สัญญาว่าจะหัดเล่นเฟซบุ๊กอีกครั้ง

นี่เป็นคำพูดที่เคยประกาศอย่างจริงจังมาหลายที จนเหมือนเป็นสิ่งที่เชื่อถืออะไรไม่ได้แล้วนะ

คือผมเป็นพวกเสพติดการออนไลน์ โดยที่ไม่มีเฟซบุ๊กมาเกี่ยวข้องด้วยน่ะ ใครที่เข้าใจคำว่า “โลกออนไลน์ = เฟซบุ๊ก” อาจจะนึกภาพไม่ออก แต่ผมนึกออก เพราะตัวเองเป็นอยู่

ที่จริงตัวเองน่าจะเป็นคนไทยกลุ่มแรกๆ เลยมั้ง ที่ได้สัมผัสอีเว็บดังกล่าวจากคำชวนของน้องที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีใครคิดกันว่าวันนึงอาณาจักรไฮไฟว์จะพินาศลงได้

แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่แย่ เพราะเฟซบุ๊กไม่เคยทำให้ผมประทับใจได้เลย เนื่องจากแม่งไม่มีเพื่อนเล่น 5555

มันก็ชัวร์อยู่หรอกครับ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงนึกภาพไม่ออกกันแล้ว แต่ตอนนั้นเฟซบุ๊กแม่งเป็นเว็บสีขาวน้ำเงินน่าเบื่อๆ มีแต่การ poke กันไป poke กันมา อัปภาพ โพสต์ข้อความ เลี้ยงสัตว์ ทำควิซ และต้องคอยเฝ้าเพื่อรายงานตัวกับเพื่อนเป็นระยะๆ (ไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นมีปุ่มไลก์หรือยัง)

เชี่ย น่าเบื่อที่สุด เปลี่ยนตีม โมหน้ากากเล่นแบบฮิห้าก็ไม่ได้ ก็เลยเลิกเล่นไปนานมากๆ จนน่าจะจำรหัสผ่านไม่ได้ ต้องสมัครใหม่ด้วยซ้ำ (ไม่ชัวร์นะ คือยุคนั้นสมัครบริการนั่นนี่เปรอะมาก)

จนอีกสักพัก ผมก็ได้รู้จักทวิตเตอร์จากการสมัครเปรอะๆ เช่นกัน และพบว่ามันง่ายดีสำหรับคนที่มีโลกส่วนตัวอย่างเรา คือพอเข้าใจคอนเซปต์ของมันว่าเออ อยากทวีตอะไรก็ทวีตไป แล้วไม่ต้องคอยเฝ้าหน้าจอนะ ว่างเมื่อไหร่ค่อยมาเปิดและตอบคนที่มาถาม ไม่มีใครถือสาอะไร และไม่ต้องเร่งเร้า ไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่น

โอเค กูเล่นไอ้นี่แหละ

ก็เลยเสพติดโลกออนไลน์โดยมีทวิตเตอร์เป็นช่องทางหลักๆ (ควบคู่กับเว็บบอร์ดอายุเกือบสิบปีที่ชื่อฟอนต์.คอม ที่เหมือนกับเว็บบอร์ดทั่วโลกที่โดนผักตบชวาที่ชื่อเฟซบุ๊กมาทำลายระบบนิเวศไปซะมาก)

โดยที่เคยพยายามหัดเล่นเฟซบุ๊กถึงขนาดที่เคยตั้งเป็นปณิธานเลยก็มี แต่ก็ไม่สำเร็จสักครั้ง

คือเราไม่อินจริงๆ นะ 555

โปรไฟล์ตัวเองก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เพื่อนฝูงญาติมิตรก็ไม่ได้มีปัญหากับใคร เพจน่าสนใจก็มีมากมาย แต่ปัญหาคืออะไรวะ

เกลียดความรกของมัน?
เกลียดดีไซน์ที่ดูวุ่นวาย เกลียดการใช้ฟอนต์เล็กๆ เกลียดข้อจำกัดในการสร้างพื้นที่ส่วนตัว เกลียดความปิดกั้น เกลียดนโยบายที่ดึงดูดทุกเว็บให้ไปฝังอยู่ในระบบอันเทอะทะแต่ไม่เปิดระบบตัวเองให้เอาไปแปะตามเว็บชาวบ้านชาวช่องได้มั่ง (นี่มันเกลียดแบบเฉพาะทางสุดๆ เลยนะ) หรือเกลียดโฆษณาที่ดูรุกล้ำเรามากเกินไป เกลียดที่มันใช้ในมือถือไม่ถนัด เกลียดแคมเปญกลวง ห่าเหวจากนักการตลาดและเอเจนซีที่ไม่เก่งเท่าที่โม้ เกลียดวัฒนธรรมหลายอย่างในนั้นทั้งที่ระบบสร้างขึ้นมา กับที่ผู้ใช้บ้านเราสร้างกันเอง

เอ๊ะ หรือเกลียดความรู้สึกที่ว่าคนรอบข้างเกือบทุกคนเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนต้องเล่นเฟซบุ๊ก และต้องพร้อมออนไลน์เพื่อตอบข้อความเดี๋ยวนี้!!!

