- เมื่อวานได้คุยกะ @notsosad ผู้เป็น บ.ก.แห่งสำนักพิมพ์บัน (ที่จริงคือคุยเรื่องขี้หมูขี้หมาแล้ววนมาเรื่องนี้) เลยขอจดไว้หน่อย
- คือบันกับแซลมอนเนี่ยเป็นสำนักพิมพ์ญาติสนิทมิตรสหายกัน แล้วผมเคยมีหนังสือกับแซลอนอยู่สองเล่ม (เฟลออฟเดอะสองเยียร์ส กับ คือปะป๊าครองพิภพ)
- ถึงกระนั้นก็มิบังอาจเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนอย่างยิ่ง เพราะนิสัยและความสามารถในการอ่านและการเขียนของเราช่างหลุดออกมาไกลจากนิยามของอาชีพนักเขียนเหลือเกิน
- แต่คือปะป๊าฯ ก็น่าจะสนุกมากนะ ใครๆ ก็ว่างี้กัน อันนี้อวยตัวเองเลยเผื่อมีคนซื้อเพิ่มอีกสักสองเล่ม 5555
- ทีแรกคุยหนุงหนิงกับหนุงหนิง คืออยากรู้ชีวิตในวงการคนทำหนังสือ (แนวนี้ – ของบันจะเป็นแนวกุ๊กกิ๊กวัยหวานกว่าแซลมอน)
- รวมไปถึงอยากรู้ว่า จากประสบการณ์การทำหนังสือที่ผ่านมาเนี่ย พอจะสรุปได้ไหมว่าคนอ่านเขาชอบตัวหนังสือที่มีนิสัยยังไงกัน
- ก็ได้คำตอบว่า เดี๋ยวนี้เขาชอบแบบที่มินิมัลๆ น้อยๆ อ่านง่าย คนเขียน(หน้าใหม่หรือนักอยากเขียนก็ตาม)ก็หันมาเขียนสไตล์นี้กันทั้งนั้น
- ก็เข้าใจนั่นแหละว่ามาจากนิสัยการอ่านที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยด้วย พูดหยาบๆ ก็คือเราอ่านกันลวกๆ ขึ้น อะไรก็ได้ สั้นๆ เร็วๆ ถามว่าอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์มีผลไหม น่าจะมี? (คงมีคนวิจัยกันมาแล้วบ้างแหละ)
- ผมบอกไปว่าตัวเองกลับไม่ค่อยชอบไอ้อะไรที่เป็นลิสต์ๆ (นึกภาพว่าแบบ 20 วิธีนั่นนี่ หรือ 100 ขั้นตอนสู่ความนี่นั่น (คุ้นๆ)) คือสรุปกับตัวเองได้ว่าพอได้อ่านไปแล้วมันเป็นหนังสือที่สามารถวางได้ลง อ่านแล้วไม่ติด ไม่ได้ผูกพันกับหนังสือแบบค่อยๆ ก่อความรู้สึกชอบมากขึ้นเรื่อยๆ จบไปฟินออกัสซั่มเอาช่วงจบเล่ม ต่างจากหนังสือที่เป็นเรื่องๆ เล่าเรื่องเดียวกันยาวไปจนจบเล่ม โอเคอาจจะมีการแบ่งซอยเป็นประเด็นย่อย แต่ว่าพอขึ้นตอนใหม่มันจะมีเรื่องราวของตอนก่อนๆ มีสะสมพอกพูนให้เกิดความประทับใจกับเนื้อหาขึ้นอีกหน่อย
- ซึ่งบางทีไอ้การเป็นลิสต์ๆ นี่ก็รวมถึงบทความรวมเล่มด้วย เหมือนหยิบมาหนึ่งหัวข้อใหญ่ เล่าไปทีละหัวข้อย่อย จบตอนแล้วจบไป ขึ้นตอนใหม่ก็เป็นอีกหัวข้อนึง ไม่ได้ผูกพันกัน พอ่านแล้วมันเลยรู้สึกว่าเดี๋ยวขี้คราวหน้าค่อยหยิบมาอ่านใหม่ได้ หรือถ้าจะลืมวางไว้ อีกสามเดือนค่อยกลับมาอ่านใหม่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
- ถ้าเป็นการ์ตูนก็เป็นแนวจบในตอนงี้ ปีนึงออกเล่มเดียวก็ได้ ไม่เหมือนอย่างฮันเตอร์หรือเบอร์เซิร์ก ที่ยิ่งอ่านยิ่งติด แล้วแม่งก็ไม่ออกซะที ห่ามาก คนเขียนแต่ละคนนี่มึงแกล้งคนอ่านชัดๆ
