สวัสดีกล้องใหม่ Olympus E-P5

(คำเตือน: นี่คือบล็อกตอนที่ว่าด้วยกิเลสและทุนนิยม)

(เตือนอีกที: นี่ไม่ใช่รีวิวกล้องนะครับ แต่ถ้าใครสนใจจะถามอะไรเชิญที่คอมเมนต์ครับ ถ้าพอตอบได้ก็จะตอบจ้ะ แต่อย่าหวังคำตอบแนวน้าๆ นะ)

สวัสดี E-P5

ผมวางโครงการเปลี่ยนกล้องมาหลายเดือนแล้วครับ ตั้งใจว่าจะเกษียณเจ้า GF1 กล้อง mirrorless สีแดงแปร๊ดที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน คือเรียกว่าเป็น “ของเล่น” ที่ใช้ทำมาหากินควบคู่กันไปด้วย (ใช้ถ่ายแบบแฟชันของร้านนลินฟ้าครับ ทำสตูดิโอถ่ายกันบ้านๆ นี่แหละ แต่ก็ช่วยให้ครอบครัวเรามีตังค์ซื้อข้าวกินทุกวันนี้) ใช้มาจนตรงนั้นขัด ตรงนี้สนิม แต่ยังถ่ายภาพได้ดีอยู่ โดยที่รู้สึกแค่ว่าคุณภาพของภาพถ่ายในระยะสามสี่ปีหลังจากการเกิดมาบนโลกของ GF1 เนี่ย มันน่ามีอะไรพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากๆ แล้ว และเทคโนโลยีที่เคยราคาแพงในสมัยนั้น ก็น่าจะปรับราคาลงจนเราเอื้อมถึงได้ ทำให้การถ่ายรูปเล่นและใช้ทำงานไปด้วยก็คงจะสะดวกมือขึ้นนะ

โจทย์ที่วางเอาไว้ก็คือ กล้องตัวต่อไป ต้องถือแล้วดูหล่อ อวดความเป็นสลิ่มได้เต็มที่ แต่ไม่เอากล้องใหญ่ๆ หนักๆ ที่พกยากนะ คือเลิกคบ DSLR ขายทิ้งหมดตั้งแต่สมัยที่เจอ GF1 แล้วหลงรักนั่นแหละ

ส่วนประเด็นรองคือความเก่งของกล้อง ตามสเป็กที่โอตาคุและน้าๆ เขาชอบเอาตัวเลขนั่นนี่มาข่มกัน คือมีอะไรที่ดูเลขเยอะๆ ได้ก็ดี แต่ไม่ได้สนใจจะเน้นมันเท่ากับประสบการณ์การใช้งานที่ดี (เป็นนิสัยของพวกคนทำงานออกแบบรึเปล่าวะ)

ถ้าให้เรียงลำดับความสำคัญก็จะได้ สวย > นิสัยดี > เก่ง

หลังจากอ่านนู่นนี่อยู่นาน ก็มาชอบ E-PL5 สีขาวขอบน้ำตาล เพราะมันดูตุ๊ดๆ ดี (ผมชอบใช้ของที่มันดูตุ๊ดๆ ครับ) และน่าจะใช้กับเลนส์เก่าของเราได้ด้วย แต่พอไปดูของจริง แม่งไม่สวยอย่างที่เห็นในเว็บเลย บายนะ นี่ยังไม่ได้ดูสเป็กใดๆ ทั้งสิ้น แต่บายไว้ก่อนละ

พอได้ติดตามฟีดข่าวจากเว็บกล้องและวงการภาพถ่ายบ่อยๆ (ของฝรั่งนะ ของไทยไม่รู้เขาดูกันที่ไหน) ก็ได้เห็นการเปิดตัวของกล้องที่เห็นแล้วกรี๊ดเลย คือใช่เลย ดีไซน์นี้แหละ มันคือ Olympus E-P5 ต้องสีเงิน-ดำด้วยนะ ถึงจะดูแคลสสิก ถูกใจมาก บ้าคลั่งมาก ขนาดตอนที่ไปญี่ปุ่นในช่วงเดียวกับที่มันกำลังจะวางขาย (เออ ยังไม่ได้เขียนบล็อกเล่าเลยนี่หว่า) ก็ออกตามหาเพื่อจะหิ้วกลับมาไทย และก็พบว่ามันยังไม่วางขาย เลยกลับบ้านแบบหงอยๆ พร้อมโบร์ชัวร์ภาษาญี่ปุ่นที่มีแต่ข้อมูลและภาพตัวกล้อง ไม่มีของติดมือมาจริงๆ

