้วางกองอยู่ในหมวด “ว่างๆ ค่อยอ่าน” มาตั้งนานแล้วได้ไงวะ

มันจะไป “ว่างๆ” ได้ยังไง ในเมื่อเวลาว่างของเราถูกถมด้วยการก้มหน้าใส่มือถือขนาดนี้

วันก่อนที่ไปซื้อหนังสือกองใหญ่จากงานหนังสือมา เลยเป็นการประกาศสงครามกับพฤติกรรมการอ่าน “ข้อมูลล้นเกิน” ในรูปดิจิทัล ให้ตัวเองได้เปลี่ยนมาจับกระดาษอย่างมีความสุขอีกครั้ง เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อในความพิถีพิถันของสื่อที่ทำจากกระดาษ เนื่องจากเวลาพิมพ์ออกมาขายทีต้นทุนมันแพงกว่าแบบดิจิทัลไง เป็นเราเราก็ต้องตั้งใจ ใส่ใจให้หนังสือมันดีหน่อยใช่มะ อืม โอเค (นี่คิดเองเออเองจนเห็นด้วยไปแล้ว)

แต่การซื้อหนังสือกองใหญ่มาเติมกองเดิมที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นจะช่วยอะไร ก็คงช่วยมั้ง เพราะตอนนี้แม้กระทั่งที่พิมพ์อยู่นี่ผมก็รู้สึกละอายอยู่ในใจตลอดเวลาว่า นิตยสารอายุห้าเดิอนที่เรายังอ่านไม่จบ วางกองอยู่ข้างหน้า ส่วนฝั่งซ้ายมือคือการ์ตูนที่ซื้อมาว่าจะอ่าน และบนชั้นหนังสือซึ่งมีหมวดรออ่านวางเรียงอย่างอลังการอยู่แล้ว ก็ดันมีสมาชิกใหม่มาอีกหลายเล่ม วิธีที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ถ้าไม่นับว่าเอาไปเผา ก็คือต้องอ่านแม่งเท่านั้น

ส่วนเหล่าฟีดข่าวที่ดูดมาจากเว็บ เมื่อก่อนนึ่นับได้หลักพัน! (ยุค Google Reader นี่ตัวเลขข่าวใหม่ขึ้น 1000+ ทุกวัน เสียเวลาฉิบหายเหอะ) จนปลดเว็บหรือบล็อกที่ไม่คอยอัปเดตออกไปครั้งใหญ่เมื่อสักปีก่อนหนนึง ในช่วงที่ Google Reader ปิดตัวลง และเพื่อนๆ ที่ผมนับถือในความคิดผ่านตัวอักษรต่างทยอยเลิกเขียนบล็อกและหันไปโพสต์สเตตัสกันเกือบหมด ก็ถือว่าหลุดวงโคจรจากกันไปเลยหลายคน) จนช่วงสังคายนาเมื่อสองสามวันนี้เอง ก็เปิด Feedly นั่งไล่ unsubscribe และกรองเว็บที่เข้าข่าย “ไม่ต้องอ่านก็ได้วะ” กับประเภทที่ว่า “แม่งข่าวแปลเหมือนกันเด๊ะ งั้นเลือกเอาเว็บเดียวพอ” คัดจนเหลือแหล่งที่ยังติดตามอยู่จริงๆ แค่หลักร้อยต้นๆ (ในภาพประกอบข้างบน ก็ยังเยอะนะ) ที่ดีขึ้นคือผมเกษียณตัวเองจากวงการดิจิทัลเอเจนซี่แล้ว เลยลดละเลิกการไล่กวาดข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายๆ หมวดซึ่งมองวันนี้ก็กลายเป็นเพียงข้อมูลล้นสมองออกไป นี่ทำให้รู้สึกเสียเวลากับมันน้อยลงเยอะ