- คือรสนิยมส่วนตัวรู้สึกว่า ไอ้อะไรที่เป็น 10 ข้อ 20 วิธีเหล่านั้น มันเป็นลักษณะของข้อมูลที่อ่านแค่หัวข้อก็พอ ที่เหลือคือส่วนขยายของหัวข้อ เป็นนิสัยในการอ่านที่ไม่ดี เชื่อว่าน่าจะได้มาจากการใช้อินเทอร์เน็ต ยิ่งทวิตเตอร์นี่ตัวดีเลย เห็นแค่พาดหัวข่าวตามด้วยลิงก์ก็กดอาร์ทีแล้ว ยังไม่ทันได้กดเข้าไปอ่านส่วนขยาย แต่ปากก็พูดเหมือนได้อ่านมาแล้วอย่างละเอียด ซึ่งไม่ดีเลย
- หนังสือที่ซื้อมาจากงานหนังสือเอย จากที่นั่นที่นี่เอย เลยยังคงมีวางกองไว้ในชั้น “รออ่าน” ที่บ้านตั้งหลายเล่ม นี่หนาเป็นศอกสองศอกแล้วได้มั้ง กะว่าว่างเมื่อไหร่ค่อยหยิบมาอ่าน ซึ่งไม่ดีเลยเช่นกัน
- ดังนั้นเวลาเขียนบล็อกก็เลยฝึกนิสัยตัวเองว่าจะไม่เขียนเป็นลิสต์
- แบบนี้
- แต่จะรักษานิสัยการเขียนแบบ คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป อย่างที่เรียนมาตั้งกะประถมมัธยมต่อไป เพราะรู้สึกได้ว่ามันดูพยายามดี ส่วนคนอ่านจะเปลี่ยนไปเพราะชอบแบบรวบรัดมากกว่า หรืออะไร ก็เรื่องของเขาสิ อย่างน้อยขอให้ทักษะนี้ยังติดกบาลไว้อยู่หน่อย ก่อนที่จะสลับโหมดไปเล่นทวิตเตอร์ซึ่งมึงคืออาณาจักรแห่งลิสต์ต่อไป
- ป.ล.ที่จริงบล็อกตอนนี้เอาเครื่องหมายจุดหน้าข้อออกไป มันก็คือการเขียนแบบธรรมดา แต่จะลองยัดใส่ bullet ดูว่าเนียนไหม สรุปว่าไม่เนียน
Category: เยอะ
ปั่นจักรยานผ่านจุดปะทะ (แจ้งวัฒนะ-หลักสี่)
ซีรี่ส์ต่อจาก ปั่นจักรยานผ่านประชาธิปไตย (ชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม) กับ ปั่นจักรยานผ่านมวลมหาประชาชน โดยบังเอิญครับ
คือเมียมาจากปทุม เลยนัดเจอกันที่เมืองทองธานีครับ ไอ้ผมก็ปั่นออกมาจากบ้านแถวลาดปลาเค้า โดยที่ไม่ได้ตามข่าวความรุนแรงวันนี้ รู้แค่ว่าแกนนำเสื้อแดงสายโหดมารวมตัวกันที่วัดหลักสี่ ไม่ไกลจากบ้าน และเป็นทางผ่านที่จะต้องไปเมืองทองด้วย ก็เออ คงไม่อะไร
แผนที่การเดินทางเป็นงี้ครับ
พอปั่นมาถึงสะพานข้ามแยกวิภาวดีตัดแจ้งวัฒนะ ก็สงสัยว่าตำรวจกั้นทำไม แล้วทำไมรถติดผิดปกติ
ปั่นขึ้นสะพานมาปั๊บ โล่งครับ จอดถ่ายรูปครับ สลิ่มมากครับ
ถ่ายเสร็จสังเกตว่าด้านขวาของภาพ มีคนยืนมุงๆ อยู่ริมขอบสะพาน? ปั่นไปถึงกลางสะพานก็เห็นคนมุงอยู่ฝั่งห้าง แว้บนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้คงมีดราม่ากันตรงแถวห้างแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้นึกว่าจะรุนแรงอะไร (บอกแล้วไง สลิ่ม) แต่พอขาลงจากสะพาน ทัศนียภาพทั้งหมดบอกข้าพเจ้าว่า แม่งแรงมากแน่นอน