ก็ไม่ทราบได้

แต่นั่นเป็นข้อสงสัยที่ทำให้เราพยายามเท่าไหร่ก็ทำใจไม่ได้ ที่จะไปเสพติดมัน ทั้งที่เคยประกาศให้เพื่อนฝูงฟัง(อ่าน)หลายครั้งแล้วว่าปีนี้กูจะหัดเล่นให้ได้ คอยดูๆๆๆ เนี่ยเขียนลงบล็อกหลายทีแล้วด้วย คราวนี้เอาจริงสุดๆๆๆ

แต่ก็คึกได้แป๊บเดียว เลิก

ทุกวันนี้เฟซบุ๊กของผมจึงเป็นเพียงสถานที่สำเนาข้อความจากทวิตเตอร์อีกที (คือตั้งค่าในทวิตเตอร์ไว้ให้มันเด้งไปเฟซบุ๊กน่ะครับ ยกเว้นเวลาทวีตคุยกับใครมันจะไม่ขึ้น) ไม่ได้เคยสนใจจะไปพิมพ์คุยกับใคร หรือกดไลก์(ตามมารยาท)ให้กับคอมเมนต์ของเพื่อนที่อุตส่าห์เข้ามาเขียนคอมเมนต์ใส่ข้อความอัตโนมัติของเราโดยที่ไม่รู้ว่าไอ้บ้านี่ของแท้ต้องไม่เคยออนนะจ๊ะ

จนมีวันหนึ่งที่ตัวเองพอจะนึกออกว่าบรรยากาศของเฟซบุ๊กมันคล้ายๆ กับ MSN ในยุครุ่งเรือง นั่นคือมันจะมีความคิดมาตรฐานอย่างหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันว่า “ทุกคนต้องเล่นเอ็ม” และการไม่เล่นเอ็มถือเป็นความบ้าบอที่เห็นแล้วสงสัยว่ามึงอินดี้ไปหรือเปล่า เนี่ย มี MSN Plus ด้วยนะ แต่งอีโมได้ด้วยนะ ทำวิงก์กระพริบๆ ได้ด้วยนะ เปลี่ยนสีฟอนต์ได้ด้วยเหอะ ฯลฯ

นั่นแหละที่ทำให้ผมเลิกเล่นเอ็มอย่างถาวร ไม่สนใจสังคมมากมายที่อยู่ในนั้น คือมันจอแจไป

เออ พิมพ์มาถึงคำว่าจอแจปั๊บนึกออกเลย ใช่ๆๆ “มันจอแจ”

คือเฟซบุ๊กมันมีสาธารณูปโภคและสิ่งเร้ามากมายให้เราเสพติดและอยู่กับระบบของมันนานๆ เลยมีการไลก์ (และการไม่มีปุ่มดิสไลก์) มีโนติแดง ข้างบน พร้อมกับเด้งเตือนเมื่อเพื่อนเราทำอะไร (ผมแทบไม่เคยกดโนติเลย) มีแถบเสือกด้านข้างที่ยิ่งบิ๊วนิสัยเสือกของมนุษย์ขึ้นมาอีก มีนั่นมีนี่สารพัด ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วผลักดันให้เราต้องทำตามคำสั่งที่ระบบมันวางเอาไว้ โดยที่ผู้ใช้อาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เพลิดเพลินไปกับมัน และสร้างเป็นพฤติกรรมร่วมของมนุษย์ในยุคนี้ไปแล้ว (เช่นการชอบกดไลก์ ใช่กดแชร์ แคร์กดคอมเมนต์ อะไรแบบนี้)

ทุกอย่างดูดีและโซเชียลที่สุดเลยใช่ไหมครับ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเลย ที่จะทำให้เรารู้สึกว่า “มันเป็นพื้นที่ของเราจริงๆ” แม้แต่ในหน้าโปรไฟล์ของเราเอง ที่ทุกอย่างต้องระบุตามช่องกรอกของมัน ไม่สามารถเปลี่ยนอะไร หรือแหวกอะไรได้มากกว่านี้แล้ว คุณมีหน้าที่เพียงกรอกข้อมูลของคุณ พร้อมภาพถ่าย ภาพปก และหมั่นอัปเดตสเตตัสอยู่เสมอๆ เพื่อบอกความเป็นคุณให้โลก(หมายถึงโลกบนเฟซบุ๊ก)รู้ ส่วนอะไรที่ “เป็นคุณ” จริงๆ หรือเป็นเพียงสิ่งที่อยากจะบอกว่านี่คือคุณ อันนี้ก็แล้วแต่จะปรุงแต่งกันตามใจนะ

ผลก็อย่างที่เห็นเลยครับ ทุกคนประกาศความเป็นคุณกันโบ้มๆ

เหมือนเวลาเลี้ยงรุ่น เพื่อนๆ มากันเต็มห้องเลย แล้วดันมีแต่คนแย่งกันพูด ไม่มีพื้นที่สำหรับคนชอบความเงียบตรงมุมห้องอย่างผม

