ม้วนทิชชู่ในห้องน้ำ ต้องคว่ำหรือหงาย?

flamewar

ที่จริงก็สงสัยมานาน คือนอกจากจะเป็นความสนใจส่วนตัวแล้ว ยังไปได้แรงยุเพราะอยู่ดีๆ ฝรั่งเขาก็ลุกขึ้นมาถกเถียงกันเรื่องนี้อย่างจริงจัง ว่าม้วนกระดาษชำระในห้องน้ำเนี่ย ต้องเสียบให้หงายหรือคว่ำ เถียงกันจริงจังระดับโลก มากพอๆ กะบ้านเราที่ถกกันเรื่องวิธีแกะฝาปีโป้ หรือวิธีเรียกข้าวราดแกง หรือแกงราดข้าว พริกน้ำปลา น้ำปลาพริกอะไรแบบนี้

กลายเป็น meme ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในหนึ่งหลืบแห่งสังคมออนไลน์ที่กว้างใหญ่แห่งนี้ โดยที่ผู้ร่วมสงครามต่างแบ่งฝ่ายกันหาเหตุผลมาคัดง้างกัน ถล่มฝ่ายตรงข้ามกันทั้งแบบมีเหตุผลน่าคล้อยตาม และเถียงหน้ามืดอย่างเอาเป็นเอาตายไม่แพ้กีฬาสีการเมืองบ้านเรา

และฝ่ายชนะดูเหมือนจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วยกับแบบคว่ำ (over) ด้วยเสียงสนับสนุนมากกว่าแบบหงาย (under) นิดหน่อย โดยมีข้อมูลสรุปมากมาย ตัวอย่างเช่นแผนภาพนี้

diagram

หรือถ้าอยากดูละเอียด ก็มีอินโฟกราฟิกนี่เลย

จริงจังกันระดับคุโรมาตี้เลยนะ..

cat

อย่างภาพนี้เขาบอกว่า เหตุผลเดียวที่จะวางทิชชู่แบบหงาย คือถ้าแบบคว่ำ แมวมันจะตะกุยเล่นได้นะ ซึ่งน่าสนใจมาก แล้วอีตาอีกคนก็ออกมาเสนอวิธีแก้ปัญหานี้ให้ ด้วยการบอกว่า “ก็อย่าเลี้ยงแมวสิวะ”

vertical

ส่วนเจ๊อีกคนที่ไม่เข้าใจว่าจะเถียงกันทำไมให้ใหญ่โต ก็ออกมาบอกว่า นี่ ที่จริงแล้วตัวเลือกของมนุษยชาติไม่น่าจะมีแค่หงายกับคว่ำนะ เพราะม้วนทิชชู่มันวางตะแคงก็ได้ (แบบในภาพ) ก็จะเพิ่มตัวเลือกว่าจะให้ดึงแบบซ้ายหรือขวา! ถึงขนาดที่มีคนบอกว่าการวางตะแคงเนี่ยช่วยทำให้ชีวิตคู่ของเขาดำเนินต่อไปได้เลยนะ เพราะเขากะเมียอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาตลอด ดังนั้นวิธีนี้จึงประเสริฐมาก แต่เอาจริงๆ การดึงทิชชู่ในแนวตะแคงมันก็ไม่ได้ตอบโจทย์ด้านสรีรศาสตร์ และประสบการณ์การใช้งานที่ดีของผู้บริโภคอยู่ดี วิธีนี้จึงไม่นิยม

หนักๆ เข้าก็มีผู้ให้ความเห็นว่า “ก็ไม่ต้องใช้่ทิชชู่เลยสิ สายฉีดตูดไง!” ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราที่ใช้น้ำฉีดตูดกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วก็คงได้รับการสนับสนุนล้นหลาม แต่อันนี้มันปัญหาระดับสากล ฝรั่งเขาไม่ได้มีน้ำใช้เหลือเฟือที่อุณหภูมิพอเหมาะอย่างเรา เวลาหน้าหนาวแล้วต้องฉีดน้ำเข้าไปในร่องตูดนี่มีตายนะครับ ดังนั้นเขาเลยไม่นิยมใช้วิธีนี้กัน

และยังมีความเห็นอีกมากมายก่ายกอง รวมถึงสารพัดทฤษฎีประกอบมากมายที่… เอ่อ วิกิพีเดียครับ

แหล่งที่มาและอ้างอิง:

  • ภาพ Flame Wars บนสุด จากบทความเรื่องเดียวกันนี้ที่ LifeHacker
  • บทความจาก LifeHacker อีกอันที่สรุปอย่างจริงจังและเป็นวิชาการ (บ้าชัดๆ)
  • ภาพประกอบและข้อมูลหลายอย่างจาก Know Your Meme
  • อินโฟกราฟิกจาก Bit Rebels
  • และข้อมูล ผลสำรวจจากแบบสอบถาม พร้อมแหล่งอ้างอิงเป็นร้อยจากวิกิพีเดีย

การ์ด “บุคคลสำคัญของโลก” (ทวิสตี้, ริงโก้สตาร์) #ดักแก่

ที่จริงบล็อกตอนนี้เขียนครั้งแรกที่ Exteen แต่คิดว่าต่อไปนี้คงไม่เข้าไปที่นั่นอีกแล้ว เลยย้ายมาบล็อกหลักซะเลย เผื่อต่อไปว่างๆ ค้นลิ้นชักเจออะไร จะได้หยิบมาเล่าอีก (ขอบคุณเพจ “น่าเสียดายพวกนายเกิดไม่ทัน” ที่ทำให้นึกถึงบล็อกนี้ขึ้นมา)

—–

สมัยเราอยู่ ม.1 ตอนนั้นก็ปี 2537 ล่ะ

การได้อยู่ในหมู่เพื่อนที่บ้าสะสมและบ้าเอาของสะสมเหล่านั้นมาอวดกัน โลกมันช่างอยู่ยากไม่แพ้เดี๋ยวนี้ เพราะเดี๋ยวนี้เราสะสมจำนวน Like หรือ Follower กัน แต่ตอนเรายังเด็ก การมีไพ่หายาก การ์ดแรร์สุดๆ นั้นคือสุดยอดแห่งความฟิน

การ์ดชุดนี้คือหนึ่งในตำนานที่ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มันก็ยังเก็บมาพลิกดูแล้วรู้สึกเท่ได้อยู่ นั่นคือซีรี่ส์ “ที่สุดของโลก”

P1190940

เป็นของแถมขนมสามยี่ห้อ คือ ทวิสตี้ วิลลี่ และริงโก้สตาร์ (เราชอบริงโก้สตาร์ที่สุด เพราะมันเอามาสวมนิ้วได้) ถือเป็นยุคที่มาหลังกาก้า คัมคัม และขนมช็อกโกแล็ตยี่ห้อโดราเอมอน (ที่แม่งไม่ได้ขอลิขสิทธิ์เขามาทำแน่ๆ) ที่แถมไพ่สติกเกอร์ดราก้อนบอลหรืออะไรแบบนั้น เพราะนี่มาแนวความรู้ เอาไว้อวดอ้างผู้ปกครองได้ว่าการสะสมนี่ดูภูมิฐานเกินเด็กนะ เพราะเนื้อหาของการ์ดแต่ละใบจะเป็นการ์ดความรู้เกี่ยวกับ “ที่สุดของโลก” ในแต่ละแขนง

P1190944

อันได้แก่

  1. “โลกมหัศจรรย์” ที่ว่าด้วยสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแบบพวกความรู้ทั่วไปที่เด็กสมัยนั้นใครรู้ก็จะอวดเพือนได้สบายๆ
  2. “บุคคลระดับโลก” (เราสะสมชุดนี้ ที่จริงมีอีกชุดแต่ทำหายไปแล้วมั้ง) นี่ก็ว่าด้วยเรื่องคนดังระดับโลก 30 คน ในยุคที่ สตีฟ จ็อบส์ ยังไม่แจ้งเกิดในวงการศาสดาโลก
  3. “เผ่าพันธุ์มนุษย์” อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ามาได้ไง ไม่เห็นอยากรู้เลย
  4. “โลกเร้นลับ” สนุกมากครับ ยุคนั้นเพิ่งพ้นช่วงที่มนุษยชาติกำลังบ้าคำว่าวิทยาศาสตร์ (นึกภาพการ์ตูนสมัยฟูจิโกะ ฟูจิโอะ) คือทุกอย่างมันต้องค้นคว้าศึกษา เลยมีวิทยาศาสตร์เทียมเข้ามาปะปนเต็มไปหมด ก็เชื่อกันบ้างไม่เชื่อกันบ้าง สนุกดี ..แต่ก็เอาเหอะ ผ่านมาหลายสิบปีคนก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่

ซึ่งบางครั้ง พอเปิดซองมาก็จะเจอกับชุดที่เราไม่ได้สะสม หรือบางทีสะสมนะ แต่ซ้ำแล้วก็บ่อยไป จังหวะนี้แหละครับที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากเพื่อน ก็เอาไปแลกกันซะ วินวินกันทั้งคู่