ลงจากสะพาน ถ่ายพาโนรามามา (กดเข้าไปดูขนาดเต็มได้นะครับ ซูมวื้บๆ สนุกดี) ภาพที่เห็นด้านบนก็คือ มีคนมุงที่สะพานลอย มีเจ้าหน้าที่ใส่เครื่องแบบกันกระสุนเต็มยศ ฝั่งตรวข้ามมีตำรวจทำท่าพร้อมรบ มีกั้นคน มีชาวบ้านทำท่าเลิกลั่กมากมาย
ปั่นมาใกล้ๆ แยกหลักสี่ครับ สัมผัสอณูความรุนแรงในอากาศได้เยอะมาก จนท.ชุดกันกระสุน นักข่าว ตปท ชาวบ้านมุงบนสะพานลอย ฯลฯ pic.twitter.com/4QB0NVPerh
— 囧 (@iannnnn) February 1, 2014
ติดต่อรัฐ ติดต่อเรา
ฝะ่งตรงข้าม ไปทางซ้ายคือศูนย์ราชการ ไปทางขวาคือห้างไอทีสแควร์
มีนักข่าวจำนวนมาก
ยืนดูพักนึง คุยกับคนนั้นคนนี้ (เป็นพวกชอบดูสายตาคนเวลาเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ) ทวีตรายงานรัวๆ ด้วยความเป็นพวกเสพติดโซเชียล เสร็จแล้วก็ปั่นออกมา หันกลับไป จุดที่เกิดเหตุปะทะ (ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ายิงหรือระเบิดหรืออะไร สิบคนก็พูดสิบเรื่อง นี่คือจะบอกว่าคนที่เหมือนจะอยู่ในเหตุการณ์ บางทีก็มั่วนะครับ)
"มัน(เสื้อแดง)มากันเพียบเลย ทั้งไม้ทั้งมีดครบมือ อยู่หน้าห้าง(ไอทีสแควร์) ฝากบอกพวกเรากันด้วย" พี่วินบอกคนใส่เสื้อลายธงชาติข้างๆ ผมตะกี้
— 囧 (@iannnnn) February 1, 2014
พี่วินในภาพด้านบนนั่นบอกแบบนี้
ข้อเสนอเกี่ยวกับการเลือกตั้งแด่ลุงกำนัน
ถ้า 2 กุมภาพันธ์นี้ยังมีการเลือกตั้งอยู่ ผมก็จะไปใช้สิทธิ์ครับ เพราะหน่วยเลือกตั้งอยู่หน้าหมู่บ้านเอง แต่จะไม่เลือกเพื่อไทยครับ (คือมันเป็นพรรคใหญ่ก็จริง แต่ดูแย่มากเลยนะ)
เลยนึกได้ว่า แทนที่ กปปส.จะต่อต้านการเลือกตั้งให้มันเกิดปัญหาและทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนการเลือกตั้งเขาด่าเอา ก็สู้รณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันมาเลือกตั้งดีกว่า ไม่ผิดกฎหมาย (ถึงจะไม่สนใจกฎหมายกัน) ไม่ต้องเลือกประชาธิปัตย์ (ถึงใครอยากเลือกก็เลือกไม่ได้เพราะดันไม่ลงเอง) แต่ “จงเลือกพรรคที่ฮาที่สุด” แทน
ไม่ใช่เล่นๆ นะครับ ถ้ามีการเปลี่ยนมุกมากเป็นการรณรงค์กันอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตั้งใจทำให้เห็นเลยว่า ครม.ชุดที่จะปรากฏขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะเป็นสภาที่อินดี้ที่สุดในโลกไปเลย
คือถ้า “พรรคถิ่นกาขาว” อันเป็นที่รักของผมนี่ได้คำแนนเสียงสักล้านเสียงนี่ แล้วคุณมัคทายก เอ๊ย ทั่นหัวหน้าพรรคเราได้เก้าอี้ใหญ่ๆ คุมกรทรวงเมพๆ สักกระทรวง มันจะโคตรสุดยอดแค่ไหน (ฝัน)
ก็ฝากลุงกำนันช่วยเอาไปพิจารณา และลดอุณหภูมิมวลมหาประชาชนลง ก่อนที่จะบิ๊วกันทั้งฝ่ายตัวเองและฝ่ายตรงข้ามให้เดือดขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การปะทะในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ครับ
ป.ล.