จนพอเวลาผ่านไปไม่นาน ได้คุยกับคนนั้นคนนี้ ปรึกษาทั้งมนุษย์ตัวเป็นๆ และมนุษย์ที่แปลงสภาพเป็นตัวอักษรในจอคอมพิวเตอร์แล้ว (คุยกับคนนี้ด้วย!) ก็ได้ตัวเลือกระดับสุดยอดมา 2 ตัวที่กินกันไม่ลงจริงๆ นั่นคือ Fujifilm X-E1 และ Olympus OM-D EM5 ซึ่งมีข้อดีข้อด้อยต่างๆ กันออกไป ใครจะมีวิธีตัดสินใจยังไงก็ช่าง แต่สำหรับผมใช้เกณฑ์พิจารณาด้วยรสนิยมส่วนตัวต่อไปนี้
Continue reading สวัสดีกล้องใหม่ Olympus E-P5

P.O.P Era

P.O.P

กลับถึงบ้านจากคอนเสิร์ต P.O.P – Party of the Bakerian สดๆ เลยบันทึกไว้หน่อย ก่อนจะหายฟิน

P.O.P

คือฟินครับ ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแล้วฟินมานาน นานจนมาพินิจดูแล้ว ก็พบว่าผมก็เป็นติ่งเบเกอรี่กะเขาเหมือนกันนี่หว่า

P.O.P

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ มากๆๆๆๆ ที่คนวัยเดียวกัน โตมาด้วยกันกับค่ายเพลงค่ายนี้จะต้องนิยมชมชอบอะไรสักอย่าง ไม่มากก็น้อยแหละ เพราะมันคือประวัติศาสตร์หน้าที่มีคุณภาพของวงการเพลงไทยจริงๆ และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ตอนมัธยม เรียนโรงเรียนต่างจังหวัด แต่มีโอกาสได้รู้จักและติดตามฟัง เพราะเหตุผลที่ว่าใครในยุคนั้นที่ฟังเบเกอรี่แล้วจะเท่ จะดูดี สาวชอบ (ไม่ได้นึกเลยว่ามีปัจจัยอื่นมากมายนะที่สาวเขาไม่สนมึง)

Continue reading P.O.P Era

เชียงคลาน

เพิ่งไปเชียงคานมากับเพื่อนมัธยม ถ้ารวมลูกเมียของผมด้วยก็เป็น 10 ชีวิตพอดี

เป็น 10 ชีวิตที่กำลังพอดี พอดีในความหมายที่แปลว่า “พอดี” คือไปกับเพื่อนมัธยม (ไม่ใช่เพื่อนเก่า แต่เป็น “เพื่อนปัจจุบัน” ที่บอกไม่ได้เก่าเพราะว่าไม่ได้ขาดการติดต่อกันขนาดต้องนัดพบปะสังสรรค์กันแบบนานๆ ที แต่กลุ่มนี้คือเจอกันบ่อย จนเป็นเพื่อนปัจจุบัน) ที่คุ้นเคยกัน ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจอะไรกันนัก ถึงในช่วงหน้าโลว์ซีซัน ที่นักท่องเที่ยวสลิ่มจากกรุงเทพฯ ไม่ค่อยมี จะมีก็แค่เรา กับคนอื่นๆ ที่มาไม่ตรงกับฤดูท่องเที่ยวสุดฮิต เหมือนเป็นสลิ่มหลงฤดู

หลงขนาดที่ว่าพอหันไปถามอีบิ๊ก หัวหน้าทริปนี้ แม่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเชียงคานอยู่ตรงไหนของประเทศ และต้องนั่งรถนานขนาดนี้ หรือแม้กระทั่งการสั่งเพื่อนให้ลางานวันจันทร์หนึ่งวัน เพื่อมาเที่ยว แต่ก็ไม่รู้ว่ามาแล้วจะได้เห็นอะไร หรือมีที่เที่ยวอะไร (คำตอบคือไม่มีไง)

ส่วนผมไม่ซีเรียสอะไรเลยสักอย่าง เพราะเชียงคานเป็นสถานที่ที่มาก็ได้ ไม่มาก็ได้ คิดภาพไว้ว่าคงเป็นอารมณ์เหมือนปาย ที่น่าจะมีอะไรๆ คล้ายเมืองเดิมที่มันน่ารักอยู่แล้ว แต่โดนคณะสลิ่มเมืองกรุงมาถล่มจนมันกลายเป็นจริตแบบกรุงเทพๆ ไป จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ภูมิต้านทานของสถานที่ว่ารับมือไหวแค่ไหนกับกรเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมเคยเขียนเรื่องปายเอาไว้ในบล็อกนี้ (แต่ระบบเคยพังจนข้อมูลหายหมดแล้ว ช่างมัน) คราวนี้ก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากเดิม ที่คิดว่าถ้าเรามีสถานที่ท่องเที่ยวเจ๋งๆ แนวชิวๆ แบบนี้ เราจะไม่อยากบอกใครเท่าไหร่ ไม่งั้นเกิดมันแมสขึ้นมา แบบปาย แบบอัมพวา แบบเชียงคาน หรือแม้แต่แบบสวนผึ้ง แบบดำเนินสะดวก แบบหัวหิน ฯลฯ