เราเลยหันไปเล่น Google+ แทน

ผมเลยยังคงมีความสุขดีกับทวิตเตอร์ที่ไม่รุกล้ำพื้นที่ของตัวเองนัก เพราะระบบของมันไม่ได้ถูกออกแบบมาด้วยวิธีคิดแบบผู้ผลิตยาเสพติดสักเท่าไหร่ แต่ถูกออกแบบมาให้มี “ช่องว่างระหว่างไทม์ไลน์” กว้างพอที่จะหายใจหายคอ และเรียกร้องความอิสระจากมันได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในพื้นที่ของคุณ เกิดพึงพอใจอยากทำอะไรขึ้นมาก็เชิญ

นั่น ทำไปทำมากลายเป็นบล็อกด่าเฟซบุ๊กอีกแล้ว

เอาจริงๆ ถึงจะไม่ชอบที่ตัวระบบและปรัชญาการออกแบบระบบของเฟซบุ๊กนัก แต่เราก็ไม่ได้เกลียดชังเพื่อนในนั้นนี่นา แถมเพื่อนที่เข้าใจว่า “ทุกคนต้องเล่นเฟซบุ๊ก” ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะมันเป็นความเข้าใจสากลไปแล้ว เช่นเดียวกับสมัย MSN หรือไฮไฟว์ หรือยุคนี้ที่คนใช้มือถือไอโฟนก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนแบบแอปเปิล (ที่ผมไม่ค่อยชอบปรัชญาการออกแบบระบบของมันเหมือนกัน) นี่นา

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมอยากหัดเล่นเฟซบุ๊กอีกครั้ง และอีกครั้ง

เห็นแบบนี้ก็อยากเข้าสังคมเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นพวกชอบอยู่เงียบๆ ตรงมุมห้องก็เถอะ

หวังว่าคราวนี้น่าจะทำได้นะ

ป.ล.
บล็อกตอนนี้ตื่นมาเขียนในมือถือตอนเช้ามืดเลยครับ ไม่มีคนอ่านก็ช่างมัน เพราะมันเป็นเรื่องปัจเจกมากเลยนะ 555 คือที่จริงนอนไม่หลับน่ะครับ เพราะเมียท่าทางจะไม่สบาย หลังจากไปบ้านพี่ชายที่เพชรบุรีมา แล้วบ้านนั้นก็ไอกันทั้งบ้าน พอเมียป่วย ผมเลยแยกมานอนที่พื้น แล้วมันเย็น เลยตื่นตั้งแต่ตีสี่ คิดนั่นนี่ไปมาเลยเขียนบล็อกแก้ว่างดีกว่า

ป.อ.
เออ จะบอกว่าหลายครั้งที่นั่งขี้อยู่ดีๆ ก็คิดไอเดียเพจเฟซบุ๊กสนุกๆ แบบที่น่าจะมีคนไลก์เยอะๆ ขึ้นมาทีไร ก็ต้องขยำทิ้งไปทุกที ก็ปัญหาคือเราแม่งดันไม่เล่นเฟซบุ๊ก ขี้เกียจคอยนั่งอัปเดตสม่ำเสมอน่ะสิ ถ้าทำเองแม่งต้องเบื่อและเลิกไปในในเจ็ดวันแน่ๆ (แล้วต่อมาไม่นานก็จะมีคนที่คิดได้เหมือนกันกับเราที่ทำเพจแบบนั้นเป๊ะๆ และประสบความสำเร็จจริงๆ อันนี้ดีใจนะ แต่อวดใครไม่ได้เพราะเราแค่ฝัน แต่เขาลงมือทำจริงๆ ต้องยกย่องครับ)

ป.ฮ.
เชี่ย เจ็ดโมงแล้ว บาย (เขียนเสร็จก็ทวีตลิงก์บล็อกนี้และให้มันไปโผล่ในเฟซบุ๊กเอง จบ)

โลกหมุนที่ความเร็วสามแมวเดินคุยกัน

กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน

พอดีแอปทวิตเตอร์มันเด้งขึ้นก่อนโครม เลยทวีตไปทีนึงว่าจะเขียนบล็อกด่วน เสร็จแล้วก็เปิดหน้านี้ขึ้นมาเขียน จะได้ด่วนจริงๆ ไม่งั้นนั่งพิมพ์เป็นชั่วโมงแน่

เรื่องของเรื่องก็คือ ผมโคตรมีความสุขเลยครับตะกี้

พอดีลูกเมียไปค้างบ้านแม่ยาย เมื่อคืนผมเลยนั่งทำงานจนดึกไปหน่อย วันนี้หลังจากตื่น (สิบโมงครึ่ง) ลุกจากที่นอน (เที่ยงครึ่ง — พอดีเสพติดโทรศัพท์และอ่านการ์ตูนอยู่ ไม่ดีๆๆ) อาบน้ำแปรงฟัน เสร็จแล้วเอาโทรศัพท์ไปชาร์จทิ้งไว้ แล้วเดินลงมาหยิบกระเป๋าตังค์และกุญแจบ้านเพื่อขี่จักรยาน ออกเดินทางไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ซอยลาดปลาเค้า 62 (ก๋วยเตี๋ยวหมูเปื่อย อร่อยมาก อยากให้ทุกคนที่อ่านถึงตรงนี้ได้ลองจริงๆ)