P1190942

แต่ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะในแต่ละเล่มจะมีการ์ดที่โคตรสุดยอดหายากอยู่ใบหรือสองใบเสมอ สำหรับชุดบุคคลสำคัญของโลกนี้ ใที่หายากที่สุดก็คือ “เขาทราย แกแล็คซี่” ครับ รู้สึกว่าอีบริษัทขนมมันจะผลิตมาแค่จำนวนจำกัดนะ เพื่อไม่ให้ตัวเองหมดเนื้อหมดตัวกับรางวัลที่มีราคา และมีจำนวนจำกัด (ก็แหงแหละ) ดังนั้นใครที่ได้ครอบครองการ์ดเหล่านี้ก็มั่นใจได้เลยว่ากูชนะแน่

นอกจากนั้นก็ยังมีการ์ดหายากระดับรองๆ ลงมา ผมไม่อน่ใจว่าเขาผลิตเป็นจำนวนจำกัดหรือเปล่า แต่มันก็หายากจริงๆ ซึ่งถ้าเอาเข้าจริงๆ ถ้าคุณเป็นนักสะสมตัวยง ก็จะหาทางแลกมันมาจนได้ อาจจะต้อง 3 แลก 1 หรือ 10 แลก 1 เลยก็มี หรือถ้าจะได้มาด้วยฝีมือก็เอามาเล่นไพ่เขี่ยกัน อ้ะ หรือจะใช้ดวงก็เอามาเป่ายิ้งฉุบกัน (ที่มุมการ์ดมีเครื่องหมายค้อนปากกากระดาษครบเลย คือมึงวางแผนมาให้เด็กต่อสู้กันนอกกฎหมายอย่างรัดกุมมาก)

P1190943

และนี่คือรางวัล สะสม 1 เล่มได้เกมแฟมิคอม, 2 เล่มได้จักรยาน, 3 เบ่ม เอาไปเลย โคตรพ่อไอพอด! ซึ่งมันเท่มาก เท่จับใจมาก เด็กที่ไหนวะจะไม่อยากได้ ไม่มีหรอกครับ กรุณาเถอะ เปิดซองครั้งหน้าขอเขาทรายผมเถอะะะะ!

แต่ถ้าสะสมไม่ครบก็ไม่เป็นไร เอาแต้มที่มีอยู่บนหน้าการ์ดมารวมๆ กัน ไปแลกเป็นของรางวัลกากๆ ก็พอได้ .. และของรางวัลอันโคตรสุดยอดแฟนะพันธุ์แท้อันสุดเลอค่า ก็คือ เงินรางวัล 15,000 บาท!!! (เทียบกับสมัยนี้ก็เป็นแสนเลยเปล่าวะ) ซึ่งฝันไปเถอะ แค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่มีทางอะ

P1190941

และนั่นก็เป็นหนึ่งในความฝันของเด็กชายวัยหัวเกรียน ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านอะไรแบบนี้มาแล้ว ดีที่สมัยเด็กๆ เราไม่มีเงินมากพอที่จะเอามาเล่นไอ้พวกนี้ได้มาก แต่ก็เจียดเงินจากข้าวกลางวันมาเป็นค่าโง่พวกนี้ไปหลายมื้ออยู่

ก็นะ มันคือความมันส์ของลูกผู้ชาย

ป.ล.
มีร้านเกม (Play Station 1) หน้าโรงเรียน มันเลวมาก เอาการ์ดเขาทรายที่ไม่รู้ว่าเจอเองหรือซื้อต่อมาจากเด็กอีกที มาเสียบอวดไว้หน้ากระจกร้าน เรียกว่าเป็นการประกาศกร้าวว่าข้ามี แต่ไม่เอาไปแลก มีอะไรไหมไอ้หนู วะฮ่าๆๆๆ ซึ่งยังความคับแค้นใจให้เหล่าเด็กมัธยมต้นหัวเกรียนยุคนั้นมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่ไปยืนเกาะกระจกร้านน้ำลายยืดกันท่วมฟุตปาทเอย

วันๆ มึงทำอะไร

ม้าบุกเมือง

ปกติเราไม่ชอบเขียนเป็นลิสต์ๆ เพราะดูมันลวกๆ และไม่ได้ฝึกการเขียนเชื่อมประโยค แต่วันนี้จะเขียนลวกๆ สักครั้ง

พอดีมีคนถามบ่อยว่าหลังจากลาออกแล้วนี่มึงทำอะไรบ้าง นอกจากเลี้ยงลูกและเป็นลูกจ้างเมีย งั้นจะเขียนเล่าว่าวันนี้ผมทำอะไรบ้าง เอาเป็นลิสต์ๆ ละกันนะ