ถึงจะเพิ่งเริ่มต้น แต่หลังจากวัดผลมา 4 วัน ก็พบว่าการ์ตูนและนิตยสารค้างปีที่วางกองไว้ถูกกวาดต้อนไปได้หลายเล่มอยู่ (อ่านจากใหม่ไปเก่า จะได้ไม่รู้สึกตกรุ่นตลอด) และเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกที่ว่าต้องอ่านเพราะรู้สึกผิดที่ซื้อมาดอง กลายเป็น “เฮ้ย ใช่เลยว่ะ นี่แหละความสุข” ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

หวังว่านี่จะไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือวอนนาบี

ไปงานหนังสือ ไปซื้อหนังหา

P4028351

เพิ่งกลับจากงานหนังสือ ครั้งนี้เป็นครั้งที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยไปมา พูดไปอาจจะดูตลก คือครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ตั้งใจจะไป “ซื้อให้มากเท่าที่อยากได้”

แล้วครั้งก่อนๆ ล่ะ? มีทั้งแบบ “ตั้งงบไม่เกินพัน”, “ไปนั่งแจกลายเซ็นอย่างเดียว” (สมัยที่ออกหนังสือกะเขาน่ะนะ), “ซื้อแต่การ์ตูน”, “ซื้อเพราะมารยาท” (อันนี้แย่มาก แต่ในอีกมุมนึงก็คือมันก็คมควรปะวะ ซื้อหนังสือเพราะรู้จักคนเขียนเลยรักษามารยาท แต่ซื้อมาแล้วก็ดันไม่ชอบเลยอ่านไม่จบงี้ แต่ถ้าไม่ซื้อก็ดูจะมองหน้ากันเจื่อนๆ โอ๊ย ใครก็ได้ช่วยที)

ประจวบกับความตั้งใจที่จะเริ่มลดละอาการเสพติดโลกออนไลน์และหน้าจอดิจิทัล ด้วยการ “แบ่งเวลา” ออกจากการถมเวลาจุ๋มจิ๋มหมดไปกับการนั่งอ่านฟีดข่าวที่ผมเสพติดมันมาตลอด เสพติดมากกว่าทวิตเตอร์อีก (เปิดมือถือส่วนใหญ่ของผมคือการนั่งอ่านข่าว ซึ่งแม่ง ไร้มาก โคตรไร้เลย)

และไอ้การซื้อโดยปกติที่เคยทำมา มันส่งผลให้กองหนังสือที่บ้านที่วางไว้ในหมวด “เดี๋ยวว่างจะอ่าน” เพิ่มขนาดขึ้นเป็นภูเขาเลากาสูงขึ้นทุกที และพอกหางหมูไปเรื่อยๆ จนมีบางเล่มซื้อมาจากงานหนังสือเมื่อ 3 ปีก่อน (หมายถึงเมื่อ 5-6 ครั้งที่ผ่านมา) เราก็ยังไม่ได้อ่าน คือผมกลายเป็นนักสะสมหนังสือ แต่ไม่ใช่นักอ่าน

ในฐานะอดีตหนอนและเนิร์ดสุดขีด ก่อนที่จะมาเสพติดหน้าจอไฟฟ้าแทนนั้น นี่เป็นสิ่งที่เลวมาก

วิธีหักดิบมีอยู่อย่างเดียว คือทุ่มเทชีวิตเพื่ออ่านหนังสือ แบบเดียวกะที่เมื่อก่อนเคยทำตอนสมัยเรียน ในยุคที่ไม่มีโทรศัพท์ เช่าหนังสืออ่านวันนึงหนาประมาณ 1 นิ้ว อ่านยังไงก็หมดเหอะ

นี่ต้องขอบคุณบล็อกของพี่ยุ้ย (ตอบคำถาม “เอาเวลาจากไหน(วะ)มาอ่านหนังสือ?”) ที่ตอบคำถามของผมไปได้อย่างหมดจด คือต่อไปนี้เราจะแบ่งเวลาเพื่อหันมาพลิกหน้ากระดาษจริงจัง ส่วนหน้าจอมือถือก็จะขยัน “Mark all as read” แทนที่จะไล่อ่านครบวันละพันเรื่องอย่างทุกวันนี้ (ซึ่งแม่งโคตรไร้)

ครั้งนี้เลยแบกเป้ไป ปล่อยลูกเมียนอนอยู่บ้าน และในที่สุดก็ฟินกลับมา!