แล้วพอดีว่าแดดวันนี้มันไม่แรงไงครับ ลมกำลังเย็นสบาย ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตก ก็เลยพบอณูความชิวกระจายอยู่ในมวลอากาศเป็นปริมาณหนาแน่นผิดปกติ (ขอเรียกว่า “ความชิวสัมพัทธ์”)

ผมเลยขับเลยปากซอยเข้าหมู่บ้านไปอีกหน่อย กะว่าจะไปเที่ยวตลาดลาดปลาเค้าเล่นๆ มันตอนบ่ายนี่แหละ ชาวบ้านเขาทำงานกัน แต่เราไม่

จอดรถซื้อถั่วหน้าปั๊มน้ำมัน แม่ค้าจะใส่ถุงพลาสติกให้อีกชั้น เราปฏิเสธ (ด้วยความโลกสวยและรักสิ่งแวดล้อม) แม่ค้าถามว่า “ไม่เอาเหรอ ไว้ใส่เปลือกไงน้อง” … เออ ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย วงการถั่วต้มนี่ร้ายกาจจริงๆ แต่สุดท้ายก็ไม่เอา เราหยิบถุงถั่วมาแขวนไว้ตรงแฮนด์จักรยานแล้วปั่นต่อ หาที่จอดหน้าตลาดไม่ได้ ก็เลยปั่นเลยไปเรื่อยๆ

เป้าหมายคือ…

ไม่มีว่ะ ไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาทำไม แต่ตีนมันปั่นไปแล้ว มือนึงกำแฮนด์ อีกมือล้วงเข้าไปในถุงถั่ว และแกะกินระหว่างปั่นไปด้วย

การปั่นจักรยานของผมนั้นไม่เคยคิดว่าจะปั่นให้เร็วเท่าไหร่เลย เพราะเคยพยายามปั่นเร็วๆ เผื่อจะได้เท่แบบคนอื่นที่เคยขับแว้นแซงบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ร่างกายเราบอกว่าปั่นไปมึงก็เมื่อย และที่สำคัญมากคือมันไม่ชิว

เมือสะกิดใจถึงสิ่งนั้น ผมเลยปั่นด้วยความเร็วระดับ 3 แมวเดินคุยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

และพบว่าบรรยากาศสองข้างทางนั้นเป็นของเราโดยสิ้นเชิง

ผมขับรถยนต์เวลาไปไหนมาไหนกับลูกเมีย

ผมขี่ฟีโน่เมื่อเดินทางไปทำงาน

ผมขึ้นรถเมล์เมื่อเบื่อรถไฟฟ้า

นี่ถ้าแถวบ้านมีท่าเรือ ผมก็อาจจะขึ้นเรือ เพื่อให้การเดินทางในแต่ละวันไม่ซ้ำกันก็ได้

แต่จักรยานสำหรับผมนั้นไม่ใช่การเดินทาง มันคือการโดดขึ้นขี่เพื่อย้ายตูดตัวเอง (สำนวนฝรั่งซะด้วย) จากที่นึงไปอีกที่นึง โดยไม่ได้ระบุพิกัดเป้าหมาย เพราะมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจริงๆ

อย่างเมื่อวานปั่นไปคืนหนังสือการ์ตูนแถวเสนา (ผ่านบ้านเศรษฐี ถ่ายรูปไว้ด้วย) ก็กะว่าจะไปทางปกติที่ขับรถยนต์ไป แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจ เลี้ยวเข้าซอยที่ไม่ค่อยได้เข้า และแวะชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ

ใช้เวลามากกว่าเดิมสองเท่า แต่ความสุขมันแทบจะล้นออกมาจากสองรูจมูก

แม้โอกาสจะเพิ่งอำนวยเมื่อไม่นาน หลังจากลดเวลาการทำงานที่บริษัทลง แต่นั่นก็ยิ่งย้ำให้ตัวเองรู้ว่า ผมชอบการเดินทางแบบนี้ คือไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็จอดแวะซื้อน้ำเก๊กฮวยกิน แล้วก็ปั่นต่อ

มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งเมื่อขี่แว้น และยากกว่านั้นอีกเมื่อขับรถยนต์ เรากำหนดจุดหมาย แล้วก็ขับไป มีสมาธิจนถึงจุดหมายปลายทาง

ซึ่งอารมณ์นี้ไม่เกิดขึ้นกับจักรยานเลย

ด้วยความเร็วระดับสาวแมวฯ ทำให้เห็นว่าสองข้างทางนั้นมีบ้านคน ทั้งแบบรวยๆ รั้วสูงๆ กับแบบจนๆ ที่ไม่มีรั้วเลย จนเราอนุมานได้ว่าความรวยนี้แปรผันตรงกับความสูงของรั้วบ้าน