รับรองว่าเราจะไม่ได้เห็นบรรยากาศที่เราเคยหลงรักมัน แต่จะกลายเป็นบรรยากาศจำลองให้ชาวกรุงเทพฯ ที่มาเสพบรรยากาศประดิษฐ์แบบใหม่ๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้กลายเป็นอัตลักษณ์เฟกๆ เหมือนๆ กันไปหมดทุกที่

เชียงคานก็คงเป็นแบบนั้น… ผมคิดไว้ตั้งแต่อ่านข่าวเห็นนักท่องเที่ยวเมืองกรุงมาถล่มที่นี่ในหน้าหนาวเมื่อสองสามปีก่อน

พอคาดหวังไว้ต่ำมาก การที่รถตู้ไปจอดลงตรงหน้าที่พัก และเราเดินไปถึงชานระเบียงที่พัก ซึ่งอยู่ติดฝั่งโขงพอดี จึงเป็นความรู้สึกที่ เออ เหนือความคาดหมาย

ดีเหลือเกินที่เรามาในช่วงเวลาที่ไม่ตรงเวลากับใคร เพราะตอนนี้กรุงเทพฯ ฝนตกทุกวัน แต่ที่นั่นไม่ (ที่จริงก็ฟ้าครึ้มๆ ทั้งวัน) ดังนั้นเชียงคานในส่วนถนนคนเดินที่ร่ำลือกัน เลยเงียบ สงบ และเหมือนเมืองท่องเที่ยวที่แต่ละบ้านแต่ละร้านก็ปิด ปรับปรุงซ่อมแซมต่อเติม (หรือประกาศขาย) ใเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในฤดูกาลถัดไป

เคยเจอบรรยากาศแบบที่ว่านี้มาแล้ว ตอนที่ไปเกาะลันตาเมื่อสักสิบปีก่อน เกาะลันตานั้นเงียบ สงบ เรียกว่าสงัดจะถูกกว่า โซนท่องเที่ยวที่มีแต่ภาษาอังกฤษนั้นปิดตาย เพราะเป็นหน้าโลว์ มีเพียงกลิ่นของสถานที่ท่องเที่ยวสุดคึกคักที่รอวันเปิดทำการอีกครั้งในช่วงฤดูร้อน และถุงพลาสติกปลิวไปบนถนนนานๆ ครั้งเมื่อต้องลม

บรรยากาศในคืนวันอาทิตย์ที่เชียงคานในวันที่ผมเพิ่งไปมาแม่งเป็นแบบที่ว่าเลย เพียงแต่เปลี่ยนจากเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจฝรั่ง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เอาใจคนกรุงเทพฯ

แต่ได้บรรยากาศของความสงัดเหมือนกัน

โอเค เชียงคาน นายก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิด ขอโทษที่มองนายเสื่อมไป อย่างอนนะ

ป.ล.
ที่พักผมมีดาดฟ้าชั้นสาม ที่ขึ้นไปยืนมองแม่น้ำโขงได้แบบพาโนรามมา มีช่วงค่ำๆ ขณะที่ลูกเมียหลับแล้ว ผมไปยืนเกาะระเบียงมองผืนน้ำและทิวทัศน์ฝั่งลาวยามราตรี (ที่ไร้แสงไฟและโคตรมืด) อยู่นิ่งๆ คนเดียว หันมามองนาฬิกาในโทรศัพท์ ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เออ ชิวสัส

ป.อ. (ยาวหน่อย) (มีรูปด้วย)
ยังรู้สึกชอบการแวะดูนั่นนี่ระหว่างทางเหมือนเดิม ถึงจะมีข้อจำกัดนิดนึงคือคนอื่นไม่ได้ชอบด้วย และเรามีลูก แต่ยังไม่ลืมภาพบรรยาากาศของสถานที่เจ๋งๆ ที่เคยค้นพบโดยบังเอิญ เช่นตอนปี 2549 ที่สุพรรณบุรี เคยไปงานแต่ง ขากลับเจอกองทัพเป็ดไล่ทุ่ง (ดูภาพ) จนต้องวิ่งลงไปกรี๊ด แหวกว่ายๆ และถ่ายคลิป (สมัยนั้นกล้องมันถ่ายได้ดีสุดแค่ 240p นะ) หรืออีกครั้งที่ไปเที่ยวสวนผึ้ง ขากลับหันไปเห็นลำธารข้างทาง สวยดี เลยจอดลงไปเดินดูกับภรรยา (ดูภาพ) ปรากฏว่าเป็นสถานที่ที่มีบรรยากาศสุดเจ๋ง เจ๋งจนขออย่าให้มีใครมาเห็นและเอาไปทำรีสอร์ตเลยนะๆๆ ปล่อยให้มันอันซีนอยู่แบบนี้แหละ ชอบ รักเลย