นอกจากซื้อมาได้เป็นกองแล้ว ยังสมัครสมาชิก / ต่ออายุสมาชิกนิตยสารรายปีอีก 2 หัว (คือ Way Magazine และ Let’s Comics) ให้มันรู้ไปว่าต่อไปนี้กูจะอ่านแล้วนะ ไอ้กองๆ ที่พะเนินสูงขึ้นทุกๆ ครึ่งปีนี่ ต่อไปจะต้องถูกย้ายไปหมวดอื่นทีละเล่มแล้วนะ ด้วยการแบ่งเวลาอ่านหนังสือก่อนนอนวันละชั่วโมงเป็นอันขาด

ฟังดูโคตรเท่เลย อุดมคติสุดๆ

จบด้วยประโยคเดิม คอยดูซิว่ากูจะทำได้ไหม เนี่ยเมียเรียกแล้ว ไปล่ะ

ป.ล.
ทีแรกจะเขียนรีวิวความประทับใจไล่เรียงรายเล่ม แต่เดี๋ยวเมียก็จะเรียกขึ้นไปกล่อมลูกนอนแล้ว เลยอุดช่องว่างสิบนาทีนี้มาเขียนซะหนึ่งบล็อกเหอะ งั้นไม่รีวิวละ บายนะ

ป.อ.
ไปคราวนี้เรียกได้ว่าไม่เจอใครที่รู้จักเลย (ที่เป็นนักเขียนหรือเกี่ยวข้องกับการขายหนังสือ) ยกเว้นสะอาดแห่ง Let’s Comics ก็เลยขอลายเซ็นพร้อมภาพวาดอย่างบรรจงมาหนึ่งดอก ดีใจ มีลายเซ็นกลับบ้านไว้ประดับเล่มเพื่อความเท่ งานหนังสือมันสลิ่มแบบนี้แหละ!

ป.ฮ.
ซื้อนิวยอร์กครั้งแรกมาตามกระแสนิยมเล่มนึง (พลิกอ่านดูแล้วตลก โอเค เราไม่ได้โดนกระแสหลอก) อีกเล่มเพื่อนฝากซื้อ นั่นก็ตามกระแสเหมือนกัน ถือว่าปีนี้แซลมอนโคตรถูกหวย.. ไม่สิ ถูกหวยมันดวงเกินไป ไม่ได้อาศัยฝีมือ ต้องเรียกว่าแทงม้าถูกแจ็กพ็อตมากกว่า ดีใจด้วย!

=======

ลูกเมียหลับแล้วมาเขียนเพิ่มต่ออีกหน่อย พอดีไอ้ตั๊กโวยวายว่าทำไมไม่ซื้อเล่มที่ฝากไว้ด้วย เลยบอกไปแล้วว่าขืนแบกมากกว่านี้กูหลังหักแน่ๆ เพราะว่าที่จริงก็เล็งไว้อีกหลายเล่มมากๆ แต่คราวนี้คือไม่ไหวจริงๆ แบกจนเหนื่อย (ที่น่าตกใจคือมันเป็นพฤติกรรมปกติของมนุษย์ที่มางานหนังสือ! สะสมอะไรกันวะ!)

บทสัมภาษณ์ผู้ชนะการแข่งขันชิง Galaxy Note 3 จาก Droidsans.com

สวัสดีครับ นี่เป็นบทสัมภาษณ์ผู้ชนะกิจกรรมแข่งขันชิง Galaxy Note 3 จาก Droidsans.com ซึ่งการแข่งขันรอบสุดท้ายเพิ่งสิ้นสุดลงไปวันนี้ และทาง Droidsans ก็ได้ผู้ชนะมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือคุณ @iannnnn นั่นเองครับ

(เสียงปรบมือ)