  • ตื่นเจ็ดโมงครึ่ง เมื่อคืนนอนหัวค่ำเพราะเพิ่งเคลียร์งานเว็บตัวนึงเสร็จ เลยเพลีย และกะว่าวันนี้จะได้ทำนั่นนี่มากมาย งั้นตัดสินใจนอนก่อน
  • พอตื่นมา ก็ปลุกน้องเมียทั้งสองคน (โมนาและมาเฟีย มานอนที่บ้านเพราะปิดเทอม) ให้ลุกขึ้นมาอาบน้ำแปรงฟัน วันนี้เรามีงานใหญ่ นั่นคือย้ายที่นอนจากชั้นสามห้องขาวไปห้องเทา และที่ใหญ่กว่านั้นคือย้ายที่นอนยางพาราหนัก 38 ตัน จากชั้นสองไปชั้นสาม
  • อ้อ เพราะก่อนหน้านี้สองสามวัน บ้านเรามีสภาพเหมือนถูกซอมบี้บุก เพราะช่างมารื้อบันไดลามิเนตกากๆ ของอารียา ที่อยู่มาแค่ไม่กี่ปี แม่งกรอบแกรบเป็นกระดาษยุ่ย เลยให้ผู้รับเหมารายเดิมที่สนิทกันมานาน มาช่วยรื้อ และเปลี่ยนเป็นปูนดิบ นั่นรวมถึงสวนหลังบ้าน (เรียกว่าสวนก็กระดากใจ มันคือที่ตากผ้ากว้างยาวไม่เกิน 8 ตารางเมตร) และพื้นชั้นสองทั้งชั้น
  • หลังจากสมุนทั้งสองคนตื่น ปฏิบัติภารกิจส่วนตัวเสร็จ และพร้อมออกศึกแล้ว เราก็เริ่มรื้อของในห้องนอนชั้นสาม (ห้องสีขาว) เลย ปกติห้องนั้นจะเรียกว่าห้องยายยาย หรือห้องตั๊กถั่ว หรือห้องนอนแขก หรือห้องเก็บของ แล้วแต่จะเรียกตามใจ แต่ต่อไปนี้มันจะกลายเป็นห้องนอนหลักของเราสามคนพ่อแม่ลูก ส่วนห้องนอนแขกและฟังก์ชันเก็บของของบ้านเรา ก็ย้ายไปห้องข้างๆ ที่ทาสีผนังเป็นสีเทาด้วยความอินดี้ ไม่รู้ทาทำไม
  • เริ่มจากย้ายตู้ ชั้นวาง ยุบเปลเด็กเตรียมเอาไปส่งมอบให้ผัวเมียเมืองทองที่ท้องแก่กำลังจะคลอด เลยรับช่วงต่อเปลจากเรา
  • แล้วขนข้าวของ ตุ๊กตามากมาย สมบัติบ้าและไม่บ้า ของเรา และของยายยายที่มียาอะไรไม่รู้ด้วยเยอะแยะ อะไรไม่รู้จักก็โยนทิ้งให้หมด จังหวะนี้สนุกมาก
  • พี่แอ๋วมาตอนเก้าโมง ที่จริงช่างต้องมาวันนี้ด้วย แต่โทรถามเฮีย เฮียบอกว่าเข้าพรุ่งนี้นะ วันนี้เลื่อยไม้รอไว้ก่อน
  • ย้ายที่นอนจากห้องขาวมาห้องเทา แล้วพักเหนื่อย
  • ย้ายชั้นวางของจากห้องขาวมาห้องเทา แล้วถูพื้นรัวๆ
  • เคลียร์พื้นที่ชั้นสอง เอาคอกเด็กออก ไฮไลต์ที่โหดหินที่สุดของวันนี้คือที่นอนยางพาราน้ำหนัก 79 ตัน (เอ๊ะตะกี้บอกกี่ตันนะ ไม่ได้จำ) ขึ้นกระไดไปไว้ชั้นสามเป็นการถาวร
  • พี่แอ๋ว แอน โมนา และมาเฟีย รวมสี่คน ช่วยกันแบก ลาก กลิ้ง ที่นอนที่หนักเหี้ยๆ ขึ้นไปอย่างทุลักทุเล และสงสัยว่าตอนสองผัวเมียที่เป็นเจ้าของร้านขายที่นอนนี้เอามาส่งบ้านเรา เขายกกันได้ไงแค่สองคน เขากินอะไรเป็นอาหาร หรือเขาหมั่นฝึกฝนในการยกที่นอนนี้มากว่า 30 ปี
  • หิวมาก ไปกินพืซซ่าที่ยูเนี่ยนมอลล์กัน ว่าแล้วก็ออกเดินทางทันที (ที่จริงที่เลือกไปยูเนี่ยนเพราะ 1.เราต้องไปทำธุระที่ร้านพันธมิตรในวงการสกรีนเสื้อ 2.นารายณ์พิซเซอเรียมันมีโปรลดอะไรสักอย่าง เหมาะกับเด็กสองคนที่มีพลังสวสาปามสูงมาก)
  • ไปถึงยูเนี่ยนตอนห้างเปิดพอดี ไม่เคยคิดว่าจะได้จอดรถง่ายแบบนี้มาก่อน
  • แดก