ป.ฮ.
หยุดเที่ยวมาสองเดือนเพราะไปวุ่นกะอะไรอยู่ไม่รู้ ต่อไปนี้จะค่อยๆ เที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามปณิธานที่วางเอาไว้ รอก่อนนะ กาญจนบุรี ชัยนาท กำแพงเพชร อุดรธานี สกลนคร ชุมพร สุราษฎร์ และยะลา (อันสุดท้ายนี่เป็นโครงการยาวๆ รอให้เมียอนุญาตก่อน)

เริ่มเริม

ผมเป็นเริมครับ
เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ ตอนนั้นใช้ชีวิตกินนอนอยู่ที่คณะซะมากกว่าหอพักของตัวเอง ที่มีไว้แค่เก็บของและเสื้อผ้า เวลาอยู่คณะก็ทำตัวสกปรกซกมกแบบเด็กถาปัดที่บ้านจนทั่วไปนี่แหละครับ ทำงานจนถึงตีสี่ตีห้า ตื่นมาก็ออกไปกินข้าวท่าช้าง ท่าพระจันทร์ตามเรื่องตามราว เวลาง่วงก็ล้มตัวลงนอนบนโต๊ะบ้าง ใต้โต๊ะบ้าง (พื้นสตูปูกระเบื้องเชียวนะ) ไม่เคยซีเรียสเลย เพราะใครๆ ในยุคนั้นเขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น และรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันก็สุขสบายดี จนอยู่มาวันหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนมีสิวขึ้นมาเม็ดนึงตรงมุมปากล่างด้านขวา

ตอนนั้นก็เฉยๆ เพราะตัวเองเป็นสิวเต็มหน้าอยู่แล้ว (คือเป็นคนสกปรกน่ะครับ เจ๋งปะล่ะ) แต่ที่ต่างออกไปคือสิวนี่มันไม่ขุ่นแฮะ มันใส เหมือนตุ่มน้ำ และแสบแปลกๆ เหมือนเป็นแผลอยู่ ยิ่งสงสัยก็ยิ่งบีบ พอบีบมันก็แตกหน่อ กระจายตัวเป็นพุ่มไสว กินพื้นที่กว้างยาวประมาณเล็บนิ้วก้อย

คุณหมอที่อาศัยอยู่ในกูเกิลบอกผมว่า นี่แหละเริม

image

เอ้า เหี้ยแล้วไหมล่ะ เริมเลยเรอะ เริมเลยเรอะะะะะะ

ผมนึกภาพตามบอร์ดให้ความรู้ด้านสาธารณสุขตามโรงพยาบาล ที่ให้เกียรติจัดโรคเริมให้อยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คล้ายๆ หนองใน ซิฟิลิส หูดหงอนไก่อะไรเทือกนั้น พร้อมภาพประกอบสุดสยอง ที่เป็นกระเจี๊ยวมนุษย์ที่เป็นเริมระยะร้ายแรง หนุบหนับหยุบหยับฝีหนองพุพองแดงเถือกไปทั่วทั้งอวัยวะเพศ ใครนึกภาพไม่ออกผมว่าแค่ค้นกูเกิลอิมเมจด้วยคะว่าเริม รับรองภาพสุดคัลต์ที่ว่าน่าจะปรากฏให้เห็นนับร้อยพัน ดูไปกินข้าวไปรับรองอรรถรสมาเต็ม

อะไรทำให้เริมกลายเป็นโรคติดต่อที่น่ารังเกียจขนาดนี้กันนะ ในเมื่อคนที่เป็นเริมนั้นถือเป็นเหยื่อนะ คือโดนกระทำนะ ไม่ใช่เป็นโจรหรือซอมบี้นะ 囧

ไอ้ครั้นจะไปตั้งเพจทวงคืนสิทธิมนุษยเริม ก็มั่นใจว่าคนไทยหกสิบล้านคนแม่งไม่มีใครอยากจะไปกดไล้ให้มีชื่อตัวเองปรากฏอยู่ในนั้นเป็นแน่

แล้วใครล่ะที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติและช่วยปรับทัศนคตินี้ออกไปเสียที

ท่ามกลางความสิ้นหวังและแสงสปอตไลต์ที่ส่องลงมาเพียงลำพัง ผมก็ไปเจอป้ายข้อมูลจากโรงพยาบาลเอกชนที่จัดอาร์ตเวิร์กสะอาดๆ ไม่ดูอี๋แหวะ คงเพราะเขามองคนไข้ว่าเป็นลูกค้า และไม่ได้มาอย่างอนาถาอย่างที่พวกโครงการรณรงค์ต้านเอดส์แบบราชการๆ เขามองกัน