ขอบคุณภาพจาก droidsans.com
ขอบคุณภาพจาก droidsans.com

สวัสดีครับคุณไอแอน
เรียกไอ้แอนก็ได้ครับ ไม่ต้องมาองมาไอ

ชีวิตหลังจากชนะการแข่งขันในครั้งนี้เปลี่ยนไปเยอะไหมครับ
เยอะเลยครับ มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว มีลูกเมีย ชีวิตผมสุขสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนมากๆ

นี่มึงไม่ได้ถูกล็อตโต้นะครับ ขอกล่าวแสดงความยินดีด้วยนะครับ ทางทีมงานของเราติดตามประวัติของคุณมานาน เห็นว่าชอบพูดถึงซัมซุงบ่อยครั้งทั้งทางดีและทางเลว
(ตัดหน้า)ส่วนมากจะทางดีครับ เพิ่งได้ของเขามาผมก็ขออวยไว้ก่อนครับ ส่วนทางเลวนั่นคือตอนใช้งานจริงไปสักพักแล้วเจอปัญหา

คุณเป็นสาวกซัมซุงสินะครับ
(ต่อยปาก)

ค… คุณเป็นสาวกกูเกิลสินะครับ
ใช่ครับ ถ้าแบบนี้ผมยอมรับอย่างเต็มภาคภูมิเลย เวลากูเกิลออกอะไรมาผมก็จะอวยไว้ก่อนครับ เป็นผู้ใช้ที่ดีครับ ไอ้ที่ดีก็ชมเยอะๆ เวอร์ๆ แต่พอเวลาเจอความกาก ก็จะหุบปากไว้ให้มันผ่านไปครับ

นี่เหมือนพวกเชียร์กีฬาสีการเมืองเลยนะครับ
แน่นอนครับ แต่บทสัมภาษณ์นี่พิมพ์ใน iMac นะครับ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า วันนี้คุณไปแข่งมารู้สึกยังไงมั่งครับ
ตื่นเต้นฉิบหายเลยครับ ปกติผมเป็นพวกไม่ชอบการแข่งขันแบบเผชิญหน้าเท่าไหร่ เพราะคืนก่อนหน้าผมจะกระสับกระส่ายจนนอนไม่เต็มตื่น คือเป็นพวกล่กครับ แต่ถ้าเป็นการแข่งแห้ง เช่น ส่งภาพเข้าประกวด ส่งนั่นส่งนี่ อันนี้พอสู้กะเขาได้ คือเป็นมนุษย์เนิร์ดน่ะครับ

ที่จริงคุณตกรอบไปแล้ว
กติกาการแข่งขันชิงโน้ตสามนี่คือ ผู้เข้าประกวดจะต้องส่งคลิปคลิปนึงเพื่อโชว์ว่า “กูใช้มึงเป็นนะ” ไปให้ทีมงานพิจารณา เสร็จแล้วทางผู้จัดก็จะจับสลากให้ได้ผู้โชคดีมาตัดเชือกกันในรอบชิง ซึ่งแน่นอนครับ ผมตกรอบ แต่ก็ใช่ว่าจะอับโชคเสียทีเดียวนะ เพราะผู้ผ่านการคัดเลือกรวมถึงคิวสำรองก่อนหน้าผมเขาสละสิทธิ์จนมาถึงผมพอดี (เรื่องอะไรจะสละล่ะ อยากได้จะตายห่า แต่เก็บอาการไว้) ซึ่งถ้าไม่ได้ผู้แข่งขันท่านก่อนหน้ากรุณาสละสิทธิ์นี่ ไอ้ผมแม่งคงไม่ได้มาเข้ารอบชิงหรอกครับ เพราะโดยธรรมชาติก็เป็นคนที่อับจนโชคลาภวาสนาโดยสิ้นเชิง งานไหนที่เขามีจับของขวัญกัน ก็เตรียมตัวไว้ได้เลย อันไหนกากสุดนี่ตกถึงมือกูแน่นอน