ขอก็อปภาพประกอบมาจากอินเทอร์เน็ตนะครับ (ส่วนมากหาที่มาไม่ได้ เพราะแชร์กันมั่วซั่วไร้เครดิต)
(พรรคนี้โลโก้เหี้ยมากอะ (คำชม) นั่งหัวเราะนานมาก อีตัว ท.ที่ซ่อนอยู่ใน ป.นี่สุดยอดจริงๆ)
(นโยบายพรรคเงินเดือนประชาชนนี่เจ๋งมากนะครับ ลองกดอ่านดู อันนี้ไม่ตลกนะ ดีคือดีจริงๆ)
วันนี้เมียท้อง
คือเมื่อกี้เมียตรวจครรภ์ครับ แล้วก็รู้ผลว่าท้อง สิ่งแรกที่ทำคือถ่ายรูปทวีต ตามด้วยการเต้นๆๆ รอบบ้าน สุดท้ายก็วิ่งมาบอกผัว #ยุคโซเชียลก็งี้
— 囧 (@iannnnn) January 21, 2014
สองปีกว่าๆ จากบล็อกสมัยที่ท้องแรก (เกิดมาเพิ่งเคยทำผู้หญิงท้องครับ) และถือกำเนิดเป็นคุณลูกสาวชื่อนิทานในเวลาต่อมา
บัดนี้เมียผมเดินยิ้ม เต้นกระดุ๊กกระดิ๊ก เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนแล้วชี้ให้ดูอุปกรณ์ตรวจการตั้งครรภ์ ซึ่งขึ้นเป็นขีดแดงสองขีด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเรียบร้อยครับ ซัลโวเข้าประตูไปอีกหนึ่ง
มีงานเข้า มีงานเข้า มีงานเข้า @iannnnn pic.twitter.com/JhBM7SD8tZ
— Bow (@monamafia) January 21, 2014
(นั่นคือทวีตมาก่อนที่ผมจะตื่นอีกนะน่ะ พอดีเมื่อคืนนอนดึกเลยตื่นสาย)
เราสองคนวางแผนกันไว้ตั้งนานแล้วว่า ถ้าในปีนี้ยังไม่มีลูก ผมก็จะไปทำหมันและมีนิทานเป็นลูกคนเดียว แต่ถ้ามี ก็คือลงตัวเลย ชีวิตกำลังนิ่งและพร้อมที่จะมีคนที่สองในปีนี้พอดี เวลาเราก็มี ตังค์เราก็ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร แถมประสบการณ์ในการมีลูกครั้งที่ผ่านมาทำให้ความประหม่า ความหวาดกลัวทุกสิ่งอย่างนั้นหายไป อาจจะมีลืมๆ ไปบ้างแล้วว่าตอนท้องนิทานนี่เราต้องเตรียมอะไร ต้องทำและไม่ทำอะไรบ้างวะ (กลับไปอ่านหนังสือที่ตัวเองเขียนสิโว้ย #โฆษณา)
ตอนนี้ปัญหาทุกอย่างเคลียร์ และเราโตพอที่พร้อมจะรับมืออะไรก็ตามที่กำลังจะเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นพอรู้ว่าท้องคราวนี้ จึงต่างจากตอนมีนิทานพอสมควร จะว่าไม่ตื่นเต้นก็ไม่ใช่ แต่เป็นความตื่นเต้นอีกแบบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวต้องเจอนั่นนี่ สเต็ปต้องเป็นงี้ เราอ่านสปอยล์มาแล้ว