ทำให้สบายใจขึ้นมากครับ ว่าที่จริงแล้วเริมมันก็แค่คล้ายๆ โรคหวัดเหมือนกันนี่หว่า (ตรงไหน) ที่ใครเป็นก็ควรจะเสียเซ้วแค่นิดหน่อยกับร่างกายที่แสดงอาการป่วยออกมา รีบดูแลรักษาตัวเองให้หาย แล้วก็ใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างปกติสุข ไม่ใช่ถูกสังคมคว่ำบาตรเพียงเพราะการถูกประทับยี่ห้อ “โรคติดต่อที่สังคมรังเกียจ” และพ่วงด้วยแท็กอัปมงคลมากมายให้หดหู่และเป็นปมด้อยในชีวิตเล่นๆ

ขอเพียงกำลังใจให้มนุษย์เริมทุกท่านได้มีพื้นที่เล็กๆ ไว้ยืนหยัดในสังคม เท่านี้ก็พอครับ กระซิกๆ

เข้าสาระกันสักนิด…

เริมนั้นเป็นโรคติดต่อที่มีตัวการคือเชื้อไวรัสตัวนึงที่ชื่อเฮอร์ปิ๊ด อีไวรัสบ้านี่สำแดงเดชได้ที่ปากและอวัยวะเพศ สำหรับผมนั้นเป็นที่ปาก แน่นอนว่าติดต่อทางอื่นที่ไม่ใช่เพศสัมพันธ์แน่นอน (เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครยอมมีเพศสัมพันธ์ด้วย) แต่จากสาเหตุอื่นๆ ก็คือภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งเปรียบเสมือนรักยมนั้นเกิดงอแงขึ้นมา เพราะเราดันเลี้ยงดูไม่ดี น้ำก็กดกินจากก๊อกแถวประตูมหาลัย (ติดสนามหลวง มีลุงป้าข้างนอกมาใช้บริการกันเยอะจนเดี๋ยวนี้เขาเอาออกไปแล้ว) แถมยังใช้ชีวิตได้ผิดสุขลักษณะอย่างสุดๆ ซะด้วย มันก็ต้องโดนเข้าสักโรคจนได้

ทีนี้อาการของโรคเริมที่ผมเจอก็คือ ระยะแรกปากจะเป็นตุ่มใส แสบ แล้วตุ่มนั้นก็จะเพิ่มดาวน์ไลน์ ขยายสาขาออกมาจนได้พื้นที่ประมาณนึง ถ้าทายารักษาเริม (มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ซื้อเลย ไม่ต้องอาย) ก็จะหายเร็ว แต่ถ้าไปบีบให้แตกก็จะเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล ชัดกว่าเดิม แสบกว่าเดิม จังไรชีวิตมาก

ผ่านไปสักสิบวัน อาการนี้ก็จะหายไป

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปครับ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นไวรัสทั้งที แม่งไม่เคยหายขาดอยู่แล้ว อีเฮอร์ปิ๊ดนรกเนี่ยไม่ได้ตายนะครับ แต่แค่หนำใจแล้ว มันก็จะไปหลบซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ในเส้นประสาทปลายสมองสักมุมของเรา จำศีลอยู่อย่างนั้นจนกว่ากุมารทองในร่างกายจะอ่อนแอ มันถึงจะกลับมาสำแดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ที่เดิม สเต็ปเดิมเลย

ถ้ามองในแง่ไสยศาสตร์ การเป็นเริมนี่ก็เหมือนมิเตอร์บอกอาการดวงตกเลยครับ ช่วงไหนดวงตก แม่งมาละ ปากเป็นตุ่มละ งดจูบเมียหอมลูกไปสิบวัน และต้องกักขังคัดแยกตัวเองไม่ให้ใช้ภาชนะร่วมกัน มือก็ต้องล้างให้สะอาดตลอดเวลา ตาก็ห้ามขยี้ จนกว่าจะหายจากอาการในอีกสิบวันข้างหน้า

แม่งเป็นช่วงที่เสียเซ้วสุดๆ เลยครับ

แถมตอนนี้ป่วยด้วย เป็นหวัดคัดจมูก ไอ เจ็บคอ แถมยังนอนดึกอีกต่างหาก (นี่คือสาเหตุที่ทำให้รักยมในร่างกายอ่อนแอลง) เลยเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อบำบัดความเสียเซ้วของตัวเอง ว่าจงรู้ทันโรค และรู้ทันตัวเอง จะได้เตือนตัวเองและคนอื่นด้วย ว่าจงใส่ใจสุขภาพตัวเองให้ดี จะได้ไม่ต้องมาคอยอธิบายให้ใครต่อใครเข้าใจว่าโรคนี้มันไม่ได้เกิดจากการตีกะหรี่อย่างเดียวเว้ยสัส

ป.ล.
เขียนและวาดภาพประกอบบนรถตู้ กำลังไปเชียงคานกับเพื่อน (ถนนคอร์รัปชั่น รถสั่นมาก วาดได้เท่านี้ถือว่าสวรรค์โปรดแล้ว)