คุณเคยชนะการประกวดมาแล้วครั้งนึงสมัยวาดรูปชิงโน้ตสองนี่นา นี่คุณเส้นใหญ่ ใช้อภิสิทธิ์ รู้จักคนในอะไรแบบนี้สินะครับ
ใช่ครับ

ต้องตอบว่าไม่ใช่สิ
อ๋อ เออ ไม่ใช่ๆๆ คืออีตอนประกวดชิงโน้ตสอง (เขียนไว้จึ๋งเดียวตรงท้ายบล็อกนี้) นั่นก็วาดรูปประกวดกะเขาครับ ขยันวาดส่งไปหลายที่ด้วยนะเพราะอยากได้มากๆ แต่เอาจริงๆ ความมีเส้นสายก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ เพราะอีเว็บที่รู้จักเจ้าของเว็บผมก็แพ้เขา และดันไปชนะจากอีกเว็บที่ไม่รู้จักใครเลย ส่วนการแข่งขันครั้งนี้ ถึงจะเป็นรายการที่ไม่ใหญ่โต แต่เขาแข่งกันจริงๆ จังๆ ด้วยกติกาโหดๆ เลยนะครับ เพราะของรางวัลมันหลายบาท ดังนั้นถึงดวงจะไม่ดีแต่ก็ชนะกันด้วยพลังครับ

แทรกกติกาการแข่งขันนิดนึงครับ ทั้งรอบคัดเลือกและรอบชิง เขาตั้งกติกามาแบบนี้ คือใครที่มีโน้ตสามอยู่ในมือ ทดลองปฏิบัติภารกิจและจับเวลาดูนะครับว่าทำได้ในเวลาเท่าไหร่ บอกเลยว่าแม่งยากจริง

ภารกิจที่ต้องทำ

  1. บันทึกเบอร์โทรศัพท์ด้วย Action Memo : ชื่อ “ดรอยด์ซานส์” เบอร์ “0812345678”
  2. เปิด browser แล้วเข้า droidsans.com ด้วยคีย์บอร์ดลายมือบนกล่องพิมพ์ จากนั้นก็ให้บันทึกหน้าแรกเข้า scrapbook โดยให้สร้างหมวดหมู่ website ขึ้นใหม่แล้วจัดเก็บในนี้
  3. เปิด YouTube ขึ้นมาด้วย MultiWindow แล้วก็ทำการค้นหา droidsans ด้วยการลากแปะตัวอักษรจาก browser มาแทนการพิมพ์ แล้วเล่นคลิปแรกของ droidsans เป็นเวลา 5 วินาที
  4. จากนั้นให้เปิดใช้ Pen Window โทรออกหา droidsans ด้วยการค้นหาเบอร์แบบ T9
  5. ให้ทำการวางสายแล้วก็เข้า S Note สร้างเอกสารขึ้นมาใหม่ เขียน Samsung เล็กๆเอาไว้ด้านล่างสุดของหน้ากระดาษ แล้วใช้ Selection mode ขนาดลายมือเราขึ้นมาเอาไว้บนสุด จากนั้นก็เขียน Galaxy Note 3 ด้วยลายมือแล้วแปลงเป็นตัวพิมพ์ด้วย Selection mode เหมือนเดิม และใช้ Text mode เขียนข้อความว่า ROCK!! ปรับขนาดขึ้นมาเป็น 60 เปลี่ยนฟอนท์เป็น Roboto condense และสีชมพู

เป็นอันเรียบร้อย และต้องทำให้เสร็จภายใน 5 นาที

อ่านกติกาดูแล้วหินมากเลยนะครับ
ใช่ครับ ที่จริงคือเห็นสีหน้าผู้ท้าชิงท่านอื่นๆ ก็ท้อไปแล้ว คือสายตาทั่นมุ่งมั่นกันทั้งนั้น เลยกะว่ากูขอ Chromecast ก็ยังดี ตอนรอบแรกนี่ทำเวลาไป 3 นาทีกว่าๆ แต่รอบชิงดันเสร็จในเวลาไม่ถึง 3 นาที โอ้วพระเจ้าชัชชาติช่วยลูกแล้ว!