มีถังขยะ 3 แบบ (แบบขุ่น แบบเขียวเหลือง และแบบถังสีน้ำเงิน) มีต้นไม้ใบหญ้าที่ปกติเราไม่ได้เจรจากับมัน แต่พอปั่นจักรยาน เราเลยได้โยนเปลือกถั่วลงไปเป็นปุ๋ยไนโตรเจนให้มัน (แต่มันเป็นวัชพืชนะ)

มีหมาที่บางตัวเป็นมิตร บางตัวกลัวเรา บางตัวเตรียมโจมตี เราก็เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์เดียวกับมัน (เกียร์หมา) แล้วปั่นหนีสุดชีวิต

มีร้านรับปะ ซ่อม เย็บเสื้อผ้าจำนวนมาก คือแถวๆ นั้นเป็นแฟลตทหารน่ะครับ แล้วเมียจ่านี่แหละ เป็นทรัพยากรแรงงานด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าที่สำคัญยิ่งต่อประเทศเรา

มีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำที่ว่าเด็ด (ธรรมดา 30 พิเศษ 35) แต่ดูแล้วงั้นๆ อยู่ติดกับร้านข้าวแกงที่ดูไม่น่าอร่อยเหมือนกัน แต่มีตู้แช่น้ำยี่ห้ออาร์ซีโคล่า ซึ่งดูเจ๋งมาก ไม่แคร์สงครามน้ำดำเจ้าอื่นทั้งสิ้น น่าเสียดายเรากินน้ำอื่นไปแล้วก่อนหน้านี้

มีคลองน้ำเน่าที่เหม็นมาก กลิ่นงี้โชยมาแตะจมูก ทิวทัศน์ก็ไม่สวยเลย ผักตบงี้เต็ม แต่ที่เต็มกว่าคือผักบุ้ง ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าผักบุ้งที่ขึ้นจากน้ำเน่านี่มันกินได้ไหม แล้วแม่ค้าผักบุ้งที่ตลาดบัวนี่เขาเก็บจากแถวนี้ไปขายหรือเปล่า

มีถนนที่สร้างไว้เปล่าๆ เหมือนงบเหลือ นานๆ ที จะมีรถผ่านมาสักคันให้พอหายเหงา แต่นั่นกลับทำให้สภาพผิวถนนดีมากๆ ลองปั่นไปปั่นมา วนซ้ายวนขวาบิดๆ เบี้ยวๆ เพราะต้องแกะถั่วกินไปด้วย ก็พบว่าปลอดภัยดี ไม่มีแท็กซี่มาตำ

สรุปว่าเมื่อกี้ผมปั่นไปรอบๆ ราบสิบเอ็ด (คือสถานที่เดียวกับที่รัฐบาลพี่มาร์คเข้าไปตั้ง ครม.อยู่ในนั้น ขณะที่มีชุมนุมเสื้อแดงปี 53 น่ะ) แล้วจอดคุยกับทหารยามที่เฝ้าประตูทางเข้าในโซนทหารช่าง ว่าที่นี่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาปั่นจักรยานชิวๆ เล่นไหม และได้คำตอบว่า “เข้าได้จ้ะ หลังเวลาราชการคือบ่ายสามครึ่งก็จะเปิดให้เข้ามาออกกำลังกายได้จ้ะ”

อันที่จริงผมเคยขับรถหลงเข้าไปเพราะคิดว่ามันเป็นทางลัดไปร้านขายต้นไม้ในราบ 11 ที่เยอะๆ และหาทางเข้ายากฉิบหายน่ะครับ ที่ไหนได้มันเป็นคนละโซนกัน (ตอนออกมาโดนทหารที่เฝ้าประตูนี่แหละดุเอาด้วย ว่าทำไมไม่ถามผม เขา ว.กันให้วุ่นเลยว่ามีรถภายนอกเข้าไปในเขตหวงห้าม 55555 T-T) แต่วิวงี้สวยเช็ดเม็ดจนไม่คิดว่านี่คือกรุงเทพฯ เลยครับ เพราะโซนนี้มีโบกี้รถไฟเก่าๆ วางทิ้งไว้ริมบึงน้ำด้วย น่าถ่ายมิวสิกมากๆ คือช่วงพระอาทิตย์กำลังอ่อนล้านี่ บรรยากาศบริเวณดังกล่าวแม่งชิวระดับแปดจุดเก้าเลยทีเดียว

เอาไว้เดี๋ยวลูกเมียกลับมาถึงบ้าน จะพาเข้าไปเดินเล่นในนั้นกันอีกที หวังว่าคุณทหารจะไม่ดุแล้วนะ

ส่วนคราวนี้ ผมไม่ได้เอามือถือไป เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาอวดครับ แวบนึงก็เสียดาย เพราะเราแม่งเป็นทาสโซเชียลไง เจออะไรก็ต้องอัป ต้องทวีตอวดชาวบ้าน แต่นี่ไม่ได้เอาไป เลยตัดโหมดนี้ทิ้งไป เลิกเสียดาย แล้วดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางเต็มที่

เสร็จแล้วก็กลับมาถึงบ้าน เหงื่อท่วม ฟินมาก เปิดคอมทันทีด้วยความอยากระบาย ตามนิสัยของมนุษย์ยุคนี้ที่มีอะไรก็ต้องอวดชาวบ้านไว้ก่อน..