ป.อ.
อ่านหนึ่งบทความทางการแพทย์ ที่เขาบอกว่าเริมจะหายขาดถาวรตอนเราอายุ 35 คือไม่กลับมาหลอกหลอนอีกแล้ว ตอนนี้เลยเห็นข้อดีของการแก่เพิ่มขึ้นอีกข้อ

ป.ฮ.
ช่วงนี้สงสารนิทานมากเลยครับ

สัญญาว่าจะหัดเล่นเฟซบุ๊กอีกครั้ง

นี่เป็นคำพูดที่เคยประกาศอย่างจริงจังมาหลายที จนเหมือนเป็นสิ่งที่เชื่อถืออะไรไม่ได้แล้วนะ

คือผมเป็นพวกเสพติดการออนไลน์ โดยที่ไม่มีเฟซบุ๊กมาเกี่ยวข้องด้วยน่ะ ใครที่เข้าใจคำว่า “โลกออนไลน์ = เฟซบุ๊ก” อาจจะนึกภาพไม่ออก แต่ผมนึกออก เพราะตัวเองเป็นอยู่

ที่จริงตัวเองน่าจะเป็นคนไทยกลุ่มแรกๆ เลยมั้ง ที่ได้สัมผัสอีเว็บดังกล่าวจากคำชวนของน้องที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มีใครคิดกันว่าวันนึงอาณาจักรไฮไฟว์จะพินาศลงได้

แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่แย่ เพราะเฟซบุ๊กไม่เคยทำให้ผมประทับใจได้เลย เนื่องจากแม่งไม่มีเพื่อนเล่น 5555

มันก็ชัวร์อยู่หรอกครับ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงนึกภาพไม่ออกกันแล้ว แต่ตอนนั้นเฟซบุ๊กแม่งเป็นเว็บสีขาวน้ำเงินน่าเบื่อๆ มีแต่การ poke กันไป poke กันมา อัปภาพ โพสต์ข้อความ เลี้ยงสัตว์ ทำควิซ และต้องคอยเฝ้าเพื่อรายงานตัวกับเพื่อนเป็นระยะๆ (ไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นมีปุ่มไลก์หรือยัง)

เชี่ย น่าเบื่อที่สุด เปลี่ยนตีม โมหน้ากากเล่นแบบฮิห้าก็ไม่ได้ ก็เลยเลิกเล่นไปนานมากๆ จนน่าจะจำรหัสผ่านไม่ได้ ต้องสมัครใหม่ด้วยซ้ำ (ไม่ชัวร์นะ คือยุคนั้นสมัครบริการนั่นนี่เปรอะมาก)

จนอีกสักพัก ผมก็ได้รู้จักทวิตเตอร์จากการสมัครเปรอะๆ เช่นกัน และพบว่ามันง่ายดีสำหรับคนที่มีโลกส่วนตัวอย่างเรา คือพอเข้าใจคอนเซปต์ของมันว่าเออ อยากทวีตอะไรก็ทวีตไป แล้วไม่ต้องคอยเฝ้าหน้าจอนะ ว่างเมื่อไหร่ค่อยมาเปิดและตอบคนที่มาถาม ไม่มีใครถือสาอะไร และไม่ต้องเร่งเร้า ไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่น

โอเค กูเล่นไอ้นี่แหละ

ก็เลยเสพติดโลกออนไลน์โดยมีทวิตเตอร์เป็นช่องทางหลักๆ (ควบคู่กับเว็บบอร์ดอายุเกือบสิบปีที่ชื่อฟอนต์.คอม ที่เหมือนกับเว็บบอร์ดทั่วโลกที่โดนผักตบชวาที่ชื่อเฟซบุ๊กมาทำลายระบบนิเวศไปซะมาก)

โดยที่เคยพยายามหัดเล่นเฟซบุ๊กถึงขนาดที่เคยตั้งเป็นปณิธานเลยก็มี แต่ก็ไม่สำเร็จสักครั้ง

คือเราไม่อินจริงๆ นะ 555

โปรไฟล์ตัวเองก็ไม่ได้ปกปิดอะไร เพื่อนฝูงญาติมิตรก็ไม่ได้มีปัญหากับใคร เพจน่าสนใจก็มีมากมาย แต่ปัญหาคืออะไรวะ

เกลียดความรกของมัน?
เกลียดดีไซน์ที่ดูวุ่นวาย เกลียดการใช้ฟอนต์เล็กๆ เกลียดข้อจำกัดในการสร้างพื้นที่ส่วนตัว เกลียดความปิดกั้น เกลียดนโยบายที่ดึงดูดทุกเว็บให้ไปฝังอยู่ในระบบอันเทอะทะแต่ไม่เปิดระบบตัวเองให้เอาไปแปะตามเว็บชาวบ้านชาวช่องได้มั่ง (นี่มันเกลียดแบบเฉพาะทางสุดๆ เลยนะ) หรือเกลียดโฆษณาที่ดูรุกล้ำเรามากเกินไป เกลียดที่มันใช้ในมือถือไม่ถนัด เกลียดแคมเปญกลวง ห่าเหวจากนักการตลาดและเอเจนซีที่ไม่เก่งเท่าที่โม้ เกลียดวัฒนธรรมหลายอย่างในนั้นทั้งที่ระบบสร้างขึ้นมา กับที่ผู้ใช้บ้านเราสร้างกันเอง