จะบอกว่าเก่ง
ครับ

ต้องตอบว่าไม่ใช่สิ
เก่งจริงๆ ครับ

ตื่นเต้นไหมครับ
มืองี้สั่นสุดๆ เลยครับ คืนก่อนหน้าการแข่งขันรอบชิงนี่ถึงกับนอนไม่หลับเลยเหอะ เพราะตอนนั่งซ้อมแล้วดันยิ่งซ้อมยิ่งทำเวลาแย่ลงเรื่อยๆ กะว่าเออ เอารางวัลรองก็ได้วะ แล้วทันใดนั้นก็ได้รับประโยคกระตุ้นกำลังใจจากภรรยาครับ… เมียก็บอกว่า “เตงจะเอา Chromecast มาทำไมอีกอันวะ บ้านเราก็มีแล้วอันนึง” (เรื่อง คค นี่เคยเขียนบล็อกอวดไว้ด้วย แล้วเว็บ TechChrunch เอาภาพไปลงล่ะ โกอินเตอร์สัสๆ) ก็เลยฮึดสู้ขึ้นมาครับ ตื่นแต่เช้าไปนั่งอ่านการ์ตูนรอที่สยามเลย ห้างเหิ้งยังไม่เปิด (เขาแข่งสิบโมงครึ่ง ไปถึงตั้งกะเก้าเศษๆ)

เข้าใจหัวอก #วงโย แล้วใช่ไหมครับ
ผมดีใจที่มีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับชาวลาดปลาเค้าครับ

คุณใช้มือถือตระกูลนี้ของค่ายนี้มากี่รุ่นแล้วครับ
มือถือเครื่องแรกของผมที่เป็นแอนดรอยด์คือ hTC Legend ครับ ใช้มานานหลายปีจนพัง ก็เปลี่ยนเป็น Galaxy Note (ซื้อมา), Galaxy Note 2 (ประกวดชนะมา), Galaxy Note 8.0 (ซื้อให้เมีย), Galaxy Note 3 (ซื้อมา) และล่าสุดก็คือ Galaxy Note 3 รุ่น LTE ที่เพิ่งประกวดชนะมาวันนี้นี่แหละครับ

อ้าว แสดงว่าคุณเป็นสาวกซัมซ…
.

อ.. อ้าว แสดงว่าคุณเป็นสาวก Galaxy Note ตัวยงเลยน่ะสิ
ครับ ว่ากันตรงๆ ถ้าเกิดมันมีมือถือค่ายอื่นรุ่นอื่นที่มันเขียนสนุกแบบนี้ผมก็ซื้อครับ แต่เผอิญมันมีของซัมซุงเจ้าเดียว

ของวาคอมไง เห็นออกแท็บเล็ตเมพ วาคอมเขาเป็นต้นตำรับปากกาตัวนี้เลยนี่นา
ดูราคาแล้วมึงจะหุบปากครับ

แล้วโน้ตตัวใหญ่ 12.2 นิ้วล่ะครับ นั่นก็เฉียดสามหมื่น แต่เห็นคุณกรี๊ดมาก
กรี๊ดและได้แต่มองครับ มันแพงไปจริงๆ แต่เคยลองเอามาวาดรูปเล่นแล้วน้ำตาไหลเลยครับ

ปวดขี้
ครับ

มือถือใหม่ที่ได้มาคุณจะเอาไปทำอะไรครับ เอาไปบริจาคองค์กรการกุศล ถวายเงินทำบุญ หรืออุทิศให้..
ใช้เองครับ เนี่ยเพิ่งไปศูนย์ทรูมูฟมา จะขอซิม 4G ซะหน่อย ปรากฏว่าหมดเกลี้ยง

สุดท้ายนี้มีอะไรอยากจะฝากขอบพระคุณทาง Droidsans.com ผู้จัดกิจกรรมนี้, คุณกิมผู้ควบหน้าที่ดำเนินการแข่งขันและตากล้องและพิธีกรภาคสนามและคนวิ่งไปซื้อมือถือถึงมาบุญครอง,​ และซัมซุงที่เป็นเหยื่อคุณมาตลอดไหมครับ
คราวหน้าเกิดโน้ต 4 หรือ 5 ออกมาแล้วมีแข่งชิงกันอีก ผมจะโดนแบนไหมครับ