(อ่านบรรทัดแรกอีกครั้ง)

งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข

จริงเหรอวะ

ใครเป็นคนเริ่มพูดวะเนี่ย แล้วมันฝังหัวด้วยนะ เพราะเราได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็ก
แต่ถามว่าเชื่ออย่างที่เขาว่าไหม? ถามตัวเองในตอนนี้คงจะได้คำตอบว่าไม่เชื่อแน่นอน เพราะเราไม่ได้จนกรอบแบบเมื่อก่อนแล้ว อุดมการณ์น่าจะเปลี่ยนไป

จึงขอย้อนกลับไปถามตัวเองเมื่อมัยเรียน ตอนที่ไม่มีเงินเลย แม้จะแบมือขอพ่อแม่ก็ยังไม่พอที่จะใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสำหรับคนอยู่หอพักในกรุงเทพฯ (ถูกๆ ด้วยนะ) จนต้องทำงานพิเศษระหว่างเรียนเป็นการรับจ็อบออกแบบนั่นนี่ จนทำให้เราเป็นเราในวันนี้

พอถามไอ้แอนตอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบ มันก็บอกว่าจริง ถ้ามึงอยู่ในสถานะปากกัดตีนถีบ สิ่งสำคัญในชีวิตคือการเอาปากท้องตัวเองให้รอดก่อน แล้วที่เหลือค่อยว่ากัน

แต่ไอ้แอนตอนอายุยี่สิบ (นั่งถัดจากไอ้แอนคนก่อนหน้านี้ 1 ปี) มันเริ่มเริ่มมีเพื่อน มีสังคมนอกคณะ เรียกว่ากบาลเริ่มเปิดเพราะพอจะรู้จักโลกภายนอกแล้ว มันชิงตอบว่า พอมีเงินเข้ามาพอให้ตัวเองพ้นจากสภาวะปากกัดตีนถีบปั๊บ สิ่งที่ต้องการในชีวิตก็จะเปลี่ยนไป เหมือนที่อีตามาสโลว์แกเคยกล่าวไว้ว่า ความต้องการของมนุษย์มันไล่มาจากพื้นฐานสุดๆ คือเอาตัวเองให้รอดก่อน ค่อยกระดึ๊บเป็นลำดับถัดไปเป็นสเต็ปๆ (ใครไม่เคยอ่านที่แกกล่าวก็กดเข้าไปซะนะ)

ทีนี้ลำดับถัดไปของใครจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่ของผม มั่นใจตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบันเลยว่า “ธง” ในชีวิตคือความชิว ไม่ใช่เงิน

ผมเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งท่ามกลางมนุษย์อีกหลายหมื่นแสนล้านคน ที่มีความต้องการถัดจากขั้นพื้นฐานแตกต่างกันออกไป บางคนมีความสุขที่จะได้แฟนที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000 บาท (ที่เพิ่งเป็นกระแสฮือฮาดราม่าในทวิตเตอร์เมื่อวันก่อน ลองกดอ่านดู) บางคนแฮปปี้ที่มีเงินเก็บ 1 ล้านบาทตอนอายุ 31 บางคนอยากมีชื่อเสียง บางคนอยากมีอำนาจ บางคนอยากได้รับการยกย่อง บางคนคิดว่าพอตายไปแล้วอยากทิ้งอะไรให้โลกไว้สักอย่างให้คนยังพูดถึงอยู่ (ผมก็เป็นประเภทนี้) บางคนอยากมีเพื่อน บางคนอยากปี้ให้ครบทุกประเทศทั่วโลก (มีจริงๆ เคยอ่านมา อิจฉา เอ๊ยทึ่งมาก ที่มึงอุทิศชีวิตเพื่อการขยายพันธุ์ได้ขนาดนี้) บางคนอยากนิพพาน บางคนอยากเห็นโลกสงบสุข บางคนอยากได้ประชาธิปไตย และบางคนอาจอยากจับนมสาวเกิร์ลเจนสักครั้ง

ส่วนผม บวกลบคูณหารดูแล้วยังมั่นใจว่า ธงในชีวิตตัวเองไม่ใช่เงินแน่นอนครับ แต่มันคือความชิว (แล้วจะพูดซ้ำกับย่อหน้าข้างบนทำไม) ให้นึกภาพว่ายอดเขาที่ตัวเองกำลังปีนอยู่และหวังว่าวันหนึ่งจะได้ขึ้นไปยืนปักธงอยู่บนนั้น มันต้องชิวมากแน่ๆ

ว่าแต่ความชิวคืออะไร?