เอ๊ะ หรือเกลียดความรู้สึกที่ว่าคนรอบข้างเกือบทุกคนเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนต้องเล่นเฟซบุ๊ก และต้องพร้อมออนไลน์เพื่อตอบข้อความเดี๋ยวนี้!!!

ก็ไม่ทราบได้

แต่นั่นเป็นข้อสงสัยที่ทำให้เราพยายามเท่าไหร่ก็ทำใจไม่ได้ ที่จะไปเสพติดมัน ทั้งที่เคยประกาศให้เพื่อนฝูงฟัง(อ่าน)หลายครั้งแล้วว่าปีนี้กูจะหัดเล่นให้ได้ คอยดูๆๆๆ เนี่ยเขียนลงบล็อกหลายทีแล้วด้วย คราวนี้เอาจริงสุดๆๆๆ

แต่ก็คึกได้แป๊บเดียว เลิก

ทุกวันนี้เฟซบุ๊กของผมจึงเป็นเพียงสถานที่สำเนาข้อความจากทวิตเตอร์อีกที (คือตั้งค่าในทวิตเตอร์ไว้ให้มันเด้งไปเฟซบุ๊กน่ะครับ ยกเว้นเวลาทวีตคุยกับใครมันจะไม่ขึ้น) ไม่ได้เคยสนใจจะไปพิมพ์คุยกับใคร หรือกดไลก์(ตามมารยาท)ให้กับคอมเมนต์ของเพื่อนที่อุตส่าห์เข้ามาเขียนคอมเมนต์ใส่ข้อความอัตโนมัติของเราโดยที่ไม่รู้ว่าไอ้บ้านี่ของแท้ต้องไม่เคยออนนะจ๊ะ

จนมีวันหนึ่งที่ตัวเองพอจะนึกออกว่าบรรยากาศของเฟซบุ๊กมันคล้ายๆ กับ MSN ในยุครุ่งเรือง นั่นคือมันจะมีความคิดมาตรฐานอย่างหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันว่า “ทุกคนต้องเล่นเอ็ม” และการไม่เล่นเอ็มถือเป็นความบ้าบอที่เห็นแล้วสงสัยว่ามึงอินดี้ไปหรือเปล่า เนี่ย มี MSN Plus ด้วยนะ แต่งอีโมได้ด้วยนะ ทำวิงก์กระพริบๆ ได้ด้วยนะ เปลี่ยนสีฟอนต์ได้ด้วยเหอะ ฯลฯ

นั่นแหละที่ทำให้ผมเลิกเล่นเอ็มอย่างถาวร ไม่สนใจสังคมมากมายที่อยู่ในนั้น คือมันจอแจไป

เออ พิมพ์มาถึงคำว่าจอแจปั๊บนึกออกเลย ใช่ๆๆ “มันจอแจ”

คือเฟซบุ๊กมันมีสาธารณูปโภคและสิ่งเร้ามากมายให้เราเสพติดและอยู่กับระบบของมันนานๆ เลยมีการไลก์ (และการไม่มีปุ่มดิสไลก์) มีโนติแดง ข้างบน พร้อมกับเด้งเตือนเมื่อเพื่อนเราทำอะไร (ผมแทบไม่เคยกดโนติเลย) มีแถบเสือกด้านข้างที่ยิ่งบิ๊วนิสัยเสือกของมนุษย์ขึ้นมาอีก มีนั่นมีนี่สารพัด ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วผลักดันให้เราต้องทำตามคำสั่งที่ระบบมันวางเอาไว้ โดยที่ผู้ใช้อาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เพลิดเพลินไปกับมัน และสร้างเป็นพฤติกรรมร่วมของมนุษย์ในยุคนี้ไปแล้ว (เช่นการชอบกดไลก์ ใช่กดแชร์ แคร์กดคอมเมนต์ อะไรแบบนี้)