และทั้งหมดนี้คือการสัมภาษณ์ผู้ชนะการแข่งขันชิงรางวัล Galaxy Note 3 ของเราครับ ที่ลงทุนถามเองตอบเอง มโนเองอย่างหน้าด้านที่สุดนี่คือจะอวดว่าผมได้รางวัลมาโว้ย อิจฉาล่ะสิๆๆๆ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ

จบครับ

Galaxy Note 3 LTE

คิดถึงวิเคราะห์แยกแยะ

ขอบคุณภาพจาก www.gth.co.th

บล็อกตอนนี้นี่คงเป็นเอฟเฟกต์จากคิดถึงวิทยาที่เพิ่งดูเมื่อเย็น รู้สึกว่าต้องจดอะไรไว้หน่อย

ตั้งกะมีลูกนี่ ปีนึงจะมีโอกาสได้ดูหนังแค่ไม่กี่เรื่อง เราจึงเลือกเรื่องที่ต้องระเบิดภูเขาเผากระท่อมสุดๆ เอาให้แบบค่าตั๋วเราไปจุนเจือค่าทำเอฟเฟกต์ของเขา หรือไม่ก็ต้องเป็นเรื่องที่สนุกจริงๆ แบบที่คาด (และนั่นทำให้ไม่เคยดูหนังแล้วผิดหวังเลยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา)

นี่ยิ่งได้ข่าวมาเลาๆ ว่าคิดถึงวิทยานั้นเป็นหนังแนวฟีลกู๊ด เห็นลายเซ็น GTH ชัดเจ๊นชัดเจน (คืออีคนเขียนนี่ออกจะวิจารณ์เชิงเหยียดๆ นิดนึงน่ะนะ) แต่ก็ช่างแม่งไง เราคาดหวังอยู่แล้วว่าถ้าเห็นตัวอย่างแบบนี้ การประชาสัมพันธ์แนวนี้ และคนเห็นยี่ห้อ GTH แล้วเบะปากแบบนี้ ข้าพเจ้าและเมียจะได้ดูหนังแบบที่เขาว่าอย่างแน่นอน ซึ่งดีไง อยากดูแนวนี้ 55555

อีกทั้งเมียวางแผนฝากลูกไว้กับแม่ยายเรียบร้อยแล้ว เราจึงไปดูกัน และฟินกลับมาบ้านทั้งคู่

ไม่รู้เมียจะฟินกับอะไร ภาพสวย เรื่องซึ้ง นางเอกเก่ง โรงเรียนเจ๋ง ฯลฯ (แต่พระเอกหล่อนี่ไม่ได้ยินจากปากนะ แสดงว่าอีบี้นี่เฉยๆ จริงๆ) แต่ผมฟินกับสามอย่าง ได้แก่ 1.น้ำเขื่อน 2.สมุดบันทึก 3.สะดือพลอย

1.น้ำเขื่อน

ผมเป็นมนุษย์น้ำเขื่อน ผมยินดีรับคำชวน และยินดีชวนญาติมิตรทุกท่าน ไปเที่ยวเขื่อน เที่ยวแพกัน เพราะผมถูกชะตากับมันมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ให้โดดน้ำแช่น้ำเล่นสามวันติดกันก็ยังไหว (ไม่ใช่แบบขึ้นอืดนะ) นั่นเป็นเพราะค้นพบตัวเองแล้วว่าเราเลิฟเขื่อนมาก แต่ที่หลังๆ ไม่ค่อยได้โดด แม้กระทั่งครั้งล่าสุดที่เพิ่งไปเขื่อนวชิราลงกรณ์มากับเพื่อนแก๊งโรงเรียนมัธยม ก็พบว่าเราใช้ชีวิตอยู่ในน้ำไม่นานเลย นั่นเพราะเพื่อนแม่งไม่เน้นลงน้ำกัน ไอ้เราจะลงอยู่คนเดียวก็สงสารเมียต้องคอยจับลูกสาว เลยไม่ได้แช่นานอย่างที่ใจหวัง

เมื่อไหร่แก๊งฟร้อนจะนัดมีตติ้งเขื่อนกันอีกวะ เดี๋ยวเมียตูท้องโตกว่านี้แล้วไปยากนะโว้ย

.