ติดอยู่แค่อย่างเดียวคือ นังลูกสาวของเรา (ที่กำลังจะกลายเป็นลูกคนโต) ดันยังไม่หย่านมแม่นี่สิ
เมียผมให้นมลูกมาตลอด จนบัดนี้ลูกสาวเราก็อายุขวบสิบเดือน ก็เกือบสองขวบแล้ว จนชาวบ้านเขาเลิกให้นมกันหมดตั้งนานละ ไอ้ที่รู้ว่าท้องก็เพราะอยู่ดีๆ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พอนิทานกินนมแล้วเจ็บ (ซึ่งเป็นการดีไซน์ของพระเจ้าที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนว่าควรหยุดได้แล้ว) และเพราะการให้นมลูกมาตลอด ฮอร์โมนส์ของคนเป็นแม่เลยบอกว่าอย่าเพิ่งมีเมนส์นะ เดี๋ยวจะมีปัญหา (นี่ก็ยังทึ่งที่พระเจ้าคิดระบบนี้มาเจ๋งมาก) แต่พอพ้นระยะที่จะต้องคอยเป็นห่วงแล้ว เมนส์ของเมียก็มาครับ แต่เพิ่งมาได้แค่ 2 เดือน แม่งท้องเลย ไงล่ะ.. วัยรุ่นมะ
ดังนั้นเควสต์ใหม่ของเราในฐานะพ่อกับแม่ก็คือ ทำยังไงให้คุณลูกสาวหย่านม ซึ่งยากมากบอกเลย
ป.ล.
วันนี้หยุดทำงานทำการ วางมือจากงานแทบทุกชนิด เพื่อเสพบรรยากาศที่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่พบเจอได้ทุกวัน ซึ่งโอเคนะครับ ใครลองมามีเมียท้องดูก็จะเข้าใจว่ามันทำงานไม่ได้จริงๆ ดังนั้นหยุดซะ แล้วมานั่งดูตัวเองดีกว่า สนุกดี
ป.อ.
อย่างที่ทวีตไปว่าผมรู้เรื่องเมียตัวเองท้องหลังชาวบ้านซะอีก ก็เหมือนตอนท้องแรกที่ติดประชุม แต่ท้องนี้คือนอนอยู่ 5555 ขอบคุณทุกคนที่อยู่ดีๆ ก็ส่งประกวดชื่อหลานกันเยอะแยะ มีทั้งไมตรีคนน้อง (นี่ยังจำชื่อที่นักข่าวนั่งเทียนเขียนให้ตอนไปถ่ายเว็ดดิ้งในม็อบพันธมิตรได้อีกเรอะ! – เสียดายบล็อกผมเน่าเลยเนื้อหาตอนนั้นหายไปแล้ว แต่มีกระทู้ด่าที่ mthai เข้าไปอ่านดิ สนุก), น้องนิยาย, น้องปรัมปรา, น้องพงศาวดาร(เลวมากอันนี้), น้องตำนาน (เฮ้ยเจ๋ง สองแง่สองง่ามดี), น้องตำหนัก (อันนี้ง่ามเดียว), น้องตำลึง (นี่เหี้ยเลย), น้องเขาใหญ่, น้องหลีเป๊ะ (นี่ก็เดาสถานที่ว่าไปซั่มกันที่ไหน), น้องนกหวีด, น้องกำนัน(นึกหน้าแล้วแบบ), น้องปฏิรูป, น้องอีปู ฯลฯ
ป.ฮ.