ทุกอย่างดูดีและโซเชียลที่สุดเลยใช่ไหมครับ แต่ไม่เคยมีที่ไหนเลย ที่จะทำให้เรารู้สึกว่า “มันเป็นพื้นที่ของเราจริงๆ” แม้แต่ในหน้าโปรไฟล์ของเราเอง ที่ทุกอย่างต้องระบุตามช่องกรอกของมัน ไม่สามารถเปลี่ยนอะไร หรือแหวกอะไรได้มากกว่านี้แล้ว คุณมีหน้าที่เพียงกรอกข้อมูลของคุณ พร้อมภาพถ่าย ภาพปก และหมั่นอัปเดตสเตตัสอยู่เสมอๆ เพื่อบอกความเป็นคุณให้โลก(หมายถึงโลกบนเฟซบุ๊ก)รู้ ส่วนอะไรที่ “เป็นคุณ” จริงๆ หรือเป็นเพียงสิ่งที่อยากจะบอกว่านี่คือคุณ อันนี้ก็แล้วแต่จะปรุงแต่งกันตามใจนะ

ผลก็อย่างที่เห็นเลยครับ ทุกคนประกาศความเป็นคุณกันโบ้มๆ

เหมือนเวลาเลี้ยงรุ่น เพื่อนๆ มากันเต็มห้องเลย แล้วดันมีแต่คนแย่งกันพูด ไม่มีพื้นที่สำหรับคนชอบความเงียบตรงมุมห้องอย่างผม

เราเลยหันไปเล่น Google+ แทน

ผมเลยยังคงมีความสุขดีกับทวิตเตอร์ที่ไม่รุกล้ำพื้นที่ของตัวเองนัก เพราะระบบของมันไม่ได้ถูกออกแบบมาด้วยวิธีคิดแบบผู้ผลิตยาเสพติดสักเท่าไหร่ แต่ถูกออกแบบมาให้มี “ช่องว่างระหว่างไทม์ไลน์” กว้างพอที่จะหายใจหายคอ และเรียกร้องความอิสระจากมันได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในพื้นที่ของคุณ เกิดพึงพอใจอยากทำอะไรขึ้นมาก็เชิญ

นั่น ทำไปทำมากลายเป็นบล็อกด่าเฟซบุ๊กอีกแล้ว

เอาจริงๆ ถึงจะไม่ชอบที่ตัวระบบและปรัชญาการออกแบบระบบของเฟซบุ๊กนัก แต่เราก็ไม่ได้เกลียดชังเพื่อนในนั้นนี่นา แถมเพื่อนที่เข้าใจว่า “ทุกคนต้องเล่นเฟซบุ๊ก” ก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะมันเป็นความเข้าใจสากลไปแล้ว เช่นเดียวกับสมัย MSN หรือไฮไฟว์ หรือยุคนี้ที่คนใช้มือถือไอโฟนก็ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนแบบแอปเปิล (ที่ผมไม่ค่อยชอบปรัชญาการออกแบบระบบของมันเหมือนกัน) นี่นา

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมอยากหัดเล่นเฟซบุ๊กอีกครั้ง และอีกครั้ง

เห็นแบบนี้ก็อยากเข้าสังคมเหมือนกันนะ ถึงจะเป็นพวกชอบอยู่เงียบๆ ตรงมุมห้องก็เถอะ

หวังว่าคราวนี้น่าจะทำได้นะ

ป.ล.
บล็อกตอนนี้ตื่นมาเขียนในมือถือตอนเช้ามืดเลยครับ ไม่มีคนอ่านก็ช่างมัน เพราะมันเป็นเรื่องปัจเจกมากเลยนะ 555 คือที่จริงนอนไม่หลับน่ะครับ เพราะเมียท่าทางจะไม่สบาย หลังจากไปบ้านพี่ชายที่เพชรบุรีมา แล้วบ้านนั้นก็ไอกันทั้งบ้าน พอเมียป่วย ผมเลยแยกมานอนที่พื้น แล้วมันเย็น เลยตื่นตั้งแต่ตีสี่ คิดนั่นนี่ไปมาเลยเขียนบล็อกแก้ว่างดีกว่า

ป.อ.
เออ จะบอกว่าหลายครั้งที่นั่งขี้อยู่ดีๆ ก็คิดไอเดียเพจเฟซบุ๊กสนุกๆ แบบที่น่าจะมีคนไลก์เยอะๆ ขึ้นมาทีไร ก็ต้องขยำทิ้งไปทุกที ก็ปัญหาคือเราแม่งดันไม่เล่นเฟซบุ๊ก ขี้เกียจคอยนั่งอัปเดตสม่ำเสมอน่ะสิ ถ้าทำเองแม่งต้องเบื่อและเลิกไปในในเจ็ดวันแน่ๆ (แล้วต่อมาไม่นานก็จะมีคนที่คิดได้เหมือนกันกับเราที่ทำเพจแบบนั้นเป๊ะๆ และประสบความสำเร็จจริงๆ อันนี้ดีใจนะ แต่อวดใครไม่ได้เพราะเราแค่ฝัน แต่เขาลงมือทำจริงๆ ต้องยกย่องครับ)

ป.ฮ.
เชี่ย เจ็ดโมงแล้ว บาย (เขียนเสร็จก็ทวีตลิงก์บล็อกนี้และให้มันไปโผล่ในเฟซบุ๊กเอง จบ)