2.สมุดบันทึก

กลับมาบ้านรีบโดดเข้าหาสมุดบันทึก และเขียนเล่านั่นนี่อีกทีเหมือนอย่างที่ตั้งใจว่าจะทำเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ทำ (บันทึกครั้งล่าสุดคือช่วงสิ้นเดือนมกราคม!) แต่คราวนี้ต่างจากคราวก่อนตรงที่พอเขียนบันทึกทีไรก็จะเห็นหน้าพลอยยิ้ม มีฉากหลังเป็นภูเขา เมฆหมอกสวยงาม (ทั้งที่จริงบ้านอยู่ลาดปลาเค้า) จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือเนื้อหาง่ายๆ กากๆ แบบที่ตัวละครในหนังเขียนเล่าลงในสมุดนั่นมันมีค่ามาก ยิ่งดูยิ่งคิดถึงการเขียนและย้อนกลับมาอ่าน จนอยากโดดออกจากโรงมาเขียนบันทึกสักห้านาที แล้วค่อยกลับเข้าไปดูใหม่ (ให้พนักงาน pause ไว้ก่อน) นี่คือขอบคุณทุกท่านที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำยังไง แต่เห็นเลยว่าขับพลังของการเขียนบันทึกด้วยปากกากระดาษออกมาได้อย่างสุดติ่งจริงๆ เลยพี่เอ๊ย

และจุดเปลี่ยนที่สำคัญกว่านั้นคือเรามีลูกที่กำลังเข้าสู่วัยที่มีเรื่องให้ฮาทุกวัน มีเรื่องที่อยากเล่าให้ตัวเองและลูกในอนาคตอ่านมากมาย แบบที่ไม่จำเป็นต้องเอามาแชร์ เอามาโซเชียลให้คนอื่นอ่าน (ซึ่งบางทีมันคือการสร้างภาพไง มันไม่เป็นเรา) เลยสัญญาครั้งที่ร้อยว่าคราวนี้เราจะเขียนบันทึกออฟไลน์ไว้อ่านเองอย่างรื่นเริงอีกครั้ง และคงเป็นการสัญญาครั้งแรกว่าต่อไปจะสะสมอะไรที่เอาไว้อ่านเองเยอะๆ จึงน่าจะผละออกจากการเสพติดโลกออนไลน์ให้ได้ในระดับหนึ่ง

แถมสมุดบันทึกนี่ก็ดันเป็นสิ่งที่ตัดขาดความเป็นพิธีรีตรองของการเขียนบล็อก หรือแม้แต่การทวีตก็ยังสู้ไม่ได้ คือมึงเขียนๆ ไป แล้วอยากวาดขึ้นมา เอ้าวาดสิ กลัวอะไร ปากกาด้ามเดิมนั่นแหละ วาดเลย! อยากเปลี่ยนขนาดฟอนต์เหรอ มึงก็เขียนตัวโตๆ สิวะ ง่ายยังกะแมวน้ำ

ดังนั้นตอนนี้ไฟในการเขียนบันทึกของเราจึงเต็มปรี่ นี่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเขียนทุกวัน 5555

.

3.สะดือพลอย
ไม่เล่าละกัน ที่จริงเห็นความวับๆ แวมๆ ของเพื่อนนางเอกอีกอย่างประปราย แค่นั้นก็พอแล้ว แฮก แฮก แฮก

.

ป.ล. บล็อกเมื่อวานประทับใจคอมเมนต์มาก ขอจับภาพไว้เลย
long-john