  • ระหว่างรอสั่งอาหารก็รีบไปทำธุระเรื่องเสื้อ ธุระท่ว่านี่คือ เครื่องสกรีนของร้านเราดันมาเสียเอาช่วงนี้พอดี เลยขนเสื้อไปให้เขาสกรีนให้หนึ่งกอง เพิ่งเคยทำแบบนี้เหมือนกัน แปลกดีเวลาเห็นคนอื่นสกรีนเสื้อของร้านเรา 555
  • รีบลงมาแดกต่อ แดกๆๆๆ
  • ที่รีบเพราะว่าโทรนัดศูนย์ซัมซุงเอาไว้ บ่ายโมงจะไปเปลี่ยนกรอบของโน้ตสองที่เคยทำตกและเป็นรอตรงมุมค่อนข้างยับเยิน แล้วผมมีโครงการจะขายเครื่องนี้เพื่อซื้อโน้ตสามแทน (เมียเซ็นอนุมัติแล้ว) ถ้าขายในสภาพเดิมคงได้สัก 300 บาท เลยตัดสินใจทำให้มันดีๆ ปิ๊งๆ ดีกว่า
  • นัดบ่ายโมง ออกจากยูเนี่ยนเที่ยงครึ่ง ขึ้นรถเมล์เบอร์อะไรสักอย่าง ไม่ได้จำ ไปต่อบีทีเอสที่หมอชิต ได้นั่งด้วย
  • ไปถึงศูนย์ซัมซุงมาบุญครองตอนเที่ยงห้าสิบเก้านาที ขอบคุณพี่ยามสำหรับการบอกทางอย่างตั้งใจ
  • เข้าใจพนักงานที่ศูนย์รับซ่อมละว่าทำไมหน้าเหวี่ยงตลอดเวลา ทั้งที่ตัวจริงอาจจะไม่ได้เหวี่ยงโดยกำเนิดก็ได้ ก็เพราะขนาดผมนั่งรอคิวไม่นาน ก็มีทั้งอีป้า และไอ้ลุง ที่เนียนขอ “โทษนะครับ ผมไม่ได้กดบัตรคิว แต่แค่จะถามว่า…” แล้วไอ้แค่ของท่านๆ น่ะ มันก็คือเรื่องที่จะต้องกดบัตรคิวเพื่อสอบถาม ปรึกษาอาการ ฯลฯ ทั้งสิ้น
  • อีห่า ลองเมียกูเป็นพนักงานล่ะก็ ได้ตะเพิดกลับบ้านแล้วลาออกทันที ไม่แคร์ ผจก.ไปแล้ว
  • พนักงาน (ที่หน้าเหวี่ยงๆ) บอกว่าอีกชั่วโมงนึงมารับเครื่องนะคะ ผมถือใบซ่อมออกมาจากศูนย์ แล้วเดินงงๆ ในมาบุญครอง มีเวลาตั้งชั่วโมง
  • ไปหอศิลป์ดีกว่า (เป็นมนุษย์ที่ใช้ประโยชน์ในความสลิ่มของห้างย่านสยามไม่เป็นโดยสิ้นเชิง)
  • เดินดูงานตั้งแต่ชั้นสามที่เป็นสะพานเชื่อมกะมาบุญครอง ไล่ไปเรื่อยๆ จนชั้นห้า นึกอะไรได้อย่างนึง เลยไปแวะขี้ซะเลย
  • เสร็จแล้วเดินกลับมาที่ศูนย์ซัมซุงอีกครั้ง รับเครื่อง จ่ายตังค์ (ค่าอะไหล่ ค่าแรง ค่าภาษี รวมๆ พันนึงได้)
  • เดินไปถามตู้รับซื้อ ว่ารับกี่บาท อีร้านแรกติดป้ายว่าให้ราคาสูงปี๊ด มันบอก แปดพัน! ปรี๊ดพ่องเรอะแปดพันเนี่ย
  • เลยไลน์ไปถามเจ๊เพ็ญผู้เชี่ยวชาญด้านการขายมือถือ เจ๊เพ็ญแนะนำมาอีกร้าน เลยเดินไป เฮ้ย ได้ตั้ง 11,000 แน่ะ!
  • ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน โดยผ่านห้างสยามอะไรไม่รู้ จำชื่อไม่ได้ แต่ที่มันทำใหม่ทาสีดำๆ น่ะ พบว่าเสื้อผ้าหน้าผมของเราไม่เหมาะกับการมาเดินผ่านที่นี่เลย (แค่เดินผ่านก็ผิดแล้ว)
  • บนรถไฟฟ้าสงบดี เอาหนังสือมาเล่มนึง ก็เลยยืนอ่านไปจนถึงหมอชิต เพื่อจะพบว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนอ่านหนังสือบนรถไฟฟ้ากันแล้ว ทุกคนมีแต่คนกดมือถือ กับคนที่แอบดูคนใกล้ๆ กดมือถือ
  • ลงหมอชิต นั่งสายอะไรไม่รู้ที่เป็นสีแดงๆ (6.50 บาท) ไปลงยูเนี่ยน ขึ้นไปรับเสื้อที่สกรีนเสร็จแล้วลงมาต่อรถเมล์ (8 บาท) ต่อกระป๊อ (7 บาท) ถึงวัดลาดปลาเค้า
  • เดินเข้าบ้าน เหงื่อแตก อาบน้ำเสร็จ ลงมาพิมพ์ข้อความ ถึงบรรทัดนี้.