ที่เด็ดที่สุดคือแม่ยายผมเคยไปขอพระ (เอาอีกแล้ว นี่กูไม่ได้ทำเมียกูท้องเองนะ ช่างแอร์ช่างฉีดปลวกอะไรที่แซวกันก็ไม่ใช่ .. แต่นี่ พระทำให้) บอกว่าขอเทพธิดามาเป็นหลานอีกคน แล้วเมื่อคืนก็ดันฝันว่ามีเด็กผู้ชายมาโกรธ สงสัยจะมาแย่งเกิดไม่ทันเพราะดันไปขอหลานสาวสกัดไว้ (หลอนมะ) ดังนั้นเลยขอบันทึกไว้หน่อยว่าถ้าเกิดลูกคนนี้เป็นผู้ชายขึ้นมา โตขึ้นแม่งเป็นตุ๊ดชัวร์ เพราะคือร่างกายปฏิสนธิตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่คุณยายได้ไปขอวิญญาณผู้หญิงไว้ เอามาสวมเป๊ะ เก้งเลยฮ่ะ
เพชรบุรี ดีจัง: เมืองเพชรกลับมาเจ๋งอีกครั้งด้วยการรีบูตของคนเพชร
ตอนนี้เพื่อนมัธยมชาวพรหมาฯ กำลังบิ๊วกันใหญ่เลยครับ ว่าไปเดินงาน “เพชรบุรี ดีจัง” แล้วแม่งเจ๋งมากๆ
เผอิญผมอยู่พัทยา (อยู่มาสามคืนละ) กับลูกเมีย เลยไม่ได้กลับไปเพชร ทั้งที่งานนี้เป็นงานที่คิดเออออว่าอยากไปตั้งกะได้ยินข่าวแรกๆ
จังหวัดเพชรบุรี ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นอยุธยาที่ยังมีชีวิต” จากวัดวาอารามโบราณสถานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่นด้วยช่างสิบหมู่ หัตถกรรม และ การแสดงพื้นบ้าน ที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีวิถีชุมชนที่สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น มีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งป่าเขา แม่น้ำ ทะเล มีแม่น้ำเพชรบุรีที่ถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์มาช้านาน ประกอบกับมีภาคประชาสังคมทั้งเครือข่ายพลเมืองและเยาวชนที่เข้มแข็ง มีหน่วยงานราชการและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นความสำคัญในการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง
กลุ่มลูกหว้า จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคีพื้นที่สร้างสรรค์ต้นแบบ พร้อมด้วย เครือข่ายเยาวชน 14 กลุ่มจาก 8 อำเภอของจังหวัดเพชรบุรี ภายใต้การสนับสนุนของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบุรี, สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี, เทศบาลเมืองเพชรบุรี และ สถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบุรี จึงได้ร่วมกับ โครงการพื้นที่นี้…ดีจัง2กำลังสอง จัดมหกรรมพื้นที่สร้างสรรค์ “เพชรบุรี…ดีจัง” ขึ้น ในวันเสาร์ และ อาทิตย์ ที่ 28-29 มกราคม 2555 เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ ถนนด้านหน้าและภายในลานวัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี
ทุกพื้นที่ในวัดใหญ่สุวรรณารามและถนนพงษ์สุริยาด้านหน้าวัด จะถูกเนรมิตเป็นลานกิจกรรรมพื้นที่สร้างสรรค์ ให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ ใช้เวลาร่วมกัน สานสัมพันธ์ครอบครัว แสดงออกซึ่งจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้วิถีชุมชน ภูมิปัญญาพื้นบ้าน พบกับ ซุ้มกิจกรรมพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กและครอบครัว จากเครือข่ายเยาวชน“เพชรบุรี..ดีจัง” อาทิ มหัศจรรย์พวงมโหตร โคมยิ้มอิ่มสุข ใบตาลสานสนุก โดย กลุ่มลูกหว้า อ.เมือง, ปูนปั้นหรรษา จากกลุ่มเอเซียปูนปั้น อ.เมือง, ผ้ามัดย้อมพืชชายเลน โดย กลุ่มเยาวชนรักษ์ป่าชายเลน โรงเรียนบางตะบูนวิทยา, ผ้าทอก่อรักษ์ กลุ่มกระสวยน้อย ท่าโล้ อ.ท่ายาง, โคมไฟรีไซเคิล จาก กลุ่มบ้านชะอาน อ.ชะอำ, ซุ้มน้ำพริกกะทิ วัฒนธรรมอาหารกะเหรี่ยง โดย กลุ่มยุวธรรมทูต อ.แก่งกระจาน, บายศรีสู่ขวัญ กลุ่มพุทธอาสา วัดแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน, โมบายกะเหรี่ยง โดย กลุ่มหญ้าปล้องรักษ์ถิ่น อ.หนองหญ้าปล้อง
อันนี้ก็อปมาจากเว็บกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เลยนะ (ที่เหลือยาวและ “ไม่” น่าสนุกสุดๆ ตามไปอ่านเองที่นี่) ซึ่งดูดีๆ สิ มันเป็นข้อมูลตั้งกะปี 2555!!