คำว่าชิวของผม (ที่จริงมันต้องเขียนว่า ชิล หรือ ชิลล์ แต่เพื่ออรรถรสส่วนตัวผมเขียนชิวละกัน เหมือนคำว่าโซเชี่ยวอะ) หมายถึงการนอนกลิ้งๆ ขี้เกียจๆ แคะขี้มูก อ่านการ์ตูน อ่านหนังสือ ไปขี่จักรยาน ไปเที่ยวดูนกดูไม้ โดดน้ำเขื่อน พาลูกเมียไปทะเล ฯลฯ

แค่นี้เอง ต้องการแค่นี้จริงๆ แต่กว่าจะได้มานั้นก็พบว่ามันต้องใช้เงินครับ ก็เลยมีบ้างที่ตัวเองต้องทนทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชอบ (อย่างกลางเมืองหลวงในกรุงเทพฯ เนี่ย) เพื่อแลกเงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และตอบสนองความต้องการขั้นที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของตัวเอง

ผมเกลียดชีวิตมนุษย์เงินเดือน เกลียดระบบการทำงานที่ซ้ำๆ กันทุกวัน ถึงจะได้เงินเยอะ แต่เมื่อแลกกับเวลาที่หดหายไปกับการเดินทางนั้น ก็พูดได้เต็มปากว่าโคตรไม่คุ้มเลย

เออ พออ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นพวกมีปัญหากับบริษัทนะ ไม่หรอกครับ กับวิชาชีพที่เราทำอยู่นี้ (งานออกแบบเว็บและอินเทอร์เฟซต่างๆ รวมถึงการเป็นสถาปนิกเว็บด้วย) เรามีความสุขดี เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็น่ารักและเป็นมนุษย์ประเภทที่เคมีตรงกัน เจ้านายที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น แค่นี้ก็ถือว่าโคตรน่าอยู่แล้ว จึงสรุปได้ว่าเราไม่ได้ไม่ชอบบริษัทนี้ เราไม่ได้มีปัญหากับใคร ยกเว้นตัวเอง ที่รับไม่ได้กับการหมดเวลาของชีวิตตั้งเยอะกับการทำงานบริษัท

ซึ่งไม่ชิวเลย

ต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงไปขอลาออก ถึงจะไม่สำเร็จ แต่ก็ยังได้ข้อเสนอที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิม คือไปทำงานอาทิตย์ละสองวันพอ แน่นอนว่าเงินเดือนตอนนี้ก็ถูกปรับลดลงตามสเกล ตอนนี้ถ้านับงานนอกงานใน ก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีรายได้พอที่จะไปเป็นแฟนบางคนในทวิตเตอร์ได้แล้ว 55555

แต่ถามว่าแคร์ไหม บอกได้เลยว่าไม่แคร์ และยินดีมากด้วย เมื่อได้แลกมากับ “เวลา” ที่เป็นหัวใจของความชิว

ตอนนี้เราตื่นแปดโมงทุกวัน ตื่นเองแบบไม่ต้องมีนาฬิกาปลุกก็ได้ นี่ก็ชิว / ลุกขึ้นจากเตียง หยิบการ์ตูนที่อ่านไว้จนสัปหงกเมื่อคืนขึ้นมาอ่านต่อ พร้อมกับดินไปแปรงฟัน นี่ก็ชิว / พอลูกเมียอาบน้ำเสร็จ ก็นั่งจับลูกใส่เสื้อผ้า แล้วใช้เวลาไปอีกชั่วโมงกับการอ่านนิทานให้นิทานฟัง นี่ก็ชิว / ก่อนจะเปิดมือถือและเข้าไปจมปลักในโลกออนไลน์ที่เราเสพติดอยู่ นี่ก็ชิว / ว่างๆ วันไหนก็ได้ที่นึกอยากจะออกนอกบ้านก็ไปเที่ยวพักผ่อนกะลูกกะเมียก็ได้ไป นี่แหละคือความชิว

ใช่แล้ว ความชิวคือความขี้เกียจ!

และก็ใช่แล้ว เราเป็นมนุษย์ขี้เกียจ เราทำทุกอย่างได้เพื่อบูชาความขี้เกียจ!

ทำทุกอย่างได้แม้กระทั่งต้องเบนไปนอกลู่นอกทางนิดนึง ด้วยการไปทำงานบริษัทด้วยความจำใจ

เปล่า เราไม่ได้ปฏิเสธเงิน แต่ไม่ค่อยชอบคำขวัญที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”

เพราะความสุขไม่ได้เกิดจากการบันดาลของเงินเท่านั้น เงินน่ะเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร้อยพันสิ่งที่จะสามารถบันดาลความสุขให้กับเราได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่ได้รับการปลูกฝังมา

แถมเมื่อชั่งนำ้หนักกับ “เวลา” แล้ว เราให้ราคากับเวลามากกว่าเงินมากมายนัก (ฟังดูเป็นคำพูดของคนมีเงินแล้วดีนะ ไม่หรอก เราเป็นงี้มาตั้งแต่เป็นไอ้แอนอายุยังไม่ถึงยี่สิบละ) ก็เลยพาลเกลียดวัฒนธรรมที่เป็นผลพวงจากคำขวัญปลุกใจมนุษย์เงินเดือนดังกล่าว นั่นคือพอคนเราทำงานกันจนชินชาแล้ว เราก็จะคิดว่าชีวิตนี้ข้าขออุทิศเพื่องาน เป็นพนักงานบัญชีก็ทำบัญชีต่อไป เป็นเด็กเสิร์ฟก็เสิร์ฟต่อไป เป็นคนทำเว็บก็ทำเว็บต่อไป