กำหนดการคืนนี้

  • กินข้าวเย็นกับลูกเมียและน้องเมียทั้งสองพี่น้อง
  • กลับบ้านมาเพื่อกดซื้อ FontLab ซะที จะได้หมดห่วงปัญหาที่คาใจมานาน ว่ามึงทำฟอนต์ด้วยโปรแกรมเถื่อนเนี่ยนะ?
  • พอดีมีงานจ้างอันนึงให้ทำฟอนต์ด่วนๆ เลยเริ่มมันคืนนี้ซะเลย!

จบ

ป.ล.
ภาพข้างบนถ่ายจากแยกปทุมวัน ตอนรอขบวนเสด็จผ่าน เขาเลยกั้นคนไม่ให้ข้าม / วาดแล้วอัปไว้ที่ อตก

ความคืบหน้าล่าสุด เล่นเฟซบุ๊กเป็นแล้วครับ

หนึ่งในปมคาใจตลอดมาก็คือ ผมทนเล่นเฟซบุ๊กไม่ได้ซะที คือเข้าไปแล้วหงุดหงิด กับทั้งการออกแบบทั้ง UI และ UX ที่แย่ จนส่งผลให้ผู้ใช้ทำระบบนิเวศน์เพี้ยนโดยไม่รู้ตัว คือเอาผู้ใช้บ้านเราไม่อยู่นั่นแหละ ถึงจะมีชมบ้าง แต่ชมไปชมมาก็ว่าจะหัดเล่น แต่กว่าจะหัดจนเล่นเป็น และทำเป็นไม่สนใจอคติที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเล่นเว็บที่เด็กประถมมันก็เล่นได้นั้น ก็ใช้เวลานานพอดู

เอาจริงๆ จุดเปลี่ยนนมันก็แค่การพยายามสะกดจิตตัวเองให้สนใจไอ้เม็ดแจ้งเตือนสีแดงๆ แบบเดียวกะที่สนใจบน Google+ นั่นแหละครับ เท่านั้นเอง! พอรู้สึกว่าจะต้องเคลียร์อีตรงนั้นปั๊บ ทุกอย่างก็ง่ายละ เอาสิ ใครเม้นอะไร แท็กอะไรมา ต่อไปนี้จะเริ่มสนใจละ (เมื่อก่อนปิดหมดเลย รำคาญไง มันมาเยอะเกิน ทั้งที่ตั้งค่านั่นนี่ก็แล้ว)

แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยตัวเองให้ไปสนุกกับการดูชีวิตของคนอื่นได้จริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่ามันสนุกตรงไหน แม้บางทีก็มีคำตอบ(พร้อมกับคำถาม)ง่ายๆ ว่า

https://twitter.com/iannnnn/status/382902797873590274

แต่ไอ้ครั้นจะไปเสือกเรื่องของชาวบ้านบ่อยๆ ก็ไม่ใช่นิสัยที่เราถนัดจริงๆ งั้นเล่นแบบเป็นเราละกัน