ซึ่งแบบ ก็อย่างที่รู้กันว่าอะไรก็ตามที่พอมันขับเคลื่อนด้วยความเป็นราชการ มันก็จะราชการ และน่าเบื่อง่วงเหงาอย่างที่เห็น
แต่อยู่ดีๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อ.ท่ายาง (บ้านผมเอง) ก็ไปรื้อๆ เอาที่ดินติดแม่น้ำเพชรบุรี มาทำเป็นตลาดนัดเท่ๆ ตอนเย็น มีสะพานสลิงข้าม มีเรือเป็ด จัดสถานที่สวยงามน่าเดินเที่ยว และตั้งชื่อว่า “ท่าย์ข้ามภพ” (ท่าย์ คือท่ายาง ไม่รู้ไปเอาภาษาอะไรมาสมาสสนธิ) ซึ่งนั่นทำให้ผมหัวใจเต้นแรงมาทีนึงแล้ว เพราะมันไม่ใช่ตลาดที่เอาไว้ดึงดูดคนกรุงมาเที่ยวแบบสถานที่ฮิตๆ ที่เราเคยเห็นหรือเคยไป
แต่นี่คือทำมาเพื่อคนแถวนี้เลย ความชิกจงบังเกิดกับชาวบ้านชาวช่องจริงๆ!
กอปรกับสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆ ที่เอาไว้ดึงดูดคนกรุง (ผมเรียกกันเองเวลาคุยกะเมียกะเพื่อน ว่าแบบนี้เรียกว่าสถานที่แบบ “สลิ่มๆ” ขอบคุณคนคิดคำว่าสลิ่มขึ้นมา เวลาเราใช้คำนี้จะไม่ได้เป็นการดูถูกเหยียดหยามอะไรนะ แค่มันเป็นคำวิเศษณ์ที่ดูเจ๋งดี บอกพฤติกรรมรวมๆ แบบ stereotype ของคนที่ชอบอะไรแบบนี้ได้ดี อยากให้เป็นศัพท์ที่บรรจุลงพจนานุกรม) เช่นฟาร์มแกะ ซานโตรินี่ ชิคาด้า หรือ เวเนเซียที่เพิ่งเปิดใหม่ย่านชะอำหัวหิน ซึ่งสร้างมาอย่างมีระบบแบบแผนเพื่อเอาไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างถิ่น โดยไม่ได้สนใจหรอกว่าบริบทรอบข้าง หรือพื้นฐานวัฒนธรรมของท้องถิ่นเป็นยังไง ผมจะเฉยๆ กับที่แบบนี้ (ในขณะที่ลูกเมียชอบมาก ก็สลิ่มไงคะ)
แต่กับท่าย์ข้ามภพมันไม่ใช่ มันเท่ และเป็นความเท่ที่ลุงป้าชาวบ้านบ้านเราเก็ต
จนพอมีงาน “เพชรบุรี ดีจัง” (ที่จริงไม่น่าเว้นวรรคเลยนะ) ปั๊บ แรกๆ ผมก็เออ ไม่ได้อะไร จนพอเพื่อนที่อยู่เพชรมันบอกว่าเฮ้ย งานนี้เจ๋ง อารมณ์แบบงานวัดที่ปรุงสุกแล้ว ไม่ใช่แบบแสงสีเสียงตระการตาสมบัติเมทะนีแบบงานพระนครคีรี ซึ่งอันนั้นน่าเบื่อมาก มีแต่เฟอร์นิเจอร์ไม้ กับเต็นท์ขา่ยของกับขบวนพ่อค้าแม่ค้าคาราวานเดิมๆ
นั่นก็ไม่น่าเสียดายเท่าไหร่ เพราะพอจะนึกภาพออกว่า มันก็น่าจะเป็นงานเก๋ๆ ที่วัยรุ่นเดินแล้วยิ้มๆ แหละ เท่านั้นเอง
จนมาปีนี้ มาจัดอีกครั้งในช่วง 17-19 ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ผมมาพัทยาพอดี (เลื่อนไม่ได้) ก็ปรากฏว่าใครๆ ก็พูดถึงกัน พี่ชาย พี่สะใภ้ พ่อเพื่อน ลุงป้าที่ไหนก็บอกว่ามันเจ๋ง และอีแก๊งเพื่อนมัธยมแม่งก็แข่งกันอวดรูปความเท่ของงานมาให้ดูในไลน์