แล้วเวลาแนะนำตัวเองกับใคร จะต้องมี bio ห้อยท้ายต่อจากชื่อของตน คือพูดชื่อก่อน “สวัสดีครับ ผมชื่อแอน” แล้วคำถามต่อมาที่เจอทันทีหลังจากรู้จักชื่อก็คือ “ทำงานอะไรอยู่ครับ”

เฮ้ย มึงถามอายุ ถามแนวเพลงที่ชอบ ถามสเป็กสาว ถามว่าเมื่อวานกินอะไร กินพริกหยวกได้ไหม อะไรงี้ก่อนได้ไหมอะ

มนุษย์เรามีวิธีการเขียน bio ตั้งมากมายไว้ระบุถึงความเป็นตัวเองนะครับ ไม่ใช่แค่เขียนถึงวิชาชีพที่ตนสังกัดอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น เพราะมันแบนไป

และไม่ชิวเลย

.

ป.ล.
บล็อกตอนนี้เขียนวกวนหน่อย ช่างมันเนอะ ขี้เกียจรีไรต์ ขนาดสรรพนามตอนแรกๆ ยังเรียกตัวเองว่าผม พอหลังๆ มาเป็นเราเฉยเลย

ป.อ.
เออ ลืมเขียนไปเรื่องนึง การปลดหนี้ได้คือต้นทุนของความชิวนะ ที่ผ่านมาเราทำงานนั่นนี่สารพัดเพื่อการปลดหนี้ให้หมด จนตอนนี้บ้านที่ซื้อก็ผ่อนหมดแล้ว รถก็ผ่อนหมดแล้ว และมีเงินทองเก็บอีกนิดหน่อยพอที่จะเอาตัวรอดได้ แถมยังวางแผนการหาเงินของตัวเองไว้พอสมควร ไม่ได้ถึงกับลงมือศึกษาหรือโดดไปเล่นหุ้น(มันไม่ชิว) แต่ก็ไม่ได้ผยองหรือประมาทในการใช้ชีวิตบนโลกของทุนนิยมนี่นา ดังนั้นการมีเงินเดือนเท่าเด็กจบใหม่แบบนี้ ก็น่าจะเลี้ยงลูกเมียได้นะ 55555

ป.ฮ.
ว่าจะวาดภาพประกอบ แต่ตอนที่ผ่านๆ มาก็วาดแบบตีนปาด(เพราะขี้เกียจ) … อายว่ะ ไม่วาดดีกว่า

เราอาจจะได้เห็น Adobe CS7 คืนชีพอีกครั้ง?

adobe-cc-cs

ใครที่ไมไ่ด้ตาม ลองอ่านข่าวนี้ก่อนนะครับ: Adobe ยกเลิก Creative Suite ต่อไปนี้จะกลายเป็น Creative Cloud
ส่วนใครที่ขี้เกียจอ่านน้ำๆ จะข้ามไปเนื้อเลย ก็โดดไปย่อหน้าที่มีคำว่า “ขี้” สีแดงๆ ข้างล่างเลยครับ

Continue reading เราอาจจะได้เห็น Adobe CS7 คืนชีพอีกครั้ง?

ยาวไปไม่อ่าน

ผ่านงานหนังสือมาเกือบสองเดือนแล้ว ผมเพิ่งหยิบหนังสือเล่มแรกจากงานนั้นมาอ่าน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซื้อหนังสือจากงานมาดองไว้ เหมือนกับว่าพอเห็นปก เห็นชื่อคนเขียนปั๊บ ก็อยากจะครอบครองมันเพื่อความเท่และแสดงตัวตนอะไรบางอย่าง เอาเข้าจริงไม่ได้อินหรือสนใจเนื้อหาข้างใน เท่ากับการได้อวดคนอื่นว่า “อ๋อ เล่มนี้เหรอ เราซื้อแล้ว”

แน่ะ ดูหล่อเลยเห็นไหม มีรสนิยมจริงๆ เมื่อได้บอกใครว่ามีหนังสือเล่มนี้ของนักเขียนคนนี้ (แต่อ่านหรือไม่นั่นอีกเรื่อง — อ่านแล้วเก็บอะไรไปได้แค่ไหนนั่นก็อีกเรื่อง)

เมื่อก่อนก็แปลกใจพฤติกรรมนี้ของตัวเองเหมือนกันนะครับ แต่พอผ่านงานหนังสือครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็พบว่าตัวเองมีหนังสือประเภทดังกล่าว (ซื้อมาไว้เท่ๆ) เยอะขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมาสำรวจตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร

ก็สรุปได้ว่า ระยะหลังมานี้ เราเหลือสมาธิในการอ่านหนังสือน้อยลงจริงๆ
Continue reading ยาวไปไม่อ่าน