เออ จะว่าไปเราเขียนบล็อกเรื่องเฟซบุ๊กมาหลายทีจนเป็นปมด้อยในชีวิตอันนึงไปละ 55555 ก็นะ ตอนนี้พอใช้เป็นแล้วก็รู้สึกเท่าทันชาวบ้านซะที ว่าเขาบ่นอะไร พูดอะไร ฮิตอะไรกัน สังคมแม่งไม่เหมือนทวิตเตอร์เลยว่ะ! (ทวิตเตอร์เร็ว กระชับ คนพูดรู้เรื่องกว่ากันหลายเท่า อันนี้เข้าข้างเลย)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขอบคุณการลาออกจากงานจริงๆ นะครับที่ทำให้มีเวลามานั่งเล่นอะไรแบบนี้ได้ 5555 เอ้า มาลาออกกันๆ

เออๆ จะว่าไปอีกที เราไม่เคยพูดถึงเพจของเว็บฟอนต์เลยนี่หว่า

เอาจริงๆ คือไม่เคยดูแล ไม่เคยสนใจ ใส่ใจอะไรด้วยซ้ำ พอๆ กับที่สมัยทำเว็บเฟล ตอนนั้นก็แบบนี้แหละ มาสนุกอยู่บนโลกนอกเฟซบุ๊กตั้งนาน ส่วนในเพจก็ปล่อยให้มันรกร้างมาหลายปีมากๆ เพราะอ้างว่าไม่มีเวลา จริงๆ แล้วคือไม่ใส่ใจมากกว่า คือเราไม่เล่นเฟซบุ๊กไง เลยไม่รู้จะไปทำอะไรกะมัน นานๆ ทีก็เลยเข้าไปโพสต์รายงานตัวทีนึง แล้วก็กลับมาข้างนอกเหมือนเดิม ส่วนหน้าเว็บก็ว่าจะเปลี่ยนดีไซน์ใหม่หมดตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่ได้ทำ (อันนี้อยากทำ แต่ไม่ว่างจริงๆ) ที่พอทำได้ก็คือเปลี่ยนสีเฉยๆ นี่เว็บฟอนต์หน้าแรกเปลี่ยนสี ปรับดีไซน์ไปนิดนึงอีกละนะ เพิ่งทำเมื่อเช้า เอาไว้ว่างสักสามวันจะรื้อให้หมดเลยคอยดู 5555

กลับมาเรื่องเพจฟอนต์ พอไม่ได้ทำอะไรกะมัน ผลคือ เพจเงียบสนิท ถึงปริมาณคนไลก์เพจจะเยอะเหมือนกันนะ ตอนนั้นนับได้แสนกว่าๆ (ตอนนี้สองแสนแล้ว) แต่ปฏิสัมพันธ์ห่วยแตกมาก ไม่มีอะไรที่ลากคนให้มีส่วนร่วมได้เลย นักการตลาดผ่านมาเห็นคงหัวเราะเงิบรัวๆ

พอโพสต์อะไรลงไปทีนึงเช่นปล่อยฟอนต์ใหม่ล่าสุดที่เท่มากๆ งี้ ก็มีคนไลก์โพสต์นั้นๆ แค่หยิบมือ (คือ 100 ไลก์นี่ก็โคตรถือว่าถล่มทลายแล้ว)

แต่พอตอนนี้เริ่มว่าง ลาออกจากงาน และตั้งใจว่าจะกลับมาทำให้มันหายร้างปั๊บ ก็เริ่มมีโต้ตอบ เริ่มโพสต์อะไรที่ไม่ใช่หุ่นยนต์บ้าง ถึงจะแค่สัปดาห์ละครั้งก็เหอะ แต่ผลที่ได้คือกราฟแม่งพุ่งปรี๊ดเลยครับ พอโพสต์ปั๊บ ก็พุ่งแบบที่เห็น ลองดูเทียบกะยุคก่อนหน้าที่เป็นกราฟแบนสนิทแล้วน่าละอายมาก

Facebook Page Insights

นี่ยังไม่รวมโพสต์ล่าสุดเรื่อง “ฟอนต์ศิลปากร” ที่เพิ่งปล่อยไปตะกี้ กราฟในภาพมันยังไม่นับนะ แป๊บเดียวล่อไป 1000 กว่าไลก์แล้วครับ ตกกะใจมาก
(สารภาพก็ได้ว่าเพิ่งเคยกดเข้าไปดูว่ามันมี Analytics แบบนี้ด้วย แต่แม่งออกแบบมาซับซ้อนยุ่งยากอีกละ คือทำให้ง่ายกว่านี้ได้นะ ไม่เชื่อดูวิธีของกูเกิลสิ #สาวก)

เออ สนุกดีว่ะ ทีนี้พอเริ่มคุยกะมนุษย์ทั่วไปปั๊บ คนก็เริ่มเข้ามาทำนั่นนี่ในเพจมากขึ้น ถึงมันจะโคตรเฉพาะทางเลยก็ตาม คือเราไม่มีอยู่แล้ว อีพวกเช้ามาสวัสดีครับ กลางคืนบ๊ายบายฝันดี แนบภาพอะไรพวกนั้น เพราะแม่งมีแต่เรื่องฟอนต์อย่างเดียว แถมเป็นแบบไม่ได้อิงกะวงการออกแบบชั้นสูงอะไรเลยนะ คือทำแบบบ้านๆ นี่แหละ นานๆ ทีก็จะมีแปะข่าวสารงานออกแบบอื่นๆ อีกหน่อยพอแก้เขิน

เอาวะ ถ้าเล่นแล้วมันสนุกแบบนี้ จะพยายามต่อไปครับ

หมายเหตุ:
มีอีกเพจนึงเป็นเพจร้านสกรีนเสื้อที่ผมเพิ่งเทกโอเวอร์มาจากเมีย คือเพจ monamafiashop อันนี้ก็เหมือนกะเว็บฟอนต์ แต่ต่างกันที่เมียเป็นผู้ดูแลมายาวนาน และปล่อยทิ้งร้างแบบสุดๆ เลย เพราะมัวแต่ไปสนุกกับกิจการร้านเดรสนลินฟ้าแทน ปล่อยไว้แบบนี้มาร่วมๆ สองปีได้ ใครถามอะไรก็ไม่ตอบ ง้อใครเป็นที่ไหนล่ะ! ผลคือเพจเงียบสนิท! คนไลก์กันสี่พันได้มั้ง แต่โพสต์ทีมีไลก์เดียว สองไลก์ 555 โธ่วววว

ทีนี้ถึงคราวผมเข้ามาดูแลเองละ คุณลูกค้าโพสต์ถามอะไรก็จะขยันตอบให้ได้เลยคอยดู… ตอนนี้มีคนไลก์สี่พันห้าแล้ว งั้นเดี๋ยวเป้าหมายถัดไปคือผมจะฟื้นฟูเพจของร้านนี้ให้กลับมาสนุกได้! แต่ทำไงวะ! — งั้น รบกวนท่านผู้อ่านช่วยกันกดไลก์กันหน่อยนะครับ ขอกันดื้อๆ เลย นะครับ ค่าขนมลูกผมเองครับ..

คดีสยองสองเรื่องควบ

พอดีเมื่อวานได้ฟังเรื่องน่ากลัวมาจากคนใกล้ตัว และเป็นเหตุการณ์ใกล้ตัว เลยเอามาทวีตเล่าก่อนนอน ปรากฏว่าคนสนใจกันเยอะ จนกล่องเมนชันระเบิดเลย เลยขอก็อปปี้มาลงในบล็อกอีกทีครับ (ขอเตือนว่าเรื่องที่สองนี่ขวัญอ่อนอย่าอ่าน แต่เรื่องแรกเอาไว้เตือนใจและเตือนสติ ควรอ่าน)

เรื่องแรกเกิดที่ลาดพร้าว

https://twitter.com/iannnnn/status/382156118908100608

https://twitter.com/iannnnn/status/382156437184462848

อันนี้ลิงก์ข่าว: โจรปาดคอนักข่าวคา ซ.เสือใหญ่ชิงมือถือ สาหัส-นอน ICU

ส่วนของเพื่อนผมไม่มีข่าวอะไร แค่ตำรวจรับแจ้งความแล้วก็บ่นว่าทำไมมาแจ้งช้า เสร็จแล้วก็แค่ลงบันทึก เงียบไป คนที่ไปสืบสวน สัมภาษณ์นักข่าวเคราะห์ร้ายต่อด้วยตัวเองก็คือตัวเพื่อนที่เป็นเหยื่อเองจนปิดคดี (คือคนธรรมดาไม่ใช่ดารา นกร้อง นักข่าวนี่ลำบากครับ กับกระบวนการยุติธรรมบ้านเรา นี่ไม่ได้พูดเหมารวม แต่สะท้อนว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ ตัวผมเองก็เคยเจออะไรแบบนี้แต่ไม่แรงเท่า (เคยเล่าในบล็อกเมื่อ 7-8 ปีก่อน) เลยเตือนไว้ว่ามัวรออย่าพึ่งตำรวจเลย

เรื่องที่สองเกิดขึ้นที่ปทุมธานี Continue reading คดีสยองสองเรื่องควบ