ไอ้ผมก็ไม่ได้อะไร ได้แต่ส่งสติกเกอร์ร้องไห้สวนกลับไป 36 แบบเท่านั้นเอง :05:
คือความเก๋มันระดับเดียวกะงานมันใหญ่มากที่เขาใหญ่ หรือที่ปาย หรือที่เชียงคาน สวนผึ้งอะไรแบบนี้เลยนะครับ (อ้าว ไอ้ที่ยกตัวอย่างมานั่นก็มีแต่สถานที่ประดิษฐ์ๆ สำหรับกินเงินสลิ่มชาวกรุงนี่นา) แต่อันนี้คือคนที่มาเที่ยวก็คือคนท้องถิ่นเอง! มันคือท่าย์ข้ามภพที่ขยายสเกลมาเป็นระดับจังหวัด และทำออกมาได้ดีมาก ตีโจทย์แตกกระจาย
กระจายขนาดที่เรียกได้ว่าล้างภาพเดิมๆ ของงานคนแก่อย่างงานพระนครคีรีประจำปีไปเสียหมดสิ้น และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเพชรบุรีว่าเป็น “เมืองแห่งวัฒนธรรมที่มีชีวิต” ได้อย่างสุดยอด
นั่นเพราะผมมั่นใจมาตั้งแต่เกิดแล้วว่าจังหวัดนี่ฐานวัฒนธรรมแม่งเจ๋งจริง แต่ที่ผ่านมาหลายสิบปี คือโดนอิทธิพลของอะไรบางอย่างกดไว้ ทำให้กลายเป็นเมืองที่อุตส่าห์มีทรัพยากรที่ดีเลิศ แต่ดันวางไว้บนหิ้ง ไม่ได้เอามาปัดฝุ่นและทำให้มันดูสดใหม่อยู่เสมอ คือรอวันตายมานานมากๆ แต่วันนี้ “เพชรบุรี ดีจัง” ได้ทำลายความกากนั้นลงอย่างราบคาบ และสถาปนาตัวเองมาเป็นเมืองที่ไม่ต้องพยายามก็ชิกและเท่โคตรๆ ได้ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่แบบเน้นๆ แบบเดียวกับที่อยู่ดีๆ ราชบุรีเพื่อนบ้าน ก็กลายเป็น “เมืองแห่งศิลปะ” ขึ้นมา และมันก็เท่ตามที่เขาต้องการจริงๆ
และจะยินดียิ่งถ้าทุกๆ จังหวัด หรือทุกๆ ชุมชน (แบบท่ายางเป็นต้น) ลุกขึ้นมาปัดฝุ่นและ “รีบูต” ตัวเอง จนสร้างชีวิตให้ชุมชนได้เป็นปัจจุบันแบบนี้ แม่งเท่ฉิบหายเลยครับ
ไม่รู้ใครบ้างที่เหน็ดเหนื่อยและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้บ้าง ถ้าเผอิญกูเกิลผ่านมาเจอบล็อกตอนนี้ ผมขอกราบทีนึงนะครับ
ป.ล.
ไอ้ที่กรี๊ดมาทั้งหมดนี่คือพิมพ์ด้วยความเจ็บใจนะครับ โคตรอยากไป คราวหน้าไม่พลาด ใครจะไปมั่ง เดี๋ยวเรียก
ป.อ.
อ้อ มีเฟซบุ๊กด้วย แต่ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่
ป.ฮ.
อย่างที่บอกว่าตอนนี้อยู่พัทยา เหมือนมานั่งทำงานนอกสถานที่ ซึ่งเดินออกไปไม่เกิน 50 เมตรก็จะมีสถานรูดเสา และจิ๋มพ่นไฟแล้ว คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งแปลกแยกอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะยี่ห้อนี้มันพะเข้ามาตามหลังสโลแกนคำว่าไทยแลนด์ในสายตาประชาคมโลกไปเรียบร้อย ก็ได้แต่ยิ้มสยามภูมิใจแหละเนอะ จิ๋มสาวกลางคืนนี่เพิ่มจีดีพีให้ประเทศนี้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว